มึนไปตามใจฝัน
<<
กันยายน 2552
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
27 กันยายน 2552

"Taking 'Wat'stock [1-5]"

"Taking 'Wat'stock"

[บทที่ 1 : คิดว่าดีแล้ว แต่อาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้ัน ณ โรงหนังพาราก้อน 16 กย.]

เป็นที่รู้กันว่าผมตระเวรดูหนังฟรีเป็นว่าเล่น
เรียกว่าหนังไรก็มาเหอะ ดูหมด
ปกติผมจะไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องที่นั่ง
เพราะดูฟรีก็ไม่อยากจะเรื่องมาก
ที่ผ่านมา จะดูกับพี่แนนบ่อยๆ ซึ่งมักจะได้ที่ดีๆ ถึงดีมาก
ส่วนของหยก จะได้ที่ 2 แถวหน้าบ้าง 3 แถวหน้าบ้าง -_-'
แต่ก็เออ ดูได้

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา
พี่แนนให้ตั๋วไปดู Taking Woodstock
ซึ่งให้ผมไปรับบัตรเองเลย
เราก็ชะล่าใจ เห็นหนังเข้า 2 ทุ่ม
เลยออกจากที่ทำงาน ทุ่มครึ่ง
แล้วได้โควต้าจากพี่แนน ที่นั่งคงไม่แย่มาก
แต่ปกติพี่แนนแกไปรับก่อนนี่หว่า-_-'
แถมแกรู้จักกับคนให้บัตร
แต่ก็เอาวะ ช่างมัน คงไม่เลวร้ายมาก
ตอนไปถึง พาราก้อน ก็รีบหาโต๊ะแจกบัตรก่อนเลย
เดินงงอยู่แป๊บนึงกว่าจะหาเจอ
บนโต๊ะ ไม่ค่อยมีคนเลย เราก็เฮ้ย หนังมันฉายไปแล้วเปล่าเนี่ย
ปรากฏว่ายัง
แถมเรายังได้บัตรแถว D ด้วย
สุดยอดที่นั่งดีมากเลย

เข้าไปโรงหนังตอน 2 ทุ่มตรง
ปรากฏว่าโรงปล่อยให้เราไปนั่งเล่น
และก็เปิดเพลงกล่อมเราด้วยเพลงเก่าๆ
ฟังจบไปรอบนึง เพลงต่อมาก็เริ่มบรรเลง
จบไปสองเพลง เพลงที่สามก็ต่อมา
เราก็รู้สึกว่า ทำไม 3 เพลงนี้มันคล้ายๆ กันเลยวะ
วงไรเนี่ย ทำเพลงมาเหมือนๆกันเลย แทบจะไม่ต่าง
พอเพลงที่ 4 เท่านั้นแหละ
เราเพิ่งรู้ตัวว่า ไอ้โรงบ้านี่มันเปิดเพลงเดิมตลอด
จะบ้าตาย ภาพก็ไม่มี เพลงที่ให้ฟังก็เสือกเป็นเพลงเดิมวนไปวนมา
มันช่างทรมานจริงๆ
หลังจากทรมานในกาต้องฟังเพลงเดิมหลายรอบ(น่าจะ 6 - 7 รอบเลยละครับ)
หนังก็ฉายหนังตัวอย่างสักที
พอฉายได้สองสามเรืื่อง แล้วก็เข้าเพลงสรรเสริญ
พอเพลงสรรเสริญ ทุกคนก็ยืนขึ้น
ผมก็พบความจริงที่ว่า ทั้งโรงนั่งกันแค่แถว E .....



"บทที่ 2 : Talking Woodstock ณ โรงหนังพาราก้อน ที่นั่งกันแค่แถว E , 16 กย."

