Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2552
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
5 พฤษภาคม 2552
 
All Blogs
 

. . .อัตราเงินเฟ้อเดือนเมษายน52 ...ติดลบเป็นเดือนที่ 4 . . .

. . .

อัตราเงินเฟ้อเดือนเมษายน52 ... แม้ติดลบเป็นเดือนที่ 4
แต่ราคาสินค้ามีทิศทางปรับตัวเพิ่มขึ้นเร็วกว่าที่คาด

โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

จากการรายงานตัวเลขอัตราเงินเฟ้อโดยกระทรวงพาณิชย์ ล่าสุดอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนเมษายนยังคงติดลบติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 แต่เป็นที่สังเกตว่าระดับดัชนีราคาผู้บริโภคปรับเพิ่มขึ้นค่อนข้างรวดเร็วกว่าที่คาด และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้า โดยมีแรงผลักดันจากราคาน้ำมันในตลาดโลกและราคาสินค้าอาหาร เช่น เนื้อสัตว์และพืชผัก ที่มีทิศทางปรับสูงขึ้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้วิเคราะห์แนวโน้มภาวะเงินเฟ้อในช่วงระยะเวลาที่เหลือของปี 2552 ดังนี้

 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนเมษายน 2552 ลดลงร้อยละ 0.9 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (Year-on-Year) ยังคงเป็นตัวเลขติดลบติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 จากที่ลดลงร้อยละ 0.2 (YoY) ในเดือนมีนาคม อย่างไรก็ตาม แม้ว่าราคาสินค้ายังคงมีระดับต่ำกว่าในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (เนื่องจากฐานเปรียบเทียบที่สูงอย่างมาก) แต่สังเกตได้ว่าหากเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า (Month-on-Month) ระดับราคาสินค้ามีทิศทางที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนเมษายนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 1.0 เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นอัตราที่เร่งตัวขึ้นเร็วกว่าที่คาด โดยเป็นผลมาจากสินค้าอาหารสดปรับตัวสูงขึ้นทุกประเภท โดยเฉพาะพืชผักผลไม้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 6.6 นอกจากนี้ ยังมีผลของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นตามทิศทางราคาในตลาดโลก ในด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในเดือนเมษายนอยู่ที่ร้อยละ 1. 0 (YoY) ต่ำลงจากร้อยละ 1.5 ในเดือนมีนาคม สำหรับในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2552 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลงร้อยละ 0.4 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4

 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ระดับราคาสินค้าจากนี้ไปอาจจะอยู่ในทิศทางที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง (MoM) โดยมีแรงผลักดันจากราคาอาหารสดและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง โดยในด้านราคาอาหารสดที่มีโอกาสจะปรับตัวสูงขึ้นนั้น เป็นผลจากปัจจัยด้านสภาพอากาศและเหตุการณ์แพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 โดยคาดว่าสภาพอากาศที่ร้อนจัดอาจสร้างความเสียหายให้แก่พืชผลทางการเกษตร โดยเฉพาะราคาพืชผักน่าจะยังคงมีระดับสูง รวมทั้งทำให้ปศุสัตว์เติบโตได้ช้า จึงมีความเป็นไปได้ที่ราคาสินค้าปศุสัตว์อาจขยับสูงขึ้น อีกทั้งยังมีผลของการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 หรือมีชื่ออย่างเป็นทางการตามประกาศขององค์การอนามัยโลก (WHO) ว่า Influenza A (H1N1) ทำให้ประชาชนอาจกังวลต่อการบริโภคเนื้อหมูแล้วหันไปบริโภคเนื้อไก่ ไข่ไก่ หรือสัตว์น้ำทดแทน แม้ว่าจะมีการยืนยันทางสาธารณสุขว่าการบริโภคเนื้อหมูไม่มีความเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อโรคนี้และยังไม่มีการติดต่อจากหมูสู่คนก็ตาม ขณะที่ในต่างประเทศหลายประเทศมีการห้ามนำเข้าเนื้อหมู ซึ่งอาจมีผลให้ความต้องการผลิตภัณฑ์ที่ทำจากไก่หรืออาหารทะเลในตลาดต่างประเทศสูงขึ้น และผู้ประกอบการไทยหันไปส่งออกมากขึ้น ซึ่งอาจจะมีผลให้ราคาในประเทศปรับตัวสูงขึ้นได้ โดยในขณะนี้ ราคาสินค้าเช่นไข่ไก่ปรับตัวสูงขึ้นมาแล้วเนื่องจากความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น

 สำหรับราคาพลังงานมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น หลังจากเครื่องชี้เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศชั้นนำมีสัญญาณบวกที่ค่อนข้างชัดเจนขึ้น ทำให้นักลงทุนต่างชาติเริ่มมองว่าภาวะถดถอยของเศรษฐกิจก้าวผ่านจุดที่เลวร้ายที่สุดไปแล้ว ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ในระยะเวลาที่เหลือของปีนี้ มีโอกาสที่จะปรับตัวสูงขึ้นมากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ จากทั้งเหตุผลในด้านอุปสงค์ โดยเฉพาะความต้องการในประเทศจีนที่มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นเร็วกว่าที่คาด และปัจจัยด้านการเก็งกำไรที่นักลงทุนในตลาดการเงินเริ่มมีความมั่นใจที่จะเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง รวมถึงตลาดสินค้าโภคภัณฑ์มากขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคาน้ำมันดิบและสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกจะไม่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วเท่ากับในปี 2551 และโอกาสที่ราคาจะกลับขึ้นไปสู่จุดที่เคยสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงประมาณเดือนกรกฎาคม 2551 นั้นยังต้องใช้เวลาอีกหลายไตรมาส เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกในช่วงไตรมาสที่ 2-3/2552 อาจกล่าวได้ว่ายังคงอยู่ในสภาวะที่ถดถอยแต่เป็นการถดถอยที่ชะลอตัวลง ก่อนที่จะค่อยๆ ฟื้นตัวกลับมาเป็นบวกอย่างช้าๆ โดยคาดว่าอัตราการเติบโตของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วในช่วงปี 2553 แม้ว่าส่วนใหญ่อาจจะขยายตัวเป็นบวกได้ แต่ก็ยังคงเป็นระดับที่ต่ำกว่าศักยภาพอยู่

 อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) อาจจะยังคงเป็นตัวเลขติดลบรุนแรงไปจนถึงเดือนกรกฏาคม เนื่องจากผลของฐานเปรียบเทียบที่สูงอย่างมากในปีก่อน ซึ่งจะทำให้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอาจจะหดตัวลงประมาณร้อยละ 1.2 และจะยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำไปจนถึงสิ้นไตรมาสที่ 3 สำหรับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานคาดว่าจะมีทิศทางชะลอลงต่อเนื่องในเดือนต่อๆ ไป และมีโอกาสที่จะติดลบบางเดือนในช่วงกลางปี แต่ทั้งนี้ จากการที่ระดับราคาสินค้ามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นค่อนข้างเร็วกว่าเคยคาดไว้ เนื่องจากมีสัญญาณว่าเศรษฐกิจโลกจะสามารถผ่านพ้นจุดต่ำสุดของภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งนี้ไปได้เร็วกว่าที่คาด ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงปรับประมาณการแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อตลอดทั้งปี 2552 ขึ้นมามีค่าเฉลี่ยประมาณร้อยละ 0.0-0.5 (จากกรอบประมาณการเดิมที่อยู่ในช่วงติดลบร้อยละ 1.0 ถึงเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5) ซึ่งเป็นอัตราที่ลดลงจากร้อยละ 5.5 ในปี 2551 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณร้อยละ 0.5-1.0 (จากกรอบประมาณการเดิมที่ร้อยละ 0.0-1.0) ลดลงจากร้อยละ 2.4 ในปี 2551 โดยทั้งอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังคงอยู่ภายในกรอบเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ร้อยละ 0.0-3.5

