ผู้คน เดินวน แสงสี

Photobucket
19.00 น. , สนามฟุตบอลด้านหลังหอสมุด

ผู้คนเริ่มหลั่งไหล เข้ามาในงาน หลายคนเดินมากับแฟนหน้าตาชื่นบาน บางคนก็เดินเกาะกลุ่มมากับเพื่อน
ชายหนุ่มหลายคนมองหาคนลอยกระทงด้วย หญิงสายหลายคนมองหาคนซื้อกระทงให้ ส่วนผม-มองหาร้านขายน้ำเพราะหิวเหลือเกิน ระหว่างเดินๆไปร้านขายน้ำก็เก็บภาพมาฝากไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคับ

Photobucket
20.00 น. สนามฟุตบอลด้านหลังหอสมุด

เสียงอึกกระทึกครึกโครม ประโลมเข้ามาในรูหู แต่ดูท่าทีพวกเธอแล้วแก้วหูคงไม่ได้รับผลกระทบเท่าไหร่นัก พวกเธอยืนพักอย่างสบายใจ ส่วนผมถอนหายใจพร้อมกับเดินด้วยความว่องไวออกจากบริเวณนั้น บริเวณที่เสียงดังพอที่จะพังแก้วหูได้

Photobucket
20.30 น. , คลองหลังห้องสมุด

โครมไฟถูกประดับประดา พร้อมด้วยสายตาอิจฉาของใครบางคนจากหลังเลนต์ ที่หันไปทางไหนก็มองเห็นแต่คนเดินมาเป็นคู่ จู๋จี๋ ดู๋ดี๋ ปู๋ปี๋ ชู๋ชี๋ เออน่ารักดี
หลายคู่ก็น่ารักเดินมาทักผม
“พี่มาคอยเก็บเหรียญจากกระทงเหรอคะ”
ไอ้เราก็ได้แต่ทำหน้างง ปลง และตอบกลับไปตรงๆว่า
“พี่รองานเลิกก่อน ตอนนี้มาดูสภาพน้ำก่อน ว่าจะพายเรือเก็บ หรือเอาไม้เขี่ยเอา”

Photobucket
21.00 น. , คลองหลังห้องสมุด

กระทงหลากหลายรูปแบบ นอนแนบกับผิวน้ำ
บ้างก็น่าจะเรียกว่ากะลามากกว่ากระทง บ้างก็ขอพูดตรงๆเลยนะ นี่กระทงเหรอน้อง
น้ำไม่ใส แต่รอยยิ้มของคนที่มาปล่อยกระทงใส
พรุ่งนี้ก็คงเป็นหน้าที่ของน้านักการที่ต้องมาจัดการเหล่ากระทงหลงทางพวกนี้ให้ไปที่ๆมันควรจะอยู่-ถังขยะเปียก

Photobucket
21.30 น. , ลานหญ้าหน้าตึก อน.

นิสิตหลายคนนั่งบ่น ดมยาดม ลมจับ เพราะเดินเที่ยวแบบมาราธอน
ลานหญ้าหน้า อน.น่านั่ง สายลมเย็นของฤดูหนาวพัดผ่านมากระทบร่างการทำให้หลายคนรู้สึกว่า สบายตัวจัง นั่งเอาบรรยากาศดีกว่า-บรรยากาศแบบนี้ บรรยากาศแบบหนึ่งปีมีครั้งเดียว บรรยากาศงานลอยกระทง
ส่วนคนถือกล้องก็ได้แต่ปลง คงไม่มีอารมณ์มานั่งชื่นชมบรรยากาศแบบนี้หรอก

Photobucket
22.00 น. , ริมคลองติดกับถนนไปเรียนรวม

ดอกไม้ไฟส่งแสงสว่างไสว เจิดจ้า อวดแสงแข่งกับดวงจันทร์บนท้องฟ้า
พระจันทร์วันนี้สวยมาก
แต่แสงของดอกไม้ไฟสวยกว่า
ถือกล้องผ่านก็ยิ้มในใจว่าน่าจะเก็บเอาแสงที่สวยๆแบบนี้ไว้เป็นความทรงจำดีกว่า เผื่อวันนี้ในปีหน้าเราไม่มีเวลามาเดินเตร่คนเดียว ฮ่าฮ่าฮ่า พูดไปก็ขำตัวเอง

