.... ข อ บ ฟ้ า . . ห ม า . . ไ ก่ . .. แ ล ะ เ ท ว ด า . . .
คอมพิวเตอร์กำลังลงวินโดวส์ใหม่ครับขอพักซักหน่อยเด้อ
**************************ผมอาศัยอยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยตึกสูงตระหง่านบานเบอะ
เมืองที่ให้ความรู้สึกว่าตัวผมช่างเล็กจ้อย
และควรเกรงขาม เจียมเนื้อเจียมตัวต่อความยิ่งใหญ่ของเมือง
มากกว่าความรู้สึกเป็นมิตร อบอุ่น ของบ้านหลังเล็กๆที่คุ้นเคย
มันเป็นปัญหาของคนสร้างเมือง?
หรือเป็นปัญหาของคนแหยเมืองแบบผม ก็ไม่ทราบได้?
.
.
.
.
ตึกเหล่านั้น ทำให้ขอบฟ้าอยู่ใกล้กว่าที่เคย
มีหยักมีเหลี่ยมตามรูปร่างของตึกสูงเพวกนั้น
หลายคนคงคิดแบบผม พวกเขาพยามสร้างตึกให้สูงขึ้น และสูงขึ้น
เพื่อที่ขอบฟ้าของพวกเขาจะได้กว้างไกลกว่าคนอื่น
เพื่อพวกเขาจะได้ไม่รู้สึกว่าตัวเองถูกกักขัง
ขอบฟ้าของคนเมือง
ที่ชีวิตนั้นยุ่งยากเกินกว่าจะใส่ใจมัน

.
.
.
ในเมือง
สิ่งโสโครก อยู่ใกล้ชิดกับสิ่งสวยงามจนน่าขัน
แต่ในเมืองนั้นไร้เสียงไก่ขัน คนเมืองไม่ชอบเลี้ยงไก่
ไม่มีใครจูงไก่มาเดินห้าง คนเมืองชอบเลี้ยงหมามากกว่า
แต่หมาของคนเมืองก็ไม่ใช่หมาจริงๆตามนิยามความเป็นหมาของมัน
หมาของคนเมืองคือเครื่องบ่งชี้อะไรซักอย่าง
อาจจะเป็นฐานะทางสังคมหากหมาตัวนั้นเป็นพันธุ์ราคาแพง
อาจจะเป็นระดับความเมตตาต่อหมา หากเจ้าของหมาคนนั้น
ชอบพูดกับหมาด้วยภาษาคนเป็นตุเป็นตะ ประหนึ่งว่าหมาตัวนั้น
ได้ผ่านการอบรมณ์การใช้ภาษาคนมาเป็นอย่างดี

.
.
.
.
บางเวลาที่ผมรู้สึกว่าตัวเองกระแดะในการใช้ชีวิตในเมืองมากเกินไป
ผมมักจะแสวงหาที่อันสงบเงียบ
ในเมืองความสงบเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง
ผมเคยเข้าไปในวัดเพื่อหาความสงบ และในวัดนั่นเอง
บ่อยครั้งที่ผมเห็นแววตาของผู้สิ้นหวัง
กำลังอธิษฐานด้วยความหวัง ความหวังอาจจะมีอยู่แถวนี้
หรืออาจจะอยู่กับสิ่งที่ทรงอิทธิฤทธิ์บางอย่างที่บนฟ้านั่น
ผมไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมีจริงไหม?
แต่ทุกครั้งที่พวกเขาอธิษฐานและวอนขอต่อสิ่งเหล่านั้น
ผมก็พบว่าพวกเขากำลังพูดอยู่กับตัวเองเพียงลำพัง
ผมรู้ตัวว่าตัวเองโง่พอสมควรมานานแล้ว
และโลกนี้ ก็ไม่มีศาสนาสำหรับคนโง่
คุณต้องฉลาดพอสมควรที่จะเข้าใจศาสนา
เพราะศาสนาถูกบัญญัติขึ้นจากผู้ที่ทรงปัญญาอย่างยิ่ง
เราจะโทษที่โลกไม่มีศาสนาที่ดีพอและเหมาะสำหรับคนโง่
หรือจะโทษตัวเองที่ดันเกิดมาไม่ฉลาดพอที่จะเข้าใจศาสนา
บางทีผมว่าตัวผมเองไม่เหมาะที่จะมีศาสนา
เพราะศาสนาอาจจะเป็นพิษสำหรับผู้เบาปัญญาแบบผม
มากกว่าเป็นผลดี

.
.
.
.
เราควรจะเชื่อมั่นในสติปัญญาของตัวเอง
ว่าเจ๋งพอที่จะตัดสินความดีความชั่วด้วยตัวเองไหม?
หลายคนอาจจะอยากลอง
อยากเดินในทางที่ต่างออกไปจากพรรคพวก
แต่อะไรบางอย่างสอนเราว่า
ชีวิตของเราไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้น
จงยอมรับความดีความชั่วสำเร็จรูปที่ถูกกำหนดไว้แล้วแต่โดยดี
เราไม่กล้าแม้แต่จะนั่งขบคิดว่าความดีความชั่วนั้นมีจริงแค่ไหน?
อาจจะจริงที่ใครซักคนว่าไว้
ความดีจะยังเป็นความดี ตราบใดที่คนส่วนใหญ่ยังคงทำมันในนามของความดี
ควาชั่วก็จะยังเป็นความชั่ว ตราบใดที่คนส่วนใหญ่ละเว้นที่จะไม่ทำมัน
ในนามของความชั่ว

