|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ ๑๓ / ๑๘
พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
สอนพระกรรมฐานในระหว่างเข้าพรรษาปี ๒๕๒๑ อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ ๑๓ พระสกิทาคามีมรรค - โทสะ
...............ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับเวลานี้ ท่านทั้งหลายได้สมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐานแล้ว แล้วต่อไปขอให้ท่านทั้งหลายตั้งใจสดับคำแนะนำในการเจริญพระกรรมฐาน วันนี้ก็จะว่ากันถึงเรื่องพระสกิทาคามี ในด้านการตัดความโกรธ พระสกิทาคามีนี่ยังไม่ตัดแท้นะครับ เป็นการบรรเทาความโกรธ วิธีบรรเทาความโกรธได้พูดมาแล้วในวันก่อนถึงกสิณ ๔ อย่าง เมื่อพูดถึงเรื่องกสิณนี่ความจริงมันก็เหมาะสำหรับบุคคลบางคน บางคนที่ไม่พอใจในกสิณก็มี เพราะบางท่านเห็นว่ากสิณนี่มีความเข้มแข็งเกินไป เห็นว่าเป็นการไม่เหมาะไม่สมกับใจของตนเอง และบางท่านก็กลัวกสิณเพราะความจริงคำว่ากสิณ ผมฟังมาเยอะ นักปฏิบัติพระกรรมฐานบางคนพอบอกว่าเจริญกสิณเท่านั้นแหละ ทำท่าตาพอง ทำตาพอง ทำตาใหญ่ เอะอะโวยวาย เห็นว่าหนักเกินไปสำหรับจิตใจคน นี้มันก็เป็นของแปลก
...............สำหรับพระกรรมฐานนี่ ขอประทานอภัยนะครับ ที่ผมต้องปรารภตัวสักนิดหนึ่ง ที่พระพุทธเจ้าท่านห้ามว่าการเทศน์นี่จงอย่าปรารภตนเองและอย่าปรารภบุคคลที่ ฟัง แต่นี่เรื่องนี้เป็นเรื่องปฏิบัติและพูดกันตรงไปตรงมา สำหรับเรื่องกรรมฐาน ๔๐ ผมเคยลองฝึกมาทั้งหมด แล้วก็มหาสติปัฎฐานสูตรทั้งหมด ผมฝึกทั้งหมด กรรมฐาน ๔๐ นี่ผมฝึกครบ ๔๐ ตั้งแต่พรรษาที่ ๒ มหาสติปัฏฐานสูตรนี่ พอทำกรรมฐาน ๔๐ มาจับมหาสติปัฏฐานสูตร ก็เลยเป็นของง่ายไปหมด ทำเดี๋ยวเดียวก็เสร็จ คำว่าเสร็จก็คืออารมณ์จบ แต่ว่าผมไม่ได้หมายว่าผมเป็นพระอรหันต์นะครับ ตอนนั้นเป็นเรื่องของการฝึก ฝึกจุดใดที่ในพระกรรมฐาน ๔๐ ที่ท่านว่าไว้ว่าถึงฌานไหนเป็นสำคัญ จะหาว่าอวดอุตริมนุสสธรรมก็ยอม อุตริมนุสสธรรมถ้าไม่มีในตน อวด ท่านปรับเป็นอาบัติปราชิก ถ้ามีในตน ไม่เห็นพระพุทธเจ้าปรับตรงไหน นี่ผมพูดกับท่านที่เป็นนักปฏิบัติด้วยกัน คนนอกทุ่งนอกท่าผมไม่ได้พูดด้วย คือผมจะบอกว่ากรรมฐานทุกกอง ที่ท่านทำว่าจบจุดไหน ผมพยายามทำจบจุดนั้น และก็มหาสติปัฏฐานสูตรท่านว่าทำจบจุดไหน ผมทำจบจุดนั้น จนกระทั่งมีอารมณ์ชิน ก็ไม่เห็นว่ากรรมฐานกองไหนที่มีความสำคัญกว่ากัน