|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ ๑๕ / ๑๘
พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
สอนพระกรรมฐานในระหว่างเข้าพรรษาปี ๒๕๒๑ อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ ๑๕ พระอนาคามีมรรค
...............ท่านพระโยคาวจรทั้งหลาย สำหรับวันนี้และเวลานี้ ท่านทั้งหลายได้พากันสมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐานแล้ว และโอกาสต่อไปนี้ก็ขอพูดเรื่องราวของพระอนาคามี สำหรับพระอนาคามีนี่ต้องตัดสังโยชน์อีก ๒ อย่างนอกจากพระโสดาบันกับพระสกิทาคามี สำหรับพระโสดาบันกับพระสกิทาคามีนั้นตัดสังโยชน์เสมอกันก็คือ ๑ สักกายทิฎฐิ ๒ วิจิกิจฉา ๓ สีลัพตปรามาส สักกายทิฎฐิให้พิจารณาเห็นว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ความจริงเรื่องนี้ใช้ปัญญานิดหนึ่งก็เห็น แล้วข้อที่ ๒ วิจิกิจฉา การไม่สงสัยในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ประกอบไปด้วยเหตุและผล ถ้าเราเป็นคนใช้ปัญญานิดเดียวก็เห็นชัด ว่าคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เชื่อได้
๓ สีลัพตปรามาส พระโสดาบันกับพระสกิทาคามีเป็นผู้ทรงศีล ๕ เป็นสมุจเฉท คำว่าสมุจเฉทหมายความว่าเด็ดขาด การที่จะละเมิดศีล ๕ โดยเจตนาไม่มีของท่านพระอริยเจ้าสองขั้น เมื่อน้อมเข้าไปหาพุทธพจน์ขององค์สมเด็จพระพิชิตมารก็จะเห็นได้ว่า พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าพระโสดาบันกับพระสกิทาคามีเป็นผู้ทรงอธิศีล อธิศีลก็หมายถึงว่ามีศีล หนักไปในเรื่องของศีล อย่างอื่นน้อย เมื่อฟังกันตรงนี้แล้วก็รู้สึกว่าเหมือนกับกล้วยที่สุกกำลังอร่อย แล้วก็เขาปอกใส่จานไว้แล้ว เพราะอะไร เพราะคำว่าอธิศีลนี่มันเป็นเรื่องของคนธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งฆราวาสศีล ๕ นี่แล้วเป็นเรื่องธรรมดามากอย่างยิ่ง แต่ไอ้คนที่ไม่มีศีล ๕ บริสุทธิ์นี่ เขาไม่เรียกมนุษย์เขาเรียกว่าคน แปลว่ามันยุ่ง รวมความว่ากายนี่เป็นคน แต่ใจอาจจะเลวกว่าสัตว์ สัตว์เดรัจฉานนี่ความจริง ถ้าจะว่ามันไม่มีศีลน่ะไม่แน่ สำหรับเหี้ยนี่มีศีล ๕ บริสุทธิ์ เพราะอะไร เหี้ยไม่กินสัตว์เป็น เหี้ยกินแต่ของตาย เราประณามกันว่าเหี้ยเลว ถ้าเผอิญถ้าเราไปละเมิดศีลเข้า เราก็เลวกว่าเหี้ย ดีมั้ย คุยกันแบบตรงไปตรงมาแบบนี้ดี เป็นภาษาไทยแท้ มันตรงกับพระบาลีที่ว่า อัตนา โจทยัตตานัง แปลเป็นใจความว่าจงตักเตือนตนของตนเองไว้เสมอ กล่าวโทษโจทก์ความผิดไว้เสมอ ศีล ๕ เราพอใจให้คนอื่นมีสำหรับเรา