มึนไปตามใจฝัน
<<
มกราคม 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
3 มกราคม 2551

บันทึกข้ามปี 28 ธ.ค - 2 ม.ค

28 ธันวา 2550 เวลา 2 ทุ่มนิดๆ

ออกจากบ้านพร้อมกระเป๋าใบใหญ่และเต๊นท์ 1 หลัง ไปศึกษานารี
ที่จุดนับรอรถตู้ที่พวกเราเช่าไว้
ทริปนี้พวกเราไปเหนือ ตอนวางแผนคร่าวๆไว้ว่า
จะไปเชียงรายในวันที่ 29 แม่สาย พักที่ภูชี้ฟ้า
วันที่ 30 ฝาง นอนที่ไร้ส้มของโม
วันที่ 31 กะไปเที่ยวตัวเมืองเชียงใหม่ และนอนวัดแห่งนึงที่เพื่อนรู้จักเจ้าอาวาส(เรียนปริญญาเอกด้วยกันอยู่)
สำหรับผู้ร่วมทริป มีผม โม คิว บอลใหญ่ เอ๊ะ บอลเล็ก เม วิค นะ กบ
และคนขับสองคน(แต่จริงๆ ขับคนเดียว อีกคนเหมือนมาเป็นเพื่อนคนขับ-_-')
กว่าจะออกจากศึกษานารีก็เกือบ 3 ทุ่มครึ่ง
แถมคนขับก็สร้างเซอร์ไพรส์แรกให้พวกเราคือ
หลง -_-' เขาจะเลือกจะไปเส้นทางบางบัวทอง ไปทางสุพรรณ
แต่ดันหลง หาทางไปบางบัวทองไม่เจอ
ต้องให้คิวกับวิคบอกทาง ถึงออกถูก
ในตอนนั้นพวกเราก็ยังไม่เอะใจกับสิ่งที่จะตามมาอีก

