ว่ากันว่า ชีวิตนั้นแท้จริงคือการเดินทาง
และบางทีการเดินทางก็พาเราเข้าไปในถ้ำด้วยนะ
หลังจากชีวิตพาผมเดินทางไปเจอค่างในตอนที่ผ่านมา
และก็มัวแต่ชื่นชมค่างแว่นถิ่นใต้อยู่หลายนาทีจนลืมแสงเทพไปชั่วขณะ
ก็นึกขึ้นได้ว่า ต้องเข้าไปในถ้ำแล้วล่ะ
ทางลงถ้ำนั้นชันมากจนอยากสั่งเสียลูกเมียไว้ซะตรงนี้
ไม่มีราวให้จับ ไม่มีเชือกให้โหน ไม่มีเมียให้สั่งเสีย ถ้าตกลงไปคงตายไปเป็นผีชายโสด
ครั้นจะไม่ลงไปก็อายเด็กสองขวบที่มันวิ่งปร๋อลงไปก่อนหน้า
ก็เลย เข้าไปในถ้ำแบบขาสั่นๆ
.
.
.
.
ถ้ำพระยานครนั้น เป็นถ้ำขนาดใหญ่พอจะยัดบ้านกำนันเข้าไปได้สิบหลังเชียวล่ะ
ภายในถ้ำเย็นสบาย มีน้ำขายด้วยนะ ขวดละยี่สิบบาท น้ำอัดลมก็มี แต่ไม่ได้ถามราคา
ความจริงเวลาเข้าถ้ำทีไร ผมจะรู้สึกหายใจไม่เต็มอิ่มและได้กลิ่นตัวคนข้างๆชัดเจนทุกที
แต่ถ้ำนี้ ด้วยความที่ใหญ่เบิ้มมาก
ทำให้รู้สึกสบายจนอยากเอาเตียงมากางแล้วนอนซักงีบเลยทีเดียว
ภายในถ้ำมีต้นไม้ขึ้นตรงที่มีรูบนเพดานแล้วแสงส่องถึง
เป็นฉากหลังให้กับศาลาทรงไทยที่ตั้งเด่นเป็นสง่าให้กับถ้ำเป็นอย่างดี
ผมไม่ได้ตั้งใจอ่านประวัตินัก แต่ทราบว่าในหลวงรัชกาลที่ห้าเคยเสด็จมาที่นี่
.
.
.
.
ตลอดทั้งสองวันหนึ่งคืนของทริปนี้ ผมมักได้รับการแซวจากเพื่อนๆเสมอว่า
ไม่ยอมห่างจากขาตั้งกล้องเลย
จะว่าเห่อของใหม่ก็ไม่เชิง อาจจะเป็นเพราะรู้สึกอบอุ่นเวลามีมัน
แถมฉุกเฉินใช้เป็นอาวุธฟาดนั่นนี่ได้อีกด้วย
เข้าถ้ำก็เอาขาตั้งกล้องเข้าไปด้วย เพราะรู้ว่าคงจะเหนื่อยจนมือสั่นภาพเบลอแน่ๆ
ซึ่งก็ได้ใช้จริงๆครับ ตั้งสองสามภาพ แต่ด้วยประสบการณ์อันน้อยนิดของการถ่ายภาพ
เรียกว่า ถ้าเป็นการประกวดนางสาวไทย ก็ยังอยู่ในรอบสองล้านคนสุดท้ายอยู่เลยว่างั้นเถอะ
ทำให้ภาพที่ได้มา ก็เป็นอย่างที่เห็น
ผิดเป็นครู ผิดบ่อยๆเป็นครูใหญ่ ผิดแล้วรู้ตัวว่าผิดเป็นรัฐมนตรีกระทรวง
ผิดแล้วไม่รู้สำนึกเป็นอีเก้งขาเป๋
.
.
.
.
ลองเทียบให้เห็นถึงความใหญ่โตของถ้ำพระยานคร
ชายในภาพที่เห็นตัวเล็กจิ๋วหลิวนั้นคือพี่โจน
ซึ่งตัวจริงของพี่โจนนั้น มีขนาดใหญ่โตพอตัว
.
.
.
.
