|
|
| | 1 |
| 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
| 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
| 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
| 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
| 30 | 31 | |
|
| |
|
|
|
|
|
|
|
|
อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ ๑๘ / ๑๘ (ตอนจบ)

พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
สอนพระกรรมฐานในระหว่างเข้าพรรษาปี ๒๕๒๑ อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ ๑๘ พระอรหัตตผล (ตอนจบ)
...............บัดนี้ท่านทั้งหลาย ได้พากันสมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐานแล้ว ระยะนี้ท่านทั้งหลายกำลังศึกษาอยู่ในอานาปานุสสติกรรมฐาน แต่ว่าตอนนี้ตอนอรหัตตผล ขอได้ทราบว่าอานาปานุสสติกรรมฐานนี่ ท่านจะพึงศึกษากรรมฐานอีก ๓๙ กอง ท่านจงอย่าเว้นอานาปานุสสติกรรมฐาน ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายเว้นอานาปานุสสติกรรมฐานเสียแล้ว ผลจะไม่มีสำหรับท่าน เพราะว่าอานาปานุสสติกรรมฐานเป็นกรรมฐานระงับอารมณ์ฟุ้งซ่านของจิต และเป็นกรรมฐานระงับกายสังขารคือระงับทุกขเวทนาที่เกิดทางกาย กำลังใจของท่านที่เจริญพระกรรมฐานจงอย่าสนใจกับร่างกาย มีความเข้มแข็งในจิตคิดว่ามันจะตายเสียได้เวลานี้ก็ดี เคยได้ฟังมาบ่อยๆ อาการทางกายเกิดแบบนั้นเกิดแบบนี้นิดๆ หน่อยๆ ก็มีความห่วงใยมีการกังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการของปีติ ๕ เกิดขึ้น ซึ่งหลักสูตรมีอยู่แล้ว แต่ทว่าก็ยังมีคนมาพูดมาถาม ว่ามันเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ มันยังไง คนประเภทนี้ผมไม่อยากพูดด้วย ตำรามีอยู่ไม่สนใจกับตำรา และก็ยังห่วงขันธ์ ๕ แม้แต่อาการเล็กน้อยยังห่วง ชีวิตทำไมจะไม่ห่วง ถ้าห่วงชีวิตจะเป็นพระอริยเจ้าได้ยังไง ฉะนั้นคนประเภทเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อนี่ อย่ามายุ่งกับผม ผมจะไม่สนใจกับบุคคลประเภทนี้เป็นอันขาด ดีไม่ดีก็ไล่ส่ง พอถามเข้ามา ดีไม่ดีก็ไล่ส่งเดช เพราะว่าไม่อยากจะคบหาสมาคม เบื่อหน่ายเพราะสอนกันมาเท่าไหร่ไม่รู้จักจำ แบบแผนมีแล้วไม่รู้จักประพฤติปฎิบัติ ขอบรรดาท่านทั้งหลายสังวรเรื่องนี้ให้ดี
...............วันนี้มาสรุปกันถึงผลการปฏิบัติตนเพื่อความเป็นพระอริยเจ้า ที่พูดกันมามากน่ะความจริงผมก็ไม่อยากจะพูด นี่ต้องใช้คาสเซ็ตต์กันถึง ๙ คาสเซ็ตต์ เพียงแค่ผลที่จะนำตนให้ถึงความเป็นพระอรหันต์ ตามที่เขาศึกษากันมาจริงๆ เขาศึกษากันไม่เกิน ๓๐ นาที เมื่อฟังเท่านี้แล้วก็นำไปประพฤติปฏิบัติจนกว่าจะได้อรหัตตผล คือคนจริงๆ เขาทำกันแบบนี้ แต่ว่าการที่จะบรรลุเร็ว บรรลุช้า นั่นขึ้นกับกำลังใจ กำลังใจของเรามีความเด็ดเดี่ยว มันก็ได้บรรลุเร็ว ถ้ากำลังใจอ่อนแอก็ได้บรรลุช้า ประเภทป้อแป้เอาไหนไม่ได้ตกนรกไปเลย