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า ในสภาวะที่เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงหลายด้านที่อาจฉุดรั้งให้เศรษฐกิจในปี 2552 นี้หดตัวลงมากกว่าที่คาด โดยเฉพาะผลกระทบของสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองซึ่งจะยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อไปในช่วงที่เหลือของปีนี้ อันจะทำให้การใช้จ่ายภายในประเทศ ทั้งการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนมีโอกาสหดตัวลงมากขึ้น ดังนั้น การใช้นโยบายการเงินและการคลังแบบขยายตัวจึงยังเป็นแนวทางที่จำเป็นในการกระตุ้นและประคับประคองเศรษฐกิจให้ยังมีแรงขับเคลื่อนไปได้ ซึ่งสภาวะเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่องนี้ น่าจะเป็นปัจจัยที่เอื้ออำนวยให้ทางการยังสามารถใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลงได้อีก และยังสามารถคงแนวนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อไปได้ในช่วงระยะเวลาที่เหลือของปี 2552 นี้

. . .




 

Create Date : 05 พฤษภาคม 2552
2 comments
Last Update : 5 พฤษภาคม 2552 21:59:26 น.
Counter : 667 Pageviews.

 

. . .

ยุคเปลี่ยนผ่านแห่ง'ทองคำ' จากการสวมใส่สู่การลงทุน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 พฤษภาคม 2552 00:35 น.


"คุณแม่ผมไม่ได้ชื่อ "ทองสุก" แต่คำว่า "ทองสุก" เป็นชื่อที่เราถือว่าเป็นการบอกคุณสมบัติของทองคำ คือ "สุกสกาว" ทองคำที่ดีต้องสุกสกาว สุกใส ไม่ใช่สุข ข ไข่ ต้องสุก ก ไก่ แล้วคำว่า "แม่" ก็หมายความว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญ ฉะนั้นร้านทองก็เหมือนกัน แม่ทองสุก ก็คือ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการค้าทองคำ และทองคำที่ดีต้องสุกสกาวครับ"

เป็นคำเปิดเผยจาก น.พ. กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกลุ่มบริษัท แม่ทองสุก เอ็มทีเอส โกลด์ ซึ่งเป็นบริษัท/ที่ดำเนินธุรกิจด้ารทองคำรายใหญ่ของประเทศไทย โดย น.พ. กฤชรัตน์ ได้เล่าถึงภาวะของทองคำในสถานการณ์ปัจจุบันไว้อย่างน่าสนใจ เพื่อเป็นข้อมูลให้แก่บรรดานักลงทุนทั้งหลายได้ทราบกันดังนี้

พัฒนาการของทองคำในบ้านเรานั้นมีพัฒนาการมาคร่าว ๆ 3-4 step คือ

ยุคแรก (ทองตู้แดง)
คือการค้าทองคำในระบบดั้งเดิม เป็นการค้าที่เรียกว่า ทองยุคตู้แดง ซึ่งในปัจจุบันมีร้านค้าทองตู้แดงทั่วประเทศไทยกว่า 7,000 แห่ง โดยจะเห็นได้ว่าในจังหวัดเล็ก ๆ มีร้านค้าทองไม่ต่ำกว่า 30 แห่ง ส่วนในจังหวัดใหญ่ ๆ บางจังหวัด มีร้านค้าทองเกือบ 200 แห่งทั้งจังหวัด ฉะนั้น หมายความว่าเรื่องของการค้าขายทองคำสำหรับคนไทยนั้น เป็นเรื่องที่สัมผัสกันได้อย่างใกล้ชิดมาเป็นร้อยปี คนไทยคุ้นกับการมอบทองคำตั้งแต่ แม่สู่ลูก เป็นสินสอดทองหมั้น ซึ่งการซื้อขายทองคำในยุคเก่าเป็นการเดินไปที่ร้านค้าทองไปซื้อเป็นทอง รูปพรรณ กล่าวคือในยุคเก่า ๆ ผู้คนจะซื้อทองไว้สวมใส่กัน

