บริหาร การจัดการ การตลาด พัฒนาตนเอง พัฒนาความคิด กลยุทธ์ ธรรมะ จักรราศี ฯลฯ
จัดตั้งธุรกิจ ปรับปรุงกิจการ | ไขความลับสมองเงินล้าน | การเขียนแผนธุรกิจ | บริหารคน บริหารงาน | พัฒนาความคิด
พระไตรปิฎกฉบับหลวง | แด่องค์กรที่แสนรัก | สุขใจกับเด็กสมาธิสั้น
Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2548
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
18 กรกฏาคม 2548
 
All Blogs
 

“ถ้าคิดว่าคุณทำได้……คุณก็ทำได้” แด่ “นาย” ด้วยดวงใจ

“งานขาย” เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย….สำหรับผู้ที่ไม่เคยทำมาก่อน…….

ผู้ที่เข้ามาอยู่ในวงการนี้ มักจะเป็นที่เพื่อนชวนให้ “ลองทำดู”……..เมื่อ “ลองทำดู” แล้วไม่สำเร็จ ก็ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรเสียหาย เปลี่ยนใจได้……..

คำว่า “เปลี่ยนใจได้” ก็คือ “การตั้งเป้าหมายที่ผิด”


สำหรับ ผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จอาชีพนั้นๆ ในเมื่อ ใจเรา “ลองทำดู” ………มันก็จะไม่มีความอดทน ความสหวิริยะ และความอดกลั้น ความอดทน ต่อ “สิ่งที่มากระทบ” กับใจของเรา เราก็จะเปลี่ยนใจง่าย เปลี่ยนอารมณ์ง่าย…….จากที่เคยอยากลอง….ก็มาเป็นไม่อยากลอง จากที่เคยอดทน…..ก็ไม่อดทน

ดังนั้น คำว่า “ลองทำดู”………จึงใช้ไม่ได้กับคนที่คิดจะยึดอาชีพขายเป็นหลัก

ลองดูว่า ในการเป็น “เซลส์” สิ่งที่ จะกระทบต่อความมั่นคง ต่อจิตใจของตนเองมีอะไรบ้าง

1 ความน่าเบื่อหน่าย ที่ต้องออกไปพบปะกับผู้คนอยู่เป็นประจำ
2 ความไม่มั่นคงของรายได้ ไม่แน่นอนว่าเดือนนี้จะขายได้ หรือไม่ได้
3 ทำให้รากฐานทางการเงินไม่แน่อน ไม่สามารถว่าจะกำหนดได้ว่า อะไรจะต้องจ่ายเมื่อไหร่
4 ค่าใช้จ่ายทางสังคมสูง ต้องพบผู้คน บางครั้ง เราต้องเลิ้ยงเขา เพื่อให้เขามาเป็นลูกค้า
5 มีปัญหากับทางบ้านและครอบครัว บางคนกลับบ้านดึกดื่น เพราะติดนัดกับลูกค้า
6 เกิดความท้อแท้ใจ เพราะต้องเอาใจผู้คนมากเกินไป
7 เกิดความกดดันสูง ทั้งทางบริษัท - ลูกค้า และครอบครัว
8 เป็นปัญหาเรื่องสุขภาพ เช่น นอนดึก หรือ ดื่มสุรามากเกินไป


ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้ เมื่อคิดไปแล้ว ล้วนแล้วแต่สร้างความรดทนใจ ท้อแท้ในการทำงาน ให้แก่เราทั้งนั้น

ในเมื่อ “พนักงานขาย” จะต้องเจอกับสภาพที่ว่านี้ ก็จะเกิดท้อแท้….. หมดกำลังใจ ในการต่อสู้กับชะตาชีวิต ในที่สุด ก็หมดความ “อยากลอง” แล้วกลับไปทำตามอาชีพเดิม หรือลอยเคว้งคว้างไปตามชะตาชีวิต

แต่เมื่อเราหันไปมองอีกจุดหนึ่ง จุดที่เคยมีพนักงานขายคนหนึ่งเขาเล่าให้ฟังว่า ในชีวิต เขาเกิดมาไม่มีอะไรเลย การศึกษาก็ต่ำต้อย ได้เรียนบ้าง ไม่ได้เรียนบ้าง ชีวิตระเหเร่ร่อนไปแต่ละวัน กินมื้อ อดมื้อ

จนวันหนึ่ง เขาได้เจอผู้เขียน ผู้เขียนได้ลองให้เขาสรุปให้ผู้เขียนฟังว่า เขาได้ประสบการณ์อะไรจากการเป็น “พนักงานขาย” บ้าง ซึ่งเขาได้เล่าให้ฟังว่า……..

1 ทำรายได้ให้ตนเองมากกว่าอาชีพอื่น
เขาเล่าว่า ก่อนที่เขาจะมาประกอบอาชีพขาย เพราะความที่ความรู้น้อย ไปสมัครงานที่ไหน เขาก็จะถามว่าจบปริญญาสาขาไหน ในเมื่อเขาตอบว่า ตนเองไม่มีปริญญาเลย ทุกบริษัทก็จะเบือนหน้าหนี เดี่ยวนี้ ไม่มีบริษัทไหนรับคนที่ไม่มีปริญญา และทุกบริษัทมีทางเลือกเต็มไปหมด คนอย่างเขาก็ต้องหงอยไป

แต่ในเมื่อเขามาจับงานขาย งานขายไม่จำเป็นต้องมี “ปริญญา”……ความสามารถเท่านั้น เป็นเครื่องพิสูจน์
และเขาก็ได้พิสูจน์ให้เจ้านายและเพื่อนร่วมทีมเห็นว่า “ความสามารถ” ของเขามี….และสามารถใช้กับงานได้เป็นอย่างดี ทำให้เขาได้รับตำแหน่งเลื่อนขึ้นไปเรื่อยๆ จนเป็นผู้บริหารทีมขายในปัจจุบัน

เขาสรุปให้ฟังว่า “ถ้าไม่มีอาชีพขาย”…..ชีวิตของเขาคงจะต้องได้รับเงินเดือนอยู่อย่างกระเบียดกระเสียนอยู่แค่ เพียงไม่กี่พันบาท แต่เดี๋ยวนี้ เขามีรายได้หลายหมื่นบาท มีบ้าน มีรถ มีทุกอย่างที่ต้องการ ก็เพราะ “อาชีพขาย”

2 เป็นงานอิสระ เป็นตัวของตัวเอง
เขาเล่าให้ฟังว่า ตามธรรมชาติของมนุษย์นั้น ทุกคนชอบเป็นอิสระ ไม่มีใครชอบอยู่ภายใต้กฎข้อบังคับของใคร ไม่มีใครชอบที่ถูกบังคับให้เข้าทำงานตั้งแต่เจ็ดโมงครึ่ง และเลิกงานเอาหกโมงเย็น….เขาก็มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง การทำอะไรที่ฝืนธรรมชาติ เขาเชื่อว่า ถึงจะมีกำลังใจจะทำ ….แต่ก็ทำไปได้ไม่ดี ดังนั้น งานขายจึงเหมาะกับเขามาก โดยเฉพาะอาชีพขาย ซึ่งเป็นงานที่อิสระ งานที่เขาจะไปขายที่ไหนก็ได้ ไม่มีใครมาเช็คเวลา สอบถาม ไม่ต้องตอกบัตร ไม่ต้องคอยดูนาฬิกาว่าถึงเวลาเลิกงานแล้วหรือยัง ซึ่งเป็นงานที่ถูกกับนิสัยของเขามาก

ผู้เขียนถามว่า “แล้วไม่เป็นสร้างนิสัยขี้เกียจให้เรารึ..”
เขาตอบว่า “มันมีข้อที่ 1 กำกับอยู่แล้ว หากเราขี้เกียจ….เราก็จะไม่ได้เงิน…..ในเมื่อเราอยากได้เงิน……มันก็จะไม่ขี้เกียจ…….”

