11 มิถุนา กับ 13 มิถุนา
ความทรงจำที่อยากบันทึกไว้
11 มิถุนายน "เสียงหัวเราะของแม่"
คือเมื่อวันพฤหัส พี่สาวพาแม่ไปเที่ยวที่ชะอำ ซึ่งบริษัทที่พี่สาวทำงาน มีสวัสดิการในการพาเที่ยว และสามารถพาผู้ติดตามไปได้หนึ่งคน จริงๆ ตอนแรกพี่สาวจะให้ผมไป แต่เปลี่ยนเป็นแม่ เพราะวันที่ตอนแรกบริษัทให้ไปจากเสาร์เป็นพฤหัส ผมติดงาน จึงให้แม่ไปแทน ตอนแรกยังเป็นห่วงว่า สองคนนี้จะไปตบตีกันหรือเปล่านะ (ฮา) ปกติชอบงอนกันบ่อยๆ เลยแอบเป็นห่วง แต่พอผมโทรไป กลับได้ยินเสียงหัวเราะของแม่ แม่บอกว่าสนุก แล้วเพื่อนของพี่สาวก็ดี และน่ารักกับแม่มาก มาเมาท์พี่สาวผมให้แม่ฟัง แม่เลยหัวเราะชอบใจ ผมฟังเสียงแม่มีความสุข ผมก็รู้สึกมีความสุขมาก แม่ซึ่งปกติจะชอบทะเลาะกับพี่สาวบ่อยๆ (แต่ทะเลาะแบบฮาๆนะ เรื่องไม่ค่อยเป็นเรื่อง) พอได้ยินเสียง "ฮ่าๆ" ของแม่ แบบนี้ หัวใจมันผมพองโตมากเลย อยากบันทึกเวลานี้ไว้ ไม่ให้ลืมไปจากความทรงจำดีๆ
13 มิถุนา ดูหนังสองเรื่อง
วันนี้นัดกับพี่กีบ ออกมาดูหนังเรื่อง MAN WITH A MOVIE CAMERA เป็นหนังเงียบ ในปี 1929 ซึ่งมีการนำมาฉายพร้อมแสดงดนตรีประกอบในโครงการ Silent film Festival in Thailand ครั้งที่ 2
จริงๆ ผมเคยดูเรื่องนี้มาก่อนนะ ตอนนั้นเราทึ่งกับงานด้านภาพ ซึ่งมีความหวือหวา น่าตื่นตาตื่นใจ สารพัดเทคนิคทุกอย่างเท่าที่มีมาเลยละ ทั้งซ้อนฟิล์ม ตัดสลับ Jump cut ถ่ายด้วย speed สูง และ Slow motion เทคนิค stop motion นอกจากสารพัดเทคนิคแล้ว สิ่งที่เราได้เห็นก็คือการบันทึกช่วงเวลาในปีนั้น อุตสาหกรรม ต่างๆ ของรัสเซีย เครื่องจักร สภาพแวดล้อม สังคม และด้วยดนตรีประกอบสด มันเป็นประสบการณ์ที่ดีที่ควรมาลองนะครับ แต่สารภาพว่า แอบวูบไปนิดนึง คือหนังเงียบ ถ้าเราเผลอคิดอะไรไป สติมันหลุดไปเหมือนกันนะครับ รู้ตัวอีกที อะ หลุดไปนิดนึงเว้ยเรา
เหตุการณ์ที่น่าจดจำวันนี้คือ ก่อนเข้าโรง ได้เจอกับพี่มน วงอัศจรรย์ จักรวาล ตอนแรกเห็นในห้องน้ำ แต่ไม่แน่ใจว่าใช่ป่าว แต่พอออกมา มองหน้าก็เลยทักกัน เลยบอกไปว่า เมื่อกี้ไม่แน่ใจ เคราขึ้นเร็วมาก เพราะเพิ่งเจอกันเมื่อเดือนก่อน ยังเกลี้ยงๆอยู่ พี่เขาบอก พี่เขาเคราขึ้นเร็วมาก ฮ่าๆ ก็เลยคุยกันเรื่อยๆเปื่อยๆ พอเข้าโรง ดันมานั่งข้างกันโดยบังเอิญอีก ฮามาก
