|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ ๑๔ / ๑๘
พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
สอนพระกรรมฐานในระหว่างเข้าพรรษาปี ๒๕๒๑ อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ ๑๔ พระสกิทาคามีมรรค - โมหะ
...............ท่านพระโยคาวจรทั้งหลาย สำหรับวันนี้ เวลานี้ ท่านทั้งหลายได้พากันสมาทานศีล พากันสมาทานพระกรรมฐานแล้ว ต่อแต่นี้ไปขอบรรดาท่านทั้งหลายตั้งใจสดับคำแนะตำในการเจริญพระกรรมฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้เป็นวันสรุปของพระสกิทาคามี ความจริงจะว่าสรุปทั้งพระโสดาบันและสกิทาคามีก็ได้ เมื่อพูดกันตามส่วนแล้วผมก็ไม่น่าจะพูดยาวมาถึงเพียงนี้ น่าจะพูดเพียงสั้นๆ ก็สามารถจะปฏิบัติกันได้ แต่ทว่าที่ต้องพูดยาวก็เผื่อไว้ แต่สำหรับท่านที่มีกำลังใจหรือบารมีเป็นอุคคติตัญญูก็คงจะรำคาญ เพราะพูดกันเยิ่นเย้อนานไป สำหรับท่านที่มีกำลังใจเป็นวิปปจิตัญญู อย่างนี้ก็เห็นว่าจะพอรับฟังได้ เพราะต้องการฟังคำอธิบาย สำหรับท่านที่มีนิสัยเป็นเนยยะ ก็จะรู้สึกว่าสูงเกินไปหน่อย เพราะว่าเนยยะนี่ไม่สามารถจะเป็นพระอริยเจ้าได้ จะได้ก็แต่เพียงว่าเข้าถึงไตรสรณคมน์ก็ยังดี สำหรับท่านที่เป็นปทปรมะจะรำคาญมาก เพราะบุคคลประเภทนี้ตายแล้วต้องลงนรก ทางที่จะเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นนิพพานน่ะไม่ได้ เพราะว่ามีนิสัยมาจากสัตว์ในอบายภูมิ นี่คนนี่พระพุทธเจ้าแบ่งออกเป็น ๔ พวก ที่ท่านแบ่งนั้นไม่ได้แบ่งเอง แบ่งด้วยอำนาจสัพพัญญูวิสัย คือรู้เอง พวกอุคคติตัญญูมีบารมีมาก คือ ปัญญาดี พูดแต่เพียงหัวข้อก็เข้าใจ วิปปจิตัญญู ต้องอธิบายถ้าพูดย่อไม่เข้าใจ เนยยะ จะสอนแบบไหนก็ตาม จะเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ จะได้แต่แค่ไตรสรณาคมน์ สำหรับปทปรมะนี่พวกตากระทู้หูกระทะ สอนยังไงก็เอาดีไม่ได้ เพราะว่ามีความรู้สึกตัวอยู่เสมอว่าตัวเป็นคนฉลาด นั่นก็คือความโง่บัดซบที่ช่วยเหลืออะไรไม่ได้เลย
...............สำหรับต่อแต่นี้ไป ก็จะขอเตือนท่านไว้สักนิดหนึ่ง สิ่งที่เตือนนี่มีความสำคัญ นั่นก็คือการที่จะก้าวเข้าไปสู่ความเป็นพระอริยเจ้า จะต้องมีกำลังฌานเป็นปรกติ คำว่าฌานก็เคยพูดไว้แล้วก็คือชิน ชินต่ออารมณ์ที่เราต้องการจะละ ชินกับอารมณ์ที่เราต้องการตัด ให้ใจมันจับอยู่อย่างนั้นจนชิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชินอยู่ในอานาปานุสสติกรรมฐาน