...............ต่อนี้ไปก็ขอพูดกันถึงความสรุปตนเป็นอรหันต์ เป็นของไม่ยาก อย่าไปติดตำราให้มาก เอนกชาติสังสารัง สันธาวิสสังอะไรนี่ หรือว่าอวิชชาปัจจยาสังขารา สังขารปัจจยาวิญญาณัง วิญญาณปัจจยา ไล่กันไปเถอะ ไล่ส่งเดชเป็นนกแล้วนกขุนทอง มันจะเกิดประโยชน์อะไร ปฏิจจสมุปบาท ที่ผมไม่สอนเรื่องปฏิจจสมุปบาทก็ดี เอนกชาก็ดี ผมเห็นว่าไม่จำเป็น ดูตัวอย่างถึงบุคคลผู้สนใจจริง และก็ศึกษาเรื่องความเป็นพระอรหันต์ ขอยกตัวอย่างในพระสูตร ว่าครั้งหนึ่งบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายได้ศึกษาพระกรรมฐานกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุธเจ้าโดยสังเขป หลังจากนั้นจึงได้ลาองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์เพื่อจะเข้าป่า สมเด็จพระบรมศาสดา จึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า ภิกขเว ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เธอไปลาสารีบุตรแล้วหรือยัง บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายเหล่านั้นกราบทูลว่า ยังพระพุทธเจ้าข้า สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น เธอจงไปลาสารีบุตรเสียก่อน ทั้งนี้เพราะว่าองค์สมเด็จพระชินวรทรงทราบว่าพระสารีบุตรจะพูดว่ายังไง เมื่อบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายเข้าไปหาพระสารีบุตร นมัสการแล้ว พระสารีบุตรจึงถามว่า เธอจะไปไหน พวกเธอทั้งหลายก็บอกว่า จะลาเข้าไปปฏิบัติตนในป่า นี่ขอพูดถึงสองเรื่องซ้อนแต่เอามากล่าวเป็นเรื่องเดียวกัน พระสารีบุตรถามว่าถ้าเธอเข้าไปอยู่ในป่าในแดนไกลในชนบท ถ้าเขาถามว่าเธออุปสมบทบรรพชาในพระพุทธศาสนาหวังประโยชน์อะไร เธอจะตอบว่ายังไง บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายก็กราบเรียนว่า ไม่ทราบว่าจะตอบยังไงดีพระเจ้าข้า พระสารีบุตรจึงบอกว่าถ้าเขาถามเธอเช่นนั้น เธอจงตอบว่า การที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนานี้ บวชเข้ามาเพื่อความดับไม่มีเชื้อ จงจำไว้ พระสงฆ์ทั้งหลายเหล่านั้นก็จำไว้ คำว่าความดับไม่มีเชื้อนี่หมายความว่าสังโยชน์ทั้งสิบประการจะไม่มีเชื้อติดอยู่ในจิตของเรา จำคำนี้ไว้ว่าการบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนานั้น บวชเพื่อความดับไม่มีเชื้อ คือกิเลสหมดจากจิต
...............