วันที่ 29

ผมหลับๆ ตื่นๆ อยู่บนรถ รู้สึกทรมานมาก
ไม่ชินกับการหลับบนรถเลย หาท่านอนไม่ถูก(แต่บนรถเมล์นี่ชินแฮะ)
เรามาถึงเชียงราย ตอน 10 โมง กว่าๆ ได้
จุดแรกที่เราแวะกันคือ วัดร่องขุ่น แวะถ่ายรูปเล่น
และก็ให้พ่ีคนขับนอนพักผ่อนด้วย
เรากินอาหารที่นั่น หมูยอที่นี่อร่อยดีแฮะ
ตอนแรกเรากะว่าจะไปกางเต๊นท์ที่ ภูชี้ฟ้าก่อนเพราะคิดว่าคนเยอะแน่ๆ
แล้วค่อยเข้าแม่สาย เท่าที่ดูจากเว็บ มันมีทางไป ระยะทางประมาณ 90 กิโล
แต่พวกเราก็เริ่มกลัวว่า กว่าจะไปกางเต๊นท์เสร็จแล้วไปแม่สายจะไม่ทัน
ก็เลยเปลี่ยนแผนเป็นไปแม่สาย แล้วไปลุ้นที่กางเต๊นท์ที่ภูชี้ฟ้าแทน
เวลาประมาณบ่าย 3 ได้ พวกเรามาถึงแม่สาย แดดแรงมาก
ผมไม่เคยมาที่นี่เลย
รู้สึกว่าบรรยากาศมันคล้ายๆ คลองถมเลยแฮะ
แต่ดีกว่าตรงที่ไม่แออัดขนาดคลองถม ทั้งที่ผู้คนที่นี่เยอะกว่า
การมาที่นี่ของผม เหมือนกับมาให้รู้มากกว่าว่ามันเป็นยังไง
เพราะจริงๆ ไม่ได้มีความต้องการจะมา
แล้วก็ไม่รู้จะซื้ออะไรด้วย
จะไปเที่ยวในพม่าก็กลัว -_-'
สุดท้ายซื้อแต่หนังมาให้เจ๊แนน 3 เรื่อง
ออกจากที่แม่สายประมาณ 4 โมง
พี่คนขับไม่รู้ทางและก็ไม่ถามคนแถวนั้นด้วย
เอาแต่ถามที่บริษัทของเขา
บริษัทก็ดันแนะนำให้กลับไปที่ตัวเมืองแล้วเข้าภูชี้ฟ้า
กว่าพวกเราจะมาถึงภูชี้ฟ้าก็ประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆ ได้!
(มาทราบทีหลังด้วยว่าขึ้นมาผิดทางจริงๆ ทางที่ขึ้นมามันเป็นทางลง)
ก่อนเข้าวนอุทยาน เห็นเขากางเต๊นท์ข้างทางกัน
แต่ที่กางมีห้องน้ำไว้บริการด้วย
เราก็เลยเข้าไปสอบถามและก็กางด้วยเลย
อัธยาศัยดีมากเลย
พอเรากางเสร็จ มีการมาขอให้กาง!
งงเลยพวกเรา คิดเต๊นท์ละ 50 บาท
คือเป็นเจ้าหน้าที่หรือเปล่าก็ไม่รู้
แต่มีใบเสร็จแบบกระดาษธรรมดามาให้;p
พวกเรากางไป 5 หลัง ต่อเขาจนเหลือ 220
จบคืนนี้ด้วยปาร์ตี้เบียร์ลีโอ นอนตอนเที่ยงคืนกว่าๆ
เป็นคืนที่ทรมานอยู่เหมือนกัน เพราะผมปวดฉี่บ่อยมาก
หลับๆ ตื่นๆ
ตื่นอีกทีตี 3 ปวดฉี่ จนนอนไม่หลับ
จะฉี่ทีก็เกรงใจคุณกบ เพื่อนร่วมเต๊นท์ เขานอนปิดทางประตูเต๊นท์อะดิ
พอถึงตี 4 ก็มีรถกะบะ มารับคนเพ่ือไปส่งที่ทางขึ้นภูชี้ฟ้า
เสียค่ารถ ไป กลับคนละ 40 บาท
ผู้คนแห่แหนกันเต็มไปหมด
แต่กว่าเราจะได้ชมวิวสวยๆจริงๆ ก็ 6 โมงกว่าๆ
สวยที่สุดก็ตอน 6 โมงครึ่ง ที่พระอาทิตย์ขึ้นมาเต็มดวงนั่นแหละ
-_-' มาทำไมตอนตี 4 ฟะ
จริงๆ ขึ้นมาตอน 6 โมงก็ได้อะ เพราะมันก็สวยไปตลอดนั่นแหละ
ก็ประทับใจดี มีโอกาสคงไม่มาช่วงเทศกาลแล้วละไม่ไหว
ตอนนั่งรถจากภูกลับเข้าที่กางเต๊นท์
เกือบตาย รถกะบะเขาไม่มองคนที่ยืนเลย ซึ่งทุกคืนที่กลับยืนเกือบหมด
เพราะคนมันเต็มรถตอนขับผ่านศาลาหลังคาสังกะสี
ดีมีคนตะโกนเรียกให้หลบ เลยก้มทัน ไม่งั้นหวิดตาย-_-'
น่ากลัวโคดๆ

10 โมงกว่าๆ ถึงจะได้ออกจากภูชี้ฟ้า
กว่าจะถึง ฝาง ประมาณบ่ายสองได้
ช่วงที่อยู่บนรถผมนอนไม่หลับ
ก็เลยมองวิวไปเรื่อย
แล้วก็พบว่า บางครั้งความน่าสนใจอาจไม่ใช่จุดหมายปลายทาง แต่เป็นเส้นทางที่เราผ่าน
มีเรื่องราวหลายเรื่องที่เราไม่ควรจะมองข้ามและปล่อยให้มันผ่านเลยไป
บางทีเรามุ่งแต่สนใจจุดหมาย
จนมองไม่เห็นเรื่องราวดีๆ อะไรอีกมากมายที่เราละเลย
ผมเห็นงานแต่งงานหน้าวัด
เห็นแปลงนา วิว ทิวทัศน์เยี่ยมๆ หลายอย่างที่อธิบายไม่ได้ เป็นความประทับใจเล็กส่วนตัวจริงๆ
อยากจะถ่ายรูปเก็บไว้มากๆ แต่ก็ทำไม่ได้
ทำให้เราคิดว่า จะต้องซื้อกล้องคอมแพ็คเล็กๆ ไว้ถ่ายแบบทันทีทันใดได้จริงๆแล้วละ