เราทำไมจะไม่พอใจจะมีศีล ๕ สำหรับคนอื่น ถ้าเราพอใจเขามีให้แก่เรา เราไม่พอใจมีให้สำหรับเขา เราก็เลวกว่าเหี้ย สบายใจมั้ย ดูตัวมันไว้เสมอ มันจะได้ดี ที่เขาทำกันมาได้ดีนี่เขาทำกันอย่างนี้ ไม่มีใครเขายกตัวเขาขึ้นเหนือลม ไม่มีใครเขามองใจเขาว่าดี เขามองจุดเดียวคือความเลวเท่านั้น หาความเลวว่าตรงไหนมันจะโผล่ขึ้นมาบ้าง
สำหรับพระอนาคามีก้าวเข้าไปอีกสองจุด นั่นคือตัดกามฉันทะกับตัดปฏิฆะ กามฉันทะก็ได้แก่พอใจในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสนิ่มนวลระหว่างเพศ จิตครุ่นคิดถึงกามารมณ์อยู่เสมอ ตัวนี้ตัดทิ้งไป และก็ปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งในจิต เมื่อเราก้าวเข้ามาตอนนี้เรียกว่าพระอนาคามีมรรค จากพระสกิทาคามีขึ้นมา จิตมีความรักในการตัดกามารมณ์ และตัดปฏิฆะ และก็กำลังพยายามตัด เขาเรียกว่าพระอนาคามีมรรค นี่ตำราเขาไม่ค่อยได้เขียนไว้นะ ไอ้ผมเนี่ย มีคนเขาไปนินทาไว้กับพระเจ้าอยู่หัว ว่าอวดฤทธิ์อวดเดช อวดนั่นอวดนี่อวดเป็นผู้วิเศษ แต่ความจริงถ้าผมมีหมดผมก็อยากจะอวดเหมือนกัน คนเราถ้าลงวิเศษได้ก็ควรจะอวดความวิเศษ แต่ไอ้ผมนี่มันไม่มีนี่ ความรู้ประเภทนี้เป็นความรู้ของพระพุทธเจ้าท่าน แต่เผอิญท่านผู้นั้นท่านคิดว่าเป็นความรู้ของผม นี่ทำให้ผมครึ้มใจขึ้นมาเยอะ อยากจะบ้าไปตามคำของท่านผู้พูด แต่มันบ้าไม่ลงเสียแล้ว มันแก่ เมื่อมันบ้าไม่ลงก็ปล่อยให้ท่านบ้าไปแต่ผู้เดียวก็หมดเรื่อง อ้าว ไปนินทาชาวบ้านเข้าแล้วล่ะสิ ไม่ได้นินทาชาวบ้าน พูดให้ฟัง ว่าเราควรจะทำใจแบบนี้ ชาวบ้านเขาจะว่าอะไรนี่มันเรื่องของเขา เขาไม่ได้เอาปากของเราไปพูด เขาใช้ปากของเขา เขาเหนื่อยของเขาเอง เขาบ้าของเขาเอง ปล่อยเขาบ้าไป ไอ้คนบ้าๆ บอๆ อย่างนี้ในโลกหาได้เยอะ นี้เรามาปฏิบัติเพื่อจะหนีความบ้ากัน บ้าในความโลภ บ้าในความรัก บ้าในความโกรธ บ้าในความหลง เราบ้าเท่าไรมันก็แย่เท่านั้น มันเป็นปัจจัยของความทุกข์ เสียงไม่ค่อยจะออก ผมได้พูดให้คุณฟังนี่มันเหนื่อย ใกล้จะขาดใจตายอยู่แล้ว นี่ยังมาบ้านั่งพูดอยู่อีก ก็ช่างมันเถอะ เพราะว่าจะสร้างตำรากันเสียหน่อย สร้างไว้เผื่อเด็ก แต่ก็ไม่แน่นัก เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมันเป็นอนิจจัง ตำราของผมที่สร้างไว้ อาจจะมีใครเขาเอาเท้าขยี้เสียเมื่อไหร่ก็ได้ เป็นเรื่องของเขา แต่ว่าตำราที่สร้างนี่เป็นตำราของพระพุทธเจ้า มาแคะให้ท่านดู