นี่อีกเรื่องหนึ่งคือบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายถามพระสารีบุตรว่าถ้าผมเป็นปุถุชน ต้องการจะเป็นพระโสดาบัน จะปฏิบัติยังไงพระเจ้าข้า พระสารีบุตรจึงกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ถ้าพวกท่านทั้งหลายยังเป็นปุถุชนคนหนาแน่นไปด้วยกิเลส ปรารถนาจะปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ ให้เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน จงพิจารณาในสักกายทิฏฐิ ก็คือพิจารณาว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่เรารวมกันเรียกว่ากาย อันนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา หรือว่าเราไม่มีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีในเรา เธอพิจารณาอย่างนี้ไว้เสมอ เท่านี้จิตเธอจะละเอียดลง เมื่อจิตของเธอละเอียดลง เธอก็เป็นพระโสดาบัน บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายเหล่านั้นจึงกราบเรียนถามต่อไปว่า ในเมื่อพวกผมเป็นพระโสดาบันแล้ว ผมจะทำยังไงจึงจะเป็นพระสกิทาคามี พระสารีบุตรจึงได้ตอบสุนทรวาทีบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายว่า ถ้าเช่นนั้น เธอก็จงพิจารณาขันธ์ ๕ นั่นแหละ ที่เราเรียกกันว่าสักกายทิฏฐิ ว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีในเรา เมื่ออารมณ์จิตละเอียดลงแล้ว เราก็เป็นพระสกิทาคามี บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายถามอีกทีว่า เมื่อผมเป็นพระสกิทาคามีแล้ว จะเป็นพระอนาคามีจะทำยังไง ท่านก็บอกว่าปฏิบัติเช่นเดียวกัน พิจารณาขันธ์ ๕ เช่นนั้น พิจารณาแบบนั้น เมื่อจิตละเอียดลงก็เป็นพระอนาคามี พระสงฆ์ถามอีกว่าถ้าผมจะเป็นพระอรหันต์ทำยังไง ท่านก็บอกว่าพิจารณาอย่าวเดียวกัน พระสงฆ์ทั้งหลายเหล่านั้นถามต่อไปว่า ถ้าผมเป็นพระอรหันต์แล้วหยุดเลยใช่มั้ย พระสารีบุตรตอบว่าไม่ใช่ พระอรหันต์ยังพิจารณาขันธ์ ๕ อยู่เพื่อความอยู่เป็นสุข เพียงเท่านี้ท่านเข้าใจแล้วหรือยัง ในการปฏิบัติจริงๆ น่ะเขาไม่ใช้อะไรมาก เขาใช้อย่างนี้ไม่ต้องไปแบกตำราเป็นหอบๆ ไม่ต้องไปนั่งทองตำราให้มันเหนื่อย แต่ผมน่ะท่องมาแล้วนะ ตำราที่ผมเรียนเนี่ย ถ้าจะเอาน้ำหนักตัวผมไปชั่งกับตำรา คิดว่าตำราที่ผมอ่านเนี่ยมันเกินกว่าร้อยเท่าของน้ำหนักตัวผม ผมคิดว่ากุฏิที่ผมนั่งอยู่เวลานี้ถ้าจะใส่ตำราที่ผมเรียนมันไม่พอ คือไม่พอใส่ แค่เรียนนักธรรมตรี เพื่อนเขามีหนังสือสามเล่ม แต่ผมแบกสามแบกยังไม่พอเลย นิสัยผมเป็นคนชอบค้นคว้า ถ้าหนังสือเล่มนั้นพาดพึงถึงอะไร ผมต้องหาซื้อมาอ่านให้ได้ แต่เป็นอันว่าเมื่ออ่านกันเข้าไปแล้ว ก็มาจบกันอยู่ตรงนี้ จบกันอย่างพิศดารก็คือสังโยชน์ ๑๐ เราตั้งตัดให้ได้
...............การตัดสังโยชน์ ๑๐ ก็คือตัดตัวแรก ได้แก่สักกายทิฏฐิ อันนี้ในขันธวรรคปรากฏว่า มีพราหมณ์ถามพระพุทธเจ้าถึงกิเลสหลายสิบประการ ว่าจะห้ำหั่นกิเลสทั้งหลายเหล่านี้ทั้งหมดให้หมดไปใช้อะไร องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ก็ทรงตัดไว้เช่นเดียวกับพระสารีบุตรว่า จงตัดที่ขันธ์ ๕ คือเห็นว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไม่มีในเรา เท่านี้ ไหวมั้ย การปฏิบัติจริงๆ เขาจับกันอยู่ตรงนี้เท่านั้นเอง