บ่ายสอง ณ ฝาง
เรามาถึงช่วงที่เขาอยู่ที่ร้านอาหารพอดี ก่อนเข้าบ้าน เขาให้เราเข้าไปหาที่ร้านอาหาร
ก็เลยได้ทานอาหารฟรีกัน 1 อิ่ม
จากนั้นก็เข้ามาเก็บของที่ไร่ส้มบ้านญาติของโม
อาโก กับอาเตี่ย ของโมนั้นเป็นคนที่ไม่ยอมแก่เลย
ความคิดความอ่านคมเฉียบ
ไม่น่าแปลกใจที่พวกท่านสร้างสวนส้มแห่งนี้ได้ดีมากๆ
พี่ต้น ลูกชายของอาโกกับเตี่ย ก็เป็นคนหนุ่มที่เก่งมาก
คุยกับพวกเขาแล้ว รู้สึกเศร้ากับความอ่อนด้อยของตัวเราจริงๆ
ในเย็นวันนั้นเราไปเที่ยว บ่อน้ำพุร้อนที่ดอยพระห่มปก
เป็นหนึ่งความประทับใจของทริปนี้เลยล่ะ
รู้สึกชอบมาก คือผมเคยแช่น้ำร้อนที่กาญ ก็ชอบนะ
แต่ที่นี่เขาตกแต่งดีกว่าที่นั่นเยอะเลย
แล้วก็มีห้องอบไอน้ำด้วย
เกิดมาก็ไม่เคยกับเขา พอได้ลองแล้วชอบมากเลย
ออกมาหน้าใสเลยอะ สิวเสี้ยนต่างๆ ออกมาเต็มไปหมด
ถ้าแช่ทุกวันสักเดือนสงสัยคง หน้าใสกิ๊กแหงๆ เรา ฮ่าๆ
แต่ที่น่ีเราพลาดไปอย่าง คืออดกินไข่ต้มน่ะ
คนต่อคิวยาวเหยียดขี้เกียจรอ
ตอนแรกว่าจะแวะซื้อก่อนเข้าไปก็ดันลืม
ก็เลยไม่รู้ว่า ไข่ต้มที่ต้มจากที่นี่มันอร่อยขนาดไหน ถึงได้ต้องมาต้มกัน
ออกจากที่น้ำพุ ประมาณทุ่มกว่าๆได้
แวะตลาด หาอะไรกินกัน
มีร้านที่ทำให้ประทับใจพวกเรามากๆ
คือร้านขายสังขยา นมสด ปาท่องโก๋
คือพวกเราสั่งกันเยอะมากกกกกกกกก
คิดเงินมา 120 บาท
สุดยอดเลย ประทับใจมาก นมสดแก้วละ 7 บาท

ค่ำ 30
เราก็ทำในสิ่งเดิมๆ ตั้งวงเหล้า
ตัวผมขอบายไปตอนเที่ยงคืน
รู้สึกปวดหัวและเพลียมาก
มาทราบทีหลังว่าหลังผมนอนพี่ต้นเพิ่งมาแจม ขนเหล้านอกมาให้ชิมกัน
พลาดเลยเรา
แต่มองอีกมุมก็ดีแล้วละ
เพราะเล่นกินถึงตี 4 กว่าๆ
--' สุขภาพผมคงไม่ไหวแน่ๆ

เช้า 31
ผมตื่นมาตอน 9 โมง อาบน้ำ และก็เริ่มเขียนโปสการ์ด
คราวนี้ผมเตรียมส่งถึง 19 ใบ
เขียนไปได้ 14 ใบได้ ผมไม่แน่ใจนัก
แต่มีอยู่ 4 - 5 ใบ ท่ียังเขียนไม่เสร็จ
อาโก กับพี่ต้น ก็พาเราชมสวน
ตอนแรกอาโกจะพาพวกเราไปเที่ยวที่วัดท่าตอน
และก็อยากให้เราพักที่นี่ต่ออีกสักคืน
แต่พวกเราก็อยากไปเที่ยวตัวเมืองเชียงใหม่กัน
สุดท้ายก็ไม่ได้ไปไหน
เพราะตื่นกันสายมาก
กว่าจะออกจากไร่ส้มก็เที่ยงกว่าๆ
อาโกก็เลยพาพวกเราไปเลี้ยงข้าวที่ร้านปาริชาต
ประมาณว่าเป็นร้านดังของที่นี่
เมนูเด็ดก็ ข้าวซอย นั่นเอง