เมื่อพัฒนาเรื่อย ๆ ในระยะหลังจะเห็นว่าราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นตลอดเวลานับตั้งแต่ในปี 2540 ซึ่งเป็นยุคฟองสบู่แตก เราคงจำกันได้ในช่วงนั้นราคาทองคำอยู่ที่ประมาณบาทละ 4,000 บาท แต่ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานี้ ราคาทองคำอยู่ที่ประมาณ 7,500 บาทและปัจจุบันอยู่ที่ประมาณบาทละ 15,700 บาท แต่ละจุดที่ผมพูดก็คือเอา 2 คูณ แต่ถ้านับกันตั้งแต่ประมาณต้น ๆ ตั้งแต่ปี 2510 ต้องบอกว่าทองคำอยู่ที่ 400-700 บาท พวกเราคงคุ้นกันดีในยุค คุณพ่อ คุณแม่เรา ทองคำบาทละ 400 แล้วก็ยืนอยู่อย่างนี้นานมาก จนยุคใหม่ ราคาทองคำกระโดดขึ้นมาตลอดในระยะเวลา 10 ปี

ยุคที่สอง (FIF การลงทุนซื้อทองคำผ่านการลงทุนในต่างประเทศ)

เมื่อทองคำมีวิวัฒนาการในการซื้อขายมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเมื่อถึงช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไม่ดี บรรดาธนาคารหรือบรรดาเงินทุนหลักทรัพย์ก็เริ่มแสวงหาการลงทุนในทองคำกัน แต่เนื่องจากในเรื่องของกฎระเบียบของบ้านเราและกฎระเบียบของการอนุรักษ์ ทองคำให้เป็นเฉพาะร้านค้าทองเท่านั้น ไม่ให้ธนาคารทำการขายทองคำ ดังนั้น บรรดาสถาบันการเงินดังกล่าว จึงเลี่ยงไปลงทุนในทองคำในลักษณะ FIF โดยเป็นการลงทุนซื้อทองคำผ่านการลงทุนในต่างประเทศ คือ SPDR Gold Trust (ซึ่งเป็น "เฮดจ์ฟันด์" รายใหญ่ที่ถือครองทองคำอยู่เป็นจำนวนมาก) ถือว่าเป็นการลงทุนทางอ้อมสำหรับนักลงทุนที่ไม่มีความรู้ ความเข้าใจ ว่าจะซื้อหรือขายทองยังไง

ยุคที่สาม (การลงทุนในทองคำแท่ง)

พอมาถึงในช่วงยุคที่ 3 บรรดานักลงทุนที่มีความเข้าใจการซื้อขายทองมากขึ้น ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาในบ้านเรา ก็มีพัฒนาเป็นการซื้อขายทองคำแท่ง จะเห็นได้ว่าการซื้อขายทองคำแท่งในนช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ เรียกว่าหวือหวามากและมีการสนใจจากประชาชนไม่เพียงแต่ประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก

ทั้งนี้ น.พ. กฤชรัตน์ บอกว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ การซื้อทองคำนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก โดยคนที่มาซื้อทองคำนั้นส่วนใหญ่ จะมาซื้อทองคำแท่งกันมากกว่าซื้อทองรูปพรรณ นั่นหมายความว่า การซื้อของคำของประชาชนนั้นเปลี่ยนไป เป็นการซื้อทงคำเพื่อการลงทุนหรือเพื่อการเก็งกำไรนั่นเอง เป็นเพราะทองคำนั้นเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าในตัวของมันเอง และค่อนข้างจะมีความมั่นคง จึงเป็นสินทรัพย์ที่เหมาะจะถือครองไว้ในยามที่เกิดปัญหาความไม่มั่นคงทาง เศรษฐกิจหรือการลงทุน