ไม่ต้องไปทำตาใหญ่ตาโต เราแค่อารมณ์ทรงสมาธิให้เป็นปัญญาเหมือนกัน ในเรื่องความจริงมันเป็นอย่างนี้ แต่ทว่าสำหรับท่านที่หนักใจเรื่องกสิณก็มาว่ากันใหม่ จะบรรเทาความโกรธก็ต้องใช้พรหมวิหาร ๔ ใจของท่านทรงอยู่ในพรหมวิหาร ๔ เป็นปรกติ ความจริงคนที่มีกำลังใจทรงพรหมวิหาร ๔ เป็นปรกตินี่เป็นคนที่มีกำลังใจสบายมาก มันมีความสุขแบบบอกไม่ถูกหรอกคุณ นี่มันมีความสุขจริงๆ ครับ ไม่เชื่อท่านลองทำดูเถอะ
...............หากว่าท่านจะย้อนถามว่าแล้วก็หลวงตาที่พูดนี่ทำแล้วหรือยัง ก็อย่าลืมว่าทำครับ พรหมวิหาร ๔ ก็อยู่ในกรรมฐาน ๔๐ คนที่ไม่มีพรหมวิหาร ๔ ประจำใจ ศีลมันก็ไม่มี สมาธิมันก็ไม่มี ปัญญามันก็ไม่มี เรียกว่าไม่มีเลยก็ไม่ได้ มีปัญญาเหมือนกันแต่ปัญญามันเลว คือปัญญาคิดไปในด้านเลว ไม่ได้คิดดี คิดชั่ว คิดหาความทุกข์ สำหรับคนที่ทรงพรหมวิหาร ๔ นี่จิตใจจะทรงด้วยความปรกติ ถ้าเราเป็นปุถุชนคนธรรมดาผู้หนาแน่นไปด้วยกิเลส มีพรหมวิหาร ๔ เล็กน้อยใจก็เป็นสุข อย่างพ่อแม่ทุกคน ครูบาอาจารย์ทุกคน พ่อแม่ของลูก ครูบาอาจารย์ของศิษย์ นี่ทุกท่านมีพรหมวิหาร ๔ ทั้งหมด ถ้าไม่มีพรหมวิหาร ๔ ท่านก็เลี้ยงเรามาไม่ได้ ท่านก็สอนเรามาไม่ได้ เว้นไว้แต่เราจะเป็นคนอกตัญญูไม่รู้คุณคนเท่านั้น ที่จะหาว่าครูบาอาจารย์อคติบ้าง รักลำเอียงไม่เที่ยงธรรมบ้าง ถ้ามันจะเป็นยังงั้นล่ะก็ต้องมองดูตัวเรา ว่าเราเลวหรือเราดี ไม่มีครูคนไหน ไม่มีอาจารย์คนไหน ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่จะอคติกับลูกหรือลูกศิษย์ ครูบาอาจารย์ทุกคนต้องการให้ลูกศิษย์ได้ดี เว้นไว้แต่ว่าลูกศิษย์มันจะเป็นเผ่าพันธุ์ของเทวทัตเท่านั้นที่มีจิตมุ่งมอง เห็นคนอื่นเป็นคนเลวไปหมด ถ้าเลวอย่างนี้พระพุทธเจ้าท่านก็ขับ อย่างพระเทวทัต พระพุทธเจ้ามีพระมหากรุณาธิคุณ ท่านบอกว่าเรารักราหุลลูกชายของเราเท่าใด เราก็รักเทวทัตเท่ากับราหุล เห็นมั้ย แต่ทว่าเมื่อเทวทัตทำผิดก็ต้องลงโทษ นี่เป็นเรื่องธรรมดา จะปล่อยให้คนชั่วทรงตัวอยู่ได้ยังไง ในสำนักของเรามีมั้ย คนอกตัญญูไม่รู้คุณคน มีมั้ย ถ้าจะมีหรือไม่มีคุณสังเกตดูก็ได้ คนอกตัญญูไม่รู้คุณคนน่ะมีแต่ความเร่าร้อนหาความสุขกายสุขใจไม่ได้ มีความทะเยอทะยานผิดปรกติ อยากจะทำอะไรให้มันดี อยากจะทำอะไรให้มันเด่น ให้ดีกว่าเขาให้เด่นกว่าเขา นั่นน่ะคนระยำ
