..... หมดลมหายใจก็ไปแต่ตัว อย่ามามัวแย่งชิงทุกสิ่งอย่าง .....ขอบคุณทุกคน ที่มาแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้กันอย่างเสมอต้นเสมอปลาย มีความสุขกันทุกคนนะครับ....
Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2552
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
10 พฤศจิกายน 2552
 
All Blogs
 
เรื่องสั้นหวานปนเศร้า.. ในห้วงคนึง



บล็อกที่ 6

สลิลและพ่อเดินทางกลับกรุงเทพฯทันทีที่พี่สาวโทร.มาบอกว่า น้องชายเธอเสียชีวิตอย่างปัจจุบันทันด่วนด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์

ขณะนั้นเป็นเวลา ตี 5 ของวันรุ่งขึ้น ยามที่เฝ้าหน้าเคาเตอร์เป็นคนไปปลุกสลิลให้มารับโทรศัพท์

เธอแทบช็อกกับข่าวร้ายที่ไม่เคยนึกฝันมาก่อน สลิลต้องกลับทั้งที่แสนเสียดายบรรยากาศ และความสนุกที่เธอได้รับระหว่างที่ไปพำนักอยู่ที่เกาะแห่งนั้น

สลิลมองบรรยากาศรอบข้าง ขณะที่เธอนั่งอยู่ในเรือเฟอร์รี่เที่ยวเช้า ซึ่งเล่นออกจากท่าเมื่อเวลา 07.30 น.

ทะเลยามเช้าดูสดใส คลื่นลมสงบ นกนางนวลฝูงใหญ่บินโฉบอยู่เหนือท้องฟ้าสีคราม มองไปทางซ้ายมือและขวามือของเธอ คือแผ่นฟ้าและแผ่นน้ำที่เห็นเวิ้งว้างประหนึ่งไม่มีวันสิ้นสุด ภายในเรือเที่ยวนี้ ผู้โดยสารส่วนใหญ่ เป็นชาวต่างประเทศเสียเกินกว่าครึ่ง

“คิดอะไรอยู่หรือ สลิล..” ลีลา เพื่อนสาวที่มาพักร้อนด้วยกันเอ่ยถาม เมื่อเห็นเธอนั่งตาลอย เหม่อมองอย่างไม่มีจุดหมาย

“ฉันคิดถึงน้อง..” สลิลบอกเสียงแผ่ว เธอขยับพ็อกเก็ตบุ๊คเล่มกะทัดรัดที่ถืออยู่ในมือ พลางใช้นิ้วกรีดเบาๆด้วยท่าทางครุ่นคิด

“เธอทำใจดีๆเถอะสลิล ไหนๆ วีรา น้องเธอก็ไปดีแล้ว..”

“ฉัน..ยังทำใจไม่ได้ ฉันคือถึงน้อง ต่อไป..คงไม่มีใครเรียกฉันว่าพี่อีกแล้ว ฉันมีน้องเพียงคนเดียว..”

สลิลเสียงเครือ หยาดน้ำตาแห่งความเสียใจเริ่มเอ่อท้นออกมา จนลีลาต้องหยิบผ้าเช็ดหน้าซับให้

พ่อของสลิลซึ่งนั่งอยู่ใกล้กัน มองหน้าบุตรสาวด้วยความอาทร เข้าใจดีว่าเวลานี้จิตใจของสลิลเป็นเช่นไร

“หักอกหักใจเสียบ้างเถอะลูก ยังไงตาวีร์เขาก็ไม่กลับมาอีกแล้ว..”

“พ่อค่ะ..ลิน..” สลิลสะอื้นอีกครั้งในอ้อมอกของเพื่อนสาว แต่ทันใดสลิลก็ต้องเงยหน้าขึ้นมาเมื่อลีลาเขย่าตัวเธอ

“สลิล..นั่น นั่น เขานี่..” ลีลาชี้มือไปที่ผู้ชายร่างโปร่งคนหนึ่งที่กำลังเดินตรงมาที่เธอ

“ใครนะ..?” สลิลถาม คราบน้ำตายังเอ่อคลออยู่ตามร่องแก้ม..เมื่อผู้ชายคนนั้นเดินเข้ามาใกล้..แล้วก็ผ่านเธอไป

“โทษที..” ลีลากล่าว “ฉันคงตาฝาดไป ทำไมถึงเห็นเป็นเขาไปได้นะ..”