ซึ่งเป็นคำตอบที่สร้างความพอใจให้แก่ผู้เขียนเป็นอย่างมาก

3 เป็นงานที่สามารถใช้ความสามารถเฉพาะตัวได้อย่างเต็มที่
เขาอธิบายความในข้อนี้ว่า ในสมัยก่อน ก่อนที่เขาจะมาเป็นพนักงานขาย เขาแทบจะไม่รู้จักความสามารถของตนเองเลย หรือพอจะรู้บ้าง ก็ไม่กล้าแสดงออก เพราะความที่ไม่กล้า ไม่มีโอกาสได้แสดงออก ถึงมีโอกาสได้แสดงออก ก็เป็นเพียงงานปาร์ตี้เล็กๆกับเพื่อนๆ ซึ่งไม่มีประโยชน์อันใดเลย
แต่พอเขามาเป็นพนักงานขาย เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งเหล่านี้อย่างเต็มที่ เช่นเขาชอบเล่นเครื่องรางของขลังมาตั้งแต่เล็ก พอมาเป็นพนักงานขาย เขาได้ใช้ความรู้เหล่านี้ ช่วยให้เขาสนิทสนม เป็นกับเองกับลูกค้ามากขึ้น จนกลายเป็นกลุ่มเล็กๆ ที่ต้องเจอกันเป็นประจำเพื่อพูดคุยกันในเรื่องนี้ และเขาก็ขายสินค้าให้คนกลุ่มนั้นได้อยู่เสมอ

อีกกรณีหนึ่ง เขาเป็นคนที่ชอบเล่นดนตรี และร้องเพลง เขาเล่าว่า เขาได้เพื่อนมากมายในกลุ่มที่ชอบเล่นดนตรีด้วยกัน และ กลุ่มที่ชอบร้องคาระโอเกะ งานแบบนี้ ถึงแม้จะไม่ใช่งานเพื่อ “ขาย” โดยตรง แต่ก็เป็นเครื่องช่วยเขาอย่างมาก ให้มีความสนิทสนมกับคนที่ชอบเหมือนๆ กันเป็นพิเศษ และเป็นสิ่งที่ปูทางนำไปสู่การขายในที่สุด……. เดี๋ยวนี้ เขาก็ได้พัฒนาความชอบและความสามารถของเขาเพิ่มขึ้นอีกหลายอย่าง เช่น การเล่นกอฟท์…..การเล่นเทนนิส…..การเล่นแบดมินตัน แม้กระทั่ง การดูลายมือ และดูดวง ซึ่งเขาบอกว่า มีอิทธิพลต่ออาชีพขายมาก

ผู้เขียนฟังเข้าถึงร้อง อ๋อ…จริงของเขา คนเรา ถ้าเอาความชอบ หรืองานอดิเรก ผนวกเข้ากับอาชีพได้ ก็วิเศษเท่านั้น……เพราะนอกจากทำให้ไม่เครียดกับงานแล้ว ยังได้งาน และได้เงินอีกด้วย

4 เป็นงานที่ท้าทายความสามารถของตนเองอยู่เสมอ
เขาขยายความข้อนี้ว่า การใช้ความสามารถของตนเองให้เป็นประโยชน์ต่องานขาย ดังที่กล่าวแล้วในข้อ 3 นั้น จำเป็น “ต้องรู้เรื่องคน” ……..

เราต้องรู้ให้ได้ ว่า “ใครชอบอะไร และไม่ชอบอะไร” ถ้าเราจับจุดเขาได้ ว่า เขาชอบอะไร เราก็คุยกับเขาเรื่องนั้น ยิ่งเป็นเรื่องที่เรารู้เรื่องดี หรือ พอจะรู้เรื่องมาบ้าง ก็พูดคุยได้อย่างสนิทสนม เต็มปากเต็มคำ อะไรที่เขาไม่ชอบ ก็อย่าไปเอ่ยถึงเสีย วิธีนี้ ทำให้เรา ต้องเรียนรู้เรื่อง “คน” มากขึ้น


ซึ่งวิธีที่จะรู้ มีหลายวิธี เช่น คอยสังเกตเอา คอยดูจากกริยาท่าทาง เมื่อเห็นเขาเบื่อหน่าย ไม่อยากคุย เราก็เปลี่ยนเรื่องพูด หรือ ศึกษาจากตำหรับตำราต่างๆ ซึ่งมีหลายชนิด หลายเล่ม อ่านกันไม่หมด

วิธีการเช่นนี้ ทำให้เขาต้องพยายามศึกษาอย่างมาก และหาโอกาสทดลองวิชาเหล่านั้น กับคนทุกประเภทที่เขาได้เจอ ถูกบ้าง ผิดบ้าง จน เกิดความชำนาญในเรื่องการอ่านใจคนมากขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถทายใจคนที่นั่งคุยกับเขาได้หมดทุกคนอย่างไม่น่าเชื่อ……..

เขาเคยพูดเล่นๆ กับผู้เขียนว่า ถ้าเขาตกงาน หรือบริษัทฯไม่มีอะไรที่ให้เขาขาย อย่างน้อยที่สุด เขาก็ยังไม่หมดปัญญาหาเงิน โดยสามารถไปเก็บเงินตกหล่นได้จากผู้ที่จำเป็นต้องพึ่งหมดดูทั้งหลาย………ผู้เขียนหัวเราะ และบอกเขาว่า “คนอย่างคุณ ไม่มีวันไม่มีงานทำหรอก เพียงแต่คุณจะทำงานอะไรที่คุณพอใจเท่านั้น”

5 ดังนั้น ผู้ที่ทำงานขาย จึงควรเป็นผู้ที่มีความรู้รอบด้าน (Generalist Type)
เขาเล่าให้ฟังว่า การทำงานของคนเรามีสองแบบ แบบที่หนึ่งคือรู้อะไร ก็ให้รู้จริงไปเลย หรือที่เรียกว่า Specialist Type วิธีนี้ เป็นวิธีของนักวิชาการ ที่ศึกษาอะไรแล้ว ต้องศึกษาให้รู้จริง มีความสามารถจริง ทำได้จริงไปเลย วิธีดังกล่าว เหมาะสำหรับทำงานประจำ หรือเป็นนักวิชาการมากกว่า ซึ่งเหมาะกว่าที่จะมาเป็นพนักงานขาย เพราะนักวิชาการ เมื่อคิดอะไรแล้ว ก็ต้องคิดให้ทะลุ ต้องคิดให้หนัก ให้ทะลุประโปร่งลงไป ดังนั้น การที่จะมองอะไรไปรอบๆ ตัวเราจึงไม่ค่อยได้มีโอกาส และไม่มีเวลาทำเช่นนั้น ดังนั้น หากให้เปรียบเทียบ ก็เหมือนม้าแข่ง ที่ต้องบังตาไว้ และให้วิ่งไปรอบสนาม จึงจะวิ่งได้เร็ว