วันนี้วันลอยกระทง
ผมก็ได้ยัดเรื่องราวต่างๆทั้งที่ยังสะสางไม่เสร็จลงในกระทงและมาส่งที่ริมน้ำเรียบร้อยแล้ว ขอให้กระทงได้เดินทางไปในที่ที่มันควรจะไป ซักวันหากยังมีบุญจริงกระทงใบน้อยก็คงลอยทวนน้ำตามกลับมาหาผมเอง

ขอบคุณ สายน้ำที่ชุ่มช่ำ
ขอบคุณทุกตัวละครที่มาเดินให้ตากล้องแอบถ่ายอย่างเพลินตา
ขอบคุณเรื่องราวที่ยังสะสางไม่เสร็จ ที่คิดถึงทีไรก็ทำให้เป็นผู้ใหญ่ขึ้นทุกที




 

Create Date : 03 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 3 พฤศจิกายน 2552 1:12:16 น.
Counter : 1090 Pageviews.  

ลอยกระทงกับกระเทย

katong

ผมถามเพื่อนหลายคนว่าเย็นนี้จะไปสะหวีวี้วีกับใคร ก็อย่างที่เข้าใจแหละคับ ผมหมายถึงไปลอยกระทงกับใคร
ไอ้คนไร้คู่อย่างผม ก็คงต้องก้มหน้าเดินไปตลิ่ง พร้อมกับส่งสายตาอ้อนวอนเหล่าปลา ว่า โปรดส่งใครมารักฉันที อยู่ตรงนี้มันเหงาเกินไป อยากจะรู้รักแท้มันเป็นเช่นไร มีจริงใช่มั๊ย โหวๆ

หลายคนมีคู่ หลายคนรอดู ผมยิ้มแห้งๆแต่ในใจแสนหดหู่
คงจะดีถ้ามีคนเดินเที่ยวงานลอยกระทงใน ม.ด้วย
คงจะดีถามมีคนถือกระทงเดินข้างๆพร้อมกับยิ้มกว้างๆ เฮฮากับมุขบ้าๆที่เราจะปล่อยแบบปืนบาซูก้า
คงจะดีถ้ามีคนไปเดินดูซุ่มของชมรมต่างๆกับผมชื่นชมว่าแต่ละซุ่มสวยจังเลยตัวเอง
คงจะดีถ้ามีคนมาเดินกินลูกชิ้นนึ่ง เต้าทึงถ้วย กล้วยแขก แล้วก็แหวกฝูงชนไปค้นหาไข่ปลาพาโชค
และอีกหลายๆคงจะดีถ้ามีคนเดินเที่ยวด้วย

กระเทย ขออนุญาติเรียกว่ากระเทยละกันนะครับ ไม่อยากไปเสียเวลาพูดยาวว่าเพศที่ไม่ประสงค์จะออกนาม
กระเทยทำกระทงสวย หลังจากได้กระทงสวยๆกระเทยก็จะเอากระทงไปส่งให้ผู้หญิงสวยเอาไปช่วยขาย สรุปกระเทยเป็นผู้ปิดทองหลังกระทง แต่บอกตรงๆคนที่ได้หน้าเพราะกระทงกลับไปลงที่ผู้หญิงสวย
ผู้หญิงสวยผิดมั๊ย? เป็นคำถามต่อไปที่พี่น้องสงสัย
ผู้หญิงสวยไม่ผิด เพราะผู้หญิงสวยไม่ใช่กระเทย เลยไม่จำเป็นต้องไปนั่งทำกระทง แต่เป็นกระเทยที่เอ่ยขอทำกระทง เพราะฉะนั้นทั้งกระทงและกระเทยเลยเป็นกลายเป็นสิ่งที่ผู้หญิงสวยต้องช่วยขาย

ผมมีเพื่อนเป็นกระเทย และก็เป็นกระเทยที่เก่งมาก
มัน นังนั่น ไอ้นั่น ไม่รู้จะเรียกมันว่าอะไรกัน เอาเป็นว่าขอเรียกว่า คุณเทียม แล้วกัน
คุณเทียม เค้าเก่งมาในเรื่องความคิดเกี่ยวกับการออกแบบอะไรสวยๆงามๆ หลายงานของคณะคุณเทียมจะอาสาเข้าไปดูแล ควบคุม ใกล้ชิดหนุ่มๆ และทุ่มเทแทบขาดใจ
คุณเทียม เป็นเหรัญญิก ประจำภาควิชาผม ที่นิยมเก็บแบบทบต้นทบดอก หลายครั้งที่เพื่อนๆในภาคพูดไม่ออกเพราะดอกทำไมมันเยอะกว่าต้น(วะ)