เรื่องราวของ Woodstock ผมเองก็รู้เพียงว่าเป็นมหกรรมดนตรีที่ยิ่งใหญ่มากของอเมริกา
เกิดขึ้นในช่วงฮิปปี้บูม วัยรุ่นใช้ชีวิตอิสระ ดัรงก์ เซกส์ ร็อคแอนโรล
และไหนจะการเมือง ที่เมกันต้องยอมรับความพ่ายแพ้จากสงครามเวียดนาม
ผู้ที่่รอดมาได้ก็เสียสติราวกับคนบ้า เป็นยุคที่มีความสับสนวุ่นวาย
มหกรรมดนตรี Woodstock จึงต้องการแสดงพลังเสรีภาพทางดนตรี ศิลปะ ออกมา
วงดนตรีดังๆ ในยุคนั้น มารวมตัวกัน กลายเป็นคอนเสิรต์ที่ยิ่งใหญ่

นั่นคือสิ่งที่ผมรู้ แต่แน่นอนว่า ผมไม่ได้รู้รายละเอียดอะไรมากมากนัก ที่ผมรู้ก็อาจจะเข้าใจผิดก็ได้
ตัวผมเองไม่ได้อินกับเพลงในยุคนั้นเท่าไหร่ ผมได้ยินชื่อ "จิมมี่ เฮ็ดดริก"
"โรลลิ่ง สโตล" "บ็อบ ดีแลน"
แต่ผมก็ไม่ได้หลงไหลเพลงร็อคแอนโรล หรือฮาร์ดร็อคแต่อย่างใด
จริงๆ ผมเป็นแฟนเพลง 90 มากกว่า
ก็แน่ละ เราเกิดในยุคนั้น ก็จะอินกับเพลงในสมัยที่เริ่มฟังเป็นธรรมดา

แต่เหตุที่ทำให้สนใจหนังเรื่องนี้คือ ตอนไปดูหนังเรื่อง "District 9"
แล้วเขาฉายตัวอย่างหนังเรื่องนี้ขึ้้นมา
โดยภาพที่เห็นคือ จากการพยายามแก้ปัญหาให้ครอบครัวที่กำลังจะถูกยึดกิจการในครอบครัว
พยายามหาลู่ทางให้เกิดกิจกรรมท้องถิ่น เพื่อดึงคน
แต่กลายเป็นว่า จากความคิดเล็กๆ แต่เลยเถิดไปเพราะกิจกรรมที่ว่านั้น
คือ Woodstock ซึ่งถือเป็นกิจกรรมดนตรีที่ยิ่งใหญ่ของอเมริกา และรู้จักโด่งดังไปทั่วโลก
แถมท้ายด้วยการเครดิต ผู้กำกับภาพยนตร์ นาม อังลี่
ทำให้ผมรู้สึกอยากดูเรื่องนี้มาก

ผมคงจะเล่าไรไม่ได้มาก(เพราะเล่าไม่เป็น จำชื่อตัวละคร สถานที่ยังไม่ค่อยจะได้เลย)
แต่สิ่งที่ผมชอบหนังเรื่องนี้ คือตัวละครในครอบครัว
คุณแม่จอมขี้บ่น และเห็นแก่ตัว แต่ก็เกลียดไม่ลง
คุณพ่อที่ดูเงอะๆ งะๆ แต่เป็นคนที่น่ารักมาก

หนังทำให้รู้สึกยิ้มเล็กๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ประสบการณ์ชีวิตบางอย่างของคนในยุคนั้น
สำหรับผมแล้ว ผมคงปลื้มใจตายไปเลย ถ้าเกิดว่าสิ่งที่เราทำนั้น
มันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดกิจกรรมดนตรีที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้
ถึงแม้ว่ากิจกรรมนี้จะมีด้านที่ไม่ดีก็ตาม
แต่คนอย่างผม ก็คงจะเลือกด้านดี ที่มีอยู่จริง ดีกว่านะ :)





[บทที่ 3 : ไม่น่าเลยน้อง? ณ สีลม , 11 กย.]