ส่วน นักขาย นั้น ท่านเล่าว่า เปรียบเสมือน “ว่ายน้ำได้อย่างเป็ด และบินได้อย่างไก่” ถึงแม้ว่าไม่มีความรู้เฉพาะเรื่องด้านเพียงพอที่จะคุยเรื่องต่างๆ ได้อย่างถึงกึ๋น แต่ท่านก็ว่า เพียงพอแล้ว ที่จะคุยกับคนเราได้ทุกเรื่อง ยิ่งเรื่องที่เรายังไม่มีความรู้ หรือรู้น้อย ก็ยิ่งมีประโยชน์ ที่จะได้สนทนาก็ผู้รู้ได้อย่างมีรสชาดมากขึ้น ดังนั้น นอกจาก “นักขาย” จะต้องเป็นนักคุยที่ดีแล้ว จะต้องเป็น “นักถาม” ที่ดีด้วย

ท่านถามผู้เขียนว่า เห็นด้วย ไหม ……ผู้เขียนก็ได้แต่พยักหน้าหงึกหงักไปเท่านั้น เพราะมันเป็นเรื่องจริง และไม่รู้จะเอาอะไรไปเถียงท่าน

6 มีโอกาสได้เป็นมิตรกับคนทั่วไปอย่างกว้างขวาง
ข้อนี้ ผู้เขียนได้ประท้วงว่า มีประโยชน์อะไรที่จะได้เป็นมิตรกับคนทั่วไปอย่างกว้างขวาง เลือกเอาคนที่ดีไว้เป็นมิตรก็พอ คนที่ไม่ดีไม่ควรคบ เพราะสุภาษิตโบราณที่พูดไว้ว่า “คบคนพาล พาลพา ไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล”

เขาตอบว่า อันธรรมดา การเป็นมิตรกับคนทั่วไปในไซร้ ก็จะไร้เหตุผล พร้อมด้วยยกสุภาษิตจีนขึ้นกล่าวเปรียบเทียบว่า “นกไม่มีขน ย่อมบินขึ้นสู่ที่สูงไม่ได้ คนไม่มีเพื่อน ก็ยิ่งใหญ่ไปไม่ได้เช่นกัน”………….นอกจากนั้น ยังยกตัวอย่างว่า สมัยเขาเป็นเซลส์แมนตัวเล็กๆ อยู่กับบริษัทแห่งหนึ่ง สิบกว่าปีมาแล้ว บังเอิญต้องไปขายเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ธนาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้แทนจำหน่ายเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ไม่มีใครรู้จัก

บังเอิญ (อีกเหมือนกัน) ที่ธนาคารแห่งนั้น ได้มีผู้อำนวยการคนใหม่มารับผิดชอบ…..เขาขายคอมพิวเตอร์ที่ได้รับมอบหมายจนสำเร็จ และได้ให้บริการหลังการขายธนาคารแห่งนั้นมาเป็นเวลาหลายปี จนเขาอำลาวงการออกไปขายสินค้ายี่ห้ออื่นอยู่อีกหลายปี จนกระทั่งมาทำกิจการของตนเอง

เขาได้เล่าให้ฟังต่อว่า เมื่อมาทำกิจการของตนเอง ก็ต้องมีเงินทุนไว้หมุนเวียนให้เหมาะสมกับกิจการ เขาก็มีโครงการที่จะขอกู้ธนาคาร เขาเขียน Proposal เสียอย่างดี ใส่ปกสวยงาม เอาไปยื่นขอกู้ธนาคารที่ไหน เขาก็บอกว่า…..แหม เขียน Proposal เสียดี ใส่ปกเรียบร้อย….แต่ขอโทษ…มีโฉนดไหม ทุกธนาคารพูดเหมือนกันหมด โถ…เขาจะไปเอาโฉนดที่ไหนไปค้ำประกัน เพราะโฉนดที่ดินและบ้านก็ยังอยู่กับธนาคารอาคารสงเคราะห์ ยังผ่อนไม่หมด เขาตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาผู้อำนวยการธนาคารที่เขาเคยรู้จักเมื่อหลายสิบปีก่อน ปรากฏว่าท่านได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นรองกรรมการใหญ่ของธนาคารแห่งนั้น

เขาตัดสินใจไม่นัดไปก่อน เพียงแต่เช็คว่าท่านว่างหรือไม่เท่านั้น เพราะนึกในใจว่า ถ้าท่านไม่รู้จักเรา หรือลืมเราเสียแล้ว ก็เป็นอันว่าพับกันไป โปรเจคไม่ต้องทำต่อไปอีกแล้ว เพราะหาที่กู้เงินไม่ได้ ปรากฏว่า ตอนที่เขานั่งรอท่านอยู่นั้น พอเลขาเดินเข้าไปบอกว่า เขามาพบ ท่านรองกรรมการผู้จัดการคนนั้นก็เดินออกมาพบเขาถึงหน้าห้อง พลางทักทายอย่างสนิทสนม หลังจากถามสารทุกข์สุกดิบกันเรียบร้อยแล้ว

ท่านก็ถามว่า มาพบท่านด้วยธุระอันใด เขาก็ไม่รอช้า พลางยกเอา Proposal มาให้ท่านอ่าน ท่านพลิกไปดูอย่างฉาบฉวย แล้วถามว่า “ต้องการเงินสักเท่าไหร่” เขาตอบว่า “สองล้านบาทครับ”……..ท่านฉวยปากกามาเขียนอะไรที่หน้าปกยุกยิกสองสามคำแล้วบอกเขาว่า “คุณเอาคำสั่งนี้ไปยื่นที่ฝ่ายวิเคราะห์หนี้สิน…แล้วทุกอย่างจะเรียบร้อย” เขารีบบอกท่านทันทีว่า “ท่านครับ….ผมไม่มีโฉนดค้ำประกันนะครับ” คำตอบที่ได้ยินเสียงชัดเจนจากปากท่านก็คือ

“ตอนคุณเป็นเซลส์แมนขายคอมพิวเตอร์ให้ผม….เงินตั้งเป็นสิบๆ ล้าน ผมยังเชื่อคุณได้ และคุณก็ได้ให้บริการผมมาเป็นอย่างดีอีกนับสิบปี….แล้วนับประสาอะไรกับเงินกู้แค่สองล้านที่คุณจะมาทำธุรกิจของคุณเอง…..เอาไปเถอะ…..และขอให้โชคดีน๊ะ…..”

