. ตลาดหุ้นไทยร่วง 26 จุด - บุหรี่ในขึ้น 10-13 บาท บุหรี่นอก 15-17 บาท

. . .

ตลาดหุ้นไทยร่วง 26 จุด

บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย(14 พ.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับลดลงอย่างรุนแรงทันทีที่เปิดตลาด ตามแรงเทขายหุ้นจากกลุ่มขนาดใหญ่ หลังได้รับแรงกดดันจากตลาดหุ้นต่างประเทศที่กังวลตัวเลขค้าปลีกสหรัฐลดลงต่อเนื่องโดยเดือนเม.ย.ติดลบร้อยละ 0.4 รวมทั้งการที่สถาบันจัดอันดับ บริษัท มอร์แกน สแตนเลย์ แคปปิตอล อินเตอร์เนชั่นแนล (เอ็มเอสซีไอ) ได้ถอนหุ้นธนาคารกสิกรไทย และบริษัทท่าอากาศยานไทย ออกจากการคำนวณดัชนี
ทำให้เอ็มเอสซีไอ ประเทศไทย ได้ลดน้ำหนักการลงทุนหุ้นไทยจากร้อยละ 2 เหลือร้อยละ 1.8 ส่งผลให้เกิดแรงเทขายตลอดทั้งวัน โดยดัชนีเปิดตลาดที่ระดับ 534.41 จุด และอ่อนตัวในแดนลบ จนมาปิดตลาดที่ระดับ 526.55 จุด ร่วงลง 26.16 จุด หรือร้อยละ 4.73 ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 29,930.18 ล้านบาท ลดลงจาก 3-4 วันก่อนที่มีการซื้อขายสูงถึงวันละ 30,000 ล้านบาท
สัดส่วนการลงทุนแบ่งเป็นนักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 2,149.71 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,051.80 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 3,201.50 ล้านบาท
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด มองว่า ปัจจัยหลักที่กดดันตลาดหุ้นไทยมีอยู่ 4 เรื่องได้แก่ ตัวเลขยอดค้าปลีกของสหรัฐออกมาย่ำแย่มากกว่าที่หลายฝ่ายคาดไว้ จึงกดดันต่อตลาดหุ้นทั่วโลก, ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงมากตามเศรษฐกิจโลกจึงมีแรงขายทำกำไรหุ้นพลังงานออกมา, ภาพรวมผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสที่ 1 ออกมาไม่ดีนัก
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในระยะต่อไป มีแนวโน้มผันผวนอย่างต่อเนื่อง และอาจจะปรับตัวลดลงได้ต่อเนื่อง โดยปัจจัยที่นักลงทุนที่ต้องติดตามได้แก่ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ หากตัวเลขออกมาแย่อีก อาจจะกดดันต่อการลงทุนต่อไป ซึ่งประเมินว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ระดับ 520-523 จุด และแนวต้านที่ระดับ 535-537 จุด ส่วนกลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้ขายทำกำไรออกมา เมื่อดัชนีปรับตัวสูงขึ้นถึงระดับ 530 จุด เพราะแนวโน้มในสัปดาห์หน้าดัชนีมีโอกาสลดลงต่อเนื่องจนถึงระดับ 500-505 จุด
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาดัชนีราคาหุ้นไทยเพิ่มขึ้นมาแล้วร้อยละ 22.8 สูงกว่าตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.7, ฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.9, แต่หากรวมผลตอบแทนจากการจ่ายเงินปันผลตลาดหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้น ร้อยละ 25.8
โดยขณะนี้การลงทุนในตลาดหุ้นไทยดีขึ้นทำให้มูลค่าตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) เพิ่มขึ้น จากที่เคยลดลงต่ำสุดอยู่ที่ 3.2 ล้านล้านบาท ในช่วงเกิดวิกฤติการเงินสหรัฐ เพิ่มขึ้นมา 1.1 ล้านล้านบาท อยู่ที่ 4.3 ล้านล้านบาท ณ 13 พ.ค.52 หรือเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 20 และในช่วงก่อนเกิดปัญหาวิกฤติการเงินสหรัฐ มาร์เก็ตแคปของไทยสูงถึง 6 ล้านล้านบาท ทำให้ตลท.เตรียมทบทวนเป้าหมายมาร์เก็ตแคปในปี 56 ใหม่ จากเดิมที่วางเป้าหมายไว้ 12 ล้านล้านบาท


. . .