ตอนนี้เราก็มานั่งดู ไอ้กามฉันทะนี่ มันจะตัดกันตรงไหน ท่านมีความลำบากใจมั้ย เมื่อลำบากใจก็โปรดทราบ ว่านี่ท่านมาจากพระสกิทาคามีแล้วนะ ถ้ามาจากสกิทาคามีแล้วท่านบอกว่าลำบาก ผมก็ว่าท่านคงจะตั้งจิตอธิษฐานไว้ ว่าตายจากความเป็นคนเมื่อไร ข้าพเจ้าขอไปสู่อเวจีมหานรก เพราะอะไร เพราะว่าสกิทาคามีนี่ตัดซะจนเกือบจะไม่เหลือแล้ว อารมณ์ที่จะเกิดความรักในระหว่างเพศ ในระหว่างที่ทรงพระสกิทาคามีน่ะมันจะไม่เหลืออยู่แล้วนะ ถ้ามันยังเหลือยังโด่อยู่ล่ะก็มันยังใช้ไม่ได้หรอก ไม่ใช่พระสกิทาคามี โน่น มันเป็นปุถุชนคนที่หนาแน่นด้วยกิเลส ตอนนี้เราก็มารวม ตอนสกิทาคามีน่ะเราตีด้วยอำนาจสมถะภาวนามาก คราวนี้เราก็ตีด้วยอำนาจวิปัสสนาภาวนาให้หนัก เพราะมันเป็นบันไดอีกก้าวเดียวเท่านั้น ที่เราจะก้าวเข้าไปสู่ความเป็นพระอรหันต์ โอ๊ มันกล้วยจริงๆ เลยคุณเอ๊ย มันของหวานๆ ไม่เผ็ด ไม่เค็ม ไม่เปรี้ยว หวานชื่นใจ ของง่ายๆ กล้วยๆ แล้วก็นั่งมองดูมาจากสกิทาคามี ว่า โอหนอ ร่างกายของคน ร่างกายของสัตว์ วัตถุธาตุทั้งหมด มันเต็มไปด้วยความสกปรกโสมม จิตใจของเราทรงอารมณ์ตั้งมั่น เห็นคนก็เหมือนเห็นซากศพ เห็นคนแต่งตัวสวยผิดปรกติอยากจะอาเจียน คุณทราบมั้ยเขาแต่งยังไงผิดปรกติ ไอ้หน้าตาดีๆ น่ะทามอมๆ แล้วก็หลายๆ อย่าง อย่าไปว่าเขาเลย เขาชอบอย่างนั้นเป็นเรื่องของเขา เราไม่ชอบก็แล้วกัน ถ้ามันจะอาเจียนเราก็เข้าไปในห้องเสียก่อนแล้วค่อยอาเจียน มาอาเจียนต่อหน้าเขา เขาจะตบหน้าเอา เมื่อเรามองไปจากเนื้อ มองจากตาพร่าๆ ปั๊บ ทะลุเข้าไปถึงหนัง ทะลุหนังถึงเนื้อ ทะลุเนื้อถึงตับไตไส้ปอด ถึงขึ้ถึงเยี่ยวในลำตัว ผมไม่อยากจะพูดอุจจาระปัสสาวะมันไม่ใช่ภาษาไทยนี่ พูดกันทำไม เรียนใช้ศัพท์ว่าไอ้ขี้นี่มันดีมั้ยหอมมั้ย เยี่ยวหอมมั้ย น้ำเลือดน้ำเหลืองน้ำหนองหอมมั้ย ดีตรงไหน ร่างกายของใครคนใดหนอในโลกนี้จะสะอาดไม่มีความสกปรก ร่างกายของใครคนใดหนอในโลกนี้จะมีการทรงตัวไม่มีการทรุดโทรม
อย่างนี้เขาเรียกบวกทั้งสมถะและวิปัสสนา ไอ้ตัวทรุดโทรมเนี่ย มันเป็นเรื่องของวิปัสสนา สกปรกเป็นเรื่องของสมถะ เป็นอสุภสัญญา พิจารณาถึงร่างกายเป็นกายคตานุสสติ ว่ากันเพลินๆ สบายๆ มองไปแบบสบายๆ นั่งมองดูสิ เราดูตัวของเราเองดีกว่า ว่าตัวของเรานี่แต่งให้มันเช้งวับ จะแต่งตัวหันหน้าหันหลังกันหน้ากระจก แหม มันสวยที่โน่นสวยที่นี่ ตรงไหนมันสวย ขึ้สวยมั้ย เยี่ยวสวยมั้ย เสลดน้ำลายสวยมั้ย น้ำเลือดน้ำเหลืองน้ำหนองสวยมั้ย ร่างกายผิวข้างนอกน่ะสวยแน่เหรอ ถ้าสวยจะไปล้างมันทำไม จะไปอาบน้ำอาบท่ามันทำไม มันสวยนี่ มันสะอาด เปล่า รวมความว่ามันซวย