เขาถือหนังสือที่ท่านให้เดินใจลอยเข้าไปที่ฝ่ายวิเคราะห์หนี้สิน ซึ่งในนั้นเขียนไว้ว่า “อนุมัติ Clean Loan สองล้านบาทถ้วน”

พลางนึกในใจว่า นี่เป็นผลบุญที่เขาทำมาแต่ชาติไหน ซึ่งบากหน้าไปที่ไหนๆ เขาก็ไม่อนุมัติ แต่พอมาเจอท่านปั้บ ก็อนุมัติปุ๊บ…..แต่นึกดูอีกที ไม่ใช่ชาติไหนหรอก…..ชาตินี้แหละ ที่เขาได้เคยขายสินค้าให้ท่านและได้บริการท่านเป็นอย่างดีจนสามารถเรียกความประทับใจจากท่านได้ไม่ลืม……ถ้าชาตินี้ เขาไม่ได้เป็นเซลส์ และไม่ได้มาบริการท่าน และไม่ได้ทำความดีไว้แล้ว ไฉนเลย เขาจะมีโอกาสเช่นนี้

7 และข้อสุดท้ายคือ มีโอกาสก้าวหน้าไปสู่ผู้บริหารสูงสุด
ข้อนี้ เขาบอกว่ายังปฏิบัติไม่ได้ แต่กำลังพยายามทำอยู่ ซึ่งเขาเชื่อมั่นเป็นอย่างมากว่า ต้องทำได้แน่นอน แต่เนื่องด้วยเศรษฐกิจตอนนี้กำลังตกต่ำ โอกาสยังไม่อำนวย ดังนั้นโอกาสจึงยังไม่มี ไว้มีโอกาสแล้ว เขาจะแสดงให้ผู้เขียนเห็น และพิสูจน์ให้ผู้เขียนเห็นกันจะจะว่า ทำได้แน่นอน

ผู้เขียนขี้เกียจเถียงกับเขา เพราะแค่ 7 ข้อ เ ท่าที่เขาเล่ามา ทำให้ผู้เขียนเห็นด้วยอย่างจริงจังว่า มนุษย์ผู้นี้มี “กึ๋น” พอที่จะทำเรื่องที่คนอื่นเขาทำไม่ได้ แต่ตนเองทำได้

เรื่อง “กึ๋น” นี้ ผู้เขียนเคยฟังครั้งหนึ่ง จากเจ้านายของตนเอง หลังจากทำงานกับเจ้านายมา 14 เต็ม วันหนึ่ง ผู้เขียนมีความจำเป็นที่จะต้องร่ำลาออกจากบริษัทเดิมไปหาประสบการณ์จากที่ใหม่ ตอนที่ไปลาเจ้านาย หลังจากมีการ Post Interview กันนิดหน่อยแล้ว ผู้เขียนก็ถามเล่นๆ เจ้านายว่า “เจ้านายครับ….ก่อนที่กระผมจะขอกราบลาไปหาประสบการณ์ที่อื่น กระผมขอถามอะไรเจ้านายสักอย่าง คือว่า กระผมอยากรู้ว่า ในตัวของกระผมนี้ มันมีอะไรดีบ้าง….เจ้านายจึงให้กระผมรับใช้อยู่ได้ตั้ง 14 ปี โดยไม่ถูกซองขาวไปก่อน” เจ้านายของผู้เขียนตอบสั้นๆ ว่า “คุณมันมี กึ๋น ดี…..ขอให้รักษาไว้ให้ได้ และจะประกอบอาชีพประสบผลสำเร็จ”

ผู้เขียนฟังแล้วกราบลาออกมา ทั้งที่ไม่รู้ว่า “กึ๋น” ของเจ้านาย แปลว่าอะไร อีกหลายปีถัดมา ผู้เขียนจึงทราบว่า “กึ๋น” นั้น ไม่มีในคน มีแต่ในสัตว์ และต้องเป็นสัตว์ปีกเสียด้วย เช่นในเป็ด ในไก่เป็นต้น แต่เป็นความหมายของคำว่า “มีความสามารถ”…..”ความอดทน” หรือที่เรียกว่า “อึดและพยายามเอาชนะทุกประการ” อะไร..ทำนองนั้น ทำให้ผู้เขียนต้องยิ้มกริ่มไปหายไปหลายวัน

ดังนั้น ได้พิจารณาความจากเซลส์แมนคนนั้นแล้ว จะเห็นได้ว่า สิ่งที่เขาคิด สิ่งที่เขากระทำ เกิดขึ้นจากสิ่งหนึ่ง ที่เขาเรียกว่า “ศรัทธา”

เซลส์แมนคนนั้น จะไม่มีวันที่เขาได้พูดหรือเล่าออกมาจากใจจริงของเขาเลย ถ้าเขาไม่มีความ “ศรัทธา” ต่อ
1 อาชีพขายของเขา
2 ตัวเขาเองและความเชื่อมั่นที่เขามี
3 ศรัทธาต่อเพื่อนร่วมโลกของเขา
4 ต่อสินค้า ที่เขาขาย ว่าจะสร้างคุณค่าคุ้มค่าเงินของผู้บริโภคที่ต้องเสียไป
5 ต่อเจ้านายหรือนายจ้างของเขา
6 และสุดท้าย ต่ออนาคตอันสดใสของเขาเอง


ดังนั้น “ความมีศรัทธา” ต่อสิ่งที่ตนเองกระทำอยู่ หรือพยายามกระทำให้ดีขึ้น เป็นบ่อเกิดของ ”ความสำเร็จ” และ “ความสำเร็จ” นั้นเป็นความปรารถนาของทุกๆคน ไม่มีใครที่ต้องการให้ผู้คนตราหน้าได้ว่า ทำอะไร แล้วไม่สำเร็จ ดังนั้น “ความสำเร็จ” ที่ทุกคนปรารถนา นั้นก็คือ

ความสำเร็จ………………เป็นเรื่องที่ต้อง “เสาะหา”……ไม่ใช่เรื่องของ “เกิดมาเป็น”
ความสำเร็จ………………เป็นเรื่องของการ “ฟันฝ่า”…..ไม่ใช่เรื่องของ “ฟลุค - ฟลุค”
ความสำเร็จ………………เป็นเรื่องของการ “ต่อสู้”………ไม่ใช่เรื่องของ “นั่งดูดวง”
ความสำเร็จ………………เป็นเรื่องของความ “สามารถ”………ไม่ใช่เรื่องของ “วาสนา”
ความสำเร็จ…………………เป็นเรื่องของความ “เชี่ยวชาญ”………ไม่ใช่เรื่องของ “บุญหล่นทับ”
และ
ความสำเร็จ…………………เป็นเรื่องของ “พรแสวง”…………ไม่ใช่เรื่องของ “พรสวรรค์”


เมื่อเกิด “ศรัทธา” ขึ้นอย่างแรงกล้า ในหัวใจ จนปรารถนา “ความสำเร็จ” ขึ้นแล้ว ก็หาว่าสิ่งเหล่านี้จะเพียงพอต่อสิ่งที่ตนเองตั้งเป้าหมายไว้ไม่ ทุกคนย่อมมีอุปสรรค์ด้วยกันทั้งนั้น คนที่มีความศรัทธาอันแรงกล้าและปรารถนาความสำเร็จสูงสุดหลายคน ที่ต้องล้มเหลวไปกลางทางหลายร้อย หลายพันคน เป็นเพราะทุกคนมิได้ “ตั้งเป้าหมาย” ให้แก่ตนเอง หรือตั้งเป้าหมายในทางที่ผิด

วิธีการตั้งเป้าหมายในกับตนเองที่ถูกต้อง ควรเป็นอย่างนี้

1 วิเคราะห์สถานการณ์ในปัจจุบันของคุณอย่างละเอียด
2 ตั้ง และ ขาย เป้าหมายให้กับตนเอง
3 วางแผน หาหนทางที่ดีที่สุดเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้นั้น
4 ปลูกฝัง เป้าหมายและแผนการทั้งหลายไว้ในความทรงจำของคุณ
5 กระตุ้นความตั้งใจของคุณอยู่ทุกขณะ
6 เป็นคนมีวินัยในตนเอง


คราวนี้ เราจะมาวิเคราะห์ในรายละเอียดของแต่ละข้อ เพื่อความเข้าใจที่แจ่มชัด


1 วิเคราะห์สถานะการณ์ปัจจุบันของคุณอย่างละเอียด
ถ้าหากวันหนึ่งคุณลืมตาขึ้นมา ปรากฏว่าท้องฟ้ามือสนิทไปหมด คุณมองไม่เห็นอะไรเลย และคุณก็จำไม่ได้ว่า ตอนนี้ คุณอยู่ที่ไหน คุณร้องตะโกนให้คนช่วย “ช่วยผมด้วย….ผมมองไม่เห็นอะไรเลย…และผมก็จำไม่ได้ว่าขณะนี้ผมอยู่ที่ไหน…..ช่วยพาผมกลับ
บ้านที บ้านผมอยู่ที่เชียงใหม่”

คนที่คุณโทรศัพท์ไปหาได้พยามยามร้องถามคุณว่า “ขณะนี้คุณอยู่ที่ไหน……..”