“เธอเห็นเขาเป็นใครนะ..” สลิลยังไม่เข้าใจว่าที่เพื่อนสาวเรียกให้เธอดูผู้ชายคนนั้น เขาเป็นใครกันแน่..

“สมุย..ฉันนึกว่าเขาเป็นสมุย..” ลีลาบอก

“ทำไมเขาช่างเหมือนสมุยจริงๆ..”

“สมุย!!”

จริงซิ...นามนี้ทำให้สลิลหยุดความคิดทั้งปวงอันเนื่องมาจากการตายของน้องชายออกไป..ใจเธอเริ่มเตลิดลอยกลับไปสู่ที่นั่น ที่ๆเธอเพิ่งจากมา ป่านนี้นายสมุยคงรู้แล้วซินะว่า.. เธอจากมาแล้ว จากมาโดยที่ไม่ได้ล่ำลาเขาแม้แต่คำเดียว เขาจะรู้สึกอย่างไรหนอ..อยากรู้





สลิล พ่อ และลีลา เพื่อนสาว เดินทางไปพักร้อนที่เกาะสมุย เธอเป็นคนเลือกสถานที่พักเองเพระชอบใจในบรรยากาศ ที่นั่น “เฉวง คาบาน่า” ที่พักอากาศชั้นดีริมหาดเฉวง เกาะสมุย สุราษฎร์ธานี เธอเช็คอินเข้าพักระบุระยะเวลา 1 สัปดาห์ แต่แล้วเธอเข้าพักได้เพียง 5 คืน ก็ต้องรีบเช็คเอ้าท์ออกในตอนเช้าของวันที่ 6 เพราะเมื่อค่อนสว่างของวันที่ 6 นั้น เธอได้รับข่าวร้ายของน้องชายที่พี่สาวเป็นคนโทร.มาบอก

สลิลยิ่ง “นึกถึงเขา” คนนั้นเมื่อเธอเปิดพ็อกเก็ตบุ๊คเล่มที่ถืออยู่ในมือ..

เนื้อหาภายในเล่มเป็นเพียงกลอนเปล่า แต่งโดยกวีร่วมสมัยคนหนึ่ง หน้า 2 เขียนด้วยปากกาตัวเล็กๆว่า..ให้สลิล จากผม.. ผมซึ่งเธอไม่รู้ว่าชื่อจริงเขาชื่ออะไร รู้แต่ชื่อเล่น เขาให้เธอเรียกเขาว่า “สมุย”

“สมุย!” สลิลท่องทวนชื่อนั้นอยู่ในใจ เปิดหนังสือผ่านๆ แต่ละหน้าที่ผ่านพ้นไป เธอไม่เห็นอะไรมากไปกว่าใบหน้าของเขา นายสมุยคนนั้น!

เธอยังจำได้ ไม่มีวันลืม วันแรกที่เธอเข้าพักที่เฉวงคาบาน่า พอเช็คอินเข้าห้องพักหลังที่อยู่ติดริมทะเลแล้วเธอรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า ใส่ชุดอาบน้ำ ชวนลีลาเพื่อนรัก โผวิ่งลงเล่นน้ำ ว่ายน้ำทะเลทันที ขณะที่พ่อเธอนั่งมองเธออยู่ที่ริมระเบียง

เธอรักทะเล ชอบทะเลมาแต่ไหนแต่ไร เคยเที่ยวทะเลมาหลายแห่ง แต่ไม่มีที่ไหนเลยที่จะสวยเท่าทะเลที่หาดเฉวงแห่งนี้..เธอบอกกับตัวเอง

สลิลโต้คลื่นเล่นกับเพื่อนอย่างสนุกสนาน แล้วไม่นานเธอก็รู้สึกปวดแสบปวดร้อนไปทั้งขา เธอรีบว่ายเข้าหาฝั่งโดยมีลีลาตามมาติดๆ

สลิลทรุดตัวนั่งลงพื้นทรายนุ่มเนียนขาวสะอาด ภายใต้ร่มคันใหญ่ เธอเกิดอาการปวดแสบปวดร้อน คันยุบยิบตรงรอยผื่นแดงนั้นจนแทบทนไม่ไหว

“สลิล เป็นอะไรนะ เธอไปโดนอะไรมา ทำไมฉันถึงไม่โดน..”
ลีลาถามพลางเหลียวมองรอบตัว เวลาเดียวกันนั้น ชายหนุ่มคนหนึ่ง เดินถือตะกร้าใส่ขวดเบียร์หลายใบมาจากชายหาดทางด้านขวามือ เขาได้รีบรุดเดินตรงมาที่เธอเมื่อลีลากวักมือเรียกเขา

“มีอะไรหรือครับ..?”