...............เพราะว่าพรหมวิหาร ๔ เหมือนของง่ายๆ ไม่ยาก ผมขึ้เกียจพูดมาก พูดให้มันยากก็พูดได้ แต่มันจะเกิดประโยชน์อะไร ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นของไม่ยาก ใจเรา เราคิดอยากให้ชาวบ้านเขารักเราหรือว่าเราอยากให้ชาวบ้านเขาเป็นศัตรูกับเรา เราเอาใจของเราเป็นที่ตั้ง ผมว่าถ้าคนไม่บ้า นี่ผมใช้ศัพท์ธรรมดานะ ภาษาไทยแท้ๆ ไอ้แบบใช้สำบัดสำนวนนี่คนฟังยากๆ ผมไม่อยากจะพูด เพราะพ่อผมก็เป็นคนไทย แม่ผมก็เป็นคนไทย ผมก็เกิดในประเทศไทย ผมขอพูดอย่างคนไทย ผมคิดว่าคนนั้นถ้าไม่บ้าล่ะก็ ทุกคนมีความรู้สึกว่าเราต้องการเป็นที่รักของคนทั้งโลก อย่าลืมนะ ผมว่าคนไม่บ้านะเขามีความรู้สึกอย่างนี้ และพรหมวิหาร ๔ ข้อที่ ๒ ท่านบอกกรุณา ความสงสาร ปรารถนาเกื้อกูลให้มีความสุข นี้คุณลองคิดดูว่า คุณมีความรู้สึกเป็นยังไง ว่าคุณต้องการให้คนในโลกนี้เขาสงเคราะห์คุณ หรือว่าต้องการให้คนในโลกนี้เขาตัดขาดจากคุณ เอ๊ะถ้าผมต้องพูดใหม่ ผมก็ต้องพูดเหมือนเก่าน่ะสิ ผมคิดว่าถ้าคุณไม่บ้า คุณก็ต้องการให้คนทุกคนในโลกนี้เกื้อกูลซึ่งกันและกัน แม้แต่ตัวเรา แล้วเราสำหรับเขา ประการข้อที่ ๓ ลองนั่งนึกดู ว่าถ้าเราได้ดีแล้ว ต้องการให้พวกมาอิจฉาริษยาเรามั้ย หรือว่าให้เขาสนับสนุนความดีของเรา ตอนนี้ก็ต้องขอตอบว่า ถ้าคุณไม่บ้า คุณก็ต้องคิดว่าถ้าเราได้ดี เราก็ต้องการให้เพื่อนเห็นความดีของเราว่ามีประโยชน์ และก็สนับสนุนในความดี แล้วก็อยากให้เพื่อนทำความดีตามเรา นี่หมายถึงว่าถ้าคุณไม่บ้า ถ้าคุณบ้าผมก็หมดทางแก้
...............ประการที่ ๔ อุเบกขา วางเฉย คืออารมณ์ที่มันเกิดขึ้นมากับกฎธรรมดา สิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ หนึ่ง ชาติปิทุกขา ความเกิดขึ้นมาแล้วมันต้องทุกข์เพราะการทำมาหากิน จะต้องทำกินกันเป็นปรกติ เพราะการทำกินมันต้องเหนื่อย ไม่ทำกินมันไม่มีกิน สอง ชราปิทุกขา เมื่อความเกิดขึ้นมาแล้วมันต้องแก่ ถ้าไม่แก่มันก็เป็นเด็ก คลานไม่ได้ พลิกไม่ได้น่ะสิ มันต้องแก่ เกิดนานวัน แก่นาน แก่มาก เกิดน้อยวัน แก่น้อย มันก็แก่กันทุกเวลา ทุกนาที มาความป่วยไข้ไม่สบาย เกิดมาแล้วมันก็ต้องป่วย ร่างกายเป็นโรคนิทธัง พระพุทธเจ้ากล่าวว่า ร่างกายเป็นรังของโรค ในเมื่อร่างกายมันเป็นรังของโรคมันก็ต้องป่วย ปภังคุณัง ท่านบอกว่าร่างกายของเราจะต้องป่วยเน่าเป็นธรรมดา มรณังปิทุกขัง เกิดมาแล้วมันก็ต้องตาย นี้ต่อมาเราก็มานั่งนึก