คุณก็ตอบว่า “ผมไม่ทราบ……ไม่ทราบจริงๆ ว่าอยู่ที่ไหน…….”

แล้วคนที่จะมาช่วยคุณ …. เขาจะมาช่วยได้อย่างไร

ฉันใดก็ฉันนั้น…คุณไม่มีทางจะวางแปลนให้กับอนาคตของตัวคุณเองได้เลย ถ้าหากว่า คุณไม่ทราบว่าขณะนี้คุณอยู่ที่ไหน……คุณไม่รู้สถานะการณ์ที่แท้จริงของคุณ….คุณไม่ทราบว่าอะไรคือจุดอ่อนจุดแข็งของคุณ ….คุณมีเวลาเท่าไหร่ในการที่ทำให้เป้าประสงค์คุณประสบความสำเร็จ

ดังนั้น คุณจะต้องวิเคราะห์สถานะการณ์ของคุณอย่างตรงไปตรงมา และเป็นความจริงที่สุด เพื่อที่คุณสามารถใช้วางแผนการของคุณได้……..ลองตอบคำถามเหล่านี้ ด้วยตัวของคุณเอง (เอาที่ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด)

1 การศึกษาของคุณอยู่ในระดับไหนในขณะนี้
2 คุณมีเวลาศึกษาต่อเพื่อให้การศึกษาของคุณอยู่ในระดับเดียวกับเป้าประสงค์ที่คุณวางไว้หรือไม่
3 มันจะคุ้มค่าหรือไม่ การศึกษาต่อ หรือคุณมีวิธีอื่นที่ดีกว่านั้น วิธีนั้นคืออะไร
4 คุณต้องที่จะเป็นอะไรในอนาคต (นายแพทย์, ทนายความ, นักพูด, นักวิชาการ,นักธุรกิจ ฯลฯ)
5 คุณมีเวลาเท่าไหร่ที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งเป้าหมายไว้
6 และขอโทษ……ขณะนี้คุณอายุเท่าไหร่….คุณยังมีเวลาเหลืออีกเท่าไหร่
7 คุณมีทรัพยากรอะไรเป็นทุนอยู่บ้าง หรือจะหาได้จากที่ไหนเพื่อบรรลุถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้
8 คุณต้องมีความรู้ ความสามารถอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ จะคุณจะได้จากที่ไหน ใช้เวลาสักเท่าไหร่
9 คุณคิดถึงอุปสรรคต่างๆ ที่จะทำให้คุณไม่สามารถบรรลุถึงเป้าหมายของคุณหรือยัง
10 คุณจะเอาชนะอุปสรรคเหล่านั้นด้วยวิธีอะไร และจะประสบผลสำเร็จขนาดไหน


ยิ่งคุณสามารถตอบปัญหาต่างๆ ข้างต้น ได้ใกล้เคียงกับความจริงกับของสถานะการณ์ในขณะนี้ของคุณ โอกาสที่จะบังเกิดผลสำเร็จก็ง่ายขึ้น

เพื่อเป็นการ “ทดสอบเป้าหมาย” ว่านั่นเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของคุณ หรือไม่ คุณมีวิธีสอบอยู่ 5 ประการดังนี้

1 มันเป็นเป้าหมายที่คุ้มค่าหรือไม่
อย่าลืมว่าการคืบหน้าสู่เป้าหมายแต่ละครั้งนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรค์ ไม่มีใครได้อะไรมาง่ายๆ แต่เมื่อได้มันมาแล้ว “มันคุ้มค่า มีคุณค่า หายเหนื่อย กับที่คุณได้มาหรือไม่”

มันไม่มีประโยชน์อะไร ที่เมื่อคุณได้มันมาแล้ว คุณก็ได้แต่นั่งพร่ำเพ้อบ่นถึงเวลาที่เสียไป และไม่ได้ยินดีหรือยินร้ายกับมันเท่าใดนัก

2 คุณจะทำมันได้สำเร็จหรือไม่
ข้อนี้มันวัด “กึ๋น” กันชัดๆ ถามจริงๆ เถอะว่า “คุณทำมันได้สำเร็จหรือไม่”…….ซึ่งพิจารณาจาก 10 ข้อที่คุณตอบข้างบนก็น่าจะรู้แล้ว นอกจากคุณเป็นคนมี “กึ๋น” เป็นพิเศษ …..

แต่ถ้าไม่มี และรู้ตัวว่า มันไม่มีทางเป็นไปได้เลย ก็ฉีกแผนการนั้นเสียดีกว่า แล้วลองนั่งวางแผนการใหม่……

เรื่องอะไรที่จะไปฝันว่าจะเป็นเศรษฐีเงิน 100 ล้าน ในอีก 3 ปีข้างหน้า ในเมื่อขณะนี้คุณยังตกงาน หรือทำงานยังเป็นเสมียนอยู่ แผนการที่เหมาะสมสำหรับตัวคุณนั้นยังมีอีกมากมาย เยอะแยะไปหมด

3 เป้าหมายของคุณแจ่มชัดหรือไม่
คุณเคยรู้สึกไหมว่า บางทีเป้าหมายของคุณมันลอยไปลอยมาจนคุณจับมันไม่ถูก และมันก็เลยกลายเป็น “ความฝัน” ไป ทั้งที่คุณยังตื่นอยู่ บางคน นั่งตาลอย ฝันถึงอนาคตอันสดใสของตนเอง พอตื่นจากภวังค์ของตนเอง ก็ถอนหายใจ พลางลุกขึ้นไปถีบสามล้อต่อ

อย่างนั้นเขาไม่เรียกว่า “เป้าหมาย” เขาเรียกว่า “ฝัน” ไป มีชายคนหนึ่งเคยไปถามหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อครับ…..ทำอย่างไร จึงจะให้ความฝันของผม กลายเป็นความจริงครับ”

หลวงพ่อท่านก็หัวเราะหึ หึ พลางบอกว่า “ก็ตื่นซิ หลานเอ๋ย…..อย่ามัวนอนหลับไหลอยู่เลย”

เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ให้คุณทราบว่า ถ้าคุณอยากให้ความผันของคุณนั้นเป็นความจริง คุณต้องตื่นจากมัน ปลุกความคิดให้ตื่นขึ้นมา คิดอย่างจริงจัง แปลมันออกเป็นเป้าที่เด่นชัด ถ้ามันเป็นตัวเลขได้ เป็นรูปธรรมได้ก็ยิ่งดีวิเศษสุด เช่น