โดยจะเห็นได้ว่าปัจจัยหลักๆที่ส่งผลให้ราคาทองคำเพิ่มขึ้นนั้น มากจากปัจจัยหลักๆ ได้แก่

1. ปัญหาในเรื่องของภาวะเศรษฐกิจโลก ที่ประสบปัญหา ซึ่งหากเศรษฐกิจตกตํ่า คนจะเริ่มมองหาการลงทุนในทองคำกัน ราคาทองคำจึงสูงขึ้น

2. ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่เริ่มอ่อนค่าลงจากปัญหาเศรษฐกิจ จะส่งผลให้ราคาทองคำสูงขึ้นเช่นกัน

3. ภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น

4. ปัญหาทางการเมืองระหว่างประเทศ เช่น การเกิดสงคราม เป็นต้น

สรุปแล้ว ปัจจัยที่ทำให้ราคาทองคำเพิ่มขึ้นนั้นจะต้องเป็นปัจจัยที่มีผลกระทบต่อทั้งโลก ราคาทองคำถึงจะเพิ่มขึ้น

จากที่ น.พ. กฤชรัตน์ เล่ามานั้น จะเห็นได้ว่า ณ ช่วงเวลาจากนี้ไป สถานการณ์ของทองคำนั้น จะเปลี่ยนไปสู่ในเรื่องของการลงทุนมากขึ้น ซึ่งเป็นที่มาของวิวัฒนาการของทองคำใน ยุคที่สี่ นั้นคือ การลงทุนใน Gold Futures เป็นการพัฒนาสู่การซื้อขายทองคำเป็นลักษณะสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ที่เราเรียกกันว่า Gold Futures ซึ่งเกิดขึ้นในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลกแล้ว

แต่ อย่างไรก็ตามเรื่องวิวัฒนาการนั้นไม่ได้สร้างผลดีเสมอไปทั้งหมด แม้ว่าการซื้อขายทองคำเพื่อการเก็งกำไรนั้นจะคึกกันอย่างมากมายในช่วงระยะ ที่ผ่านมา แต่จากที่ทราบกันว่าตลาดทองคำในบ้านเรานั้นเป็นร้านค้าทองคำที่มานานกันมาก และมี้รานค่าทองจำนวนมากทั่วประเทศซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่ไม่เหมือน กับต่างประเทศ นั่นหมายความว่า เมื่อการลงทุนในทองคำก้าวเข้าสู่การลงทุนในแบบที่ไม่ได้มีการซื้อขายทองคำ จากร้านค้าทองเหมือนในที่ผ่านมา แน่นอนว่าร้านค้าทองจะประสบปัญหาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

" เมื่อถึงจุดหนึ่งที่จะต้องพัฒนาร้านค้าทองตู้แดงที่ยังไม่สามารถพัฒนาหรือ ยังไม่ก้าวสู่ยุคใหม่ เรามองว่าในโลกยุคปัจจุบัน บรรดา ยี่ปั๊ว ซาปั๊ว ต้องเริ่มพัฒนาตัวเอง ไม่อย่างนั้นแล้ว ภายใน 5 ปีจะโดนนักค้าข้ามชาติกลืนกินหมด"

ดังนั้นสิ่งที่ บริษัท แม่ทองสุก เอ็มทีเอส โกลด์ ได้ดำเนินการ นั่นคือการพัฒนาร้านค้าทองคำในต่างจังหวัดทั่วประเทศให้สามารถพัฒนาได้ทัน กับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป โดยมีการตั้ง Selling Agent ในต่างจังหวัดทั่วประเทศประจำจังหวัดละ 1 ราย เพื่อดำเนินการในเรื่องของการลงทุนใน Gold Futures พร้อมทั้งพัฒนาระบบเทคโนโลยีเพื่อการซื้อขาย ซึ่งนอกจากการพัฒนาเทคโนโลยีให้เป็นมาตรฐานของตลาดหลักทรัพย์แล้ว ยังมีการพัฒนาในเรื่องระบบการซื้อขายและการชำระเงินด้วย เพราะลูกค้าที่อยู่ในต่างจังหวัดนั้นการชำระเงินโดยการเปิดบัญชีก็ต้องสะดวก สบาย