เขาถามเสียงทุ้ม วางตะกร้าลงข้างตัว แววตาสีเหล็กของเขาลอบมองหน้าสลิลแว่บหนึ่ง แต่พอเขาเห็นรอยผื่นแดงที่ปรากฏตรงขาอ่อนของสลิล เขาอุทานออกมาอย่างตกใจ

“นี่คุณโดนแมงกะพรุนนี่ ตายละ!” เขามีสีหน้าวิตก และบอก “งั้นคุณรอผมซักครู่นะครับ อ้อ..คุณพักหลังนั้นใช่มั๊ย..” ประโยคท้าย เขาชี้มือไปที่บ้านพักหลังที่อยู่ติดริมหาด

เมื่อสลิลพยักหน้า เขาก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงร้อนรน “งั้นเดี๋ยว คุณ เอ่อ..” เขามองไปที่ลีลา “ช่วยประคองเพื่อนคุณไปที่บ้านพักเลยนะ รอผมแป๊บเดียว..”
เขาพูดแค่นั้น ก่อนจะวิ่งอ้าวหายไปในดงมะพร้าวใกล้ๆนั้น

ชั่วครู่ เขาก็กลับมา พร้อมกับย่านไม้ซึ่งขึ้นเป็นเถาติดกัน มีดอกสีม่วงอ่อนติดแซมมาด้วย และสลิลก็ไม่เคยรู้จักมาก่อนว่าสิ่งที่เขาหอบหิ้วเอามานั้นคือต้นอะไร

เขารีบปลิดใบไม้ออกจาเถายาวๆนั้นได้ร่วม 2 กำมือ ก่อนวางลงบนพื้น แล้วใช้ก้นขวดเบียร์ขยี้ไปมาพอแหลกจนมีน้ำซึมออกมา

“นี่คือเถาผักบุ้งทะเล..” เขาเริ่มอธิบาย “ใบของมันมีสรรพคุณทางยา เมื่อเรานำมาตำหรือบดให้ละเอียดแล้ว สามารถใช้เป็นยาถอนพิษแมงกะพรุนได้เป็นอย่างดี น่าแปลกนะครับ ที่นี่เปิดมาครึ่งปีกว่าแล้ว แต่ไม่เคยมีใครโดนแมงกะพรุนเล่นงาน แล้ววันนี้มันหลุดมาได้ยังไง..”

เขาชวนคุย พลางกอบใบผักบุ้งทะเลที่บดทับกับก้นขวดจนเกือบละเอียด โปะลงบนขาสลิลตรงตำแหน่งที่โดนแมงกะพรุน

สลิลลมองหน้าเขา เธอหดเท้านิดหนึ่ง ด้วยคิดว่าคงจะแสบ แต่ที่ไหนได้ ไม่แสบ กลับรู้สึกเย็นๆ และครู่ต่อมาเธอค่อยคลายจากอาการปวดแสบปวดร้อนลงไปมาก

เขายังคงมองหน้าเธอ แต่พอสลิลเงยหน้าขึ้นสบตาเขา เขาก็ก้มหลบตาลงต่ำ พร้อมขอตัวไปทำงานต่อ

“เอ้อ คุณ..คุณ ฉันขอบคุณคุณมากค่ะ..” สลิลร้องบอกเขา ที่พาร่างสูงสง่าเดินหายไป ตอนนั้นสลิลอยากรู้จังว่าเขาชื่ออะไร ทำงานที่นี่ในตำแหน่งอะไร?





“ผมเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยในตอนกลางคืน เสริฟ และบางครั้งเป็นผู้ช่วยแม่บ้านในตอนกลางวัน ทำสารพัดอย่าง เท่าที่จะทำได้ เพราะรีสอร์ทที่ผมอยู่เป็นรีสอร์ทเล็กๆ ตำแหน่งงานทุกอย่างยังไม่ลงตัว ก็ช่วยเหลือกันไปเหมือนคนในครอบครัว พี่เจ้าของเขาใจดี”

เขาบอกกับสลิลในยามค่ำคืนเมื่อตอนที่เขาเดินมาบริเวณชายทะเลเพื่อที่จะเก็บร่มที่กางเอาไว้เมื่อตอนกลางวัน ขณะนั้นสลิลนอนเล่นอยู่บนเก้าอี้ผ้าใบกับลีลา เขาไม่ใช่คนช่างพูด ต่อเมื่อสลิลถามนั่นแหละ เขาจึงตอบ แต่บางครั้ง สลิลเห็นเขาคุยกับฝรั่ง ท่าทางคล่องแคล่ว เขาคงเก่งภาษานะ..สลิลนึกในใจ

“เก่งนะคะ ทำงานได้สารพัดอย่าง คุณ เอ้อ...” สลิลชะงัก มองเสี้ยวหน้าคมเข้มของเขาอย่างเต็มตา ลีลาเองก็เช่นกัน เธอรู้สึกถูกชะตากับผู้ชายคนนี้เป็นอย่างมาก แต่ดูเหมือนเธอจะเข้าใจเพื่อนสาว จึงทำเฉยเสีย

“เรียกผมง่ายๆว่าสมุยก็ได้ครับ..” เขาแนะนำตัวเอง

“สมุย..” สลิลท่องทวนชื่อนั้นเบาๆ และยิ้มให้เขา “เป็นชื่อจริงหรือนิคเนมคะ..”

สลิลถาม รอยยิ้มกว้างขวางของเขาฉาบไปทั้งใบหน้า เมื่อเขาบอกเธอว่าเป็นนิคเนมที่เพื่อนๆตั้งให้ และขอให้รู้จักเขาในนามนี้

“แปลกนะคะ ชื่อของเราต่างขึ้นต้นด้วยอักษรนำตัวเดียวกัน ดิฉัน สลิลค่ะ และนี่เพื่อนซี้ ลีลา..”

ลีลายิ้มให้กับชายหนุ่มเมื่อสลิลแนะนำชื่อเธอออกไป

“เรา 2 คน เป็นเพื่อนรักกันค่ะ และก็เรียนอยู่ที่เดียวกัน คือคณะพยาบาลศาสตร์ ศิริราชพยาบาล เดินทางมาพักผ่อนพร้อมกับคุณพ่อ..”

สลิลเริ่มให้รายละเอียดเขา หล่อนถามเขาต่อว่า “คุณสมุย ทำงานที่นี่นานแล้วหรือคะ..”

“ตั้งแต่บังกาโลเปิดครับ..” สมุยบอก “ก็ประมาณ 7 เดือนเศษ..”

และยังที่เขาไม่ทันจะพูดอะไรต่อไป เพื่อนของเขาก็มาเรียกให้ไปช่วยรับแขก และขนกระเป๋าพวกทัวร์ต่างประเทศ ที่เพิ่งเดินทางเข้ามาถึง





“ท่าทางเขาสมาร์ทดีนะ..” ลีลาลุกขึ้นยืน สะบัดแขนไล่ความเมื่อขบ พอดีกับที่มีลูกหมาสีขาวขนปุกปุยวิ่งมาจากไหนไม่ทราบตรงมาที่เธอ ลีลาจุ๊ปากและดีดมือเรียกเบาๆ พอลูกหมาเข้ามาเธอก็จับอุ้ม

“น่ารักจังเลย สลิล” ลีลาชื่นชม “ขออุ้มไปเที่ยวหน่อยนะ หมาใครก็ไม่รู้..”