ภายในถ้ำ ในมุมที่มืดมิด ก็มีคนไปจุดเทียน ไม่แน่ใจว่าไหว้อะไรกัน
ลืมเดินไปดู อาจจะมีอะไรแปลกๆให้ถ่าย
คนไทยชอบไหว้อะไรแปลกๆ
อะไรไม่รู้ ไหว้ไว้ก่อน ซึ่งความจริงมันเป็นสัญชาตญานของมนุษย์เลยนะ
เหมือนเรากลัวภูเขาไฟ เราไม่รู้ว่ามันคืออะไร เราก็ซูฮกมันไว้ก่อน
เราไม่รู้ว่าน้ำนั้นมันซึมมาจากไหน เราก็เอาไปดื่มกันดูก่อน
เพราะเรารู้ว่ามันคือน้ำที่มาจากส้วมซึมเก่านั่นเอง เราก็อ้วกแตกกัน
.
.
.
.
แสงเทพเป็นลำๆที่ส่องลงมาจากฟ้าสูง วันนี้ไม่เห็น
ถ้ามาหน้าแล้ง ฟ้าเปิด มาก่อนเพลหน่อย รับรองไม่พลาดแน่ๆ
.
.
.
.
เดินด้อมแด้มอยู่ในนั้นนานหลายนาที ไม่มีอะไรทำ มีแต่ถ้ำกับหิน
อยู่นานไปอาจจะกลายเป็นมนุษย์ถ้ำ เลยชวนกันกลับ
คนอื่นกลับล่วงหน้ากันไปก่อนแล้ว เลยเดินกลับสองคนกับพี่โจน
พี่โจนอึดกว่าที่คิด ทำหน้าตาสู้ตายไว้ลายพี่โจน
เสียดายไม่มีแมลงแปลกๆให้แกลองถ่ายมาโคร
.
.
.
.
นั่งเรือกลับ
ขากลับไม่ต้องลงเรือเบอร์เดิม ขึ้นเบอร์ไหนก็ได้
หน้าฝนแบบนี้ ระวังคลื่นลมกันหน่อยก็ดีครับ
ทริปนี้พี่โจนโดนน้ำสาดเข้ากล้องไปหนึ่งกระซวกเหมือนกัน
กล้องใครบอบบางหน่อย มีหวังได้นั่งปรับทุกข์กันอีกยาว
.
.
.
.
ออกจากถ้ำ เรามุ่งหน้าต่อไปยังทุ่ง
ทุ่งสามร้อยยอดคือเป้าหมาย ภาพดอกบัวนับพันบานสะพรั่งเต็มทุ่งคือสิ่งที่หวัง
ออกมาได้นิดนึงฝนก็เทกระหน่ำลงมาราวกับรถดับเพลิงเทศบาล
ไปถึงทุ่ง ซาลงนิดนึง
ลงไปเดินไม่ทันครบสามก้าวดี ฝนก็ตกลงมาอีก
แชะมาได้ ภาพเดียวห้วนๆ
.
.
.
.
กลับออกจากทุ่ง มุ่งหน้าหาที่พักที่จองไว้
หลงทางอยู่หลายกิโลพอเป็นพิธี ก็มาถึง “บ้านไม้สบายจิต”
เงียบสงบ ยิ่งโลวซีซั่นแบบนี้ ยิ่งเงียบ
เสียงคลื่นซัดสาด
คืนนี้นอนกับพี่แตนและพี่หนิง
ออกไปหาข้าวกินกัน รออาหารนานมากกกกกก
กินกับหมดไปรอบนึง ข้าวเปล่ายังไม่มา
ข้าวเปล่ามา กับหมด ต้องสั่งกับใหม่
รอจนซักข้าวเปล่าหมด กับเพิ่งมา บางอย่างก็ไม่ได้ หมด
ต้องกินกับเปล่าๆ
สับสนกับชีวิต
กลับมาที่พักพร้อมขนมจากเซเว่นบานเต
ก่อนนอนออกไปถ่ายดาวหมุน
ลมทะเลพัดแรง ขากล้องสั่น ถ่ายได้แค่ดาวเกือบจะหมุน
ลาไปด้วยภาพนี้
เจอกันตอนหน้า วันจันทร์นู้น
ลงนาม
เป็ดสวรรค์
เจ้าของบล็อกนี้แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย
ขำจัง ไดอารี่จริง เขียนโดนใจ อย่าลืม
การแข่งขันทำให้เราพัฒนาครับ แต่อย่าจริงจังกับมันมาก
เอาหนุกๆก็พอ เนอะ
เพื่อนๆเรามีไปตั้งสำนักในเฟสกันด้วยนะ
กดสิ