X-Men First Class : แตกต่างอย่างภาคภูมิ (เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ)

นี่คือหนังต้นตระกูล X-Men ที่โฟกัสชีวประวัติของสองเจ้าสำนักคิดอย่าง โพรเฟสเซอร์ เอ็กซ์ และ แม็กนีโต บทหนังจาระไนพื้นฐานชีวิตแต่ละคนอย่างละเอียด ทั้งครอบครัว ปมวัยเด็ก การค้นพบพลังวิเศษ เหตุปัจจัยที่แวดล้อมการเติบโต หล่อหลอมเป็นหลักคิดหรือทัศนคติที่ส่งผลต่อพฤติกรรมในหนังตอนต่อมา
ผู้ชมคงรู้สึกไม่ต่างไปจากนักประวัติศาสตร์ที่สนุกกับการค้นหาคำอธิบายให้กับผลลัพธ์ที่ทราบดีอยู่แล้ว นอกจากจะร้องอ๋อกับที่มาอันเป็นรายละเอียด เช่นทำไม โพรเฟสเซอร์ เอ็กซ์ ต้องนั่งรถเข็น แต่การเข้าใจอดีตอย่างถ่องแท้และสามารถมีอารมณ์ร่วมกับตัวละครได้อย่างบริสุทธิ์ใจ ยังช่วยดึงรั้งไม่ให้เราพิพากษาใครอย่างฉาบฉวย เช่นที่อาจเคยทำกับสิ่งที่จริงจังกว่าอย่างการพิพากษาประวัติศาสตร์โลก ทั้งที่ไม่เคยทราบถึงเหตุปัจจัย ข้อจำกัด และวิธีคิดของผู้คนในยุคสมัยนั้น
หนังมีฉากหลังเป็นยุคสงครามเย็นระหว่างสองค่ายความคิดอย่าง อเมริกา และ รัสเซีย สถานการณ์ตึงเครียดขับเคลื่อนไปข้างหน้า พร้อมๆ กับบทวิวาทะของสองตัวละครหลัก ว่าด้วยความเป็นไปได้ในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติของกลุ่มคนที่แตกต่าง
ชาร์ลส์ (ก่อนได้ฉายา โพรเฟสเซอร์ เอ็กซ์) เติบโตมาในครอบครัวร่ำรวย มีการศึกษาสูง ด้วยความสามารถพิเศษในการทำความเข้าใจผู้อื่นอย่างทะลุประโปร่ง ชาร์ลส์ จึงเป็นคนมีเสน่ห์และเป็นที่รักในหมู่เพื่อน แต่ในความเพียบพร้อมก็ปรากฏปมเล็กๆ ในใจ ผ่านบทสนทนาตอนแรกพบกับ มิสทีก ถึงความห่างเหินระหว่างเค้ากับแม่
ส่วน เอริค ( ก่อนได้ฉายา แม็กนีโต) ผู้ผ่านประสบการณ์เลวร้ายในค่ายกักกันชาวยิวสมัยนาซีเรืองอำนาจ แม่ของเค้าถูกฆ่าตายอย่างเลือดเย็น เป้าหมายเดียวในชีวิตจึงคือการล้างแค้น ความโกรธเกลียดนาซีบ่มเพาะพลังด้านมืดให้เค้าพาลจงเกลียดจงชังมนุษย์ และในความมืดสนิทของจิตใจ ชาร์ลส์ ในฐานะเพื่อนใหม่ก็มองเห็นแสงสว่างอันเกิดจากความรักของแม่ซึ่งตัว ชาร์ลส์ เองอาจไม่เคยได้สัมผัส
ฉากสำรวจจิตใจ เอริค ข้างต้นตอบคำถามและเติมเต็มความสมบูรณ์ให้บทสนทนาในภาค 1 ว่า ความหวัง ที่ โพรเฟสเซอร์ เอ็กซ์ ยังคงแน่วแน่ที่จะค้นหาในตัว แม็กนีโต ก็คือขุมพลังความดีที่เค้าเคยมองเห็น สะท้อนถึงความเป็นไปได้ในการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของ แม็กนีโต ให้กลับมาเป็นคนดีอีกครั้ง
ก่อนที่ความสัมพันธ์ของ ชาร์ลส์ และ เอริค จะแตกหักเพราะมีความเชื่อเรื่องพื้นฐานของมนุษย์แตกต่างกัน ทั้งสองเคยมีศัตรูร่วมคือ เซบาสเตียน ชอว์ มนุษย์กลายพันธุ์ที่ต้องการเห็นการสูญพันธุ์ของมนุษยชาติ ชอร์ ใช้ความคลั่งชาติ ศาสนา และระบอบการปกครองที่แตกต่าง เสี้ยมให้มนุษย์เกลียดชังและหวาดระแวงกันเอง เช่นเดียวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในฉากแรกของเรื่อง
หนังประนีประนอมกับคำอธิบายประวัติศาสตร์โลกโดยเลี่ยงการสร้างตัวร้ายหรือป้ายสีใส่กลุ่มประเทศใด การประกาศกร้าวของแต่ละฝ่ายเกิดมาจากความหวาดระแวงและสถานการณ์คลุมเครือ การประสานความเข้าใจกลายเป็นพ้นวิสัยภายใต้บริบทที่แต่ละฝ่ายพร้อมที่จะอวดแสนยานุภาพทางการทหาร เช่นเดียวกับการแบ่งฝักฝ่ายในเรื่องที่แต่ละคนก็มีเหตุผลของตน ชาร์ลส์ เชื่อมั่นว่าสังคมอุดมคติจะบังเกิด ส่วน เอริค ก็ไม่อาจชำระภาพสังคมอันโหดร้ายออกจากความทรงจำ
