bloggang.com mainmenu search
มาต่อกันครับ
ผมต้องขอแบ่งบันทึกผมบ้างนะครับเพราะบางทีมันจะยาวเกินไป อย่างเช่นของตอนนี้เป็นต้น

หลังจากที่ผมรอดพ้นมาจากพี่ Immigration สุดโหด ออกมาพบกับพี่พอซซั่มและภรรยาที่ยืนรอผมอยู่ที่ห้องโถงผู้โดยสารขาเข้าที่ชั้น 1 แล้วเราทั้งหมดก้อเตรียมตัวเดินทางต่อเพื่อเข้าที่พักกันครับ

เจ้าสนามบิน Tallamarine นี่นะครับจะอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของใจกลางเมือง Melbourne ครับ โดยห่างจาก GPO หรือสำนักงานไปรษณีย์กลาง (หลังเก่า) ที่ตั้งอยู่ที่มุมถนน Elizabeth Street กับ Bourke Street ประมาณ 22 กิโลเมตร ครับ การวัดระยะทางที่ Melbourne นี่เค้าจะใช้อาคารแห่งนี้เป็นหลักนะครับ ไปที่ไหน ระยะทางเท่าไหร่ เค้าก้อจะวัดจากอาคารนี้ละครับ ตอนเมื่อผมกลับเมืองไทยอาคารนี้ปิดซ่อม ตอนนี้ได้เปิดเป็นห้างสรรพสินค้าและก้อมีร้านกาแฟไฮโซเชียวครับ) สำหรับการเดินทางไปสนามบิน เนื่องจากไม่มรบริการขนส่งมวลชนธรรมดาชนิดใดๆเลยไปถึงตัวอาคาร เค้าจะมีบริการขนส่งชนิดพิเศษอื่นๆให้เลือกใช้บริการเพื่อการเดินทางไปสนามบินได้ เช่น Skybus ซี่งเป็นรถโค้ชคันใหญ่สีแดงแปร๊ด รับส่งผู้โดยสารระหว่าง สนามบิน Tullamarine และ Souther Cross Station บนถนน Spencer ครับ สนนราคาค่าบริการก้อตกคนละ 15 เหรียญต่อเที่ยวหรือยังไงนี่แหละครับ ถ้าซื้อไป-กลับก้อจะถูกลงมาครับ สำหรับประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณอื่นๆที่ไม่ใช่ใจกลาง CBD (Central Business District) แต่ละ suburb หรือ suburb ใกล้เคียวหลายๆแห่ง ก็อาจจะมีการร่วมมือกันจัดบริการรถโค้ชมาสนามบินได้ครับ

ผมและชาวคณะตกลงกันว่าจะใช้บริการ Taxi จะดีกว่า เพราะสัมภาระเราเยอะมาก แล้วเราก้อเหนื่อยมากแล้ว ไม่อยากไปขึ้นๆลงๆรถอีกหลายต่อ (การใช้บริการ Skybus นี่ไม่ถึงที่พักในต่อเดียวนะครับ เราจะต้องไปเปลี่ยนเป็นรถโค้ชคันเล็กที่หน้าสถานีรถไฟ Southern Cross เพื่อความสะดวกในการส่งผู้โดยสารตามโรงแรมครับ เพราะโรงแรมบางแห่งก้อตั้งอยู่บน Lane way ที่มีขนาดเล็กเกินกว่าที่รถโค้ชคันใหญ่ๆ จะเข้าถึงได้) เราทั้งหมดจึงเดินออกมานอกตัวอาคารเพื่อมายืนรอ Taxi ในบริเวณที่เค้าจัดไว้ให้ ที่นี่เค้าจัดการอะไรๆได้เป็นระเบียบมากๆครับ บริเวณที่จัดไว้เพื่อรอ Taxi เค้าก้อจะมีการกั้นรั้ววนไปๆมาๆ เหมือนตอนเราจะเข้าไปดูคอนเสิร์ตยังไงยังงั้นเลยครับ แล้วก้อจะไปวนออกริมฟุตบาทพอดี Taxi ก้อจะมาจอดรอที่ริมฟุตบาทใครมาก่อนก้อขึ้นไปก่อนได้เลยไม่มีการที่จะปฏิเสธผู้โดยสาร ปกติแล้ว Taxi ที่นี่จะนั่งได้ 3 คนครับ รวมคนขับด้วยก้อเป็น 4 แต่จะมี Ford Falcon บางคันที่จะรับผู้โดยสารได้ 4 คน ครับ สำหรับคณะของผม ถึงแม้ว่าจะมีแค่ 4 แต่สัมภาระมากเหลือเกินก้อเลยคิดว่าน่าจะขอเป็น Maxi ดีกว่า