เพราะว่าเวลานี้เราพูดกันถึงหมวดอานาปานุสสติ ชินอยู่ในอานาปานุสสติกรรมฐาน ท่านจะปฎิบัติกรรมฐานหมวดใดก็ตาม ถ้ากำลังใจของท่านไม่ชินอานาปานุสสติกรรมฐาน ผมก็ขอบอกได้ว่าโอกาสที่ท่านจะทรงฌานแม้แต่ฌานโลกีย์มันก็ไม่มี อารมณ์ใดที่เป็นอกุศลอย่าให้มันเข้ามายุ่งกับใจ ใจรักษาอยู่เฉพาะอารมณ์ของลมหายใจเข้าออกเป็นปรกติ ถ้าภาวนาด้วย กองไหนล่ะ เราชอบพุทธานุสสติกรรมฐานเราก็ใช้พุทธานุสสติกรรมฐานเป็นปรกติ แล้วก็ใช้อารมณ์พิจารณาตามอารมณ์ที่เราต้องการตัด การทรงอานาปานุสสติกรรมฐานก็ดี พุทธานุสสติกรรมฐานก็ดี เป็นการทรงอารมณ์ใจให้มีกำลังใจที่เรียกว่าฌาน คือหมายความว่า เราจะไม่ยอมให้จิตของเราว่างจากความดี เมื่อจิตมันไม่ว่างจากความดี ความชั่วมันก็เข้าไม่ได้ ที่ใจของเรายังชั่ว ก็เพราะว่าจิตมันเปิดโอกาสให้ความชั่วเข้ามายุ่งกับใจ เรื่องของชาวบ้านอื่นใดอย่าไปยุ่ง ทั้งวันทั้งคืนจงยุ่งอยู่แต่อารมณ์ใจของเราโดยเฉพาะ นิสัมมะ กรณัง เสยโย พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า จงใคร่ครวญเสียก่อนแล้วจึงทำ แล้วจึงพูด จะทำก็ดี จะพูดก็ดี ใคร่ครวญเสียก่อนว่าควรหรือไม่ควร อันนี้ในสำนักของเรายังมีอยู่ ที่ประเภทปากไม่มีหูรูดน่ะยังมี ขอได้โปรดยับยั้งชั่งใจเสีย รู้สึกตัวว่าเวลานี้เราเป็นสมณะ คำว่าสมณะแปลว่าผู้มีความชั่วลอยทิ้งไปแล้ว หรือว่าแปลว่าเป็นผู้สงบ คือสงบจากความชั่ว ไอ้ปากชั่ว คิดชั่วน่ะเลิกกัน อยู่ด้วยความสงบสงัด
...............ตอนนี้ก็มาพูดกันถึงสรุป วันนี้จะพูดถึงโมหะของสกิทาคามี ถ้าตัดเข้าถึงโมหะของสกิทาคามี ก็เป็นพระสกิทาคามีผล จัดว่าจะไม่เป็นผลหรือเป็นผลเท่านั้นแหละ ผมก็ไม่ทราบ แต่ผมคิดจริงๆ ตามความรู้สึกของผม ว่าขั้นพระโสดาบัน พระสกิทาคามีนี้ไม่มีอะไรยาก สำหรับคนเอาจริง คนเอาจริงนี้ไม่มีอะไรยาก ไม่ต้องใช้กาลเวลาอะไรเลย เพราะว่าถ้าเรารักษาศีล ๒๒๗ สิกขาบทครบถ้วน อันนี้มันหนักพออยู่แล้ว เราแบกกำลังใจของเราพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราฟังกันมาทุกวันเฉพาะธรรมะและระเบียบวินัย การที่ให้ฟังเนี่ยเขาให้ฟังเพื่อทำกำลังใจให้เป็นพระอริยเจ้า แต่ทว่าพอเปิดเสียงธรรมะก็ดี เปิดเสียงสมาทานก็ดี เราก็เอาใจไปจดจ่ออยู่กับอย่างอื่น นั่นเป็นความเลวของเรา ไม่ใช่ความเลวของพระศาสนา