หนังใช้เหรียญซึ่งมี 2 ด้านเป็นสัญลักษณ์ในการเลือกเส้นทางชีวิต ฉากที่ เอริค ล้างแค้น ชอว์ ด้วยการสั่งเหรียญให้พุ่งเข้าผ่าสมอง เหรียญเปื้อนเลือดตกพื้นและหงายด้านที่มีเครื่องหมาย สวัสดิกะ สื่อถึงการตัดสินใจของ เอริค อย่างชัดเจนที่จะก้าวเข้าสู่ด้านของการเหยียดชาติพันธุ์มนุษย์ไม่ต่างไปจากสิ่งที่เค้าเคยโกรธเกลียดนาซีในอดีต
X-Men First Class ทั้งต่อยอดและลงลึกจากภาคก่อนในประเด็นเรื่องอัตลักษณ์และการอยู่ร่วมกันในสังคม กลุ่มมนุษย์กลายพันธุ์ในเรื่องมีลักษณะร่วมบางอย่างกับกลุ่มคนชายขอบ ทั้งความรู้สึกโดดเดี่ยว การถูกตั้งแง่รังเกียจ ไม่เป็นที่ยอมรับ รวมถึงการขาดต้นแบบหรือผู้ชี้นำอนาคต พัฒนาการของประเด็นนี้ถูกบอกเล่าผ่านตัวละครกลุ่มรองอย่าง มิสทีก และ บีสท์ ที่หนังดูจะให้น้ำหนักและมีบทบาทมากกว่าเพื่อนคนอื่น
มิสทีก และ บีสท์ แสดงออกชัดถึงความรังเกียจตัวเอง พวกเค้าพยายามที่จะกลายเป็นคนปกติเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของสังคมกระแสหลัก มิสทีก เรียนรู้จาก เอริค ที่จะให้เกียรติและชื่นชมตัวเองในฐานะของงานศิลป์ที่พระเจ้าได้สร้างสรรค์ ส่วน บีสท์ ก็หนีธรรมชาติภายในไม่พ้นจำต้องกลายร่างเป็นอสูรขนฟู การเปิดเผยตัวตนช่วยปลดปล่อยพวกเค้าให้เป็นอิสระ ส่วนท่าทีต่อการอยู่ร่วมกันภายใต้ความแตกต่าง มิสทีก และ บีสท์ เลือกที่จะเห็นต่างกัน
ผมชอบชื่อ First Class ที่หนังเลือกใช้เพราะกินความหมายได้หลายนัย ทั้งความเป็นรุ่นแรกของ X-Men อย่างที่ชื่อไทยแปลมา ความคลาสสิกของยุคสมัยที่หนังสื่อผ่านแฟชั่นแนวโบราณ การเริ่มตั้งชั้นเรียนแรกของ ชาร์ลส์ และการเริ่มต้นจำแนกแยกแยะฝักฝ่ายระหว่าง ชาร์ลส์ และ เอริค
หนังในตระกูล X-Men เน้นบูชาอุดมการณ์เสรีนิยมอย่างเห็นได้ชัด ภาค 1 ก็สู้กันบนศีรษะของเทพีแห่งเสรีภาพ ความพยายามที่จะครอบงำสังคมให้คิดเห็นเช่นเดียวกันไม่เว้นแม้แต่ลัทธิคลั่งชาติ ล้วนถือเป็นรูปแบบหนึ่งของเผด็จการที่ไร้อารยะและน่ารังเกียจ
ความปรารถนาที่จะเปลี่ยนมนุษย์ธรรมดาให้เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ของ แม็กนีโต ในภาค 1 และการทดลองเพื่อเปลี่ยนมนุษย์กลายพันธุ์ให้เป็นมนุษย์ธรรมดาของ บีสท์ ในภาคนี้ คือการบิดเบือนธรรมชาติและยังเป็นการทำลายเจตนารมณ์ของพระเจ้าที่มุ่งธำรงอัตลักษณ์และความแตกต่างของมนุษย์ไว้ ไม่ใช่เพื่อสงครามหรือการเข่นฆ่า แต่เพื่อแต่งแต้มสีสันให้โลกใบนี้ดูงดงามและมีความหมายยิ่งขึ้น
...
Create Date : 06 มิถุนายน 2554 |
|
7 comments |
Last Update : 6 มิถุนายน 2554 1:09:47 น. |
Counter : 2222 Pageviews. |
|
 |
|
|
| |
โดย: Tisiny 6 มิถุนายน 2554 2:16:35 น. |
|
|
|
| |
โดย: Ace IP: 158.108.92.51 6 มิถุนายน 2554 9:09:14 น. |
|
|
|
| |
โดย: is_ninja 6 มิถุนายน 2554 10:06:48 น. |
|
|
|
| |
โดย: bbandp 6 มิถุนายน 2554 11:20:03 น. |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|