ไม่ได้สวยหรอก ร่างกายของคนที่มีมานี่ โอ๊ย มันใช้ไม่รู้จักหยุด หากินตั้งแต่วันเกิดถึงวันตายมันยังไม่พอเลย คำว่าพอก็หมายความว่าเรางด ไม่ต้องหา มันมีกิน เรางดไม่ต้องทำอะไรหมด ผ้าผ่อนท่อนสไบมันมี เรางดไม่ต้องบริหารร่างกายทั้งหมด มันจะสวยอิ่มเปรมใจอยู่ตลอดเวลา อิ่มเอมเปรมใจ มีหรือเปล่า ไม่มี รวมความว่าหามีไม่ได้ เมื่อหามีไม่ได้แล้วยังไง มันก็ไม่สวยน่ะสิ ตัวไม่สวยทรงสภาพมั้ย ไม่ทรง เป็นยังไง มันเสื่อม มันทรุด มันโทรม มันพัง แล้วเราก็ไปนั่งนึกจุดหนึ่ง ว่าร่างกายของคนก็ดี สัตว์ก็ดีนี่ ที่มันเกิดมาแล้วมันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ นั่งนึกให้มันสบาย มันทุกข์หรือมันสุข ชาวบ้านน่ะไม่ต้องไปดูเขา ดูตัวเราเป็นสำคัญ เรื่องของชาวบ้านชาวเมืองเขาจะสุขหรือทุกข์ก็ช่างเถอะ อย่าไปห่วง อย่าไปห่วงชาวบ้าน สร้างตัวเราให้มันดีเสียก่อน เตี้ยแล้วจงอย่าไปอุ้มค่อม ไอ้เตี้ยก็ตัวเตาะแตะอยู่แล้ว ยังไปอุ้มค่อมเข้าอีก ผลที่สุดก็เดินกันไม่ได้
ดูตัวอย่างองค์สมเด็จพระจอมไตร ในเมื่อพระองค์ยังทรงไม่บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ พูดง่ายๆ ว่าพระองค์ยังไม่บรรลุอรหันต์ พระองค์ก็ไม่ทรงสอนใคร อยู่กับปัญจวัคคีย์ฤาษีทั้ง ๕ มาตั้งนาน สมเด็จพระพิชิตมารก็ไม่สอน เพราะว่าพระองค์ยังดีไม่พอ ในเมื่อพระองค์เป็นพระอรหันต์แล้วจึงสอน แล้วท่านจะย้อนถาม ว่าผมที่พูดๆ นี่เป็นพระอรหันต์แล้วหรือยัง ท่านอยากจะรู้มั้ยล่ะ อยากจะรู้ก็ไปถามพระพุทธเจ้าดูสิว่าผมเป็นพระอรหันต์แล้วหรือยัง ถ้าไม่พบพระพุทธเจ้าก็ต้องอย่าคิดว่าผมเป็นพระอรหันต์ จงคิดว่าผมเอาความรู้ของพระพุทธเจ้ามาสอน นี่ไม่ใช่ความรู้ของผม วิธีผสมอริยสัจ มองเห็นคนเป็นศพ แต่รู้จักสภาพว่าศพนี้มันเป็นทุกข์ ศพเขาเป็นทุกข์ ศพเราก็เป็นทุกข์ ทุกข์ตรงไหน ทุกข์ที่มันเสื่อมมันโทรมเป็นปรกติ ต้องหาเลี้ยงมัน แต่การไปหาเลี้ยงมัน มันเป็นทุกข์ กว่าจะได้เงินมาสักบาทนึงมันก็ทุกข์ จะได้ผ้ามาสักชิ้นหนึ่งมันก็ทุกข์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราจะพึงหามาได้นี่มันเป็นอาการของความทุกข์ทั้งหมด ไม่มีอะไรเป็นอาการของความสุข