พลางอุ้มลูกหมาเดินไปทางชายหาด

สลิลนั่งมองพระจันทร์เต็มดวงที่แขวนโยงอยู่บนโค้งฟ้าด้านตะวันออก วันนี้เป็นวันพระขึ้น 15 ค่ำ ตรงกับวันอาสาฬหบูชา พระจันทร์กลมโตสาดแสงนวลใย เมื่อกระทบกับผืนน้ำ จะเกิดประกายระยิบระยับ มองงดงามอย่างบอกไม่ถูก จนลีลาซึ่งเดินอุ้มลูกหมากลับมา ต้องวิ่งกลับไปเอากล้องที่บ้านพัก และให้สลิลเป็นตากล้องถ่ายภาพเธอกับลูกหมาสีขาวที่อยู่ภายในอ้อมอก

มีจันทร์ข้างขึ้นและท้องทะเลเวิ้งว้างเป็นฉากเบื้องหลัง แม้แต่ฝรั่งนักท่องเที่ยวหลายคน ยังไม่วายจะถ่ายภาพอันสวยงามนี้เก็บไว้

สลิลรู้สึกเหมือนตัวเองตกอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่ง..โลกของความสวยงาม บริสุทธิ์ ไร้แสงสี แต่เปี่ยมเต็มไปด้วยความรื่นรมย์..กลางกระแสสายลมรำเพยแผ่วเบา เสียงคลื่นทยอยซัดเข้าหาฝั่ง

บรรยากาศอย่างนี้ยากนักที่จะได้พบเจอ โดยเฉพาะคนที่อยู่ในเมืองหลวงอย่างเธอ

สลิลแทบจะหลับไปกับเก้าอี้ผ้าใบ คืนนั้นเธอเข้านอนเกือบเที่ยงคืน และหลับสนิทจนถึงรุ่งเช้า

วันต่อมาสลิลก็พบกับสมุยอีก เขายังคงง่วนอยู่กับงาน แต่พอเขาว่างเขาก็จะหมั่นคอยถาม ว่าต้องการให้เขาช่วยเหลืออะไรเธอบ้าง เช่นติดต่อเช่ารถ บอกถึงแหล่งท่องเที่ยวภายในเกาะที่น่าไปสัมผัส เขาบอกให้เธอไปเที่ยวที่หาดอื่นๆบ้าง เช่นไปเที่ยวหาดละไม ไปดูหินตาหินยาย ไปเที่ยวตลาดหน้าทอน เขาเอื้ออาทรต่อเธอทุกอย่าง จนสลิลแอบนิยมชมชอบเขาอยู่ในใจ..

เขาทำงานทั้งวัน เวลาว่างที่จะมานั่งคุยกับเธอนั้น คงน้อยนัก

วันนั้น..เขาออกเวรตอน 2 ทุ่ม มีเพื่อนคนอื่นเข้าแทนต่อจนถึงรุ่งเช้า เขาชวนเธอกับลีลาไปสัมผัสกับแสงสีภายในเกาะ ดูว่าเป็นยังไง ได้ครึ่งหนึ่งของกรุงเทพฯมั้ย นั่นคือเขาชวนเธอทั้งสองไปเต้นรำที่ “บีชคลับ” ดิสโก้ชั้นดีย่านหาดเฉวง
สลิลรู้สึกสนุกสนาน แม้ดิสโก้ที่นี่จะแตกต่างจากที่เธอเคยเที่ยวภายในกรุงเทพฯอย่างเทียบชั้นกันไม่ติดก็ตาม แต่เธอยอมรับว่าสนุก สนุกอย่างที่เธอไม่เคยพบมาก่อน

วันสุดท้ายที่เธอจากเขามา เขาออกเวรตอน 5 โมงเย็น และกลับไปพักที่บ้านเช่าใกล้ๆบริเวณที่ทำงาน วันนั้นสลิลเช่ารถจิ๊บไปขับเที่ยววนรอบเกาะตั้งแต่ตอนสายๆ พอกลับเข้าห้องตอนค่ำๆ เธอก็พบหนังสือเล่มหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะหัวเตียง เขาทำอย่างที่เขาพูดจริงๆ นั่นคือเขาบอกว่า เขาจะซื้อหนังสือให้สลิลเล่มหนึ่ง เก็บไว้เป็นที่ระลึก เขาซื้อแล้วไม่ได้มอบให้เธอด้วยมือเขาเอง แต่เขาเอาวางไว้ในห้อง..