Maxi นี่คือ Taxi ที่เป็นรถตู้ขนาดเล็กครับนั่งได้ 5-6 คนและสามารถบรรทุกกระเป๋าใบใหญ่ๆได้ด้วย

พอคณะของพวกเราเดินมาเป็นคิวแรก ผมก้อเลยบอกกับพี่หมี (อีกแล้ว ... ผู้อ่านท่านใดอยากทราบว่าเหตุใดผมจึงเรียกใครๆว่าพี่หมี โปรดกรุณาช่วยย้อนกลับไปอ่านตอนแรกๆของบทที่ 4 ด้วยครับ อิอิอิ) ที่เป็นคนดูแลคิว Taxi ว่า ผมขอเป็น Maxi นะครับ พี่เค้าก้อเลยให้คณะของเราไปยืนรอตอนต้นๆ ของ bay ที่จอด taxi ประเดี๋ยวเดียว พี่หมีเค้าก้อเรียก Maxi ให้เรา 1 คันพวกเราขอบคุณพี่หมีตามมารยาทคนไทย พี่หมีไม่ได้หันมาแต่ตะโกนตอบว่า
No worries.
บ่เป็นหยางงงง... แปลได้ประมาณนี้ครับ ฮ่าๆๆ

คนขับก้อลงมาช่วยเราขนของตามปกติแล้วเราก้อขึ้นรถกัน หลังจากที่ผมบอกจุดหมายปลายทางแล้วเราก้อเริ่มออกเดินทาง ผมเริ่มทำหน้าที่เป็นไก่ เอ๊ย ไกด์ ชี้ชวนเพื่อนผมและศรีภริยาของพี่พอซซั่มดูโน่นดูนี่ จริงๆแล้วระหว่างทางจากสนามบินมันก้อไม่ได้มีอะไรให้ดูมากหรอกครับ ข้างๆทางก้อแห้งแล้งไม่มีต้นไม้เขียวๆเลย เหมือนอยู่ในทะเลทรายเลยครับ อ่าๆๆ

บน Highway ที่มาจากสนามบิน Tullamarine จะผ่านสำนักงานใหญ่ของหนังสือพิมพ์ The Age ผ่านสนามบิน Essendon จากนั้นก้อจะแยกออกทางซ้าย เข้ามาทาง Bell Road

ก่อนที่จะเข้ามาถึงเขตเมืองตรงนี้มีอะไรๆให้ดูหน่อยนึงครับ เป็นประติมากรรมที่ Melbournian เค้าภูมิใจนักหนาว่าเป็นหน้าเป็นตาของเมืองถึงขนาดเอาไปตั้งเอาไว้ที่ปากประตูเมืองทีเดียว เสียดายที่ผมไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดู แต่มันจะเป็นประมาณว่าแท่งเหล็กสีเหลือง สีแดง เอามาปักเอียงๆ เรียงกันไว้ ซึ่งผมก้อดูไม่ออกนะครับว่าเค้าจะนำเสนออะไร แต่เคยมีฝรั่งที่เป็นคนเมลเบิร์นนี่แหละครับบอกผมว่า....ถ้ายูดูรู้เรื่องก้อไม่เป็นศิลปะน่ะซิ ... เอ้าว่าไปนั่น