คนรับราชการน่ะมานั่งโอดนั่งครวญกันให้ฟังเสมอ ว่าวันลามี เจ้านายไม่ให้ลาตามอำนาจที่พึงมีอยู่ เวลาป่วยมี งานป่วยก็มี แต่มีการบีบคั้นว่าถ้าป่วยเกินกว่าเท่านั้นต้องตัดเงินเดือน นี่เห็นมั้ยกว่าจะได้ทรัพย์ได้สินมาแต่ละคราว เวลาไปทำงานก็หนัก เครียด ลำบาก ใช้สมอง ใช้แรงงาน ต้องกระทบกระทั่งกับคนเลวที่เป็นผู้บังคับบัญชา หรือว่าคนเลวที่อยู่ใต้บังคับบัญชา สมองงานที่รับผิดชอบก็หนักเต็มที่อยู่แล้ว แต่คนที่ไม่ดีก็ยังมาสร้างความสะเทือนใจ การหากินมันทุกข์ นี่รับราชการ ถ้าเป็นลูกจ้างนายจ้าง บริษัท ห้างร้าน องค์การใดก็ตาม มันก็มีสภาพเหมือนกัน เจ้านายเขาถือว่าผลประโยชน์ของเขาเป็นใหญ่ เราต้องหาผลประโยชน์ให้เขาให้ได้ตามความประสงค์ ดีไม่ดีเขาไม่ชอบใจเขาจะตัดเงินเดือนเมื่อไหร่ก็ได้ เขาจะไล่เมื่อไหร่ก็ได้ เราต้องไปนั่งเอาใจเขานี่มันสุขหรือมันทุกข์ ทุกข์นะ การทำไร่ทำนาการค้าการขายก็เหมือนกัน ค้าขายก็ต้องนั่งดูว่านี่ซื้อมาเท่าไหร่ กำไรเท่าไรมันถึงจะพอ กำไรที่มันพอเฉพาะที่มันจะได้มากับทุนน่ะไม่แปลก แต่กำไรที่จะไปใช้อย่างอื่น บำรุงบำเรอตัวน่ะสิ บำรุงบำเรอตัว บำรุงบำเรอครอบครัว ของใช้ไม้สอยที่จำจะต้องมี สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นปัจจัยของความทุกข์ เห็นทุกข์หรือยัง
เอาละเรื่องงานไม่ต้องพูดกัน หันมาดูร่างกาย ร่างกายมันย่อแย่ๆ ลงไปทุกที แก่ลงไปทุกวัน เดินเข้าไปหาความตายทุกวัน ไอ้ความตายนี่มันเป็นของปรกติ แต่ทว่าเรา เป็นผู้มีอารมณ์ไม่ปรกติ เห็นว่าความตายเป็นปัจจัยของความทุกข์ เลยกลัวตายเป็นทุกข์อีกแล้ว ของรักที่เรามีอยู่มันจำต้องพลัดพรากเป็นปรกติ เราก็พยายามยัดเยียดอารมณ์ว่ามันจงทรงสภาพเป็นอย่างนั้น ในเมื่อมันไม่ทรง เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ล่ะ ก็ทุกข์ อันนี้เราก็หันเข้ามาดูอารมณ์ของกามฉันทะ ว่าที่เราไปนั่งรักชาวบ้านน่ะ ตัวเราคนเดียวเรายังเป็นทุกข์ เราไปรักเขาเราก็ไปแบกทุกข์มา ถ้าไม่รักชาวบ้านก็รักวัตถุ เล่นของเก่าบ้างเล่นของใหม่บ้าง ไอ้เล่นเฉยๆ น่ะมันไม่หนัก แต่มันก็เสียเวลาอารมณ์ของความดีอยู่แล้ว สำคัญก่อนจะได้ของมาเล่นต้องเอาเงินไปให้เขาเล่นก่อน แพงเท่าไหร่ก็เอา มันโก้มันเก๋ดี ชาวบ้านเขาจะได้ชมว่า แหม เรานี่เป็นผู้วิเศษ สามารถรวบรวมของเก่าในสมัยไหนๆ ไว้ได้ แล้วไอ้เงินไอ้ทองที่จะไปซื้อข้าวซื้อของทั้งหลายเหล่านั้นมันสุขหรือมัน ทุกข์ที่มันได้มา มันได้มาจากอารมณ์ของความทุกข์ ไม่ใช่ได้มาจากอารมณ์ของความสุข นี่มันทุกข์จริงๆ แล้วของทั้งหลายเหล่านั้นที่ได้มาแล้ว ใจเราผูกพัน กลัวมันจะหาย กลัวมันจะแตก กลัวมันจะทำลายไปด้วยกรณีใดๆ ก็ตาม อารมณ์ที่กลัวอย่างนั้นเป็นอารมณ์ของความสุขหรือความทุกข์ ก็ถือว่าเป็นอารมณ์ของความทุกข์ นี่ว่าถึงรูป รูปคน รูปสัตว์ รูปวัตถุ ถ้าเราติดมัน ผูกพันมัน ใจมันก็เป็นทุกข์ เอ มันทุกข์เสียแล้วทำไง
