..เป็ ด ญี่ ปุ่ น . . ต อ น 2 ..
วันที่สิบเอ็ด มกราคม เวลาเที่ยง ห้าสิบเจ็ดนาที
เครื่องบินพาบินลงจากฟ้า แตะพื้นรันเวย์ สนามบินนาริตะ
“สวัสดีโตเกียว ฉันเคยกินเธอด้วยล่ะ “ เราหมายถึงขนมโตเกียวน่ะ
โตเกียว กล่าวทักทายตอบ ด้วยอุณหภูมิ 3 องศา
เราพ่นวันออกจากปากฟู่ฟ่า
เห็นแล้วคิดถึงควายแถวบ้านตอนหน้าหนาว
มองขึ้นไปบนฟ้า มีแต่เมฆปกคลุม
มองไม่เห็นพระอาทิตย์
.
.
อันนี้ถ่ายจากข้างรถ
ระหว่างนั่งรถมา
ก็เห็นไอ้นี่
ไม่รู้มันเป็นโรงงานอะไร?
อาจจะเป็นโรงงานน้ำปลาก็เป็นได้?
ในเมืองก็มีด้วยนะ
คิดว่าไม่น่าจะใช่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์?
ผ่านมาอีกนิดเจอตึกตราแมวคาบลูกด้วย
เสียดายถ่ายไม่ทัน
โีรงงานน้ำปลาญี่ปุ่น?
นั่งรถแอร์พอร์ตลีมูซีน
ค่าโดยสารสามคน ราคาเก้าพันกว่าเยน
กับระยะทาง ประมาณห้าสิบกิโล
เราพยายามขยับก้นไปนั่งให้ทั่วทุกเบาะที่ยังว่าง
ต้องนั่งให้คุ้มค่ารถที่แพงจัง
บนรถลีมูซีน (ชื่อเหมือนเกาหลีแฮะ ? ) เขาห้ามโทรศัพท์ด้วยนะ
ไม่รู้ทำไม? ไม่เหมือนที่ไทย คุยอยู่ได้ ไม่เกรงใจใครเลย
เราเดาว่า คงห้ามสั่งซูชิขึ้นมากินด้วยนั่นแหละ
แต่คงไม่ได้เขียนป้ายห้ามไว้?
.
.
.
.
.
นั่งรถ มองวิวสองข้างทางไปเรื่อย
ไม่นาน ก็เห็นเป็นเนินเขา สลับกับทุ่งนา
เท่าที่สังเกต สิ่งที่แตกต่างอย่างหนึ่ง ระหว่างญี่ปุ่นกับเมืองไทยก็คือ
“ต้นไม้ “ เราไม่รู้ว่ามันเรียกว่าต้นอะไร?
เลยตั้งชือ่ให้มันว่า “ต้นหยุมหยิม”
ต้นไม้ที่นี่ จะใบเล็กๆ กระจุ๋มกระจิ๋ม และมีสีที่ทึบทึม
อาจจะเป็นเพราะอากาศ ที่ค่อนข้างหนาวเย็น มันเลยลดใบให้เหลือขนาดเล็กๆ
เพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำ ( คิดไปได้? )
เราเดาว่า นี่คงเป็นส่วนหนึ่ง ที่ทำให้คนญี่ปุ่น มีจิตใจที่ซับซ้อน
และละเอียดอ่อนและชอบทำอะไร หยุมๆหยิมๆ
?
.
ต้นหยุมหยิม
.
.
.
รถมาส่งถึงหน้าโรงแรม
โรงแรมที่เราพักชื่อโรงแรม “ Shinakawa Print Hotel “
ตั้งอยู่ตรงข้ามสถาณีรถไฟชินากาว่า
มีทั้งรถไฟสายต่างๆหลากหลายชื่อ ชินกันเซ็นก็มีนะ
อยากวิ่งไล่กวดชินกันเซ็นจริงๆ
คงจะได้เหงื่อน่าดู
.
.
อันนี้ถ่ายจากชั้น 26 จะเห็นว่าไม่มีแดดเลย
ทั้งๆที่เพิ่งจะบ่ายสาม เห็นโตเกียวทาวเวอร์อยู่ลิบๆ
คิดว่าใช่อ่ะนะ..
.
.
ผู้หญิงสองคนที่มาด้วยกัน
พยายามยุยงให้เราละความพยายาม ที่จะท้าความหนาว
ด้วยการใส่เสื้อยืดกางเกงยีน ท่ามกลางอุณหภูมิที่ลดลงเรื่อยๆ
แต่ก็ไม่สำเร็จ
จากนั้น เธอทั้งสองก็ออกอุบาย
พาเราไปซื้อของกับหาของกิน ที่ย่านชินจุกุ
อันนี้ในสถานีชินากาว่า
.
.
.