ที่ผมพูดมามากน่ะกันคนเลอะเทอะ กันที่คนมีปัญญาทรามไม่รู้จักใช้ปัญญาพิจารณาให้เป็นประโยชน์ หากว่าจะถามว่าเวลาผมศึกษา ผมศึกษาตรงไหน คำว่าศึกษานี่หมายถึงการปฏิบัติ ผมก็ยึดคำสอนขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ที่ตรงกับคำสอนของพระสารีบุตร นี้เป็นเครื่องปฏิบัติโดยเฉพาะ นอกจากนั้นผมเล่นเป็นกีฬาสมาธิของผม ปรกติ ผมเป็นคนชอบจุกจิก ใครเขามีอะไร ใครเขาทำอะไรได้ ก็ต้องคิดว่าเขากินข้าว เรากินข้าว เขามีมือมีเท้าอย่างละสิบนิ้ว เราก็มีมือมีเท้าอย่างละสิบนิ้ว เมื่อเขาทำได้เราต้องทำได้ ถ้าทำไม่ได้อย่างเขาให้มันตายไป เรื่องชีวิตถ้าไม่มีความสามารถมันก็ไม่มีความหมาย ถ้าทำแล้วในขณะนั้น ถ้าผลมันยังไม่สำเร็จเพียงใด เราจะยอมตาย ยึดถึอกำลังใจขององค์สมเด็จพระจอมไตรขณะที่ทรงอธิษฐานจิตนั่งอยู่ที่โคนโพธิ์ ตอนนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงคิดว่า เราจะนั่งอยู่ตรงนี้ เลือดและเนื้อของเราจะเหือดแห้งไปก็ตามที หรือว่าชีวิตินทรีย์จะตักษัยก็ตาม ถ้าเรายังไม่ได้สำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณเพียงใด เราจะไม่ยอมลุกจากที่นี่ คำว่าไม่ยอมลุกมันก็ไม่ยอมกินด้วย เพราะไม่มีอะไรจะกิน กำลังใจจริงๆ มันอยู่ตรงนี้ การที่เขาทำได้มาเขาทำกันอย่างนี้ มีกำลังใจอย่างนี้ จำไว้ให้ดีนะ คำว่าไม่สามารถ คำว่าไม่ไหว คำว่าไม่เข้าใจ อย่ามาพูดให้ผมฟัง เพราะพูดให้ฟังทุกอย่างแล้ว ถ้าไม่สามารถ ไม่เข้าใจ ไม่ไหว ไปเสียจากที่นี่ ไปเสียเลยอย่ามาอยู่ อย่ามาอยู่ให้มันรกสถานที่ เราไม่ต้องการคนประเภทนี้ คำว่าไม่สามารถ ไม่เข้าใจ เขาสอนกันมาไม่รู้เท่าไหร่ ไม่เข้าใจจงอย่าอยู่ที่นี่ นี่เราต้องใช้อารมณ์ของเราเด็ดเดี่ยวแบบนี้ ตายให้มันตายไป
...............หันเข้าไปจับสังโยชน์ ๑๐ เวลาปฏิบัติจริงๆ ต้องเอาใจจับสังโยชน์ ๑๐ เป็นอารมณ์ สังโยชน์ ๑๐ ๓ ข้อเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี เขาพิจารณากันขั้นขันธ์ ๕ ตัวเดียว เห็นว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ร่างกายมันเป็นธาตุ ๔ ประชุมกัน มีการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย เป็นที่สุด มันเป็นปัจจัยของความทุกข์ แล้วเราจะนั่งยึดถือมันเพื่อประโยชน์อะไร ดูในท้ายมหาสติปัฏฐานทุกข้อ ท่านบอกว่าจงอย่าสนใจในกายของเรา คือกายภายในและก็กายของเรา ตัวเรา จงอย่าสนใจกายภายนอก คือร่างกายของผู้อื่น จงอย่าสนใจวัตถุธาตุใดๆ ทั้งหมด ถ้าเราไม่สนใจ อารมณ์ติดมันก็ไม่มี เมื่อไม่สนใจกายเรา ไม่สนใจในกายเขา ไม่สนใจวัตถุธาตุ จิตมันก็โปร่งจากกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันจะจากไหน ที่มันมีความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็เพราะว่าสนใจกายเรา สนใจกายเขา สนใจทรัพย์สินต่างๆ คำว่าไม่สนใจไม่ใช่โยนทิ้ง มี เก็บรักษาไว้ ทำให้มันเป็นประโยชน์ อย่าให้มันเป็นโทษ แค่นั้นพอ ตายแล้วเลิกกัน เมื่อร่างกายเราจะต้องพังในที่สุด เราจะต้องยึดถืออารมณ์เป็นสำคัญคือตัดอบายภูมิ ได้แก่พิจารณาความดีของพระพุทธเจ้า ความดีของพระธรรม ความดีของพระอริยสงฆ์ เห็นว่าดีแล้วยอมรับนับถือปฏิบัติตาม สิ่งที่ท่านให้ปฏิบัติตามอันดับแรกก็คือ ศีล ๕ ทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ เพียงเท่านี้เราทำได้มั้ย ถ้าทำไม่ได้ก็ตั้งใจไปอบายภูมิ เพียงเท่านี้เราก็เป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี ยากหรือเปล่า อย่าฟุ้งกับตำราให้มันมากเกินไป ตำรารู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม ใช้ตำราให้เป็นประโยชน์ อย่าใช้ตำราเป็นเครื่องโอ้อวดคนอื่น อัปจายนธรรม ธรรมเป็นเครื่องอ่อนน้อม ทรงไว้ให้เป็นปรกติ กายอ่อนน้อม วาจาอ่อนน้อม ใจอ่อนน้อม ใจมันจึงจะดี ถ้าใจมันแข็งกระด้าง มันเลว จำไว้นะ แล้วต่อไปเมื่อพิจารณาร่างกายของเราว่าขันธ์ร่างกายของเรา มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่สนใจร่างกายเรา ไม่สนใจร่างกายคนอื่น ไม่สนใจวัตถุธาตุ ในเมื่อไม่สนใจเรา ไม่สนใจเขา ไม่สนใจวัตถุ มันมีจุดไหนหนอที่มันจะเกิดกามารมณ์ มีมั้ย เห็นผู้หญิงสวย ผู้ชายสง่า เราไม่สนใจ และก็ทรัพย์สินทั้งหลาย เราก็ไม่สนใจ มันเป็นของโลก อารมณ์ใดๆ ที่มันเกิดขึ้นกับเรา ในเมื่อเราไม่สนใจกาย มันจะสนใจอารมณ์อะไร ไม่มี นี้การกระทบกระทั่งกับอารมณ์ที่เราไม่สนใจ มันจะมีได้ยังไง ใครเขาด่าเขาว่าเขานินทา เราก็ช่างมัน เพราะอะไร เขาด่า เขาด่ากาย เห็นกายไม่ใช่เรานี่ มันไม่ถูกเรา คนด่า คนบ้า ไม่ใช่คนดี ไม่สนใจกับทุกอย่าง คนสวยเราไม่สนใจ คนสง่าเราไม่สนใจ วัตถุธาตุที่สวยเราไม่สนใจ วัตถุธาตุที่งามเราไม่สนใจ อารมณ์รักในกิเลสมันจะเกิดขึ้นได้ยังไง การกระทบกระทั่งในจิต มันจะเกิดขึ้นได้ยังไง อารมณ์จิตมันก็เป็นอุเบกขารมณ์ เท่านี้เราก็เป็นพระอนาคามี ไม่เห็นมันจะยากตรงไหน รักษากำลังใจให้มันมั่นคงจริงๆ ให้จิตมันแน่วแน่จริงๆ อย่าเอาจิตเข้าไปยุ่งกับอารมณ์ภายนอก ทำงานทุกอย่างเพื่อสาธารณประโยชน์ เราทำเพื่อพระนิพพาน ที่เราทำนี่เราทำเพื่อไม่เกิด ไม่ได้ทำเพื่อเกิด ไม่เกิดทำทำไม ก็ทำเพื่อเป็นการตัดอารมณ์ว่าไอ้งานที่เราทำไปแล้ว เราลงทั้งทุนทั้งแรง แต่ว่าทำไปแล้วเราก็รู้ว่ามันเป็นอนิจจัง ของไม่เที่ยง อนัตตาไม่ช้าก็สลาย มันไม่ตายก่อนเราก็ตายก่อน มันไม่พังก่อนเราก็ตายก่อน เราทำเพื่อจิตตัดโลภะ ความโลภ การทำงานอารมณ์มันจุกจิก ฝึกอารมณ์ใจใหัมันเย็นตัดความโกรธ การไม่สนใจว่ามันเป็นของเราเพราะว่าเรากับมันไม่ช้าก็ต่างกันเมื่อไร เป็นการตัดความหลงไปนิพพานเลย