เราจะเป็นคนรวย…………….อย่างไม่เอา ต้องบอกว่าเราจะมีเงิน 10 ล้านบาท

เราจะต้องรวยเร็วๆ…………..อย่างนี้ ต้องพูดว่าเงิน 10 ล้านนี้ จะต้องมีให้ได้ภายใน 5 ปี

เราจะต้องมีงานดีๆทำ……….อย่างนี้ไม่ได้ ต้องบอกว่า “ฉันจะเป็นผู้จัดการฝ่ายขายให้ได้ภายใน 3 ปี”

หมายความว่า คุณจะต้องมีเป้าหมายที่แน่ชัด ระบุเป็นจำนวนเลข เป็นจำนวนวัน เป็นตำแหน่ง ฯลฯ ที่แน่นอน ดังนี้จึงเรียกว่า เป็นเป้าหมายที่แจ่มชัด จริงจัง

4 คุณได้พิจารณาอุปสรรคต่างๆ ที่อาจจะเกิดต่อเป้าหมายของคุณหรือยัง
บางครั้งคุณอาจจะนั่งวางแผนการฝันหวานไปคนเดียว เลยลืมอุปสรรค์ที่จะเกิดขึ้นกับเราโดยสิ้นเชิง ไม่มีใครชอบอุปสรรค์กันเท่าใดนัก เพราะคิดทีไร มันทำให้เราท้อใจไปในทันทีเหมือนกัน แต่ “นักวางแผน” เขาไม่เคยละเลยข้อนี้

เขาคิดถึงอุปสรรค์ที่จะเกิดขึ้นกับแผนงานของเขาอย่างจริงจัง เขาทำ List ของอุปสรรค์ต่างๆ ที่จะทำให้แผนงานของเขาไม่สำเร็จ และหาทางแก้ไขทีละข้อ ทีละข้อ ข้อไหนที่คิดไม่ออก เขาก็ทำเครื่องหมายบอกไว้ เตือนสติ เตือนตัวเองให้ระวังกับสิ่งเหล่านั้น

วิธีนี้ จะทำให้ “ความฝัน” ของคุณเริ่มเป็น “ความจริง” มากขึ้น และมากขึ้น อุปสรรค์นั้น บางครั้งก็แก้ไม่ได้ในครั้งเดียว ต้องปล่อยให้เหตุการณ์นำไปจึงจะแก้ได้สำเร็จ อุปสรรค์บางอย่างมันก็จะหายไปเองเมื่อถึงเหตุการณ์อย่างหนึ่ง ดังนั้น จงพิจารณาอุปสรรค์เหล่านั้นให้ดี และคิดหาหนทางที่จะเอาชนะมันด้วยความฉลาด

อย่าลืมว่า “ความสำเร็จ….มิได้ปูด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป”

5 คุณสามารถแบ่งเป้าหมายนั้น ให้กลายเป็นเป้าย่อยได้หรือไม่
เป้าหมายของคนเรานั้นอาจจะแตกต่างต่างกัน บางคนเป้าหมายนั้นวางแผนไว้ยาวถึง 10 ปี บางคนก็สั้นจุ๊ดจู๊แค่เดือน สองเดือนก็พอแล้ว แล้วแต่ความชอบ หรือความฝันว่า ฝันไปได้ยาวแค่ไหน

แต่สำหรับผู้เขียนแล้ว ผู้เขียนนิยมการวางแปลนชีวิตให้แก่ตนเอง ในระยะ 6 ปี ระยะ 12 ปี ระยะ 18 ปี ระยะ 24 ปี และ ในระยะ 30 ปี……

มิใช่ผู้เขียนเป็นนักฝันได้ยาวถึงขนาดนั้น หรือเป็นนักวางแผนที่เก่งกาจ แต่เพราะผู้เขียนเริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 19 ปี จึงคิดว่าอายุ 59 - 60 ปี ก็น่าจะได้พักผ่อน อยู่กับลูกกับหลานได้แล้ว

แต่การวางแผนที่ยาวถึงขนาดนั้น และในโลกแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอย่างในปัจจุบัน คงไม่ผู้ใดสามารถวางแผนให้เกิดความสำเร็จขึ้นได้แน่นอน การวางแผนการที่ดีจะต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับเหตุการณ์ในขณะนั้นได้เป็นอย่างดี

ดังนั้น เราจึงต้องเป้าหมายย่อย โดยยังยึดเป้าหมายเดิมเป็นหลักหรือเปลี่ยนแปลงไปบ้างเล็กน้อย

การแบ่งเป็นเป้าหมายย่อย เช่น

ขณะนี้ตำแหน่งของท่านอยู่ในระดับผู้แทนงานขายอาวุโส…..ท่านต้องผ่านระดับผู้บริหารงานขาย…….ผู้จัดการฝ่ายขาย จนกว่าจะไต่ระดับขึ้นไปถึงผู้บริหารงานขายสูงสุด (Sales Director) ท่านต้องผ่าน
กี่ขั้นตอน

สมมุติว่า ท่านตั้งเป้าไว้ว่า คนมีความรู้ ความสามารถอย่างท่าน ต้องใช้เวลา 6 ปี ใน 6 ปีนั้น ขอให้ท่านเอากระดาษมาแผ่นหนึ่ง เขียนตัวโตๆลงไปเลยว่า

“ฉันจะต้องเป็น Sales Director ของบริษัทนี้ภายใน 6 ปี”

แล้วกระดาษแผ่นนี้ปิดที่หน้ากระจกของท่าน

คราวนี้ ท่านมาลองดูว่า ท่านจะต้องผ่านขั้นตอนของผู้บริหารงานขายภายในกี่ปี ต้องผ่านผู้จัดการฝ่ายขายอีกกี่ปี จึงจะถึงระดับผู้บริหารงานขายระดับสูงสุดอย่างที่ท่านได้ตั้งเป้าหมายไว้

สมมุติว่าเป็นช่วงละ 3 ปี คุณก็เขียนเป้าหมายย่อยของท่านว่า

“ฉันจะต้องเป็นผู้บริหารงานขาย ของบริษัทนี้ให้ได้ ภายใน 3 ปี และเป็นผู้จัดการฝ่ายขาย ภายใน 6 ปี”

จากนั้น ท่านก็มาลองนึกดูว่า ในการขึ้นเป็น Sales Supervisor นั้น ต้องการความรู้ และคุณสมบัติ อะไรบ้าง ท่าน List มัน ออกมา และทำเป็นตารางไว้เลยว่า ใน 1 ปี ท่านจะต้องประสบความสำเร็จในเรื่องอะไรบ้าง ใน 6 เดือน ใน 3 เดือน ท่านจะต้องทำอะไรบ้าง เพื่อให้เกิดความสำเร็จในเป้าประสงค์ย่อยนั้น

จากนั้น ท่านก็ Concentrate ในเรื่องนั้นๆ อยู่อย่างตั้งใจ ความสำเร็จของเป้าประสงค์ทั้งหมดของท่านก็จะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ
เสมือนหนึ่งว่า ท่านกำลังหัดปาเป้า