ว่าอารมณ์ของโลก คนที่เกิดมาในโลก นอกจากเกิดแก่เจ็บตายแล้ว มันยังมีอะไรอีก ก็มีอารมณ์ที่ขัดคอขัดใจ ที่คนเขาทำไม่ถูกใจเรา วัตถุธาตุที่เป็นของใช้สอย เครื่องอุปโภคบริโภคที่ไม่ถูกใจเรา มันแก่คร่ำคร่า บ้านใกล้จะพังเพราะมันเก่า เสื้อกางเกงมันจะขาดเพราะมันเก่า สตางค์ที่มีไว้มันใกล้จะหมดเพราะเราใช้มันไปมาก อันนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาของโลก แล้วคนถ้ามีลาภ ลาภเกิดขึ้น ลาภมันก็เสื่อม หมด มันหมดไปเพราะใช้มัน เขาตั้งให้เรามียศได้เขาก็ถอดได้ คนเขานินทาเราได้เขาก็สรรเสริญได้ เรามีสุขของโลกียวิสัย มันก็มีทุกข์ได้ อาการทั้งหลายแหล่ที่พูดมาแล้วนี้ทั้งหมด ถ้ามันเกิดขึ้นกับใจ ขอพูดใหม่ดีมั้ย ว่าคุณไม่บ้า คุณจะไม่หนักใจมันเลย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่ามันเป็นของธรรมดา ถ้าเราเกิดมาในโลกแล้วเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ คนที่ต้องการฝืนไม่ให้อาการอย่างนี้ปรากฎก็คือคนบ้า ฝืนยังไงมันก็ฝืนไม่ได้
...............ความจริงนี่คุณจะคิดว่าเอ ผมก็คงจะบ้ามากนะ ขึ้นท้ายก็บ้า ลงท้ายก็บ้า ถ้าคุณพูดอย่างนี้ผมยอมรับคุณ ว่าผมนี่เป็นคนบ้ามาแล้วสองแบบ คือเมื่อตอนหนุ่มๆ ผมยังไม่บวชหรือว่าบวชใหม่ๆ ตั้งแต่วันเกิดก็แล้วกัน ตั้งแต่วันเกิดจนถึงวันบวช บวชแล้วไม่แก่นัก ตอนนั้นผมก็บ้า ผมบ้าเกาะ ผมเกาะดะ ผมเกาะพ่อ เกาะแม่ เกาะพี่ เกาะน้อง เกาะญาติผู้ใหญ่ เกาะทรัพย์สิน ดีไม่ดีย่องเข้าไปเกาะลูกสาวชาวบ้านเขาเข้าให้ ไม่ใช่ย่องหรอก บางทีวิ่งไปเลย เห็นเขาแต่งตัวชอบใจ ทรวดทรงดี วิ่งตามส่ง มันย่องๆ ค่อยยังชั่วหน่อย อันนั้นไม่ย่อง ย่องไปทำไม ย่องจะไปเกาะเขาน่ะสิ ดีไม่ดีพอทันกันเข้าก็หันมาตบหน้าเข้าด่าเข้ามั่ง สบาย กลับบ้านสบาย ชื่นใจนิดนึง นั่นเพราะผมบ้า ตอนนั้นบ้าอย่างมาก พวกคุณที่ว่าบ้าน่ะนี่ไม่ทันผมหรอก ไม่ใช่จะเอาแก่มาอวด ผมรู้พวกคุณนี่น่ะ บ้าๆ บอๆ บ้ารักบ้าโลภบ้าโกรธบ้าหลง บ้าไม่ทันผมหรอก ไอ้ผมนี่มันบ้ารัก รักนี่บ้ามาก ถ้าโลภไม่ค่อยบ้าแฮะ เพราะชอบแจกเพื่อน ขโมยปลาหมึกแจกเพื่อนตั้งแต่เด็ก มีอะไรกินนิดกินหน่อยกินคนเดียวไม่ได้ จนกระทั่งญาติผู้ใหญ่บางคนท่านตำหนิว่าไอ้นี่กินคนเดียวไม่ได้ ต้องเผื่อหมาอยู่เรื่อย แต่คุณพ่อคุณแม่ท่านไม่ดุ บอกว่าก็ช่างมัน สิทธิของมันมีเท่านั้น มันจะไปแบ่งกับใครก็ช่าง ของกินมีท่านแบ่งเป็นส่วน