...............นี้พระที่ทำงานที่ใช้อารมณ์แบบนี้ไปนิพพานง่ายๆ ไม่ยาก ไม่เห็นมีอะไรยาก ตอนที่จะเข้าเป็นอรหัตตผล อันนี้ก็ไม่ยากอีกไปนั่งพิจารณาว่าร่างกายมันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ก็ร่างกายของเรา เรายังไม่สนใจว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา รู้แล้วว่ามันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราจริงๆ มันแก่ มันหิว มันหนาว มันร้อน มันกระหาย ทุกอย่าง มันไม่มีอะไรเป็นปัจจัยของความสุขมีแต่ความทุกข์ ในที่สุดมันก็พัง ถ้ามันเป็นเราจริงเป็นของเราจริงมันจะพังเรอะ ไม่พัง ในเมื่อไม่สนใจกับร่างกายเรา แล้วทำไมเราจะสนใจกับร่างกายคนอื่น ซึ่งมันมีสภาพเหมือนกัน สกปรกโสมม แล้วก็พังไปในที่สุด ทรัพย์สินในโลกมีอะไรบ้างที่เราควรจะสนใจ เราก็หันเข้ามาดูว่ากามารมณ์ รูปราคะ อรูปราคะ รูปฌานก็ดี อรูปฌานก็ดี ยังเป็นจุดแห่งความเมาของจิต ถ้าหลงติดอยู่แค่รูปฌานและอรูปฌานนี่ เราก็โง่เต็มที กิเลสที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงให้ตัด ยังมีอีก ๓ นอกจากรูปฌานและอรูปฌาน รูปฌานและอรูปฌานเราทรงไว้จริงแต่เราไม่ติดอยู่แค่นั้น เราจะใช้รูปฌานและอรูปฌานเป็นยานพาหนะสำหรับขี่เข้าโจมตีข้าศึก ข้าศึกที่จะเข้าตีข้างหน้านั่นก็คือ มานะ ความถือตัวถือตน ในเมื่อจิตของเราไม่สนใจกับร่างกายของเรา เอาอะไรมาถือตัวถือตน มีมั้ย จำให้ดี ถ้าเราไม่สนใจร่างกายของเรา เห็นว่ามันเลอะเทอะสกปรก น่าเกลียด มันมีสภาพเป็นศัตรู แล้วเขามาชมว่าเราขาว มาติว่าเราดำ หน้าเบี้ยว หน้าบูด จมูกแหว่ง ตาโหว่ เราก็ยิ้ม ยิ้มได้เพราะมันไม่ใช่ของฉันนี่จ๊ะ มันจะเป็นของมันอย่างนั้นก็ช่างมันปะไร เราเขามาเทียบเปรียบกับวรรณะหรือว่าฐานะหรือว่าศักดิ์ศรี เรามีความรู้น้อยกว่าเขา เขามีความรู้ดีกว่าเรา เขามีเกียรติตระกูลดีกว่าเรา เขามีฐานะดีกว่าเรา เราก็ยิ้ม บอกว่าโธ่เอ๊ย เจ้าผีดิบ เจ้าผีดิบนี่ยังไปติดความชั่วอย่างมาก ก็สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมันเป็นเปลือกเท่านั้น มันเป็นเครื่องถ่วงให้ติดอยู่ในทุกข์ ทำไมจะไปยุ่งกับมัน จิตเราตัดได้คิดได้อย่างนี้ ตัวมานะมันก็ไม่มี หาย ง่ายๆ ผมขอพูดย่อๆ ผมพูดมามากเกินไป นี่ก็จะถึงอรหันต์ นี่มันไม่มีอะไรของง่ายๆ
...............ทีนี้มาอุทธัจจะ อุทธัจจะนี่คิดว่านั่นเป็นเรา นี่เป็นของเรานี่ยังมีอยู่บ้าง โยนทิ้งมันไปเสียสิ จิตตั้งเฉพาะพระนิพพานเป็นอารมณ์ นั่งคลำมันเลย จิตมันติดอยู่ในกามฉันทะบ้างหรือเปล่า จิตมันติดอยู่โลภะความโลภบ้างหรือเปล่า จิตมันติดอยู่ในความโกรธไว้ จิตมันติดอยู่ในความหลงไหม ถ้ามันมีก็แก้ไขให้มันพ้นไป เท่าที่ศึกษามาแล้ว มันก็ไม่ยาก และมาดูอีกทีตัวอวิชชา อวิชชาคือฉันทะกับราคะ ใช้ปัญญาให้มันรู้จริงๆ อย่าถือสัญญา ไอ้ที่แบกตำราคุยว่าเรียนมามากๆ น่ะเลอะด้วยประการทั้งปวง ฟังเสียงพูดเห็นอาการนั่งก็รู้แล้วว่ายังเลวเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ มันต้องดูจุดนี้ว่าเราติดอะไรบ้าง มนุสสโลก เทวโลก พรหมโลก เป็นที่พอใจของเราหรือเปล่า มนุสสโลก เทวโลก พรหมโลกเป็นที่ปรารถนาของเราหรือเปล่า เห็นว่ามันสวยสดงดงาม มีหรือเปล่า ถ้าไม่มีล่ะก็ อัปจายนธรรมมันก็ครบถ้วน จิตมันก็ละเอียด มันเป็นปัจจัยของความทุกข์ เราต้องการความสุขที่สุด ไอ้ความสุขชั่วคราวเราไม่ต้องการ นั่นก็คือ พระนิพพาน การไปพระนิพพานเขาทำกันยังไง เอาจิตตัดร่างกายให้รู้สภาพตามความเป็นจริงด้วยปัญญา คิดว่าโลกนี้เราไม่ต้องการ ร่างกายพังหรือ เชิญพังจ้ะ เธอจะป่วยก็เชิญป่วย ฉันห้ามเธอไม่ได้ เธอจะแก่ก็เชิญแก่มันเรื่องเธอ เธอจะมีทุกขเวทนาใดๆ เกิดขึ้น ถือว่านั่นมันเป็นเรื่องของเธอฉันห้ามไม่ได้ เธอพังเมื่อไหร่ฉันพร้อมที่จะไปพระนิพพาน เธอกับฉันมีชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ไม่มีอะไรที่เราจะมีการผูกพันกันอีก ถือว่าเรามีสัญญาหย่ากันเด็ดขาด ฉันโง่มาแล้วหลายแสนชาติ แต่ชาตินี้ขอฉลาดสักชาติหนึ่ง แล้วก็เธอจะใช้ฉันได้แต่เพียงชาตินี้ชาติเดียว ชาติต่อไปเธอกับฉันไม่มีความหมายสำหรับกัน นี่ตัดแค่นี้ก็เป็นพระอรหันต์ คิดแค่นี้หน่อยเดียวเป็นพระอรหันต์ เป็นแน่นอน แต่ให้มันได้จริงๆ อย่าสักแต่ว่าคิด อย่าสักแต่ว่านึก จงจำไว้ให้ดี
...............เอาละ สำหรับวันนี้ เวลาที่จะพูดกันมันก็หมด ขอพูดกันให้ชัดๆ ว่าคำสอนขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาค ที่จะสอนคนให้เป็นพระอรหันต์แล้วสอนเพียงเท่านี้เท่านั้น ไม่มีอะไรมาก ต่อแต่นี้ไปขอสาวกองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น ทรงอิริยาบถตามอัธยาศัยของท่าน นั่งก็ได้ ยืนก็ได้ เดินก็ได้ นอนก็ได้ จงรักษากำลังใจแบบนี้ไว้ตลอดเวลา ๒๔ ชั่วโมง แล้วท่านทั้งหลายจะเป็นพระอรหันต์ได้ภายใน ๓ เดือน สวัสดี
ส่งให้เพื่อน
| Create Date : 10 พฤษภาคม 2553 |
| Last Update : 10 พฤษภาคม 2553 13:06:47 น. |
|
64 comments
|
| Counter : 1299 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: nuyza_za วันที่: 10 พฤษภาคม 2553 เวลา:13:42:57 น. |
|
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 10 พฤษภาคม 2553 เวลา:15:48:41 น. |
|
|
|
โดย: cengorn วันที่: 10 พฤษภาคม 2553 เวลา:21:41:37 น. |
|
|
|
โดย: Budratsa วันที่: 11 พฤษภาคม 2553 เวลา:1:39:13 น. |
|
|
|
โดย: อัสติสะ วันที่: 11 พฤษภาคม 2553 เวลา:8:00:53 น. |
|
|
|
โดย: ร่มไม้เย็น วันที่: 11 พฤษภาคม 2553 เวลา:13:36:24 น. |
|
|
|
โดย: maxpal วันที่: 11 พฤษภาคม 2553 เวลา:17:51:16 น. |
|
|
|
โดย: JinnyTent วันที่: 11 พฤษภาคม 2553 เวลา:19:39:21 น. |
|
|
|
โดย: nootikky วันที่: 11 พฤษภาคม 2553 เวลา:19:51:37 น. |
|
|
|
โดย: sawkitty วันที่: 11 พฤษภาคม 2553 เวลา:21:22:33 น. |
|
|
|