อันนี้คิดว่า น่าจะเป็นปฏิมากรรมรูปวาฬสองตัว เอาหัวปักดิน
อยู่ด้านหลังสถานีรถไฟ ถ่ายขณะหนาวมาก
.
.
.
.
อันนี้ในรถไฟ รูปคนท้องทำได้น่ารักมาก คาดว่าจะเป็นเด็กแฝด
.
.
.
.
ถึงแล้ว ชินจุกุ
แดดกำลังสวยเชียว
ดีใจแทบตาย ที่ไม่พากันหลงทาง
ฮ่าๆๆ
.
.
.
.
โปรดสังเกตชาวญี่ปุ่นทั่วไป เขาจะใส่โอเวอร์โค้ดกันนะครับ
ส่วนเป็ดโชว์พาวซะเต็มที่
ไม่ใช่อะไรหรอกครับ
ขี้เกียจแบกเสื้อไปด้วย
จะซื้อที่นี่ ก็ไม่แพงนะครับ ตัวละสามสี่ร้อย
แต่เดี๋ยวไม่แมน...
ฮ่ะๆ
ถึงเราจะหนาวจนปวดข้อมือข้อนิ้วไปหมด
หน้าก็ชาไปหมด
หรือมือชาหว่า? เพราะจับหน้าก็ไม่รู้สึก เอาหน้ามาแตะมือก็ไม่รู้สึก?
ไม่รู้อะไรชากันแน่?
แตเราก็หาได้ละความพยายามไม่
เหล่าคนญี่ปุ่นรุ่นต่างๆ ต่างก็มองเราด้วยความเกรงขาม
“ ช่างสมกับเป็นผู้มีสายเลือดซามูไรจริงๆ “ พ่อค้าขายกล้วยปิ้งคนหนึ่ง
อุทานขึ้นมาอย่างลืมตัว
แอ็คมากไม่ได้ ..หนาว
มันจะหนาวไปถึงหนายยยยย
ว่าแล้ว ก็พากันเข้าไปกินข้าวที่ร้านอาหารร้านหนึ่ง
เป็นแบบสายพานหมุนเสิร์พ เท่ห์มาก เคยเห็นที่เมืองไทย
แต่บรรยากาศไม่ดีเท่าที่นี่
ราคาอาหาร ต่างกันไปตามสีจาน
อยากกินอะไรก็หยิบ
กินเสร็จ เราแทบกลายเป็นปลาไส้ตัน
เพราะกินสาหร่ายทะเลไปเป็นจำนวนมาก
เหม็นเขียวไปทั้งตัวเลย..
เป็นครั้งแรก ที่กินสาหร่ายกับข้าว แทบถึงแก่มรณะกรรม
.
.
อืมมมมมมมมมมมมม
.
.
.
กินเสร็จ ออกมาหาซื้อของ
ได้เครื่องเล่นเพลงโซนี่มาตัวนึง
ราคาประมาณพันสอง
ที่เมืองไทย ขายประมาณพันเก้า
ของโซนี่ที่นี่เยอะมาก สงสัยสำนักงานใหญ่มันจะอยู่แถวๆนี้
เพราะเราสังเกตเห็นตึกแท่งเบ้อเริ่ม ติดตราโซนี่ด้วย
คราวหน้าจะฝากซื้อกล้องซักตัว
ลาไปด้วยรอยยิ้มแบบเป็ดๆ
แล้วเจอกันตอนหน้าครับ..
ปล.เป็ดคุ้นหน้าคนไทยที่รอดชีวิตจากเฮติมากครับ
เพราะเป็ดเคยมีเพื่อนบล็อกชื่อ มาดาม Hentai หรืออะไรทำนองนี้แหละน่อ
รู้สึกว่าเธอจะอยู่ที่นั่นครับ ตอนนี้เธอกลับมาเมืองไทยแล้วอยู่ที่สงขลา
อาจจะเป็นคนเดียวกัน แถมทำงานเกี่ยวกับวิศวกรรมเหมือนกันด้วยครับ?
ใครคุ้นเหมือนเป็ดไหมครับ?
บร๊ะเจ้า!!!
ใช่เธอจริงๆด้วยครับ!!
เป็ดจำได้ว่าเธอชื่อคุณมุก เลยลองไปหาที่ช่องค้นหาตรงหน้าหลัก
เจอจริงๆด้วยครับ
นี่เลยๆ ไปเยี่ยมเธอกันครับ
แต่ตอนนี้เธอกลับเมืองไทยแล้วน่อ
คลิกเลยจ๊ะ
คลิกตรงเฟรนด์บล็อกก็ได้
พร้อมตามไปเที่ยวญี่ปุ่นต่อครับ
แต่ทำไมมันไม่จบอ่ะวันนี้
ไม่ยักกะลงนามหว่า?