คงเป็นตอนกลางวันช่วงที่เขามาช่วยแม่บ้านทำความสะอาด ในหนังสือเล่มนั้นเขาไม่ได้เขียนอะไรมาก นอกจากบอกว่า ให้สลิล จากผม.. แค่นั้น

สลิลตั้งใจว่าจะตอบแทนเขาบ้างค่าที่เขาดีต่อเธอ แต่สลิลก็ไม่มีโอกาสทำอย่างที่ตั้งใจ ในเมื่อเช้ามืดของวันต่อมา สลิลต้องเช็คเอาท์ออกจากบังกะโลอย่างกะทันหันเมื่อเธอได้รับข่าวร้าย..การสูญเสียชีวิตของน้องชาย

เธอ พ่อ และลีลา ออกจากที่พักไปที่ท่าเรือเฟอร์รี่ กับคนขับรถตู้ของเฉวงคาบาน่า และได้โดยสารเรือเที่ยวเช้าออกไปจากเกาะสมุย

ช่วงระหว่างที่อยู่ในรถมายังท่าเรือ เธอไม่ลืมที่จะเขียนข้อความในกระดาษแผ่นหนึ่งฝากไปกับคนขับรถ ถึงเขา บอกสาเหตุที่เธอต้องกลับกรุงเทพฯอย่างกะทันหัน เธอรำพันถึงความสวยงาม ความมีน้ำใจของคนเกาะสมุย โดยเฉพาะเขา...

ตอนท้ายเธอบอกเขาว่า ถ้าหากเขายังทำงานอยู่ที่นั่น สักวันเธอคงมีโอกาสได้มาเยือนอีก ขอให้เขาโชคดีในหน้าที่การงาน แล้วค่อยพบกัน





สลิลยืนซึมเศร้าอยู่บนศาลาซึ่งเป็นที่ตั้งศพสวดพระอภิธรรมของน้องชาย

วันนี้แล้วซิ ที่ร่างของน้องชายคนเดียว จะกลายเป็นเถ้าถ่านภัสมธุลี

บริเวณวัดตอนสายๆผู้คนไม่มากมายนัก เพื่อเธอหลายคนรวมทั้งลีลา ต่างมาร่วมงานไว้อาลัยให้น้องชายเธอเป็นครั้งสุดท้าย!

อาภรณ์ชุดดำ เสื้อลายลูกไม้และกระโปรงผ้าลินินอย่างดีที่สลิลสวม ช่วยขับเรือนร่างของเธอซึ่งเป็นคนร่างสูงโปร่งให้แลดูโดดเด่นยิ่งขึ้น..

ยิ่งใกล้เวลาที่จะทำการฌาปณกิจศพ สลิลยิ่งมีสีหน้าหม่นหมอง

แต่แล้ว..ขณะที่เธอเดินลงจากศาลา ตาเธอเบิกกว้างขึ้นนิดหนึ่งเมื่อมองไปที่ลานจอดรถ ผู้ชายคนนั้นที่ลงจากรถแท็กซี่ ดูคุ้นๆหน้าเธอเหลือเกิน แม้เขาจะสวมแว่นตาดำก็เถอะ ในมือเขาถือพวงหรีดและเดินตรงมาที่เธอ!

สลิลแหงนหน้ามองเขา เขาค่อยๆถอดแว่นตาดำออก...

“สมุย!”

สลิลร้องเมื่อเห็นหน้าเจ้าของพวงหรีดนั้นชัดเจน เธอแทบจะโผร่างไปหาเขาด้วยความดีใจ

“ครับ..ผมเอง นายสมุยคนนั้นไง ผมขอแสดงความเสียใจในชะตากรรมของน้องชายคุณ..”

เขาพูดเบาๆ เมื่อเห็นสลิลทำท่างงๆ คล้ายจะถามว่าเขามาที่นี่ได้อย่างไร เขาจึงบอกให้เธอเข้าใจ

“ผมโทร.ไปติดต่อทางวัดหลายแห่งนะครับ กว่าจะรู้ว่าศพน้องชายคุณตั้งสวดพระอภิธรรมที่นี่ พอดีตอนผมออกจากเกาะสมุย รีบจนลืมถามลืมขอเช็คใบกรอกชื่อที่อยู่แขกที่คุณให้ไว้กับทางแคชเชียร์ ผม..ผมขอแสดงความเสียใจอีกครั้งนะครับ..”

เขาจบคำพูด พร้อมกับเดินถือพวงหรีดไปวางบนศาลา

พอเขาลงมา สลิลก็ถามต่อว่าเขามาได้อย่างไร ในเมื่อเขาทำงานอยู่ เขาลาออกจากงานแล้วหรือ..?