โดย: โซดาบ๊วย วันที่: 11 พฤษภาคม 2553 เวลา:21:41:56 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 12 พฤษภาคม 2553 เวลา:7:54:25 น. |
|
|
|
โดย: มินทิวา วันที่: 12 พฤษภาคม 2553 เวลา:8:15:52 น. |
|
|
|
โดย: ปลิวตามลม วันที่: 12 พฤษภาคม 2553 เวลา:12:35:58 น. |
|
|
|
โดย: อ๋อซ่าส์ วันที่: 12 พฤษภาคม 2553 เวลา:20:52:38 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 13 พฤษภาคม 2553 เวลา:7:37:19 น. |
|
|
|
โดย: ชีวิตมีลีลา วันที่: 13 พฤษภาคม 2553 เวลา:8:00:56 น. |
|
|
|
โดย: ตัวp_box วันที่: 13 พฤษภาคม 2553 เวลา:8:44:56 น. |
|
|
|
โดย: อ้อมแอ้มเองค่ะ (คนผ่านทางมาเจอ ) วันที่: 13 พฤษภาคม 2553 เวลา:11:13:01 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 14 พฤษภาคม 2553 เวลา:7:42:11 น. |
|
|
|
โดย: ตัวp_box วันที่: 14 พฤษภาคม 2553 เวลา:13:38:08 น. |
|
|
|
โดย: ปลิวตามลม วันที่: 14 พฤษภาคม 2553 เวลา:13:49:22 น. |
|
|
|
โดย: CrackyDong วันที่: 14 พฤษภาคม 2553 เวลา:16:21:47 น. |
|
|
|
โดย: cengorn วันที่: 14 พฤษภาคม 2553 เวลา:16:30:08 น. |
|
|
|
โดย: อัสติสะ วันที่: 14 พฤษภาคม 2553 เวลา:16:41:21 น. |
|
|
|
โดย: อ้อมแอ้มเองค่ะ (คนผ่านทางมาเจอ ) วันที่: 14 พฤษภาคม 2553 เวลา:19:06:04 น. |
|
|
|
โดย: nootikky วันที่: 14 พฤษภาคม 2553 เวลา:19:49:26 น. |
|
|
|
โดย: อ๋อซ่าส์ วันที่: 15 พฤษภาคม 2553 เวลา:0:44:40 น. |
|
|
|
โดย: Budratsa วันที่: 15 พฤษภาคม 2553 เวลา:3:09:27 น. |
|
|
|
โดย: sawkitty วันที่: 15 พฤษภาคม 2553 เวลา:6:38:09 น. |
|
|
|
โดย: อ๋อซ่าส์ วันที่: 15 พฤษภาคม 2553 เวลา:6:40:44 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 15 พฤษภาคม 2553 เวลา:7:17:25 น. |
|
|
|
โดย: อ๋อซ่าส์ วันที่: 15 พฤษภาคม 2553 เวลา:13:14:55 น. |
|
|
|
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 16 พฤษภาคม 2553 เวลา:10:34:02 น. |
|
|
|
โดย: ร่มไม้เย็น วันที่: 16 พฤษภาคม 2553 เวลา:12:58:47 น. |
|
|
|
โดย: อ้อมแอ้มเองค่ะ (คนผ่านทางมาเจอ ) วันที่: 16 พฤษภาคม 2553 เวลา:15:26:48 น. |
|
|
|
โดย: JinnyTent วันที่: 16 พฤษภาคม 2553 เวลา:17:50:58 น. |
|
|
|
โดย: nootikky วันที่: 16 พฤษภาคม 2553 เวลา:20:44:22 น. |
|
|
|
โดย: นนนี่มาแล้ว วันที่: 16 พฤษภาคม 2553 เวลา:21:50:46 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 17 พฤษภาคม 2553 เวลา:7:36:52 น. |
|
|
|
โดย: พี่นู๋อ้อ (pinuaoo2006 ) วันที่: 17 พฤษภาคม 2553 เวลา:13:03:19 น. |
|
|
|
โดย: JinnyTent วันที่: 17 พฤษภาคม 2553 เวลา:16:31:06 น. |
|
|
|
|
|
|
|
ตอนสุดท้ายแล้วนะค่ะ
อนุโมทนาค่ะ
อัพตอนสุดท้ายแล้ว อย่าลืมไปอ่านธรรมะชั้นสูง
ของนุ่มต่อนะค่ะ