.
.
.
.
วันหนึ่งผมเดินทางไปบนทางเดินอันแข็งกระด้างของเมือง
แล้วพบกับตูดของผู้หญิงคนหนึ่ง
เธอปกปิดมันไว้ด้วยเส้นใยสังเคราะห์บางเบาหนาเพียงไม่กี่มิลลิเมตร
ถัดลงไปจากเนื้อผ้านั้น นั่นคือ ผิวตูดของเธอ
เป็นความจริงที่น่าตื่นเต้น
ความเปลือยเปล่ากับความปกปิด ห่างกันเพียงผ้าบางกั้น
ผมตั้งคำถามถึงความกระดากอายต่อการเปิดเผยอวัยวะสืบพันธุ์ของเราต่อผู้อื่น
มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร?
เริ่มแรกเราอาจจะปกปิดมันเพราะกลัวว่าอาจจะมีใครมาซีโตสเราตอนหลับ
อาจจะเพราะยุคน้ำแข็งเมื่อหกหมื่นปีก่อนมันหนาว
และมนุษย์โบราณเพศผู้เห็นของตัวเองหดลงแล้วเกิดตกใจ
เลยหาอะไรมาปิดเอาไว้
ความอายอาจจะเริ่มก่อตัวจากตอนนั้น รึเปล่า?
หรือสมัยก่อนอาจจะมีเมืองล้อนจ้อนบุรีที่ผู้คนไม่สวมใส่เสื้อผ้า
แต่พระราชาของเมืองนั้นดันเล็ก เลยไม่อยากจะโชว์
ก็เลยออกกฎห้ามทุกคนเปลือยกายตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ผมสลัดความคิดเรื่องตูดออกไปจากหัว
พร้อมๆกับเจ้าของตูดที่เดินหายลับไปในความมืดของเมือง
บางเวลาผมก็คิด ว่าเมืองไทยนั้นร้อนเกินกว่าจะสวมใส่เสื้อผ้า

.
.
.
.
เป็นความจริงที่ว่า เมืองนั้นวุ่นวายเกินกว่าที่จะสงบเงียบ
นั่นเป็นธรรมชาติของมัน เหมือนหมาที่เห็นผีแล้วต้องหอน
ในเวลาเดียวกัน
บางคนอาจจะกำลังหาว
บางคนกำลังทะเลาะกับเมีย
บางคนกำลังตีลังกาเล่น
บางคนกำลังแอบนั่งจิบปลาร้าหลนอยู่เงียบๆ
ทั้งหมดนี้และอีกมากอาจจะเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน
เกิดขึ้นในเมือง รายละเอียดนั้นมากเกินกว่าจะสนใจ
เพราะเมืองคือแหล่งรวมของมนุษย์
มากมายจนเกินไป ที่ใครจะสนใจใครได้
และมนุษย์ไม่ใช่สัตว์สังคมที่อยู่สงบๆได้ดีนัก

.
.
.
.
.
หลายครั้งผมเดินทางไปยังที่เดิมๆ
เพื่อที่จะพบกับสิ่งเดิมๆ
เพื่อที่จะมองหาบางสิ่งที่เปลี่ยนไป
บางสิ่งที่เล็กน้อย เกินกว่ามนุษย์เมืองจะสนใจ
ความหวังของใครคนหนึ่งหล่นหายที่ตรงนี้
มีรอยน้ำตาจางๆของใครคนหนึ่งที่ตรงนั้น
และใครบางคนเคยมายืนเหม่อลอยที่ตรงนี้
บางเวลา ในเวลาที่ท้องฟ้าไม่มืดมิดจนเกินไป
ผมจะกลับมาที่เดิม ด้วยอารมณ์ใหม่
"ไม่มีไก่ตัวไหนพูดภาษาอังกฤษได้ 20 บาท "
แม่ค้าไก่ย่างพูดเป็นปริศนาธรรม พร้อมบอกราคาไก่

.
.
.
.
การใช้ชีวิตในเมือง ที่ทุกอย่างถูกสร้างขึ้นมาเพื่อความสะดวกสะบาย
แต่ผมกลับพบว่า ชีวิตนั้นซับซ้อนขึ้น
ผมพบว่าชีวิตในเมืองต้องแข่งขันกันเพื่อความสะดวกสะบาย
ความกระหายอยากที่จะเอาชนะไม่เคยหายไปจากสันดานคน
และมันชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อเราอาศัยอยู่ในเมือง
แต่ชีวิตในเมือง 10 ปีที่ผ่านมา
มีข้อดีอยู่หนึ่งอย่าง
มันทำให้ไปเที่ยวต่างจังหวัดสนุกขึ้น
เพียงทะเล พื้นทราย กับเท้าเปล่าๆของตัวเอง
ก็ทำให้เรายิ้มกว้างได้มากมายก่ายกอง
ความวุ่นวาย ทำให้เราเห็นคุณค่าของความสงบมากยิ่งขึ้น
เก็บความรู้สึกนั้นไว้ จนกว่าจะพบกันใหม่
************






เพื่อนๆเรามีไปตั้งสำนักในเฟสกันด้วยนะ
ลองกดสิ