...............เป็นอันว่าต่อแต่นี้ไป ฟังกัน ฟังแล้วก็คิด โมหะแปลว่าความหลง แต่ผมขอแปลว่า โมหะแปลว่าความโง่ ใครเขาจะว่าผมแปลผิดก็ช่าง ถ้าคนไม่โง่มันจะหลงได้ยังไง คนที่เขาฉลาดน่ะเขาต้องพิจารณา แม้แต่ทางเดิน เราเคยเดินมาจากทางไหน เลี้ยวทางไหน เขาต้องสังเกตไว้ ที่นี้สำหรับนักปฏิบัติกรรมฐาน อารมณ์ใดที่มันเป็นความชั่วเรารู้อยู่แล้ว อารมณ์ใดที่มันเป็นความดีเรารู้อยู่แล้ว ถ้าเรายังหลงทำความชั่วอยู่ แล้วก็ตอบว่าผมไม่รู้เลย การกระทำอย่างนี้ผมไม่รู้ว่าผิดนั่นมันชั่วอย่างสาหัส โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟังคำสอนทุกวันแล้วยังชั่วอยู่อีก แล้วจะมีคำว่าดีตรงไหน นี่คนที่มีโมหะที่ผมแปลว่าโง่ ก็เพราะไอ้ตัวนี้แหละ มันโง่มันจึงหลง ถ้าไม่โง่ไม่หลง โมหะไม่ต้องอธิบายกันมาก ถอยหลังกลับไปเลยเป็นปฏิโลม เราก้าวเข้ามาในความเป็นพระอริยเจ้า สำหรับพระสกิทาคามี มีอะไร ๑ บรรเทาความรักในระหว่างเพศ ๒ บรรเทาความโลภในลาภทรัพย์สิน ๓ บรรเทาความโกรธความพยาบาท ๔ บรรเทาความหลง นี่สำหรับนักปราชญ์เขาอาจจะหาว่าไอ้ผมนี่มันยิ่งโง่ระยำหมา เพราะไอ้ความรักกับความโลภมันเป็นตัวเดียวกัน แต่ที่ผมแยกก็แยกกันความเข้าใจผิดของพวกท่าน
...............เราก็มานั่งคิดทำให้อารมณ์มันชินสิ จับอานาปานุสสติกรรมฐานกับพุทธานุสสติกรรมฐานให้ใจมันสบาย เราทำกันนี่ทำเพื่อให้ใจสบาย แต่ว่าทั้งสองอย่างนั่นจับเฉยๆ เป็นใจสบายในด้านของสมถภาวนา ที่นี้เราเอามาสบายในด้านของวิปัสสนาภาวนาด้วย เพราะว่าสบายในขั้นสมถภาวนามันสบายเดี๋ยวเดียว ประเดี๋ยวมันก็เลิกสบาย มาสบายในขั้นวิปัสสนาภาวนา เราไปนั่งไล่เบี้ยอีกนิดหนึ่ง ว่าพระโสดาบันกับพระสกิทาคามีนี่พระพุทธเจ้าท่านว่ายังไง มีอารมณ์ใจเป็นอะไรบ้าง ท่านบอกว่าพระโสดาบันกับพระสกิทาคามีเป็นผู้ทรงอธิศีล คือมีศีลมั่นคง มีสมาธิพอสมควร ไม่หนัก และก็มีปัญญาเล็กน้อย จำให้ดีนะ มีความมั่นคงในศีล มีสมาธิพอสมควร มีปัญญาเล็กน้อย นี่ยังไม่มาก ถ้าผมจะพูดสักนิดหนึ่ง ท่านจะหาว่าฟุ้งก็ตามใจ ผมขอพูดว่า ถ้านักบวชที่เป็นสมณะจริงๆ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี อารมณ์สองประการนี้เขาถือว่าเป็นเด็กเล่น ทำไมจึงว่าอย่างนั้นเพราะว่าเราบวชหรือว่าเป็นอุบาสกอุบาสิกา เรามุ่งมั่นอยู่ในศีลแล้ว ถ้าเรามีศีลเป็นสีลานุสสติกรรมฐานจนกระทั่งเป็นอารมณ์ฌาน นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ มีความนิยมนิพพานเป็นปัจจัยเป็นที่ไป เท่านี้ก็หมดเรื่อง ไม่เห็นมีอะไร ไอ้ตัวรักในเพศตัวโลภตัวโกรธตัวหลงมันจะมายังไง มันมาไม่ได้เพราะใจเรามีความมั่นคงในอารมณ์ของสมาธิในพุทธานุสสติ ในสีลานุสสติ ในมรณานุสสติ ในอุปสมานุสสติ แล้วตัวความชั่วมันไหลมาถึงใจได้ยังไง