5 โมงกว่าๆ
เราถึงดอยสุเทพฯ
จริงๆ จากฝางมาดอยสุเทพฯ
ไม่น่าจะใช้เวลามากขนาดนั้น
แต่คนขับเขาเน้นความปลอดภัย
และก็อะไรก็ไม่ทราบได้
พวกเราเลยมาถึงที่ตัวเมืองเย็นมากกก
ผิดแผนกันไปหมด
กลายเป็นมาไหว้พระธาตุดอยสุเทพฯ
ก็ไม่รู้จะไปเที่ยวไหนกันต่อ
ตอนแรกจะไปไนน์ซาฟารี แต่มีคนบอกว่าค่าเข้าแพง
ก็เลยไปประตูท่าแพร
ไปสัมผัสบรรยากาศฉลองปีใหม่ของที่นี่กัน
ที่ประตูท่าแพร ตกแต่งด้วยโคมไฟสวยมาก
ผู้คนก็ปล่อยโคมไฟลอย สวยดี
แต่ก็หวิดจะเกิดเรื่อง ตอนที่โคมที่ปล่อย
ดันไปติดกับต้นไม้โคมไฟที่เขาจัดไว้
เจ้าหน้าที่ก็พยายามจะเอาไม้มาเขี่ยให้โคมมันตกลงมา
แต่ก็ไม่ถึง
สุดท้าย มีฝรั่งตัวสูงคนนึง มาเขี่ยให้
ก็ได้รับเสียงตบมือจากผู้คน
ฝรั่งคนนี้ไม่รู้ใช้ นิคโครัส เคท ป่าว หน้าเหมือนอะ ฮ่าๆๆ
พวกเราก็ใช้เวลาเดินไปเรื่อยๆ ไปไนน์บารซ่า
ตอนประมาณ 5 ทุ่มกว่าๆ
พวกเราจะให้รถมารับ
พี่เขาก็มาไม่ถูก จนพวกเราต้องนั่งรถแดงออกมาที่เดิมเพื่อมาขึ้นรถ
สิ่งที่ทำให้ผมเซ็งคนขับรถคราวนี้ที่สุดก็คือตรงนี้แหละ
การที่ไม่รู้จักเส้นทางผมว่าไม่ผิดหรอก
เพราะพวกเราก็ไม่รู้เหมือนกัน
แต่เวลาจะไปไหนก็อาศัยถามคนแถวนั้น
แต่พี่คนขับนี่ไม่ถามเลยไม่รู้ว่าเขากลัวโดนหลอกหรือไง
คือไม่มีความกระตือรือล้นในการจะหาทางไปเลย
เซ็งสุดๆเลยครับ

เที่ยงคืน
พวกเราอยู่บนรถ โทรถามทางไปหาที่ไร่ญาติของไก่
คือตอนแรกเรากะไปพักที่วัด
แต่ก็มีคนแย้งว่าถ้าไปวัด ก็ไปนอนอย่างเดียว
จะดื่มก็ไม่ได้
แล้วก่อนหน้านี้ไก่โทรมาบอกว่าถ้าจะมาพักกับเขาก็มาได้
เขาอยู่สันป่าตอง
พวกเราก็เลยจะไปนอนกันที่นั่น
ก็มีเรื่องวุ่นๆ ตรงหาทางไปนี่แหละ
คือมันค่อนข้างงงๆ ทางอยู่เหมือนกัน
(ก็ไม่เคยมาสักกะคน)
กว่าจะถึงที่พักก็ ตี 1 ได้
เราก็กางเต๊นท์ แล้วก็ดื่มกันไป
ผมดื่มได้แป๊บเดียวก็ต้องขอบายอีก
ไม่ไหว ปวดหัวสุดๆ

1 มค 51
ผมตื่นมาตอน 8 - 9 โมงได้
ดีขึ้นนิดนึง แต่ก็ไม่สดชื่นนัก
ตื่นมาก็เขียนโปสการ์ดที่เหลือให้เสร็จ แล้วก็แปรงฟัน ล้างหน้า
บ้านของไก่ก็ชวนเรากินข้าว
ตอนแรกกะจะไม่กิน เพราะเกรงใจเขา
กลัวเขาว่าเอาด้วย มาดึกดื่น แล้วมากินข้าวกับเขาอีก
แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ เพราะเขาเตรียมไว้ให้มื้อใหญ่มาก
หุงข้าวให้ 3 หม้อ ประมาณว่า ถ้าไม่กินนี่ โดนว่าหนักกว่าเดิมแน่ๆ-_-'
ต้องขอบคุณไก่และญาติมากๆ ที่เอื้อเฟื้อพวกเราขนาดนี้