คนออสซี่มีนิสัยประจำชาติที่แย่อยู่อย่างหนึ่ง แต่เค้าก็มักจะภูมิใจกับนิสัยแย่ๆ ของเค้าจนเอามาล้อกันเป็นเรื่องตลกบ่อยๆก็คือความเป็นคนขี้ประชดประชันของเค้านี่เอง บางทีถึงกับเอามาใช้ในงานโฆษณาสินค้าเลยทีเดียวนะครับ ผมจำได้ว่าเคยมีโฆษณาโลชั่นกันแดดชนิดหนึ่งออกฉายทางโทรทัศน์ เนื้อหาในโฆษณาแทนที่จะเป็นการบอกว่าครีมกันแดดของเค้าดียังไง กลับไปบอกว่าครีมกันแดดยี่ห้ออื่นดียังไงบ้าง จนสุดท้าย ก้อขึ้นตัวหนังสือประมาณว่า คนออสเตรเลียเก่งนักในเรื่องประชดประชันแล้วก้อจบลงด้วยภาพสินค้าของเค้าที่ต้องการขาย ครั้งแรกที่ผมได้ดูถึงกับงงๆ จนมาตั้งใจดูอีกหลายทีถึงได้เข้าใจแก๊กโฆษณาอันนี้ ไม่ใช่ว่าเค้าจะไม่รู้กันนะครับว่าเค้าเป็นคนขี้ประชดประชัน แต่ดูๆว่าเค้าก้อภูมิใจกันทั้งประเทศละครับ ฮ่าๆๆ

พี่มืดคนขับรถพาเราข้าม West Gate Bridge อันสูงใหญ่ หน้าตาของ West Gate Bridge ก็เหมือนกับสะพานกรุงเทพที่บ้านเรานี่แหละครับแต่ต้องบวกช่วงยาวเพิ่มเข้าไปอีก 1 ช่วง แล้วยกให้ตอม่อสะพานมีความสูงอีก ซักครึ่งกว่าๆ สะพานแห่งนี้เป็นฟรีเวย์ครับ หมายถึงว่าไม่เสียค่าผ่านทาง เวลาที่เราอยู่บน West Gate Bridge นี่เราจะมองเห็นตัวเมืองเมลเบิร์นได้อย่างขัดเจนเลยนะครับ ก็เลยทำให้เห็นว่าจริงๆแล้วตัวเมืองเมลเบิร์นที่เป็นกลางเมืองจริงๆไม่ได้ใหญ่โตอะไรเลย

West Gate Bridge จะทอดข้ามปากแม่น้ำ Yarra
มีปลายสะพานด้านหนึ่งที่แถวๆ suburb ที่ชื่อว่า Footscray คนที่นี่ส่วนมากจะลงความเห็นว่าแหล่งเสื่อมโทรมแห่งหนึ่งของ Melbourne ที่ Footscray นี้จะเป็นแหล่งที่อยู่ของคนเอเชียอีกแหล่งหนึ่ง โดยเฉพาะเวียดนามจะมีจำนวนมากเป็นพิเศษ นอกจาก Richmond และ Springvalle ผมก้อไม่เคยไปเลยนะครับที่ Footscray เนี่ยะ อาจจะเป็นเพราะมันอยู่คนละด้านกับบ้านของผม แล้วก้อเพราะชื่อเสียงที่ไม่ค่อยดีด้วยละครับ ผมถึงได้พยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่ไป ขนาดตลาดเอเชียที่ Springvalle ผมยังเลือกเวลาไปให้มันเป็นกลางวันมากๆ รีบๆซื้อ รีบๆกลับบ้านเลยครับ ผมรู้สึกว่ามันไม่ค่อยปลอดภัยนักเพราะอ่านเจอข่าวปล้นจี้กันบ่อยๆ ก็อย่างที่ผมเคยบอกท่านนักท่องเที่ยวบางท่านไปนะครับ การท่องเที่ยวประเทศไหนๆ มันก็ไม่อันตรายหรอกครับ ถ้าเราไม่เอาตัวเราไปอยู่ในสถานที่ และ เวลาที่เป็นอันตราย ส่วนปลายสะพานอีกด้านหนึ่งก็จะมาสุดอยู่ทางด้านทิศเหนือของเมืองวิ่งตรงต่อมาอีกซักหน่อยก้อจะเห็นตลาด Queen Victoria Market ครับ

ผมเริ่มรู้สึกหลงทิศนิดๆ ด้วยความที่จากเมลเบิร์นไปนาน กำลังพยายามรวบรวมความทรงจำกลับมาก้อพอดีที่พี่มืดคนขับของเราจอดรถข้างทาง