...............เอ้าคุยกันต่อไปสักนิดหนึ่ง โมหะตัดความหลง หลงตรงไหน หลงคิดว่าเราจะไม่แก่ หลงคิดว่าเราจะไม่ป่วย หลงคิดว่าเราจะไม่ตาย เอาตรงนี้กันก่อน ทีนี้เราคิดหรือเปล่าว่าเราจะต้องแก่ เราจะต้องป่วย เราจะต้องตาย เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ คิดกันบ้างหรือเปล่า สังเกตดูให้ดีนะครับ ถ้าคนที่เขาคิดอย่างนี้ล่ะก็คนนั้นเขาทำแต่ความดี และเขาไม่ไปยุ่งกับกิจการของคนอื่น ใครจะดีจะชั่วช่างเขา เขาจะคุมเฉพาะกำลังใจของเขาโดยเฉพาะว่าเขาลืมส่วนนี้แล้วหรือยัง ทีนี้ถ้าเขาไม่ลืม เขาไม่ลืมเขาก็หันไปคว้าความดี ว่ารูปก็ดี เสียงก็ดี กลิ่นก็ดี รสก็ดี สัมผัสก็ดี ทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นของดีหรือของชั่ว ก็ต้องตอบได้ว่ามันเป็นของชั่ว การแต่งงานของคนทุกคน เป็นผู้แสวงหาความทุกข์ ทุกข์ที่มันจะพึงได้มา ทีแรกอยากแต่งงานก็ทุกข์เกรงว่าคนที่เรารักเขาจะไม่รักเรา ไอ้ตัวเกรงตัวนี้มันเป็นตัวทุกข์ ต่อมาเมื่อแต่งงานกันแล้วก็ทุกข์อีก เกรงว่าคนรักจะนอกใจ เกรงว่าจะไม่มีกินไม่มีใช้ ต้องประกอบการงานมากขึ้น เหน็ดเหนื่อยมากขึ้น มันก็ทุกข์ ต่อมาถ้ามีลูกมีเต้าขึ้นมา แล้วความสบายมันเกิดจากมีลูกตรงไหน กินก็ไม่สบาย นอนก็ไม่สบาย การเลี้ยงลูกมันง่ายนักรึ ต้องแบกภาระหนักนี่มันก็เป็นอาการของความทุกข์
...............นี้การต้องการครองคู่จะมีประโยชน์อะไรสำหรับคนฉลาด มีคนโง่เท่านั้นที่ต้องการเป็นคนมีคู่ครอง เพราะว่าทุกข์ที่มันมีอยู่ ชาวบ้านเขาทุกข์ให้เห็น ทำไมเราจึงไม่คิด ไอ้ตัวไม่คิดนี่มันตัวโง่ เราก็คิดตัดตัวความปรารถนาในรูป เสียง กลิ่น รสและสัมผัสว่ามันเป็นของไม่จีรังยั่งยืน เท่านี้เอง เอาปัญญาไปพิจารณาหาความเป็นจริง ให้มันบรรเทาความรักในเพศ ผมยังไม่ถือว่าตัด มันตัดไม่มาก ตัตเบาๆ เห็นว่าการแต่งงาน การมีคู่ครองเป็นภัย รูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศเป็นภัยใหญ่สำหรับเรา เป็นปัจจัยของความทุกข์ ผมจะไม่อธิบายอะไรให้มาก ตอนนี้มันเป็นตอนสรุป ถ้าจิตคิดได้อย่างนี้แสดงว่า เริ่มฉลาดแล้ว เริ่มฉลาดนะ ผมไม่ถือว่าฉลาดเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เริ่มฉลาด