ประกาศราคาขายปลีกบุหรี่ บุหรี่ในขึ้น 10-13 บาท บุหรี่นอก 15-17 บาท

รมช.คลัง เตรียมออกกฎกระทรวงประกาศราคาขายบุหรี่อย่างเป็นทางการวันที่ 14 พ.ค. เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวทั่วประเทศ ป้องกันราคาผันผวนจากการกักตุน-เก็งกำไร ยืนยัน ราคาบุหรี่ในประเทศ ปรับขึ้นสูงสุดไม่เกินซองละ 10-13 บาท ส่วนบุหรี่ต่างประเทศปรับขึ้นไม่เกินซองละ 15-17 บาท
นายพฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า หลังพระราชกำหนดการขยายเพดานการจัดเก็บภาษีบุหรี่และน้ำมัน (พ.ร.ก.) มีผลเมื่อเวลา 24.00 น. วันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา ทำให้เพดานการจัดเก็บภาษีบุหรี่ในขณะนี้มีเพดานอยู่ที่ร้อยละ 90 และภาษีสรรพสามิตน้ำมันขยายเป็น 10 บาทต่อลิตร
ทางกระทรวงการคลังจะมีการออกกฎกระทรวงในการจัดเก็บภาษีบุหรี่เพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 5 ทำให้ภาษีการจัดเก็บบุหรี่อยู่ที่ร้อยละ 85 และภาษีสรรพสามิตน้ำมันจะเก็บเพิ่มขึ้น 2 บาท ทำให้การจัดเก็บภาษีน้ำมันอยู่ที่ 7 บาทต่อลิตร ทั้งนี้ ในส่วนของราคาบุหรี่ทางกระทรวงเตรียมออกกฎกระทรวงจะทำให้ราคาบุหรี่ขายปลีกไทยปรับขึ้นซองละ 10-13 บาท และบุหรี่ต่างประเทศปรับขึ้นไม่เกินซองละ 15-17 บาท ซึ่งการปรับราคานั้นก็ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตแต่ละราย
นายพฤฒิชัยกล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดเก็บภาษีในส่วนของน้ำมันจะไม่กระทบต่อราคาขายปลีก เนื่องจากไม่ให้กองทุนน้ำมันลดการเก็บเงินสมทบให้เข้ากับภาษีที่มีการเก็บเพิ่ม พร้อมยืนยันว่าเงินของกองทุนน้ำมันมีเพียงพอต่อการรองรับในการพยุงราคาในครั้งนี้


. . .




รมว.พลังงาน ระบุปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมันไม่กระทบราคาขายปลีก

นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงาน ระบุประชาชนจะไม่ได้รับผลกระทบเรื่องราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศ หลัง พ.ร.ก.ขยายเพดานพิกัดภาษีสรรพสามิตน้ำมันทุกประเภทจากลิตรละ 5 บาท เป็น 10 บาท มีผลบังคับใช้แล้ว โดยกระทรวงการคลังได้ออกประกาศเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันทุกประเภทเพิ่มขึ้นเบื้องต้นลิตรละ 2 บาท
ขณะที่กระทรวงพลังงานจะปรับลดการเรียกเก็บเงินนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงทุกประเภทลงให้สอดคล้องในอัตราเดียวกับที่มีการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิต ซึ่งช่วยให้ไม่กระทบต่อราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ โดยกองทุนน้ำมันฯ จะสูญเสียรายได้ราวเดือนละ 1,700-1,800 ล้านบาท
"ปัจจุบันฐานะกองทุนน้ำมันฯ มีเงินสด 2.5 หมื่นล้านบาท แต่ก็มีภาระหนี้ที่ต้องชดเชย เช่น การนำเข้าก๊าซหุงต้ม ชดเชยพลังงานทดแทนรวม 10,000 ล้านบาท จึงเหลือเงินสด 1.5 หมื่นล้านบาท โดยการชดเชยการขึ้นภาษีน้ำมัน 2 บาทต่อลิตร คาดว่าจะต้องใช้เงิน 5,400 ล้านบาท และเมื่อหักจากวงเงินนำเข้าที่คาดว่าจะมี 3,600 ล้านบาทต่อเดือน ทำให้รายได้เงินกองทุนลดลง 1,700-1,800 ล้านบาทต่อเดือน"นพ.วรรณรัตน์ กล่าว
รมว.พลังงาน กล่าวว่า จะนำเงินกองทุนน้ำมันฯ มาใช้ชดเชยในช่วงที่มีการเปลี่ยนผ่านภาษีเพียงเดือนเดียว หลังจากนั้นจะทยอยเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ให้กลับสู่ระดับปกติตามเดิมเพื่อให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ซึ่งคาดว่าจะทยอยปรับขึ้นประมาณ 3 ครั้งๆ ละ 60-70 สตางค์ ในช่วงที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง
"กระทรวงพลังงานคงต้องปรับขึ้นเงินนำส่งกองทุนน้ำมันฯ เพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เพราะหากชดเชยต่อไปเรื่อยๆ อาจทำให้ประชาชนใช้น้ำมันฟุ่มเฟือย ไม่ประหยัด และจะมีผลต่อการนำเข้าน้ำมันของไทย" นพ.วรรณรัตน์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม รมว.พลังงาน กล่าวว่า ช่วงนี้ราคาน้ำมันเป็นช่วงขาขึ้น และหากราคาน้ำมันยังสูงขึ้นต่อไปก็คงต้องพิจารณาอีกครั้งว่าจะต้องยืดเวลาการบริหารจัดการนานกว่า 1 เดือนหรือไม่ และหากราคาน้ำมันยังสูงต่อไปอีกก็ต้องพิจารณาอีกครั้งว่าจะต้องลดเงินนำส่งกองทุนน้ำมันฯ ในอนาคตหรือไม่ แต่ขณะนี้ยังไม่มีแผนขยับเพดานการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ซึ่งมีอัตราสูงสุดที่ลิตรละ 7 บาท
สำหรับอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงใหม่จะเป็นดังนี้
เบนซิน 95 และ 91 เพิ่มจาก 5.00 บาท/ลิตร เป็น 7.00 บาท/ลิตร,
แก๊สโซฮอล์ 95 และ 91 เพิ่มจาก 4.50 บาท/ลิตร เป็น 6.30 บาท/ลิตร,
แก๊สโซฮอล์ 95 E20 เพิ่มจาก 4.00 บาท/ลิตร เป็น 5.60 บาท/ลิตร,
แก๊สโซฮอล์ 95(E85) เพิ่มจาก 0.75 บาท/ลิตร เป็น 1.05 บาท/ลิตร,
ดีเซลหมุนเร็ว B2 เพิ่มจาก 3.305 บาท/ลิตร เป็น 5.31 บาท/ลิตร
ดีเซลหมุนเร็ว B5 เพิ่มจาก 2.19 บาท/ลิตร เป็น 5.04 บาท/ลิตร
การใช้เงินในกองทุนน้ำมันฯ เข้าไปอุดหนุนราคาน้ำมันเพื่อไม่ให้ราคาขายปลีกเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ได้มีการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ใหม่ ดังนี้
เบนซิน 95 จากเดิมเรียกเก็บ 7.00 บาท/ลิตร ลดลงเหลือ 4.80 บาท/ลิตร,
เบนซิน 91 จากเดิมเรียกเก็บ 5.70 บาทต่อลิตร ลดลงเหลือ 3.50 บาท/ลิตร,
แก๊สโซฮอล์ 95 จากเดิมเรียกเก็บ 2.35 บาท/ลิตร ลดลงเหลือ 0.37 บาท/ลิตร,
แก๊สโซฮอล์ 91 จากเดิมเรียกเก็บ 1.75 บาท/ลิตร เป็น 0.23 บาท/ลิตร
แก๊สโซฮอล์ 95(E20)จากเดิมชดเชย 0.30 บาทต่อลิตร เพิ่มการชดเชยเป็น 2.06 บาท/ลิตร
แก๊สโซฮอล์ 95 (E85) จากเดิมชดเชย 8.00 บาท/ลิตร เพิ่มการชดเชยเป็น 8.33 บาท/ลิตรดีเซลหมุนเร็ว B2 จากเดิมเรียกเก็บ 1.70 บาท/ลิตร เป็นชดเชย 0.50 บาท/ลิตร
ดีเซลหมุนเร็ว B5 จากเดิมชดเชย 0.20 บาทเพิ่มการชดเชยเป็น 3.33 บาท/ลิตร