What happen?
มีอะไรเหรอครับ คราวนี้เป็นพี่พอซซั่มถามขึ้น

The police is following us.
มีตำรวจตามเราอยู่

ห๊า.... อะไรกันนี้พระเจ้าจอร์จ แอนด์ ลอร่า
ผมผจญภัยต่อไปไม่ไหวแล้วนะคราบเพ่

แต่หลังจากที่พี่มืดเค้าจอดรถอยู่สักครู่ก้อไม่มีอะไรเกิดขึ้น

รถติดไฟแดงอยู่ คนขับ taxi คันข้างๆ เปิดกระจกมาคุยกะพี่มืดของผม จับความได้ลางๆว่าเค้าบอกพี่มืดของผมว่าตำรวจตามมาแน่ะ

เอาละซิ ผม ตกลงพี่ตำรวจนี่เค้าจะจับใครเหรอ

พี่มืดหันมาบอกกับเราว่ารถตำรวจคันนั้นตามเค้ามาจาก Highway แล้ว สงสัยจะเป็นเพราะรับท่องเที่ยวมาเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ตำรวจเค้าสงสัยว่าพี่มืดจะพาพวกเรามาต้มไง ก้อเลยตามมาดู และตอนนั้นเองที่พี่พอซซั่มบอกว่าพี่มืดเลยทางเลี้ยวที่ควรจะเลี้ยวมาแล้ว

นี่ยิ่งทำให้เหตุการณ์แย่ลงไปอีก ฮ่าๆๆ คราวนี้พี่มืดของผมเสร็จแน่ๆ เพราะจะกลายเป็นว่าพี่มืดพาพวกผมไปวนรอบใหญ่ๆมา 1 รอบ โดนดีแน่ๆ

ท่าทางพี่มืดตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด พี่เค้าพยายามอธิบายให้เราฟังว่า เดี๋ยวเค้าจะจอดรถแล้วทำที่ว่าพวกผมลงที่นี่ แล้วให้พวกเราบอกกะตำรวจว่าเราจะลงที่นี่ แล้วที่นี่มันที่ไหนฟะ

พี่มืดจอดรถที่หน้าร้านคาเฟ่ แห่งหนึ่งบน ถนนเส้นเล็กๆ แล้วขนของๆพวกเราลงมาหมด พี่ตำรวจ 2 นาย เดินผ่านหน้าเราไปคุยกะพี่มืด ผมยืนอยู่ในจุดที่ห่างออกมามากก้อเลยไม่ได้ยินว่าเค้าพูดอะไรกัน เห็นแต่พี่ตำรวจทั้งคู่เดินวนรอบๆรถของพี่มืดแล้วก้อชี้โบ๊ชี้เบ๊แล้วก้อจดอะไรยิกๆลงในกระดาษเป็นนานสองนาน

เรายืนจับกลุ่มกันอยู่พักใหญ่พี่ตำรวจคนนึงเดินเข้าตรงเข้ามาหาเราแล้วถามว่า
Are you waiting for someone?
รอใครอยู่เหรอคับ

พี่พอซซั่มเร็วกว่าใครเพื่อนตอบออกไปว่า
Our friend to pick us up.
รอเพื่อนมารับครับ

พี่ตำรวจนายนั้นพยักหน้าหงึกหงักแล้วเดินไปสมทบกับอีกคนนึงแล้วก้อตั้งหน้าตั้งตาดูรถของพี่มืดต่อไป

เรายืนอยู่ตรงนั้นอีกพักใหญ่ๆ กว่าพี่ตำรวจสองนายเค้าจะส่งกระดาษให้พี่มืดของเรา 1 แผ่น แล้วพูดอะไรด้วยอีก 2-3 คำแล้วพี่เค้าก้อพากันขึ้นรถขับหายไป

พี่มืดเข้ามาขอบอกขอบใจพวกเราใหญ่ เล่าให้ฟังว่าพวกนี้เป็นเหมือนกันตำรวจที่คอยตรวจสภาพรถ taxi ถ้าเห็นว่าสภาพรถไม่เสียหายก้อจะเรียกแล้วออกใบเตือนให้ไปซ่อมซะ อ้อ.. แปลว่าพี่มืดเข้าใจผิด แล้วปล่อยพวกเราลงมายืนหนาวกันตั้งนานเนี่ยะนะ...