...............มาถึงตอนความโลภ ความโลภโมโทสันในทรัพย์สิน อยากจะถามจริงๆ เถอะ เคยเห็นคนที่เขาตายไปแล้วนี่เขาแบกอะไรไปได้บ้าง โลกธรรม ๘ ประการนี่ควรจะบรรเทา ถ้าตั้งใจตัดเสียเลยนี่ไม่ใช่อะไรหรอก ไม่ใช่บรรเทาอย่างเดียว ตั้งใจตัดแต่แรงมันไม่มาก ตัดไม่หมดมันก็ขาดไปบ้าง มันเหลืออยู่บ้าง เหลือเบาๆ ตัดลงไปน้อย เบาน้อย ตัดมากเบามาก ทีนี้มันเบากันตรงไหน ก็เบากันอีตรงที่เราตัดได้ โลภะความโลภ ตะเกียกตะกายกันเกือบตาย ตายแล้วแบกอะไรไปไม่ได้ ความมีลาภเกิดขึ้น ลาภมากเท่าไหร่เราก็แก่ลงไปทุกวัน มีลาภมากเท่าไหร่มีทรัพย์มากเท่าไหร่ แล้วก็เจ็บป่วยกับเขาเป็น เรามีความร่ำรวยเท่าไหร่เราก็ตายเป็น เรามีความร่ำรวยเท่าไหร่เราก็พลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็น มันดีตรงไหน ความรวยมันต้องมีสำหรับฆราวาส เราไม่ถือ ถือว่าใจจงอย่าติดมัน คิดแต่เพียงว่าเราหามาได้ สักวันหนึ่งมันก็ต้องหมดไป ถ้ามันหมดไปแล้วถือว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา จะหมดเพราะการจับจ่ายใช้สอยเองก็ดี หมดเพราะว่าโจรปล้น หมดเพราะไฟไหม้ หมดเพราะลมพัดสลายตัว หมดเพราะน้ำท่วม ถ้ามันหมดเพราะเหตุเกินวิสัยที่เราจะป้องกันได้ เราก็ตามใจมัน ถือว่าหมดไปแล้วก็แล้วไป ไม่ใช่มีสมบัติแล้วก็โยนทิ้งอันนั้นใช้ไม่ได้ โง่จัด มีไว้ยังใช้อยู่ แต่ว่ามีความรู้ว่าเรากำลังจะต้องจากกัน มันจากไปก่อนเรา เราก็ไม่หนักใจ เราจากไปก่อนมันเราก็ไม่หนักใจ ถือว่าสมบัติของโลกเราแบกไปไม่ได้ แม้แต่ร่างกายของเราก็ยังแบกไปไม่ได้ ใจมันก็สบาย ให้จิตมันชินอย่างนี้
...............มาถึงด้านความโกรธ ความโกรธผมก็พูดเยิ่นเย้อ พูดกันถึงเรื่องเมตตา และก็กสิณสี่ ความจริงเราก็คิดกันแบบง่ายๆ ว่าคนที่เก่งน่ะ ตายหรือไม่ตาย นักรบที่เก่งกล้าอย่างสมเด็จพระนเรศวรมหาราชก็ดี พระเจ้าตากสินก็ดี พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกก็ดี สมเด็จพระราชวังบวรก็ดี ที่เรายังพอจะจำชื่อท่านได้ เวลานี้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นมีชีวิตอยู่หรือเปล่า แม้แต่กระดูกเราก็เกือบจะหาไม่ได้ นี่คนเก่งที่ฆ่าเขาตายได้ทั้งหมด แต่ตัวเองก็ตายเหมือนกัน ไม่สามารถจะทรงความเก่งไว้ได้ แต่ว่าท่านทั้งหลายที่กล่าวมานั้น ท่านเก่งในฐานะที่ว่าท่านสร้างความสุขให้กับปวงชนที่อยู่ภายในอำนาจที่ท่าน ปกครอง เป็นความดีของท่าน แต่ว่าผมไม่ได้ตำหนิท่านแต่ทว่าให้จำไว้ว่าจะเก่งสักเท่าไรก็ตามเราก็ตาย