พอจบเรื่องนี้ ผมก็ไปดูหนังต่อ อีกเรื่องที่อยากดูคือสารดคี เรื่อง A Matter of Taste เป็นสารคดี ของเชฟที่ชื่อ พอล ลีแบรนดต์ ซึ่งผมไม่รู้จักเหมือนกัน ผมไม่ค่อยสนใจเกี่ยวกับวงการอาหารเท่าไหร่ ตอนดูเรื่องนี้จะมีความรู้สึกแปลกนิดๆ ตรงที่ทำไมเขาต้องมุ่งหวังดาว ของนักวิจารณ์แฮะ แต่ก็พอเข้าใจได้ว่า ในโลกของวงการอาหาร การได้ดาวจากสื่อที่เป็นที่ยอมรับ มันสร้างชื่อเสียงให้วงการ (ลองถ้าไม่มีตรงนี้ วงการมันก็คงซบเซาเหมือนกันนะ) ตอนแรกพี่กีบไม่ได้สนใจเรื่องนี้ แต่พอแนะนำว่า มันน่าสนุกนะ ก็เลยลากพี่กีบไปดูด้วย ซึ่งมันก็สนุกมากจริงๆ เรื่องนี้ตามถ่ายตั้งแต่ปี 2001 สมัยที่ ลีแบรดต์ เป็นเชฟดาวรุ่ง ตั้งแต่อายุ 24 ด้วยสไตล์ที่ห้าวหาญ ภาษาบ้านเราคง เกรียนแตก คือบ้าบิ่น และไม่อ่อนข้อ ชีวิตเขาก็ดำเนินได้ไม่ราบเรียบนัก มีช่วงเวลาที่แย่ ค่อยๆดีขึ้น และก็แย่ลงอีก ก่อนจะค่อยๆกลับมา ซึ่งหนังมันสร้างแรงบันดาลใจได้ดีมากเลยนะ ไม่ใช่ว่าดูแล้วอยากทำอาหารหรอก แต่ในแง่ที่ ถ้าเราตั้งใจจะทำอะไร เราแม่งได้ตั้งใจไปหาเป้าหมายนั้น อยากจริงจังหรือยัง คุณแน่ใจหรือยังว่า คุณทุ่มเทกับมันขนาดไหน หรือแค่บ่นไปวันๆ เพ้อฝันถึงความสำเร็จแต่ไม่ทำอะไรสักอย่าง ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ผมเป็นนะ ดูจบแล้ว เศร้านิดๆ(ไม่เกี่ยวกับหนังนะ) เศร้าตรงที่เราแม่งดีแต่เพ้อฝัน ไม่ได้ทำอะไรเลย มีหลายเรื่องที่ชอบนึกเพ้อ มันน่าสมเพชตัวเองเหมือนกันนะ คือไม่ใช่เรื่องสิ่งที่อยากทำ แต่มันกับทุกอย่าง อย่างความรัก อยากมีความรักที่ดี อยากมีแฟนน่ารัก ลองถามกลับ ดูแลตัวเองดีหรือยัง คำตอบคือ "ไม่เลย" ปล่อยตัวเองให้พุงพลุ้ย เพ้อว่าจะทำให้หุ่นดีขึ้น แต่ก็ไม่ออกกำลัง กินของหวาน กินมื้อดึกทุกวัน มาที่งาน ก็ไม่ได้ตั้งเป้าหมายในชีวิต คือเราไม่เริ่มอะไรสักอย่าง แต่กลับหวังแต่ผลลัพธ์จะดี เราก็ไม่ต่างจากชาวบ้านที่หวังรวยจากหวย แล้วทำสิ่งเพ้อเจ้อ อย่างขูดต้นไม้ ตีเลขจากทุกสรรพสิ่ง ไม่ได้สร้างสรรค์แต่อย่างใด ผมจะต้องไม่เป็นแบบนั้นอีกต่อไป จะพยายาม
(เพิ่มเติม) พาตัวไปความรู้สึกหม่นๆ เกือบลืมเล่าเรื่องที่โคตรจะติงต๊อง คือตอนก่อนจะดู A Matter of Taste ผมไปเข้าห้องน้ำมา พอกลับเข้ามา ก็เข้าโรงหนัง ทีนี้ผมพบว่าที่ที่ของผมมีคนอื่นนั่ง แต่ผมก็ไม่กล้าทัก แต่ก็รู้สึกแปลกๆ ตรงตัวอย่างหนังมัน ตลาดๆไงก็ไม่รู้ แล้วบรรยากาศในโรงมันดูไม่น่าใช่คนมาดูสารคดี อีกอย่าง ผมมากับพี่กีบ พี่กีบก็ยังไม่เข้าโรง ดูตัวอย่างไปราวๆ 4 เรื่องได้ คิดว่ามันต้องมีอะไรผิดแหงๆ เลยเดินออกไปข้างนอก กูว่าแล้ว เข้าโรงผิดจ้าาาาาาาา หนังฉายโรง 10 ผมเข้าโรง 11 ตอนเดินกลับเข้ามา เห็นเลข 1 แว้บๆ ไม่ทันดูเลขข้างหลัง ที่ตลกกว่า คือมีคนเข้าโรงผิด เดินออกมาแล้วก็บอก เฮ้ย เข้าผิดโรง เหมือนกูเปะเลยนะ ......
Create Date : 13 มิถุนายน 2558 |
Last Update : 13 มิถุนายน 2558 22:49:29 น. |
|
1 comments
|
Counter : 704 Pageviews. |
|
|
|