สมุยมองหน้าหม่นเศร้านั้นอีกครั้ง เขาอยากบอกว่า เขาคิดถึงเธอเหลือเกิน แต่เขาไม่กล้าหลุดปากออกมาเป็นคำพูด สิ่งที่เขาพูดไป คือสิ่งที่สลิลอยากรู้นั่นเอง

“ผมออกจากที่นั่นแล้วครับ แต่ไม่ใช่ออกจากงาน เพียงแต่ทางบังกาโลส่งตัวผมให้มาอยู่ประจำออฟฟิศที่กรุงเทพฯ คอยติดต่อประสานงานกับทางโน้น..”

“สลิลดีใจค่ะ ที่ได้พบสมุยอีกโดยไม่คาดฝัน ต่อนี้ไป สลิลคงมีความสุขมากที่จะได้มีเพื่อนที่ดี มีน้ำใจงามอย่างสมุย สลิลจะไม่มีวันลืมเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นขณะที่สลิลไปพักอยู่ที่นั่นเลยค่ะ..”

สลิลระบายความในใจออกมาให้เขาได้รับรุ้ ซึ่งเขาก็เช่นกัน ถือโอกาสระบายความในใจกับสลิลเลย

“ครับ..ผมก็ไม่มีวันลืมเหตุการณ์ที่โน่น สลิลครับ ผมคิดถึงคุณ..”

เขาสารภาพแผ่วเบาในตอนท้าย ดวงตาคมกล้าของเขาจ้องมองลึกเข้าไปในนัยน์ตาดำขลับของสลิล จนสลิลต้องก้มหน้าหลบ ไม่กล้าสบประกายตาวาววามคู่นั้น..

เธอเริ่มมีสีหน้าดีขึ้นเมื่อได้พบ ได้พูดคุยกับเขา พอดีกับที่ลีลาและเพื่อนๆเดินตรงมาที่เธอ สลิลแนะนำเพื่อนๆให้รู้จักเขา

เขาเข้ากับเพื่อนๆเธอได้เป็นอย่างดี

และแล้ว..งานฌาปณกิจศพของน้องชายสลิลก็ผ่านพ้นไปด้วยดี สลิลยืนเหม่อมองควันไฟที่ลอยออกจากปล่องเมรุเผาศพ ขึ้นสู่ฟากฟ้าเบื้องสูง น้ำตาเธอหยดเผาะตลอดเวลา ภายในอ้อมกอดของสมุยที่กลายเป็นที่รองรับน้ำตา เขากอดและปลอบเธอเบาๆ

“ทำใจดีๆเถอะครับ..น้องชายของสลิลไปดีแล้ว เขาไปสู่สุคติ ยังไงๆ ตอนนี้ สลิลยังมีพ่อ มีแม่ มีพี่สาว และยังมีผม นายสมุยคนนี้จะคอยอยู่เคียงข้าง เป็นกำลังใจ คอยปกปักรักษาสลิลด้วยดวงใจ ผมเป็นได้ทั้งพี่ชาย น้องชาย และ...” เขาเว้นระยะไป “..สำหรับสลิลคนเดียวนะครับ เราไปกันเถิดครับ คุณพ่อคุณแม่คุณคอยอยู่ทางโน้นแน่ะ..”

สลิลมองควันไฟอีกครั้ง เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินเคียงข้างเขาไปยังกลุ่มพ่อแม่และเครือญาติ เธอรู้สึกอบอุ่นอยู่ในใจ

ตั้งแต่นี้ต่อไป ในห้วงคะนึงของเธอคงจะมีแต่เขา มีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น!

(ต้นฉบับ 20 กันยายน 2531)

ตีพิมพ์ครั้งแรก นิตยสารเพชร จำฉบับที่ลงตีพิมพ์ไม่ได้แล้ว เพราะสูญหายไประหว่างเดินทางกลับเข้าฝั่ง (หากบังเอิญใครมีขอซื้อครับ)

เรื่องนี้เขียนเมื่อครั้งเรียนจบใหม่ๆ เดินทางไปทำงานที่เกาะสมุยครับ สำนวนอาจจะเปิ่นๆเชยๆไม่ทันสมัยเหมือนปัจจุบัน ก็มัน 20 กว่าปีมาแล้วนี่นา

(เรื่องสั้นทุกเรื่องมีลิขสิทธิ์ตามกฏหมาย)




Create Date : 10 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 21 กรกฎาคม 2554 21:43:18 น. 5 comments
Counter : 753 Pageviews.