...............ฉะนั้นจึงชื่อว่าคนเก่งที่ตาย เพราะเขาเก่งดี รักษาทรัพย์รักษาสินไม่น่าตำหนิ สมัยพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าอยู่ในบ้านในเมืองของพระเจ้าปเสนทิโกศล เมื่อศึกมาประชิดติดพระนคร พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ไปรบข้าศึก เมื่อรบชนะกลับมาแล้วก็เข้ามาฟังเทศน์ของพระพุทธเจ้า อันนั้นเนี่ยเขาเก่งดี ตามวิธีการของโลกก็ต้องเก่งตามนั้น ไม่ใช่มางอมืองอเท้า นั่งๆ อยู่ให้เขามากระทืบเล่นน่ะผมไม่เห็นด้วย ถ้าผมเองน่ะเห็นจะไม่ไหว ถ้ามีแรงจะกระทืบผมจะเฉยไม่ได้หรอก เพราะพ่อผมปฏิญาณตนมาแล้วผมไม่ได้เกิดมาให้คนกระทืบเล่น แต่ถ้ามันแก่แบบนี้คงสู้ใครไม่ได้ เป็นอันว่านี่เราพูดถึงใจธรรมดา แต่หากว่าเราจะมานั่งคิดโกรธคิดเกลียดชาวบ้าน ว่าเราจะเป็นศัตรูคนนั้นศัตรูคนนี้ มันจะมีประโยชน์อะไร ใจเราคิดไว้กลางๆ เสมอว่าเราจะไม่เป็นศัตรูของใคร เราคิดประทุษร้ายเขาหรือไม่ประทุษร้ายเขา เขาก็ตาย ไอ้คนที่มันทำให้เราโกรธนี่มันเป็นเรื่องของคนโง่ คนโง่เท่านั้นที่สร้างความไม่เป็นมิตรกับคนอื่น เพราะว่าถ้าเรามีศัตรูเราโกรธเขาเราก็มีแต่ความเร่าร้อน เราไม่โกรธเสียเลยดีกว่า คนที่ไม่โกรธเลยนี่ถ้าใครคิดประทุษร้าย คนนั้นย่อมถึงความพินาศทุกราย
...............โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเนื่องในความอกตัญญูไม่รู้คุณคนล่ะก็เร็วเหลือเกิน จะเห็นอย่างพระเทวทัตเหาะเหิรเดินอากาศได้มีฤทธิ์มีเดชมีอภิญญา อาศัยความโลภในความเป็นใหญ่ ความโกรธในพระพุทธเจ้าที่ไม่มอบหมายความเป็นใหญ่ให้ สองตัวนี้ฆ่าคนชั่ว ในที่สุดพระเทวทัตก็หมดฤทธิ์หมดเดชหมดอำนาจ หมดความเคารพนับถือในบุคคลทั้งหลาย และผลสุดท้ายพระเทวทัตก็ลงอเวจีไป เป็นอันว่าความโกรธมันเผาผลาญใจไม่ให้มีความสุข เราจะไปโกรธมันทำไม ใครเขาอยากจะโกรธก็เชิญให้เขาโกรธตามสบาย เขาโกรธเรามากเท่าไรเขาตายเร็วเท่านั้น เพราะว่าถ้าโกรธมากก็กินไม่ได้นอนไม่หลับแล้วก็ตายไปเอง คนโกรธไม่มีปัญญา อย่าลืมนะครับว่าคนมีความโกรธน่ะไร้ปัญญา ไร้ความคิด ไร้ความฉลาด อำนาจความโกรธมันเผาผลาญ สมัยที่ผมเป็นนักเทศน์ ก่อนที่จะเป็นนักเทศน์ ยังเป็นนักเรียนอยู่ ครูสอนนักสอนหนาว่าเวลาเทศน์น่ะอย่าไปโกรธเขานะ เขาจะว่าหนักว่าหนายังไงก็ตาม อย่าโกรธ ถ้าโกรธแล้วปัญญาที่จะตอบมันไม่มี นี่เป็นความจริง