ลงทุนทองคำแท่งควบคู่
อีกประเด็นที่สำคัญในเรื่องของการลงทุนในทองคำนั้น นอกเหนือจากลงทุนใน Gold futures แล้ว การลงทุนในทองคำแท่ง ทั้งนี้เนื่องจากในช่วงเวลาที่ตลาดซื้อขาย "Gold Futures" ในประเทศไทยปิดลงนั้น ตลาดล่วงหน้าในต่างประเทศยังคงเปิดอยู่ นั่นหมายความว่าในช่วงเวลาที่ประเทศไทยหยุดทำการซื้อขายนั้นราคาทองคำอาจมี การเปลี่ยนแปลงไปได้ จนถึงช่วงเวลาที่ที่ตลาดบ้านเราเปิดอีกครั้ง

“การซื้อขายทองคำ หรือการลงทุนในทองคำ ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องซื้อขาย Gold Futures อย่างเดียว ต้องดูว่านักลงทุนแต่ละรายเหมาะกับการลงทุนแบบไหน อย่างที่ทุกคนทราบว่า การลงทุน Gold Futures มีความเสี่ยง เนื่องจากเราใช้การคำนาณ คือ ใช้เงิน 1 ใน 10 เพื่อเข้าไปลงทุน ฉะนั้น ก็จะมีนักลงทุนบางรายที่สนใจจะลงทุนในทองคำแท่งมากกว่าที่จะเข้าไปซื้อขาย ผ่าน Gold Futures แต่ทางเราเน้นว่าการซื้อขายที่ครบวงจรจริง ๆ ในการลงทุนทองคำ ไม่ใช่การซื้อขายแค่ Gold Futures จะต้องมีการซื้อขาย Gold spot หรือการซื้อขายทองคำแท่งไปพร้อมๆกัน” น.พ. กฤชรัตน์ ระบุ

โดยกลยุทธ์ที่บริษัทได้พัฒนาในเรื่องนี้ นั่นก็คือ ระบบ Gold phone คือการซื้อขายทองคำแท่งผ่านทางโทรศัพท์ ก็คือ ล็อคไว้ แล้วก็ชำระเงินภายใน T+2
รวมถึง การซื้อขายทองคำแท่งผ่านระบบ online electric หรือ Gold online ซึ่งบริษัทเป็นรายแรก และรายเดียวที่มีระบบการซื้อขายทองคำแท่งผ่านระบบนี้

เป็น เรื่องของวิวัฒนาการในเรื่องของการลงทุนในทองคำที่ก้าวกระโดดไปรวดเร็วเหลือ เกิน ทำให้ผู้ค้าทองทั้งหลายต้องปรับตัวตามกันไปเพื่อให้ทันกับสถานการณ์ที่ เปลี่ยนแปลง แต่อย่างไรก็ตามในด้านของนักลงทุนนั้นคงสนใจกันอย่างแน่นอนเพราะผลกำไรจาก การลงทุนทองคำนั้นยังคงหอมหวนมากมายทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่นักลงทุนทั้งต้องตระหนักก็คือการลงทุนมีความเสี่ยงนะ ครับ

. . .

 

โดย: loykratong 5 พฤษภาคม 2552 22:06:37 น.  

 

ขอบคุณนะ

 

โดย: สา IP: 118.172.8.136 9 ตุลาคม 2552 16:35:30 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


loykratong
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]






ไม่มีอะไรขึ้นตลอด
ไม่มีอะไรลงตลอด
...ไม่มี the end of the world ...

Web Site Hit Counters

ราคาทองคำ
 

ราคาทองคำต่างประเทศ



Friends' blogs
[Add loykratong's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.