เสื้อตัวนี้ผมฝากพี่แนนซื้อมาจากญี่ปุ่น ยี่ห้อ Uniqlo
ตอนเลือกซื้อ เหตุผลไม่มีไรมาก เพราะชอบคำว่า Mega dance
ผมนึกถึงช่วงผมเป็นเด็ก แล้วมีช่วงนึงที่ค่ายนิติทัศน์จะชอบทำเพลง เมก้า แดนซ์
คือผมไม่ได้ชอบแนวนี้หรอก แต่ผมขำตรงที่ใครๆ ก็ต้องเมก้าแดนซ์กันหมด
ถ้าจำไม่สับสน รู้สึกว่า ดอน สรระเบียบก็เคยร้องเพลงเมก้าแดนซ์ด้วยนะ
แล้วเพลงมันตลกมากๆ เลย แต่ทำนองมันติดหูดี

ซึ่งเสื้อตัวนี้พอผมเอามาใส่จริง ใครจะรู้ว่าผมกลายเป็นทอม ยอร์ค?

คือเรื่องมันเริ่มจากตอนใส่เจ้า Mega dance แขนสีส้มไปออฟฟิศ
พี่ๆ ก็จะแซวว่า "สีสดใสเนอะ" (พี่อ.), "แกไม่ได้ซื้อเสื้อตัวนี้เอง ต้องมีใครซื้อให้แกใช่ไหม"(พี่น.), ใครบอกให้ใส่ตัวนี้ เกย์มากลูก! (เจ๊ก.)
นั่นแหละ รวมๆแล้วก็คือ มันดูเกย์
ด้วยความที่แขนเสื้อมันส้มแปรดเลยอะ (มันไม่ได้ออกสีแดงแบบในภาพสักเท่าไหร่)

แต่เราเองไม่รู้สึกว่ามันเกย์อะนะ
เลยบอกไปว่า ทอม ยอร์ค เองยังเคยใส่ประมาณนี้เล่นคอนเสิรต์เลย

เพราะก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน
ผมเอา DVD Radiohead the astoria london live มาดูอีกรอบ
แล้วก็เห็นว่าเสื้อที่ทอม ยอร์คใส่ ทรงเสื้อแบบเดียวกันเมก้าแดนซ์
แต่ไม่ใช่ลายเมก้าแดนซ์แค่นั้น
ซึ่งตอนผมดูก็เห็นว่าสีมันก็ส้มเหมือนกัน
วันนี้เลย cap ภาพมาให้ดู










ก็นั่นแหละ จากนั้นผมก็พบว่า "กูไม่น่าพูดออกไปเล้ยยย"
เพราะกลายเป็นโดนแซว เรื่อง ทอม ยอร์ค ตลอด
"ทอม ยอร์ค ไม่สะพายกีตาร์มาละ", "ทอม ยอร์ค ไปซื้อแกงเห็ดให้หน่อย"
;p

เมื่อกี้ตอน cap ภาพจาก DVD ผมก็พบความจริงอีกอย่างว่า
จริงๆ เสื้อที่ ทอม ยอร์คใส่น่ะ สีแดง!
แต่เพราะไฟในคอนเสิรต์เลยทำให้ดูเป็นสีส้ม
แล้วผมก็เลยต้องตะโกนดังๆอีกทีว่า
"กูไม่น่าพูดออกไปเล้ยยยยยยย"



[บทที่ 4 : บอลไทยสู้ๆ ณ สนามกีฬาสุมทรสาคร, 5 กย. และ ณ จุฬา,19 กย.]

เมื่อต้นเดือน ในขณะที่เราเพิ่งตื่นนอนที่บ้านเพื่อน
หลังจากที่เมื่อคืน กินเหล้ากันโดยไม่มีเหตุผลอะไร (ไม่มีใครอกหัก ไม่มีใครสมหวังอะไร แค่นัดเฉยๆ)
พอตื่นมา วิคก็ดูผลบอลไทยพรีเมียร์ลีค แล้วก็พูดขึ้นมาว่า
วันนี้มีแข่งที่ สมุทรสาครเจ้าบ้านเจอกับ โอสถสภา(เอ็มร้อย) พวกเราไปดูกันไหม
หลังจากค้นหาแผนที่ในเว็บ และโทรไปถามเพื่อนที่อยู่ที่สุมทรสาคร
พวกเราก็เลยตัดสินใจกันว่า ไปกัน!