. . .


นักวิชาการแนะรัฐควรปรับขึ้นภาษีแอลพีจีเหมือนกับภาษีน้ำมัน เพราะไม่เช่นนั้นอาจเกิดการบิดเบือนการใช้พลังงาน และอาจต้องนำเข้าแอลพีจีในอนาคต

น.ส.สุวพร ศิริคุณ ผู้อำนวยการบริหารมูลนิธิพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม ตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อรัฐขึ้นภาษีน้ำมันแล้วก็น่าจะปรับโครงสร้างภาษีพลังงานทั้งระบบไปด้วย โดยเฉพาะก๊าซหุงต้ม ที่ผ่านมาไม่ปรับขึ้นทั้งภาษีและราคาดังนั้น หากแนวโน้มราคาน้ำมันขาขึ้น อาจทำให้เกิดปัญหาการโยกย้ายเชื้อเพลิงจากน้ำมันไปสู่แอลพีจี จะส่งผลเรื่องโครงสร้างการใช้พลังงานของประเทศ และอาจทำให้น้ำมันในประเทศเหลือใช้ ต้องส่งออก และที่สำคัญคงไม่เป็นธรรมกรณีผู้ใช้น้ำมันต้องไปชดเชยผู้ใช้แอลพีจีภาคขนส่ง
“รัฐบาลไม่ขึ้นภาษีแอลพีจี และไม่ขึ้นราคาแอลพีจีด้วย ก็อาจจะเกิดปัญหาการหันไปใช้แอลพีจีมากขึ้น หลังกองทุนน้ำมันฯ ยกเลิกเข้ามาอุดหนุนรองรับการขึ้นภาษี ดังนั้น น่าจะหันมาดูโครงสร้างพลังงานทั้งหมด เพราะหากยังอุดหนุนต่อไปเรื่อย ๆ ปัญหาก็จะเกิดขึ้นได้ คล้ายกับกลางปีที่แล้วที่ไทยขาดแคลนแอลพีจีจนต้องนำเข้า” น.ส.สุวพร กล่าว




. . .

Create Date : 14 พฤษภาคม 2552		3 comments
Last Update : 14 พฤษภาคม 2552 20:14:19 น.
Counter : 604 Pageviews.
Share Tweet