เอ้า ขนมเอาไปคนละถ้วย ถ้วยเท่ากันหมด เล็กโตกินเท่ากัน คำว่าเท่ากันนี่หมายถึงว่าต้องพออิ่ม แต่ส่วนใหญ่ท่านจะทำให้เกินไว้เสมอ ผมมีผมก็ไปแจกเพื่อนในสิทธิในส่วนที่เป็นของผม ญาติผู้ใหญ่บางคนท่านว่าเอา ท่านว่าไอ้นี่กินต้องเผื่อชาวบ้าน ตัวเองก็ไม่ทันจะอิ่ม คุณแม่ท่านบอกช่างมันๆ ของของมัน มันมีสิทธิเท่านั้น มันมาเอาอีกไม่ได้ จะแบ่งกับใครมันก็ช่าง มันจะไม่กินเลย ให้เพื่อนกินทั้งหมดก็ช่าง นี่ว่าเรื่องความโลภนี่ผมบ้าน้อยไปนิดนึง เรื่องความรักนี่บ้ามาก
...............มาถึงด้านความโกรธ หวา บ้าพอกับความรัก นี่ผมเกาะมันมานะ บ้าพอกับความรัก ผมบ้าจริงๆ ความโกรธนี่ผมบ้าเต็มขั้นเลยคุณ ถ้าใครทำให้ผมโกรธโดยไร้เหตุไร้ผลโดยที่ผมไม่มีความผิด ผมจะต้องหาทางตอบสนองให้ได้ที่เรียกกันว่า พยาบาท ถ้าทำไม่ได้ผมจะยอมตายเสียดีกว่า นี่ความโกรธผมเต็มขั้นเลยคุณ เต็มจริงๆ ผมว่าไอ้บ้าตัวนี้พวกคุณมันบ้าน้อยกว่าผมนน ผมยิงคุณกลางคืนไม่ได้ผมต้องยิงกลางวัน ยิงลับหลังไม่ได้ผมต้องยิงต่อหน้า ยิงนอกบ้านไม่ได้ผมต้องขึ้นไปยิงบนบ้าน นี่ คุณอย่ามาเลียนตามผมนา นี่ผมเอาเลวอวดคุณว่าผมน่ะมันบ้ามาพอ และก็ไอ้บ้าโมหะความหลง ก็ไม่ต้องพูดล่ะ ถ้ามันรักได้ มันโกรธได้ มันก็มีโมหะมันก็หลง นี่บ้า ถ้าใครว่าผมบ้าผมรับ ผมเจ้าชู้มาพอ เจ้าชู้จนเบื่อ เวลานี้นึกถึงภาพนั้นขึ้นมาเมื่อไหร่มันอยากจะอาเจียน เห็นคนแต่งตัวสวยๆ ผิดปรกติแล้วใจสะอึกมาทันที มันชักจะติดคอ มันจะอาเจียน เพราะอะไร ร่างกายของคนทุกคน ที่เรานึกว่ามันดี ปัดโธ่เอ๊ย สกปรกบอกไม่ถูกเลยคุณ เหม็นห่งเหม็นห่ามมาเชียว โอ๊ ไม่ได้ความ ไอ้เวลาตอนใหม่ๆ พูดกับแก พูดอ่อนหวาน นานๆ เข้าเจอคำสำรากเข้าให้แล้ว ผมเปิด เพราะผมต้องการของดี นี่มันไม่ดีผมก็เปิดน่ะสิ ไอ้ที่ไปทำร้ายคนเพราะเขาโกงผมก่อน ผมไม่กินเหล้าเมายา ไม่สูบบุหรี่ ไม่กินเบียร์ อะไรผมก็ไม่กิน คุณแม่ให้ภาวนาว่าพุทโธเป็นปรกติ ผมก็ทำ ถึงวันพระท่านรักษาศีลอุโบสถ ผมก็รักษา แต่ทว่าอย่าโกงผมก่อนนะ ผมไม่โกงใคร แต่ใครอย่าโกงผมก่อน ถ้าโกงแล้วในตอนก่อนผมจะนิ่งเฉยทำเหมือนกลัวเขา แต่ถ้าถึงที่สุดเมื่อไหร่ คนนั้นต้องจมดินเมื่อนั้น