ทั้งที่จริงๆ พวกเราไม่ได้เป็นแฟนทั้งสองทีมเลย
ตัวผมเองจริงๆ ก็ไม่เคยไปดูแข่งบอลจริงๆเลยสักครั้ง
แต่ก็เออ เห็นบอลไทยคึกคัก ผมก็อยากเห้นบรรยากาศ
เลยไปก็ไป
ตอนไป ก็นัดเพื่อนที่ลาดหญ้า ผมเลยตัดผม
ตอนตัดก็บอกช่างไปว่า เอาผมสั้นๆ
ส่วนผมหน้า ผมก็ไม่แน่ใจว่า ถ้าผมตัดผมหน้าสั้นเต่อๆ เลยจะพอไหวไหม
ช่างก็บอกว่า พอได้นะ แต่ถ้าไม่มั่นใจ ลองตัดแบบเฉียงๆ ละกัน
ผมก็โอเค
แล้วผมก็พบว่า แม่งดูเกย์ ฉิบหาย
เพราะช่างตัดผมก็เป็นเกย์ด้วย
แล้วผมก็ไม่รู้ว่า เขาคิดว่าผมเป็นหรือเปล่า เลยจัดให้ --' ซวยเลยกู เซ็งๆ
แต่เพื่อนผมบอก ไม่เห็นเหมือนเลย (มันอำกูเปล่าวะ)
ก็ช่างมัน มันก็ไม่ได้เลวร้ายไรมากหรอก
ไว้คราวหน้าตัดสั้นเต่อะๆ ไปเลยดีกว่า ;p

มาที่เรื่องบอล
หลังจากตัดผมเสร็จ ก็นั่งรถไปลงที่ โกบ๊อ
เพื่อนัดเจอเพื่อนอีกคน
พอเพื่อนมากันครบ ระหว่างที่เราคิดอยู่ว่าจะไปยังไงดี
ก็มีรถตู้สีขาว เขียนว่าไปสุมทรสาคร
เราก็เลยขึ้นทันที

พอขึ้นไปแล้วก็ถามคนขับว่าจะไปสนามกีฬา จะต้องลงที่ไหน
เขาก็บอกว่า ถ้าใกล้ๆ จะบอกให้ลงตรงไหน

แต่ระหว่างที่เดินทาง เพื่อนคนที่อยู่สมุทรสาคร
โทรมาบอกว่าให้ลงที่โรงพยาบาลสุมทรสาคร
เขามีพี่ที่ทำงานที่นั่น จะกลับบ้านทางสถานกีฬาพอดี
จะไปส่งให้
เราก็เลยสบายไป

มาถึงที่สนามแข่ง ประมาณช่วงท้ายๆของครึ่งแรก
คนค่อนข้างเยอะทีเดียว
แม้ว่าคู่นี้จะไม่ใช่บิ๊กแมชท์ แต่ถือว่าผู้คนก็ให้ความสนใจกับมากทีเดียว
กองเชียร์สุมทรสาครเยอะแยะ หนาแน่นดี
ส่วนของเอ็มร้อย ก็เกณฑ์มาเยอะ สนุกสนานมากคึกคักมาก


Lucky200_090509_004
(เพื่อนสามหน่อที่ชวนกันมาดูบอล)



Lucky200_090509_007
(กองเชียร์เจ้าถิ่น สุมทรสาคร)



Lucky200_090509_008
(กำลังจะเริ่มเล่นครึ่งหลัง)



Lucky200_090509_010
(ลุงคนนี้แกถือกล้องวิดีโอถ่ายไปรอบกองเชียร์)




Lucky200_090509_009
(คุณลุงกล้องวิดีโอกับกองเชียร์จาก M150)