ทีนี้มาเสียง บางคนก็ติดเสียง บางคนก็ติดกลิ่น บางคนก็ติดรส บางคนก็ติดสัมผัส ขอพูดลัดๆ ไม่ว่าติดอะไรๆ ที่ไหนมันทรงตัวบ้างหรือเปล่า มันก็หาความทรงตัวอะไรไม่ได้ เสียงผ่านหูแล้วก็หายไป กลิ่นผ่านจมูกแล้วก็หายไป รสผ่านปลายลิ้น กลางลิ้น ถึงโคนลิ้นแล้วก็หายไป สัมผัสระหว่างเพศ ยินดีกันนักถึงกับฆ่ากันตาย สมัยนี้ฆ่ากันตายนะไอ้กามารมณ์นี่ แต่ว่าทำไม่ไม่ไปดูคนที่เขาแต่งงานก่อน คนที่เขาแต่งงานกันก่อนๆ เราน่ะ ที่เขาแก่ไปแล้ว เขาเบื่อกันแล้วนะ ดีไม่ดี ไม่กี่เดือนไม่กี่ปี เขาก็เบื่อกัน นี่ก่อนที่เขาจะแต่งงานกันล่ะก็แหม รักกันอย่างเอาเป็นเอาตาย เริ่มรักก็เริ่มทุกข์ เรารักเขา เขาจะรักเราหรือเปล่า นี่ทุกข์แล้ว ต้องหาวิธีการให้เขามารักกับเรา รักกันได้จริงๆ ทุกข์อีก ว่าผู้ปกครอง บิดามารดา เขาจะให้แต่งงานกันหรือเปล่าก็ยังไม่แน่ ถ้าเขาให้แต่งงานกันทุกข์ใหญ่ ทุกข์เพราะอะไร เพราะอีตอนนี้ต้องเลี้ยงตัวเองน่ะสิ ตอนที่อยู่กับพ่อกับแม่น่ะทุกข์มันอยู่กับพ่อกับแม่ ไม่มีเงินก็แบมีอขอพ่อขอแม่ ไม่มีเครื่องแต่งตัวก็แบมือขอพ่อขอแม่ แต่ทว่าไอ้เราเอาเองน่ะ ปกครองเอง แบกภาระหนัก ไม่รู้จะแบมือหาใคร ต้องทำงานทำการหนักเต็มที่ มันสุขหรือมันทุกข์ แล้วไอ้ความรักนี้แหม มันยั่งยืนหรือเปล่า เปล่า ถ้ามีลูกมีเต้ายิ่งทุกข์ใหญ่ แล้วหนักเข้าๆ มันก็เหี่ยวแห้งลงไป อีตอนรักใหม่ๆ มันเปล่งปลั่ง ไม่ได้ลืมหูลืมตามาดูไอ้คนที่เขาเกิดก่อน เขาแต่งงานก่อน น่ะเขาก็สวยกันทุกคนแหละ แต่ในที่สุดก็เขาก็หมดสวย ไม่ต้องดูใคร ดูพ่อดูแม่เราก็แล้วกัน ถ้าท่านแก่เหล่าเหย่แบบนั้นน่ะท่านไม่แต่งงานกันหรอก ก่อนที่จะแต่งงานน่ะมันต้องเปล่งปลั่ง สวยสดงดงาม น่ารัก น่าชื่นใจ แต่ไม่ทันไร ทุกวันวันคืนล่วงไป ร่างกายก็ทรุดโทรมลงไป แล้วก็ในเมื่อเราผูกพันอยู่ในกามารมณ์อย่างนี้น่ะ มันก็มีแต่อารมณ์เป็นทุกข์ เราจะทุกข์ไปทำไมล่ะ
ตอนนี้เราก็ตัดกามารมณ์ เอาอริยสัจควบกับอสุภสัญญากับกายคตานุสสติ ผมไม่สอนมากหรอก มันย่ำแย่มาตั้งแต่สกิทาคามีแล้ว ตอนนี้ความจริงสะกิดนิดเดียว มันก็หลุดเป๊าะ มันไม่มีอะไร เราฟันมันแหลกมาตั้งแต่สกิทาคามี จนกระทั่งมันเดินไม่ไหว คลานไม่ไหว เมื่อเผลอเมื่อไหร่ เราก็ค่อยๆ สะกิดนิดหนึ่งเท่านั้นเอง นี้ตอนที่เราเป็นอนาคามีมรรคนี้ ปัดโถ มันของง่ายจริงๆ มันหั่นแหลกมาแล้ว รวมความว่าใจของเรา จะพ้นจากอารมณ์ความทุกข์ ถอนจากกามารมณ์ได้หรือกามฉันทะ อย่าลืมนี่หมวดอานาปานุสสติ ตั้งใจให้มันทรงตัวในสมาธิ สมาธิดีคลายมาพิจารณาอสุภสัญญาควบกับอริยสัจ พอจิตมันซ่านขยับทิ้งพิจารณากลับเข้ามาทรงตัวกันใหม่ จับจิตให้ทรงฌานใหม่ เดินไปเดินมา เดินมาเดินไป มองคน มองพั่บเป็นซากศพ เห็นร่างกายพั่บสะอิดสะเอียนอยากจะอาเจียนโอ้กอ้ากเอาเสียเลย เพราะอะไร ข้างในน่ะปัดโธ่เอ๋ย นั่นมันถุงขึ้เดินได้นี่ มันไม่ใช่อะไรหรอก ดันไปรักถุงขี้เดินได้นี่มันก็ซวย เพราะอะไร เพราะว่า โธ่ ร่างกายคนแต่ละคนมันดีอยู่นิดเดียวคือหนังกำพร้า ไอ้หนังกำพร้าก็แสนจะสกปรก แต่ว่าเราก็ไปหลงรักไม่มองหาความจริง
เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิงภิกษุสามเณร ผมพูดอะไรไปก็ไม่รู้จะพูดอะไร เพราะตอนนี้มันง่ายนิดเดียว เพราะสะกิดๆ มันติดอยู่ปลายเข็มนิดหนึ่ง แล้วก็เหล็กเข็มก็ไม่ได้ทิ่มเข้าไป มันวางไว้เฉยๆ สะกิดนิดเดียวมันก็หล่น ถ้าจิตของท่านพุทธศาสนิกชนและบรรดาภิกษุสามเณรรักดี สำหรับความเป็นพระอนาคามีนี่มันง่ายยิ่งกว่ากล้วยสุกใส่ปาก เวลานี้พูดมากไม่ได้ เวลาหมดของดแต่เพียงเท่านี้ ต่อนี้ไป ขอทุกท่านตั้งกายให้ตรงดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จะเลิกเมื่อไหร่เป็นเรื่องของท่านตามสบายใจ สวัสดี
ส่งให้เพื่อน
Create Date : 31 มีนาคม 2553 |
|
55 comments |
Last Update : 31 มีนาคม 2553 11:17:43 น. |
Counter : 1571 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: ป้าแอ๊ด IP: 124.122.67.210 31 มีนาคม 2553 13:08:48 น. |
|
|
|
| |
โดย: nootikky 31 มีนาคม 2553 19:25:12 น. |
|
|
|
| |
โดย: อ๋อซ่าส์ 31 มีนาคม 2553 21:04:58 น. |
|
|
|
| |
โดย: The Anis (The Anis ) 1 เมษายน 2553 3:43:34 น. |
|
|
|
| |
โดย: maxpal 1 เมษายน 2553 18:34:25 น. |
|
|
|
| |
โดย: มินทิวา 1 เมษายน 2553 19:56:46 น. |
|
|
|
| |
โดย: อุ้มสี 1 เมษายน 2553 23:03:26 น. |
|
|
|
| |
โดย: cengorn 2 เมษายน 2553 1:13:00 น. |
|
|
|
| |
โดย: อัสติสะ 2 เมษายน 2553 7:30:50 น. |
|
|
|
| |
โดย: พี่โรส คุณนายกุหลาบ ค่ะ IP: 115.128.17.67 2 เมษายน 2553 14:05:14 น. |
|
|
|
| |
โดย: อุ้มสี 3 เมษายน 2553 6:37:45 น. |
|
|
|
| |
โดย: มินทิวา 4 เมษายน 2553 7:28:27 น. |
|
|
|
| |
โดย: The Anis (The Anis ) 4 เมษายน 2553 13:51:26 น. |
|
|
|
| |
โดย: อัสติสะ 4 เมษายน 2553 21:42:14 น. |
|
|
|
| |
โดย: maxpal IP: 121.137.34.3 5 เมษายน 2553 1:44:21 น. |
|
|
|
|
|
|
|
อัพตอนใหม่แล้ว สาธุจ้า
เม้นท์ก่อนน๊า เดี๋ยวตามอ่านทีหลัง