 
เจ๋งดีครับ


โดย: กฤตนัย IP: 118.173.84.23 วันที่: 27 พฤศจิกายน 2552 เวลา:18:29:30 น.  

 
น่ารักจัง ถ้าชีวิตคนเรา happy Ending เหมือนในนิยายก็ดีสิเนาะ


โดย: เสราดารัล IP: 192.168.99.6, 124.120.149.215 วันที่: 12 ธันวาคม 2552 เวลา:8:53:14 น.  

 
ขอบคุณครับที่เข้ามาอ่านเรื่องเก่าๆ จากคนเขียนเก๋าส์ๆครับ


โดย: ปลายแป้นพิมพ์ วันที่: 15 ธันวาคม 2552 เวลา:13:40:30 น.  

 


โดย: หญิงแก่น วันที่: 8 ธันวาคม 2553 เวลา:13:27:35 น.  

 
อ่านเพลินเลยค่ะพี่ิติณ อ่านไปลุ้นไป น้อง สลิล จะจั สมหวังใหมหนอ ในที่สุดก็สมหวัง ในอ้อมกอด นายสมัย พี่ติณเขียนได้ดีมากเลยค่ะ บรรยายความรุ้่สึก ของตัวละครได้ดี ทำให้คนอ่านนึกภาพออกเลยค่ะ

แหม แต่เรืองนี้มันคุ้นๆนา ว่าคล้ายๆอดีตรัก ของคนเขียน ตอนทำงาน ที่เกาะสมุยหรือเปล่า อิอิ ชื่อน้องอะไรนะ ที่บอกว่า ทั้งขาวทั้งอวบน่ะ


โดย: แม่บ้านครอว์ฟอร์ด วันที่: 2 มีนาคม 2554 เวลา:12:16:54 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ปลายแป้นพิมพ์
Location :
ภูเก็ต Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 127 คน [?]




หลังบ้านโกติณ มีกินตลอดปี

ชายหนุ่มหน้าตาธรรมดา
ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย
ไม่ยึดติดกับอะไรมากเกินไป

ชอบเที่ยวทะเล ภูเขา น้ำตก
ตลาดนัด ห้างสรรพสินค้า
ดูหนัง ฟังเพลงลูกทุ่ง
(ถ้ามีโอกาสนะ)

เวลาว่างชอบถักร้อย
ซึ่งหมายถึงชอบนำพยัญชนะ
ตั้งแต่อักษร ก. ถึง ฮ.นกฮูก
พร้อมสระ วรรณยุกต์
มาร้อยเรียงเป็นเรื่องราว
บันทึกเก็บไว้อ่านเองบ้าง
ให้คนอื่นอ่านบ้าง
แล้วแต่โอกาส

มีความสุขมาก
เมื่อได้เขียน เขียนและเขียน
อะไรก็ได้ที่อยากจะเขียน
(โลกนี้มีอะไรตั้งมากมาย
เขียนให้ตายก็ไม่มีวันหมด)

วัตถุประสงค์หลัก
ของการมีบล็อก
เป็นของตัวเองวันนี้
ก็เพื่อที่จะเก็บงานเขียน
ทั้งอดีตและปัจจุบัน
ไว้เป็นหมวดหมู่

และตามบันทึก
เรื่องราวที่น่าสนใจ
เรื่องราวหลากหลาย
ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
เก็บเป็นความทรงจำที่ดี
ตราบที่ยังมีชีวิต
อยู่ในโลกอันแสนสวยใบนี้

ใครที่หลง
เข้ามาในบล็อกของผม
คงได้อะไรไปบ้าง
ไม่มากก็น้อย
มีความสุขทุกๆ วัน
ตลอดไปนะครับ

งานเขียนเรื่องสั้น
ทุกเรื่องในบล็อกนี้
เป็นงานที่มีลิขสิทธิ์ตามกฏหมาย
ห้ามมิให้ผู้ใดนำไปทำซ้ำ
หรือดัดแปลงในเชิงธุรกิจ
นอกจากจะได้รับอนุญาต
จากผู้เขียนแล้วเท่านั้น
New Comments
Friends' blogs
[Add ปลายแป้นพิมพ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.