จริงๆ ผมถ่ายภาพพริตตี้ของทีมสมุทรสาครมาด้วย น่ารักดี
แต่ภาพมันเสีย เพราะผมเปลี่ยนกล้อง
คือผมถ่ายจากกล้อง FM10 ไป 10 กว่าภาพ
แล้วนำฟิล์มเดิมมาเปลี่ยนเป็นกล้อง F90x
ภาพเกิดเสียไป 3 ภาพได้
และ 1 ใน 3 ภาพนั้นก็เป็นภาพพริตตี้ซะนี่ ฮือๆๆๆ

มาที่บรรยากาศของฟุตบอล
ชอบบรรยากาศแบบนี้นะ
ดีใจที่บอลไทยไม่โล่งเหล็ง เหมือนเมื่อก่อน
ก็หวังว่าเราจะดีขึ้นเรื่อยๆ

แต่สิ่งที่ไม่ชอบก็คือ เมื่อมีคนชอบมากก็จะมีคนอินเกิน
บางคนอารมณ์จะชอบโห่ แล้วใส่อารมณ์เกิน
ผมหวังว่าอารมณ์แบบนี้จะคงที่ไว้ที่การส่งเสียงดีกรีนี้เท่านั้น
หวังว่าจะไม่ถึงขั้นไปทำร้ายใครนะ แบบนั้นไม่ไหว

วันนั้นสิ่งที่พวกเราเซ็งอีกอย่างคือไม่มีประตูเกิดขึ้น
เลยจืดชืดไปเสียหน่อย
แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีอะนะ
ตอนกลับ เราก็แวะกินข้าว และก็นั่งรถเมล์สาย 68 กลับบ้าน
ไม่คิดว่าสายนี้มันจะวิ่งมาไกลขนาดนี้เลยแฮะ ;p



ในสัปดาห์ต่อมา ผมเห็นหนังสือพิมพ์ลงข่าวแข่งที่จุฬา กับ เมืองทอง
ที่สนามของจุฬา
ซึ่งผมคิดว่าไปง่าย จึงโทรไปชวนเพื่อนแก๊งค์เดิมไปกัน
แต่กลายเป็นว่า มันไปยากกว่าครั้งก่อนอีก
เพราะว่าวันนั้นฝนตกรุนแรงมาก
น้ำท่วมที่สยาม
ต้นไม้ล้มที่จุฬา
;p กว่าจะไปถึง เลอะเทอะ ขาเละน่าดู

ไปถึงก็ประทับใจกับกองเชียร์ เมืองทองมาก
เพราะว่าพวกเขามากันเยอะแล้วก็ดูมีพลังมาก
ในตอนแรกที่เราไปถึง จุฬากับเมืองทองในฝั่งเดียวกัน แต่คนละโซน
แต่ด้วยความที่คนเมืองทองมาเยอะมาก
และฝนเริ่มตกเบาลง(แต่ก็ยังตกนะ) เลยขอให้กองเชียร์เมืองทองไปนั่งฝั่งตรงข้าม
ซึ่งไม่มีที่กันฝน
แต่นั่นยิ่งทำให้เราเห็นพลังในการเชียร์ของพวกเขามากขึ้นไปอีก
เพราะขนาดเขาอยู่ฝั่งกันข้าม แต่เสียงเชียร์และการร้องเพลงต่างๆ
ดังมาถึงฝั่งนี้ทุกครั้ง มันสุดยอดมาก
ถ้าฝนไม่ตก ผมคงไปนั่งฝั่งด้วยแน่ๆ
ไม่ใช่ว่าเชียร์ทีมเมืองทองหรอก
แต่ผมชอบบรรยากาศเชียร์บอลคึกคักแบบนี้
ส่วนฝั่งจุฬา ผมไม่ชอบเท่าไหร่
ดูกระจัดกระจาย ไม่ค่อยมีพลังเท่าไหร่
เห็นมีพลังเฉพาะตอน ลีซอได้บอล ก็จะช่วยกันโห่ (อันนี้พวกเราหัวเราะกระจาย ฮาปนสงสารแฮะ ฮ่าๆ)

แต่แม้กองเชียร์จุฬาจะไม่น่าประทับใจผม
แต่ฝีมือบอลนั้น จุฬาวันนั้นน่าประทับใจผมนะ
กองหน้าบุกแต่ละที มีลุ้นตลอด