...............นี่ ผมบ้าเต็มที่นะ มาบ้าตอนนี้บ้าไปบ้ามา มันบ้าเต็มภาคภูมิ ในที่สุด มาบวชแล้วเจอหลวงพ่อปานสอน ก็เลยบ้าใหม่ ทีนี้มาบ้าละความรัก บ้าละความโลภ บ้าละความโกรธ บ้าละความหลง จนกระทั่งเดี๋ยวนี้มันก็ละยังไม่หมด แหม มันละกันมาหลายสิบปีแล้ว ๔๐ ปีกว่านี่ยังไม่หมดเลยคุณ มันจะหมดได้ยังไงในเมื่อขันธ์ ๕ ยังมีอยู่ โอ้โหละยังไงล่ะคุณ เห็นมั้ยล่ะวัดวาอารามไม่กี่ปี ล่อซะหรูหราไปหมด พอตั้งกองทุนเข้าหน่อยจะแจกของเป็นสาธารณประโยชน์ โอ้โห ข้าวของเครื่องมือเครื่องใช้เต็มวัดเต็มวา ยังงี้เขาเรียกว่าบ้าหรือดี นี่มันจะหมดได้ยังไง ในเมื่อมีขันธ์ ๕ ถ้าเมื่อขันธ์ ๕ หมดเมื่อไหร่ ผมอาจจะหมดก็ได้ ไม่หมดก็ได้ ตายแล้วอยากไปนรกผมก็ไปนรก อยากไปสวรรค์ผมก็ไปสวรรค์ อยากไปพรหมผมก็ไปพรหม อยากไปนิพพานผมก็ไปนิพพาน สุดแล้วแต่มันอยากตอนนั้น มันอยากไปทางไหนก็ไปทางนั้น พูดแบบนี้เลยไม่ต้องรู้เรื่องกัน นี้มาถึงเรื่องตัดความโกรธ อันนี้โกรธ โกรธแล้วก็ทรงพรหมวิหาร ๔ ที่ผมพูดมานี้น่ะพูดให้เข้าใจ ว่าอารมณ์ใจของคนมันบ้ามาแล้วเหมือนกัน ตอนนี้มาพูดถึงตัดความโกรธ มันง่ายๆ ง่ายนิดเดียวล่ะคุณ ถือคาถาไว้ตัวหนึ่งสิ ช่างมันๆๆ มันด่าก็่ช่างมัน มันว่าก็ช่างมัน มันชมก็ช่างมัน มันสรรเสริญก็ช่างมัน เขาเอาอะไรมาให้ก็ช่าง เขาไม่เอาอะไรมาให้ก็ช่าง ไอ้คำว่าช่างในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าอกตัญญู คือถือว่าเขาให้ก็ดี ไม่ให้ก็ดี หมดเรื่อง ไม่ใช่โกรธ ที่บอกว่าช่างมันแต่ดันไปโกรธเขานั้นไม่ถูก
...............เป็นอันว่าอันดับแรก เราก็ทรงพรหมวิหาร ๔ ลืมตาขึ้นมากว่าจะหลับ จิตคิดไว้เสมอว่าเราจะเป็นมิตรที่ดีสำหรับคนทั้งโลก เห็นมั้ย ไม่คิดเป็นศัตรูของใครทั้งหมด เห็นหน้าใครก็ยิ้มแย้มแจ่มใส เขาแยกเขี้ยวเข้าใส่เราก็นึกว่าไม่ใช่หมาไม่มีเขี้ยว ช่าง เห็นหน้าคนก็ยกมือไหว้ รักหมด แต่ไม่รักด้วยกิเลสนะ รักด้วยความปรานี ข้อที่สองกรุณา สงสาร คิดว่า เออ เราเกิดมาในโลก อย่าทำตนให้เป็นคนรกโลกไร้ประโยขน์เลย เกิดมาแล้วก็ทำความดีมันเสียบ้าง นั่นก็คือหาทางเกื้อกูลแก่บุคคลที่ควรจะให้ ให้ดูคนหน่อยนะ พระพุทธเจ้าท่านว่าอย่างนั้น อันดับแรกสำหรับคนชั้นต่ำ ใจยังต่ำที่เป็นปุถุชน เลือกคนเฉพาะคนที่ควรให้ ดูตัวอย่างพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงให้ดะ ท่านเลือกคนให้ ท่านคิดว่าสิ่งที่ท่านให้เขารับไปแล้ว จะมีประโยชน์มั้ย ถ้ามีประโยชน์กับเขาท่านให้ ถ้าให้แล้วไม่มีประโยชน์ไม่ควรให้