คนที่ไม่เคยฝึกก็จะเกิดความท้อใจ หมดกำลังใจ เพราะเป้ามันห่างเกินไป หากท่านเลื่อนเป้ามาให้พอที่ท่านจะปามันได้ถูก และค่อยๆ ถอยห่างออกไปวันละคืบ ในช่วงเดือนเดียวเท่านั้น ท่านจะไม่เชื่อตัวของท่านเองเลยว่า ท่านสามารถที่จะปาเป้าได้ไกลถึงขนาดนั้น

“ในเมื่อคนอื่นเขาทำได้ เราก็ต้องทำได้”

2 ตั้ง และขายเป้าหมายให้แก่ตัวท่านเอง
คนอย่างเรา มักยังมีกิเลสครอบคลุมอยู่มากมาย วันนี้ จะเอาอย่างนี้ พรุ่งนี้อาจจะเปลี่ยนใจ เปลี่ยนเป้าประสงค์ซะแล้ว ตราบใดที่ท่านได้ทำการบ้านในข้อที่ 1 ดังที่กล่าวแล้วมาเป็นอย่างดี ท่านก็จะขายเป้าหมายให้กับตัวเองได้เร็วขึ้น ท่านจะได้ชื่นชม และสนุกกับการทำเป้าของท่าน และรอวันให้เป้าของท่านประสบความสำเร็จอยู่ทุกนาที

เหมือนหนึ่ง ท่านกำลังหัดปาเป้า โดยที่เป้าหมายเลื่อนออกไปวันละคืบ พรุ่งนี้ ท่านก็จะมีความพยายามปาให้ถูกอีก ถ้าผิดก็ปาใหม่…….มันเป็นของเล่นที่น่าสนุกมิใช่หรือ

ทำไม่ท่านไม่ทำให้เป้าประสงค์ของชีวิตท่านเป็นเรื่องน่าสนุกท่านละ….ในเมื่อผลที่ท่านจะได้รับ มันคุ้มค่าออกจะตาย

3 วางแผน และหาทางออกที่ดีที่สุดเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้น
อุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้น มักจะเป็นตัวกระทำให้เป้าหมายทั้งหลายของท่านไม่ประสบความสำเร็จ แต่ท่านจะไปกลัวอะไรกับคำว่า “อุปสรรค” ในเมื่อวันจะต้องเกิดขึ้นวันยังค่ำ โปรดจำไว้ว่า

“ไม่มีอะไรสำเร็จลงได้ โดยปราศจากอุปสรรค”


เมื่อมีอุปสรรคเกิดขึ้น อย่าไปท้อใจ หมดกำลังใจ พยายามหาทางแก้ไขอุปสรรคเหล่านั้น จริงอยู่ มันอาจจะทำให้แผนของท่านต้องล่าช้าไปบ้าง แต่ไม่เป็นไร ในโอกาสข้างหน้า เรายังมีสิทธิที่จะทำเวลาชดเชยกับที่เสียไปได้ ดังนั้น ท่านต้องเข้มแข็ง และยึดมั่นอยู่กับเป้าหมายที่ท่านได้ตั้งไว้ และท่านก็จะประสบความสำเร็จ

พระท่านยังบอกไว้เลยว่า “ขันติ” เท่านั้น ที่จะชนะอุปสรรคทั้งปวง

4 ปลูกฝัง เป้าหมายและแผนการของท่านไว้ในความทรงจำ
ข้อนี้หมายความว่า ให้แผนการของท่านทั้งหมด ทั้งที่เป็นแผนการย่อย และแผนการใหญ่ถูกบันทึกอยู่ในความทรงจำของท่านอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหน และกำลังทำอะไรอยู่

ท่านจะต้องระลึกถึงแผนการของท่านเสมอ จนกระทั่งวันหนึ่ง มันจะถูกบันทึกเข้าไปใน “ความทรงจำที่ไร้สำนึก” ของท่าน เมื่อนั้น ท่านก็จะทำมันโดยอัตโนมัติ

ถ้าท่านทำได้อย่างนั้น ต่อให้อุปสรรคใดๆ มาขวางกั้น ท่านก็ จะหาวิธีเอาชนะอุปสรรคเหล่านั้นเองโดยที่สมองไม่ต้องสั่ง และบางที เราก็ไม่รู้ว่า ทำมันไปทำไม….จนเมื่องานและเป้าหมายต่างๆ ได้บรรลุผลแล้ว เมื่อท่านมานั่งทบทวนให้ดี ท่านจะพบว่า มันคือ “ความทรงจำ” ที่ท่านได้ใส่เอาไว้เอง

และนี่คือเทคนิคอีกแบบหนึ่งที่จะทำให้ท่านสามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับท่านได้

5 กระตุ้นความตั้งใจของคุณอยู่ทุกขณะ
คนเราทุกคน มักมีความฝันโน่น ฝันนี่ อยู่ตลอดเวลา วันนี้อยากได้อย่างโน้น วันนี้อยากได้อย่างนี้ ถ้าคุณไม่กระตุ้นความตั้งใจที่จะทำเป้าหมายของคุณให้ประสบความสำเร็จ คุณก็อาจจะล้มเหลวได้โดยง่าย

ดังนั้น ข้อนี้ หมายความว่า คุณต้องตั้งใจที่จะประสงความสำเร็จในเป้าหมายของคุณจริงๆ และมีวิธีการเดียวเท่านั้น ที่คุณจะได้ ก็คือ พยายามคิดถึงเป้าหมายของคุณอยู่ตลอดเวลา

ในบางขณะ ความท้อแท้ ใจ ความผิดหวัง อาจจะเข้ากระแทกกับเป้าหมายของคุณได้บ้าง

แต่ถ้าคุณเข้มแข็ง คุณกระตุ้นความตั้งใจของคุณอยู่ทุกขณะ ความท้อแท้ใจนั้นก็จะยอมแพ้ไป และคุณจะเป็นผู้ชนะในที่สุด

6 เป็นคนวินัยในตนเอง
คนเรานั้น เรานับความเป็นอาวุโสของบุคคลกันที่

1 เป็นคนที่ ยอมรับวินัยที่กำหนดขึ้นโดยคนอื่น
หมายความว่า คนอื่นเขาทำกันอย่างไร ปฏิบัติกันอย่างไร สังคมเขากำหนดกฎเกณท์กันไว้อย่างไร ก็ยอมรับไปตามนั้น ลองพิจารณาถึงความวุ่นวายเกี่ยวกับการขับรถของคนไทยดู เราก็จะรู้ว่า เรามีความอาวุโสในเรื่องนี้กันแค่ไหน

2 เป็นคนที่ ยอมรับวินัยที่ตนเองได้ตั้งขึ้นมา
เช่น ต้องตื่นกี่โมง ต้องอาบน้ำกี่โมง ต้องกินอาหารกี่โมง จะนอนกี่โมงและอื่นๆ อีกมากมาย ในเมื่อเราได้กำหนดวินัยของตนเองขึ้น เราก็ควรยึดถือวินัยเหล่านั้นเป็นหลักปฏิบัติและไม่ควรละเลยต่อวินัยเหล่านั้น


ในการตั้งเป้าหมายของเราก็เหมือนกัน เราต้องมีการกำหนดวินัยของตนเอง เช่น เราต้องศึกษาเรื่องอะไร ให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จที่ตั้งเป้าหมายไว้ เราจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร จึงจะประสบความสำเร็จในการเป็น Sales Director สิ่งเหล่านี้ จะไม่มีความหมายเลย ถ้าเราไม่มีวินัยต่อตนเอง

ทั้งหมด 6 ข้อ นั้น ท่านไม่จำเป็นจะต้องทำเรียงกันเป็นข้อๆ ตาม 1,2,3 ฯลฯ เพียงแต่หยิบยกขึ้นมาพูดให้ท่านฟังตามแต่โอกาสจะพาไปเท่านั้น แต่ก็เป็นเรื่องที่สมควรจะต้องทำให้เกิดความสำเร็จให้ได้ทุกข้อ

ถ้าท่านทำดังกล่าวได้แล้ว

ก็จะเป็นตอบให้กับคุณว่า “ถ้าคุณคิดว่าคุณทำได้………คุณก็ทำได้”

เพียงแต่คุณได้คิดแล้วยังเท่านั้น…………………………………………


อมร ถาวรมาศ
3 มีนาคม 2541

(ลุงแอ๊ด)




 

Create Date : 18 กรกฎาคม 2548
10 comments
Last Update : 18 กรกฎาคม 2548 11:02:31 น.
Counter : 3000 Pageviews.