...............ฉะนั้น เมื่อเรามาพิจารณาเห็นว่าความโกรธเป็นของไม่ดี เราจะโกรธทำไม ยิ้มรับกับความชั่วที่คนอื่นเขาหยิบยื่นให้ เราดี เขาว่าไม่ดี เราก็ยิ้ม เราชั่ว เขาชมว่าเราดีเราก็ยิ้ม ยิ้มทำไมคือยิ้มเยาะ ว่า โธ่เอ๊ย เจ้านี่มีอาการ ๓๒ มีจิตใจเหมือนคนธรรมดาแต่ว่าโง่บัดซบแบบนี้จะคบอะไรมันได้ ทั้งคนที่ตำหนิเราก็ดี ทั้งคนที่ชมเราก็ดี เราไม่ต้องการคบหาสมาคม เว้นแต่เพียงว่าถ้าเจอะหน้ากันก็พูด ยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นปรกติ แต่ในใจของเราจงตัดขาดจากคนนั้น คือไม่ยอมรับนับถือบุคคลนั้นเด็ดขาด ถ้ามันดีแล้วมันจะติเราทำไม มันดีแล้วมันจะชมเราทำไม ถ้าเขาชมตามความเป็นจริง อันนี้ก็ยอมรับ แต่ก็อย่าเหลิง เขาว่าดีแล้วจงอย่าเหลิง ถ้าเหลิงเมื่อไรชั่วเมื่อนั้น อันนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเคยตรัสว่าสมัยเมื่อพระองค์เป็นเด็ก สมเด็จพระราชชนนีเคยชมว่าเธอทำดี พอชมแล้วท่านชี้หน้าว่าอย่าเหลิงนะ วันนี้เธอทำดี ฉันชมเธอว่าดี ต่อไปเธอหลงดี เหลิง เธอจะชั่ว นี้พระองค์ทรงตรัสว่าพระองค์จำไว้เสมอว่าคำว่าดีนี่พระองค์ไม่เคยคิด คิดไว้เสมอว่าตัวยังไม่ดีเสมอ ตรงกับที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า อัตนา โจทยัตตานัง จงกล่าวโทษโจทก์ความผิดใจของเราไว้เสมอ อย่าไปชมตัวว่าดี ถ้าบุคคลใดก็ตามทำได้อย่างนี้ โมหะก็ดี ราคะหรือว่าโลภะหรือว่าโทสะหรือว่าโมหะ กิเลสทั้งหมดมันก็หนีเราไปหมด อัตนา โจทยัตตานังนี่กิเลสไม่เหลือ เวลาเหลือนิดเดียว เดี๋ยวจะลืม จะขอพูดถึงอารมณ์ของพระสกิทาคามี ท่านอย่าหลงตัวเองนะ อารมณ์ของพระสกิทาคามี ๑ ความรู้สึกในระหว่างเพศมีน้อยเต็มที คำว่ามีน้อยหมายความว่านานๆ จะมีความรู้สึกนึกรักใครมาสักนิดหนึ่ง หรือว่าวัตถุ มีความรู้สึกมาแล้วมันก็สลายตัวไป ใจเบาสบาย ระวัง ขั้นพระสกิทาคามีอย่าเพิ่งนึกว่าตัวเป็นพระอรหันต์ สำหรับโลภะความโลภนี่สบายมาก ไอ้เรื่องที่ต้องมาโลภโมโทสัน หากินในทางที่ไม่ถูกธรรม ไม่มีสำหรับพระสกิทาคามี ไม่ตะเกียกตะกาย ไม่ยื้อแย่งลาภสักการะของบุคคลใด ไม่หาอาชีพที่ไม่สมควรเข้ามาไว้กับตัว สบาย ไม่มี จิตอยากจะสะสมมันไม่มี มันสบาย โปร่ง ความจริงพระสกิทาคามีนี่พูดไปเฉยๆ ก็คล้ายพระอรหันต์นะ คล้ายๆ กัน แต่ว่ายังมีเหลือติดอยู่นิดๆ
...............ที่นี้มาด้านความโกรธ พระสกิทาคามียังมีกระทบจิตโกรธ แต่โกรธแล้วมันหลุดเร็ว ให้อภัย เออ ช่างมันเถอะ มันผิดแล้วก็แล้วกันไป เว้นไว้แต่ว่าทำงานผิดระเบียบวินัย ผิดกฎข้อบังคับ ต้องลงโทษ คือพระพุทธเจ้าท่านยังลงโทษ สำหรับความหลงทะเยอทะยาน ไม่มีในอารมณ์ใจของพระสกิทาคามี คำว่าไม่มีหมายความว่าดีกว่าปุถุชน คือไม่หลงใหญ่ มีหลงก็หลงเล็ก ไอ้หลงเล็กมันเป็นยังไง คือหลงเคลิ้มๆ ก็ยังเห็นว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเราอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ลืมว่าร่างกายจะตาย