...............อย่างหนังสือหลวงพ่อปาน เมื่อก่อนนี้ผมแจกเขาเหมือนกัน ของแจกไปเป็นวัตถุเสียเยอะ ไปวางทิ้งกัน เราทำเกือบตาย หนังสือของหลวงพ่อปานผมเคยทำแจกคนใกล้วัด ๒๐๐ เล่มเศษ ผมจำได้ แจกฟรี ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๕ เป็นต้นมาหรือ ๒๕๑๖ จำไม่ได้นะ จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ผมเคยไปถามบางคนบอกยังไม่ได้อ่านเลย บางคนบอกอ่านไป ๒-๓ หน้าไม่มีเวลาอ่าน เห็นมั้ย ว่าคนที่ไม่ควรจะให้เนี่ย แต่ขืนให้ไปสภาพมันเป็นอย่างนี้ เราต้องลงทุนลงแรง ต้องใช้ปัญญา ต้องใช้เงินใช้ทอง กว่าของมันจะเกิดขึ้นมาได้ แต่ให้ไปแล้วก็กลับไปทิ้งให้มันไร้ประโยชน์ หนังสือเล่มนี้ครั้งหนึ่งเคยขึ้นราคาถึงร้อยบาทในเวลาที่ขาดก็ดี ไม่มีจำหน่าย ในที่สุดก็ต้องรีบทำขึ้น มีโยมผู้หญิงคนหนึ่ง ผมลืมชื่อเสียแล้ว แต่จดหมายเขาเพราะ แกจดหมายมาบอกว่าต้องรีบพิมพ์ ไม่งั้นจะแย่ เวลานี้ เขาขึ้นราคาเล่มละ ๑๐๐ บาทแล้ว เราขาย ๒๐ ๓๐ บาท เจ๊กมานั่งด่าว่าห้าสิบบาทยังไม่แพง ทำไมขายถูก หาว่าตัดราคาเขา เราก็บอกว่าเราต้องการแต่ทุนเท่านั้น ให้มันหมุนเวียนได้ ไม่ต้องการไปสร้างตึก
...............อันนี้ต่อไปเรามีความสงสาร เกื้อกูล นี้เราคิดหรือเปล่าว่าไอ้การสงสารทำยังไง เราเป็นคนไม่รกโลก อะไรที่เราจะช่วยเขาได้ เราคิดไว้พอลืมตาขึ้นมาก็ยันหลับ คิดไว้เลยว่าอะไรที่เราช่วยได้จะช่วยทุกอย่าง ถ้าไม่เกินวิสัยของเรา อย่าให้อารมณ์ความรักและควาามสงสารมันขาดจากจิต แล้วก็มุทิตา จิตอ่อนโยน มองความดีของคนอื่น อย่ามองชั่ว แต่ตัวเองมองความชั่วของตัว คนอื่นเรามองความดี ว่าคนนี้เขาดียังไง เขาจึงมีความสุข คนนี้เขาทำยังไง เขาจึงร่ำรวย คนนี้เขายังไง จึงเป็นที่รักของคนทั้งหลาย คนนี้เขาทำยังไงร่างกายถึงไม่มีโรค อะไรก็ตาม เห็นเขาดีตรงไหนตามดีด้วย ยินดีกับความดี ทำตามไปเลย ตั้งอกตั้งใจทำความดีตามเขา แต่เขาโกงรวยอย่าไปโกงตามเขานะ นั่นมันชั่ว นี้อารมณ์ความวางเฉย เฉยยอมรับนับถือกฎของธรรมดา ตามที่กล่าวมาแล้วในตอนต้น อุเบกขาน่ะ วางเฉย เอ้า ใครเขาอยากจะด่าก็เฉย เขาจะชมก็เฉย ยิ้มๆ ด่าก็ยิ้ม ชมก็ยิ้ม ยิ้มเป็นเครื่องปลอบใจ แก่ก็ยิ้ม ป่วยก็ยิ้ม ของรักของชอบใจพลัดไป ก็ยิ้ม ความตายจะมาถึงก็ยิ้ม ยิ้มเพราะอะไร เพราะเรามีอุเบกขา วางเฉย รู้อยู่ว่ามันจะต้องเป็นอย่างนั้น