 

แค่ได้ยินว่างานขาย ก็ทำหน้าเบื่อแล้วค่ะ

ตอนเรียนเลยไม่เลือก Marketing อ่ะ

ปัจจุบันเลยต้องเป็นเบ๊แบบนี้ หุหุ ^^






...

 

โดย: ขอบคุณที่รักกัน (blueberry_cpie ) 18 กรกฎาคม 2548 13:37:07 น.  

 





"ว่ายน้ำได้อย่างเป็ด และบินได้อย่างไก่”
“ถ้าคุณคิดว่าคุณทำได้………คุณก็ทำได้”

"ยินดีที่ได้รุ้จัก อีกครั้งค่ะ ..


ขอถามค่ะ ..

มีบ้าน 3 หลัง อยู่บริเวณเดียวกัน บ้านหลัง 1
กำลังถูกเรื้อ เพื่อสร้างใหม่ จากเรือนไม้ เปนเรือนตึก

มีเด็ก ญ 2 คนวิ่นเล่น ในบริเวณบ้าน และ
เด็ก ญ คนที่3 มองบ้านที่ถูกรื้อ ด้วยความสนใจ
จึงเดิน เข้าไปในบ้านที่ถูกรื้อ ด้วย ณ เวลานั้น
ไม่มีคนงาน มีแต่ซากไม้ ที่ถูกรื้อ วางกอง รวมกัน
แล้ว สิ่งที่เด็ก ญ คนนั้นเหน คือไรค่ะ??


เปน"นิทาน ขำ ขำ สนุก ๆ ค่ะ เล่าต่อๆ กันมา
หนี่ฯว่าน่ารัก จึงนำมาให้ จขบ. ทาย เล่นๆ ค่ะ

นั้นเปนที่ มา ขอ เด็ก ญ คนนั้นค่ะ
อิ ... อิ ...เปนมาตั้งแต่เด็ก

 

โดย: หนี่หนีหนี้ 18 กรกฎาคม 2548 15:08:31 น.  

 




ลืมค่ะ ..
แล้วเทอ จะทำกับสิ่งที่เหน อย่างไรค่ะ

 

โดย: หนี่หนีหนี้ 18 กรกฎาคม 2548 15:17:20 น.  

 


ขอขอบคุณ คุณ wbj มากที่ให้เกียรตินำบทความ
ของลุงแอ็ดมาเผบแพร่ใน Blog ของคุณ

 

โดย: ลุงแอ็ด IP: 210.203.177.212 18 กรกฎาคม 2548 17:43:47 น.  

 

หนี่ฯ... ถามมาแต่ตอบไม่ได้จ๊ะ...

สงสัยว่าเขาจะเห็นบ้านไม้...
แล้วเขาก็คงเข้าไปดูว่า ทำไมกลายเป็นกองไม้...

(ตอบมั่ว..) 555

 

โดย: wbj 18 กรกฎาคม 2548 22:09:00 น.  

 

แนวคิดเหล่านี้เอามาใช้กับชีวิตได้จริงๆคะ

 

โดย: กิ่งไม้ไทย 20 กรกฎาคม 2548 20:07:48 น.  

 




หนี่ฯแวะมาทำความเข้าใจ อีกรอบค่ะ

 

โดย: หนี่หนีหนี้ 28 กรกฎาคม 2548 17:21:53 น.  

 

Thank you again.

 

โดย: PJ IP: 124.120.70.115 16 กรกฎาคม 2550 21:40:50 น.  

 

ชอบมากคะ เพราะทำงานขายอยู่ ตอนแรกไม่ชอบ แต่ตอนนี้ภูมิใจ เป็นอาชีพที่ทำให้คนเป็นคนเต็มคน
ไม่ใช่ใครก็ทำได้

 

โดย: golfgoh IP: 124.120.97.167 21 กรกฎาคม 2550 17:46:58 น.  

 

ตอนนี้ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เลยค่ะว่าตัวเองอยากทำงานอะไรต้องการใช้ชีวิตแบบไหน เป้าหมายคืออะไร ไม่อยากเป็นคนอย่างนี้เลยค่ะ สับสนกับชีวิตมากๆๆๆเพราะไม่มีใครให้คำตอบแทนได้ไม่มีใครช่วยได้เลยมันลำบากใจพอพอกับการเลือกเข้ามหาลัยการเลือกคณะเลยนะค่ะเนี้ย แต่คนที่เจอตัวเองแล้วก็ขอให้ประสบผลสำเร็จในชีวิตนะค่ะดีใจด้วยมากๆๆ

 

โดย: fonprum IP: 118.172.122.159 6 พฤษภาคม 2551 11:54:03 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


wbj
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 210 คน [?]




ต้องการสอบถาม กรุณาติดต่อทางเมล์ที่ wbjoong@gmail.com หรือ 062 641 5992, 062 826 1544

วิทยากรเชิงกิจกรรม

วิทยากรกระบวนการ

ที่ปรึกษาธุรกิจ

ด้านการบริหารจัดการ

การตลาดและการประชาสัมพันธ์

การบริหารทรัพยากรมนุษย์

การวางแผนกลยุทธ์

วิจัยธุรกิจ

IT Dashboard



ไม่ได้ ไม่มี ไม่ดี ไม่ได้...
ต้องได้ ต้องดี ต้องมี ต้องง่าย
และ ทำให้ดีกว่าดีที่สุด



<< Main Menu >>



ดวงถาวร


ดวงตามวันเกิด



ดวงตามปีเกิด






;b[^]pN 06' ไรินนื ่นนืเ "รินนื ๋นนืเ c:j06'

ต้องการสอบถาม โทร 062-641-5992, 062-826-1544
ติดต่อทางเมล์ที่ wbjoong@gmail.com
Line ID : wbjoong

ที่ปรึกษาธุรกิจ ด้านการบริหารจัดการ การตลาดและการประชาสัมพันธ์ การบริหารทรัพยากรมนุษย์ และ การวางแผนกลยุทธ์ วิทยากรเชิงกิจกรรม, วิทยากรกระบวนการ นักวิจัยการดำเนินงานธุรกิจ Executive & Management Coach

ไม่ได้ ไม่มี ไม่ดี ไม่ได้... ต้องได้ ต้องดี ต้องมี ต้องง่าย และ ทำให้ดีกว่าดีที่สุด
<< Main Menu >>
Friends' blogs
[Add wbj's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friends


 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.