ส่วนผลบอลจบลงท่ีเสมอ 1 - 1 พวกเราได้เห็นการทำประตูสมใจ
บอลจบก็มากินข้าวที่สานย่านกัน แล้วก็แยกย้าย
ซึ่งผมมาคิดว่า จริงๆ ถ้าบอลคึกคักแบบนี้ไปเรื่อยๆ
แต่ละสนาม น่าจะมีแหล่งของกินบริเวรใกล้เคียง อาจจะเป็นตลาดจัดตั้ง
โดยรวบรวมร้านอาหารชุมชน หรือของกินเฉพาะถิ่น อะไรแบบเนี่ย
สร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา เพื่อสร้างรายได้ให้คนท้องถิ่น
และคนเชียร์ก็ได้กินของอร่อยๆ กันด้วย
ในกรณีของจุฬา เขามีตลาดสามย่าน ซึ่งโด่งดังมานานแล้ว
แต่ท่ีอื่นนี่สิ อยากให้มีจริงๆ นะ คิดดูสิ มีที่เที่ยว ที่กินเพิ่ม กระจายรายได้ดีออก :)



[บทที่ 5 : ได้เจอกันเสียที ณ โรงหนังสยาม 30 สค.]


ผมเคยได้ยินเรื่องของคนกลุ่มนึงและผลงานของพวกเขา
ผลงานของพวกเขามีมากมายหลายสิบเรื่อง
แต่ละเรืองเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนที่ได้ดู
แต่ผลงานของพวกเขาที่เราๆ ได้ดูนั้น
แรกๆ มาเป็นลักษณะของปลอม ทำกันเอง ไม่ถูกต้อง
หรือแผ่นผี นั่นแหละ
และเมื่อไม่นานมีก็มีเรื่องดีเกิดขึ้น เมื่อผลงานของคนเหล่านี้ ได้มีลิขสิทธิ์จริงๆ ในประเทศเรา
และสุดท้าย เรื่องดีมากๆ ก็เกิดขึ้นจนได้
เมื่อผลงานของคนเหล่านี้
ได้ขึ้นจอใหญ่ยักษ์ ที่ผมเอง อยากจะดูมานานแสนนาน
กับผลงานล่าสุด จากค่าย จิบลิ
ภาพยนตร์เรื่อง Ponyo on the Cliff by the Sea

ตอนที่ผมได้ดูตัวอย่างเรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์
มีความรู้สึกสองอย่าง

อย่างแรกคือ รู้สึกตื่นเต้นมาก และก็ดีใจมากที่จะได้ดูผลงานของจิบลิในโรงเสียที
อย่างที่สอง แต่เรื่องมันดูไม่น่าจะจิ๊ดเราเลยแฮะ?

แต่ความรู้สึกที่สองของผมก็ไม่ทำให้ต้องคิดว่าจะดูดีหรือไม่
เพราะยังไงก็คือต้องดูให้ได้แน่นอน
เพียงแต่ทำใจไว้นิดๆ ว่าอาจจะไม่ได้โดนใจเรามากมายนัก

วันอาทิตย์นั้นผมออกจากบ้านไปสยาม
รถติดเล็กน้อย ผมเหลือฟิล์มอยู่ไม่กี่ภาพ
กะว่าจะรีบถ่ายให้หมดและนำไปล้าง/สแกน
แล้วก็ดูหนัง ดูเสร็จก็รับภาพที่สแกนเสร็จ
แต่ด้วยความ ยึกๆ ยักๆ งึกๆ งักๆ สไตล์ผม(เฉื่อยแฉะ)


Fuji400_083009_036
(ภาพระหว่างเดินทาง ยกกล้องขึ้นแล้วถ่ายแบบไม่คิดไรมาก แค่อยากเก็บบรรยากาศ)

กว่าจะไปถึงโรงหนังก็ 12.20
วันนั้นหนังฉาย 12.15
ผมเลยเลือกที่จะเข้าไปดูหนังก่อน
แล้วค่อยล้างอีกทีละกัน