...............เอาละ บรรดาท่านทั้งหลาย มองดูเวลาเห็นมันหมดเสียแล้วนี่ครับ ต่อนี้ไป ขอทุกท่านพยายามรวบรวมกำลังใจ ทบทวนคำสอนตั้งแต่ต้นจนกระทั่งถึงปัจจุบันที่ผมกำลังสอนอยู่ ถอยหน้าถอยหลัง ถอยหลังถอยหน้า ใคร่ครวญเป็นปรกติ อย่าให้อารมณ์ใจของท่านขาดจากอารมณ์อย่างนี้ ความเป็นพระสกิทาคามีจะมีแก่ท่านอย่างไม่ยาก ต่อนี้ไปขอทุกท่านตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัยกว่าจะถึงเวลาที่ท่านทั้งหลายเห็นสมควรจะ เลิก สวัสดี
ส่งให้เพื่อน
Create Date : 24 มีนาคม 2553 |
|
75 comments |
Last Update : 24 มีนาคม 2553 11:41:19 น. |
Counter : 997 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 24 มีนาคม 2553 12:02:54 น. |
|
|
|
| |
โดย: พ่อระนาด 24 มีนาคม 2553 12:40:15 น. |
|
|
|
| |
โดย: อุ้มสี 24 มีนาคม 2553 13:30:46 น. |
|
|
|
| |
โดย: cengorn 24 มีนาคม 2553 13:54:29 น. |
|
|
|
| |
โดย: The Anis (The Anis ) 24 มีนาคม 2553 14:15:14 น. |
|
|
|
| |
โดย: sawkitty 24 มีนาคม 2553 14:45:17 น. |
|
|
|
| |
โดย: โซดาบ๊วย IP: 203.144.144.165 25 มีนาคม 2553 4:14:11 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 25 มีนาคม 2553 22:33:14 น. |
|
|
|
| |
โดย: พ่อระนาด 25 มีนาคม 2553 23:17:28 น. |
|
|
|
| |
โดย: มินทิวา 26 มีนาคม 2553 5:51:46 น. |
|
|
|
| |
โดย: โซดาบ๊วย 26 มีนาคม 2553 11:57:14 น. |
|
|
|
| |
โดย: The Anis (The Anis ) 26 มีนาคม 2553 18:58:28 น. |
|
|
|
| |
โดย: พ่อระนาด 27 มีนาคม 2553 22:54:57 น. |
|
|
|
| |
โดย: อ้อย (ooybangyom ) 28 มีนาคม 2553 21:00:23 น. |
|
|
|
| |
โดย: maxpal 29 มีนาคม 2553 1:31:36 น. |
|
|
|
| |
โดย: ตัวp_box 29 มีนาคม 2553 10:50:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: nootikky 29 มีนาคม 2553 13:43:56 น. |
|
|
|
| |
โดย: โซดาบ๊วย 29 มีนาคม 2553 22:38:33 น. |
|
|
|
| |
โดย: พธู 30 มีนาคม 2553 13:31:40 น. |
|
|
|
| |
โดย: sawkitty 30 มีนาคม 2553 16:46:45 น. |
|
|
|
| |
โดย: โซดาบ๊วย 30 มีนาคม 2553 22:52:00 น. |
|
|
|
|
|
|
|
มาขอฟังหลวงพ่อเทศน์เรื่องโมหะค่ะ
เดี๋ยวนี้ดีจัง
ไม่ต้องอ่าน ฟังอย่างเดียวจะได้ทำสมาธิไปด้วย
อนุโมทนาค่ะ