10 โมง เราออกเดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ
ตอนแรกผมอยากจะแวะลำปางซื้อของฝาก
แต่ก็เกรงใจเพื่อนๆ ก็เลยไม่แวะ
มาแวะที่นครสวรรค์ตอน 4 โมงกว่าๆได้

4 ทุ่มครึ่ง
ผมโชคดีติ๊ดนึง ตรงที่รถตู้เขาต้องมาส่งรถที่มหาชัย
เลยจอดแวะตรงข้ามบ้าน
แต่นั่นอาจจะเป็นโชคดีแค่นั้นหรือเปล่านะ
มีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นตอนเข้าบ้าน
ด้วยความที่เราแบกของมาเยอะมาก
ทั้งกระเป๋า ขาตั้งกล้อง(ตอนไปเอาใส่กระเป๋าแต่ตอนกลับดันถือแยก)
และก็เต๊นท์
ของเต็มมือไปหมด
ตอนเปิดประตูเข้าบ้านกุญแจก็หล่น ต้องเอาไม้เขี่ยๆ ออกมาไขใหม่
พอเข้าบ้านได้ ปิดประตูเสร็จ
หันมาก็มีเจ้าหมาตัวนึงมองเราด้วยสายตางงๆ
แต่คนอย่างเรางงกว่า
เอ่อ.... มาได้ไงวะ
ความคิดแรก ดูจากหน้าตามันแล้ว
คงไม่ใช่คนในบ้านพามาเลี้ยงแน่ๆ
เพราะมันมอมแมม
หนำซ้ำตอนเราก่อนจะเข้าบ้านก็เพิ่งเห็นหน้ามันแวบๆ
-_-' มันเข้ามาตอนเราวุ่นๆ กับของนั่นแหละ กวนจริงๆ
หนำซ้ำ ไล่ก็ไม่ไป(ยังดีที่ไม่เห่า ไม่งั้นวุ่นไปอีก)
มันกลัวคนน่าดู วิ่งไปซุกอยู่ตรงใต้ตู้
ไล่ต้อนมันตั้งนานกว่าจะออกไปได้
เปิดรับปีด้วยเรื่องประหลาดจริงๆ

2 ม.ค
มาทำงานด้วยความรู้สึกมึนๆ
ยังนอนไม่เต็มที่เลยเราเฮ้อ
ก่อนออกไปทำงานก็ได้ทราบข่าวพระพี่นาง
พอกลับมาถึงบ้าน
ก็ได้รับว่า อาม่าที่ตรังอาการหนักมาก
พ่อไปตรังแล้ว
มาเล่นเน็ตก็ลองคุยพี่ที่เราจะไปสมัครงาน
ก็พบว่า แห้ว 100% เขายังไม่รับคนในส่วนที่เราพอจะทำได้
เป็นการเปิดปีที่ไม่ดีนัก
แต่ก็ดีตรงที่ทำให้เราไม่หลงระเริง
เตรียมใจกันไว้ให้พร้อมรับสถานการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้น
ปีนี้คงจะเป็นปีที่เราต้องเผชิญกับอะไรอีกมากมายอย่างแน่นอน
ไม่ว่าจะเจอเรื่องดีหรือร้ายยังไง
เราก็ต้องผ่านกันไปนะครับ
ขอให้ทุกท่าน
สุขสมหวังดั่งใจ สุขภาพแข็งแรงนะครับ



Create Date : 03 มกราคม 2551
Last Update : 3 มกราคม 2551 0:13:08 น. 2 comments
Counter : 913 Pageviews.  

 
น่าไปจัง


โดย: แมวกนล วันที่: 3 มกราคม 2551 เวลา:0:44:29 น.  

 
เขียนเล่าได้แบบว่าอ่านแล้วเหมือนกำลังนั่งฟังเพื่อนบ่นให้ฟัง ฮ่าฮ่า

อืมๆ เรื่องจุดโคมไฟลอยเห็นมีบ่นกันว่าเรื่องควร ไม่ควรนะ แบบว่าอันตรายหลายอย่างที่ตามมา

เอาเป็นว่าเริ่มต้นทุกอย่างด้วยความไม่ประมาทนะ ชีวิตน่ะ


โดย: cottonbook วันที่: 6 มกราคม 2551 เวลา:17:50:24 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

วัชเจียเหว่ย
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add วัชเจียเหว่ย's blog to your web]