สำหรับหนังเรื่อง โปเนียว นั้น เป็นการ์ตูนที่น่ารักและอบอุ่น
และรายละเอียด องค์ประกอบต่างๆ ล้วนเป็นเพื่อนเก่าที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่าง
เด็กน่ารัก, ผู้ใหญ่ใจดี, คนแก่หัวดื้อแต่เกลียดไม่ลง,
สัตว์ประหลาดน่ารัก, สัตว์ประหลาดโบราณ, ธรรมชาติสวยงาม,
และที่สำคัญ ตัวร้ายที่จะเรียกว่าตัวร้ายหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ก็ไม่ได้มีดีมีเลว
เป็นเพียงอุปสรรคนึงที่ตัวเอกต้องผ่านพ้นไป

ทุกอย่างล้วนเป็นเอกลักษณ์ที่ผมเจอเสมอกับหนังของ ฮายาโอะ มิยาซากิ
ซึ่ง ผมมีความภูมิใจเล็กๆ เวลาใครบอกว่า เกิดตรงกับคนดังคนไหน
ผมจะบอกว่า ผมเกิดวันเดียว เดือนเดียว (แต่ห่างกันหลายๆ สิบปี)
กับ ฮายาโอะ มิยาซากิ ผู้นี้นั่นแหละ

สำหรับการดู โปเนียว เป็นหนังที่ทำให้ผมเต็มไปด้วยรอยยิ้มมากมาย
แค่ฟังเสียง โปเนียวเรียก "โซซึกะ" ก็ฟังดูอบอุ่นเสียเหลือเกิน

และนอกจากผมจะได้เจอเพื่อนเก่าในหนังแล้ว
ออกจากโรงมา ก็เจอกับพี่ท็อป หรือคุณ yuttipung อีกด้วย :)

ผมไม่แน่ใจว่ารายได้ของเรื่องนี้จะทำให้มีหนังจากค่ายจิบลิมาฉายอีกหรือเปล่า
แต่พูดได้เลยว่า ถ้ามีมาอีก ผมก็คงจะไปดูอย่างแน่นอน
การดูหนังสักเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกเต็มไปด้วยรอยยิ้มนั้น
มันคุ้มค่ามากนะ :)



Fuji400_083009_037





Create Date : 27 กันยายน 2552
Last Update : 27 กันยายน 2552 15:30:56 น. 2 comments
Counter : 1631 Pageviews.  

 
กรี๊ดดดด ทอม ยอร์ค อัพได
อัพเป็นภาษาไทยด้วย กรี๊ดๆๆ

ปล. ชอบภาพสุดท้ายที่ซู้ดดดดด
เหมือนจะไม่มีอะไร แต่ดูแล้วมันอบอุ่นดีอะ
ฉันรักโรงหนังเอเพกซ์ (ไม่รู้เกี่ยวอะไร แต่มันรู้สึกยังงั้น)


โดย: พี่กีบ IP: 110.49.164.108 วันที่: 29 กันยายน 2552 เวลา:0:45:38 น.  

 
ทอม ยอร์ค เลวมาก ทำไมถ่าย พริตตี้ ไม่ติดวะ !

ดีใจ บอลไทย เหมือนกัน แต่คงไม่ได้มีโอกาสดู

เท่าที่ถามคนที่รู้มา เขาบอกว่า เราโดนบีบจาก AFC ครับ ไม่งั้นจะไม่ได้สิทธิ์แข่งแชมเปี้ยนชิพถ้าบอลไทยไม่พัฒนา ก็ดีแล้วที่โดนบีบให้ทำจนมันดีขึ้นมา ไม่ใช่ผลาญงบ

ดีใจที่เจอกันหน้าโรงนะ แต่เขียนอย่างนี้ใครจะรู้จักพี่วะ ไม่ได้ดังซะหน่อย


โดย: yuttipung วันที่: 2 ตุลาคม 2552 เวลา:17:48:11 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

วัชเจียเหว่ย
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add วัชเจียเหว่ย's blog to your web]