แล้วพี่มืดเค้าก้อขนกระเป๋าของพวกเราขึ้นรถอีกครั้งและพาเรามาส่งที่ที่พักของเราโดยสวัสดิภาพ

แต่น... แตน... แต๊น....
และแล้วเราก้อมาถึงพี่พักของเราซะที
ที่พักของเรานี่เจ๋งมากๆครับ เป็น Serviced Apartment หน้าตาทันสมัยมากๆ ชื่อ Katz Apartment ครับ ตั้งอยู่เลขที่ 160 Little Lonsdale Street
ผมกะพี่พอซซั่มเข้าไปติดต่อกับ Front counter เจ้าหน้าที่ที่เป็นผู้หญิงหมวยๆ ดีใจใหญ่ บอกว่าดีใจที่เจอผม เพราะเราคุยตอบโต้กันในเมลมาเป็นเวลาหลายๆเดือน กะคุยกันทางโทรศัพท์กันไม่รู้อีกกี่รอบ
ผมกับพี่พอซซั่มได้ห้องอยู่ชั้นเดียวกันครับ ของผมห้อง 901 ส่วนของพี่พอซซั่มห้อง 907

ระบบรักษาความปลอดภัยที่นี่ดีมากๆครับ การจะเข้าออกประตูใหญ่ต้องเอา Key card ไปปิ๊ดทีนึงก่อนประตูถึงจะเปิดล็อก พอเข้าไปในลิฟท์ เราก้อต้องเอาคีย์การ์ดไปปิ๊ดอีกทีลิฟท์ถึงจะทำงานครับ อะโหๆ เก๋ไกร๋ เรามีการปล่อยกันเล็กน้อยเนื่องจากไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงจนมีผู้เข้าพักคนอื่นมาสอนเราถึงได้ร้อง อ๋อ..... อิอิ

แล้วลิฟท์ก้อพาเราทั้งหมดมาถึงชั้น 9 ห้องของผมอยู่ด้านซ้ายมือติดกับลิฟท์เลย ส่วนห้องของพี่พอซซั่มต้องเดินไปทางชวาจนสุดโถง

ผมเปิดประตูห้อง
เฮ๊ย .... ทำไมห้องผมใหญ่ได้ขนาดนี้
ตอนจองผมจอง อพาร์ตเม้นท์ 1 ห้องนอน เตียงขนาดควีนไซส์
แต่ตอนนี้ห้องผม เป็น อพาร์ตเม้นท์ 2 ห้องนอน มี เตียงขนาดควีนไซส์ 1 เตียง กับเตียงเดี่ยวอีก 2 และ Sofa bed มีเฉลียงออกไปชมวิวได้2 ด้านเลย เครื่องใช้ไม้สอยในห้องก้อพร้อมพรัก ครัวสะอาดสะอ้าน มีตู้เย็น อ่างล้างชาม ถ้วยชาม แก้วน้ำ แก้วกาแฟ แก้วไวน์ กาต้มน้ำ ไมโครเวฟ เตาแก้ส 2 หัวเตา พัดลมดูดอากาศ พัดลมตั้งพื้น 2 เครื่อง ทีวี ห้องน้ำสะอาดมากๆ มีเครื่องซักผ้าให้ด้วย เปิดตู้มาเจอเครื่องปิ้งขนมปัง กะเตารีด อะโห นี่มันอะไรกัน หรือจะเป็นเพราะว่าพระเจ้าเห็นใจผมที่โดนอิมมิเกรชั่นกลั่นแกล้งก้อเลยประทานห้องพักสุดหรูให้ผม

ผมเก็บข้าวเก็บของอาบน้ำอาบท่า เพราะนัดกับพี่พอซซั่มจะออกไปทานข้าวกลางวันกัน
Create Date :26 เมษายน 2549 Last Update :26 เมษายน 2549 23:48:48 น. Counter : Pageviews. Comments :1