...............รวมความว่าเราจะตัดความโกรธ ก็ต้องอาศัยพรหมวิหาร ๔ ประการ ถ้าอารมณ์พรหมวิหาร ๔ ประการมันประจำอยู่ในใจเป็นปรกติ แล้วความโกรธมันจะโผล่มาตรงไหนล่ะ มันจะยื่นหน้าเข้ามาในช่องไหน แล้วคิดไปด้วยว่าโกรธก็ตาย ไม่โกรธก็ตาย เราตายอย่างคนไม่โกรธดีกว่า ใจเรามีความสุข ถ้าเราไปตายอย่างคนที่มีความโกรธเราก็พังน่ะสิ พังเพราะอะไร เพราะไอ้ความโกรธมันเป็นของไม่ดี ถ้าเราโกรธขึ้นมามันก็ไม่ดี เพราะโกรธไม่ดีนี่ เราเป็นคน ก็เป็นคนไม่ดี ถ้าเราจะตายเป็นผี ก็กลายเป็นผีไม่ดี เราไม่เอา เป็นคนดีตามคติของพระพุทธเจ้าดีกว่า แต่จงอย่าเป็นคนดีตามคติของคนเลว ท่านทั้งหลายทรงอารมณ์ใจไว้ได้อย่างนี้เป็นปรกติชื่อว่ามีฌานในพรหมวิหาร ๔ แต่ก็ต้องมีพื้นฐานอานาปานุสสติเป็นพื้นไว้ อย่าปล่อยใจให้มันลอย เห็นใจมันเฟื่องก็จับอานาปานุสสติกับพุทธานุสสติควบคุมใจ วิธีการระงับความโกรธเท่านี้ล่ะคุณพอ เหลือแหล่ ทำได้น่ะเหลือ เหลือกินเหลือใช้
...............เอาล่ะท่านทั้งหลาย มองดูเวลาที่จะแนะนำท่านก็หมดเสียแล้วนี่ ต่อแต่นี้ขอทุกท่านตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัยจนกว่าเวลานั้นท่านจะเห็นสมควรว่าเลิก สวัสดี
ส่งให้เพื่อน
Create Date : 20 มีนาคม 2553 |
|
46 comments |
Last Update : 20 มีนาคม 2553 12:00:39 น. |
Counter : 1093 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: ตัวp_box 20 มีนาคม 2553 14:26:19 น. |
|
|
|
| |
โดย: อาลีอา 20 มีนาคม 2553 14:45:58 น. |
|
|
|
| |
โดย: โซดาบ๊วย 20 มีนาคม 2553 15:55:22 น. |
|
|
|
| |
โดย: Pikake 20 มีนาคม 2553 19:09:50 น. |
|
|
|
| |
โดย: อุ้มสี 20 มีนาคม 2553 23:33:42 น. |
|
|
|
| |
โดย: พธู 21 มีนาคม 2553 20:46:33 น. |
|
|
|
| |
โดย: โซดาบ๊วย 21 มีนาคม 2553 22:35:10 น. |
|
|
|
| |
โดย: nootikky 21 มีนาคม 2553 22:40:58 น. |
|
|
|
| |
โดย: ooyporn 21 มีนาคม 2553 23:11:06 น. |
|
|
|
| |
โดย: อัสติสะ 22 มีนาคม 2553 8:20:22 น. |
|
|
|
| |
โดย: พี่นู๋อ้อ (pinuaoo2006 ) 22 มีนาคม 2553 14:07:39 น. |
|
|
|
| |
โดย: cengorn 22 มีนาคม 2553 18:21:06 น. |
|
|
|
| |
โดย: nootikky 22 มีนาคม 2553 23:40:57 น. |
|
|
|
| |
โดย: ooyporn 23 มีนาคม 2553 8:52:16 น. |
|
|
|
| |
โดย: เอ๋ IP: 125.24.229.187 23 มีนาคม 2553 10:14:49 น. |
|
|
|
| |
โดย: Artapee IP: 125.26.156.20 23 มีนาคม 2553 23:31:33 น. |
|
|
|
|
|
|
|
อัพตอนใหม่แล้วนะค่ะ ดีจัง
อนุโมทนาค่ะ