วันนี้คุณเทียมเค้ารับผิดชอบเกี่ยวกับการทำกระทงของคณะ เชื่อว่าใครหลายคนจะต้องผงะถ้าได้เห็นกระทงผีมือคุณเทียม
ใช่ครับ-มันสวยมาก

ผมยิ้มแห้งๆ แต่คุณเทียมเหนื่อยหอบ เป็นคำถามที่ไม่จำเป็นต้องตอบก็ได้

ในขณะบางคนคิดเรื่องที่จะไปเดินเที่ยวเล่นในงาน แล้วก็ปวดกะบาล ว่าไม่มีใครไปเดินเที่ยวด้วย แต่อีกคนมัวแต่ทำงานวุ่น เพื่อที่จะให้งานออกมาดีที่สุด โดยที่เค้าไม่หยุดคิดเรื่องเดินเที่ยวงานให้ปวดกะบาลเลย

มองไปที่คุณเทียมแล้ว
คงจะดีถ้าเรามีความสุขในคืนวันลอยกระทงด้วยการทำงานอย่างคุณเทียม
คงจะดีแม้ไม่มีใคร แต่ก็มีกำลังใจจากเพื่อนๆร่วมคณะที่มาร่วมด้วยช่วยกันทำกระทง
คงจะดีถ้าเห็นนางนพมาศของคณะได้ที่ หนึ่ง เหมือนที่คุณเทียมดีใจ
คงจะดีอีกมากมาย ถ้าเลือกที่จะใช้ชีวิตให้สนุกกับ งาน หรือ หลายๆอย่างรอบตัว ดีกว่ามาปวดกะบาล ทรมานเพราะไม่มีคู่ชูชื่นคืนลอยกระทง

วันเพ็ญเดือนสิบสอง นั่งกินหอยดองอยู่ริมตลิ่ง พวกเราทั้งหลายชายหญิงสนุกกันจริงกินปลิงติดคอ ลอย ลอย กระทง ลอย ลอย กระทง ลอยกระทงกันแล้ว ขอเชิญคุณเทียมออกมารำวง
สนุกกับงานลอยกระทงครับ
เดี๋ยวผมไปชวนคุณเทียมมาลอยกระทงดีกว่า

ขอบคุณกระเทยที่ทำให้กระทงสวย
ขอบคุณคุณเทียมที่มาทำให้งานลอยกระทงปีนี้มีมุมมองที่ต่างออกไป
ขอบคุณกระทงที่ลงไปขอบคุณพระแม่คงคา




 

Create Date : 02 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 2 พฤศจิกายน 2552 15:06:38 น.
Counter : 1337 Pageviews.  

โสดหน้าหนาว

sod

ลมหนาวพัดผ่านมาเพื่อเตื่อนว่าอีกไม่กี่วันข้างหน้าข้าจะมาปกคลุมบรรยากาศทั้งหมดแล้ว……
ผมชอบหน้าหนาว อย่างที่เคยบอกไว้ตั้งแต้ตอนแรก เพราะหน้าหนาวมันทำให้คนเรารู้สึกเหงา เศร้า ได้มากกว่าฤดูอื่นๆ อากาศเย็นๆ ที่ล่องลอยรอบตัว สายลมแห้งๆที่พัดผ่านเพียงเบาๆ ใบไม้ที่ร่วงหล่นกราดเกลื่อนแลดูแล้วฤดูหนาวน่าจะเปลี่ยนชื่อเป็นฤดูเหงามากกว่า

หลังจากกลับมาถึงห้องก็จัดการเก็บข้าวของเข้าที่ เสื้อผ้าที่แบกกลับบ้าน ก็เอามาแขวนใส่ตู้เสื้อผ้าให้ง่ายต่อการเรียกใช้ กางเกงในก็พับเก็บไว้ในลิ้นชัก ไอ้ที่ยังไม่ซักก็เก็บใส่ไว้ในตระกร้า เก็บ ทำความสะอาดตู้จนเหนื่อยล้า หันหน้ามาก็เจอกับโต๊ะอ่านหนังสือที่รกยิ่งกว่าป่าอะเมซอน

พอกเกตบุ๊กที่วางเรียงรายอย่างไร้ระเบียบ หนังสือเรียนที่นอนเงียบๆอย่างไร้สีสัน ซีดีเพลงมากมายก่ายกองกัน แก้วโอวัลตินแก้นนั้นยังไม่ได้ล้างตั้งแต่เทอมก่อน
ว่าแล้ว ก็เริ่มจินตนาการแผนคร่าวๆไว้ในหัว ว่าจะจัดโต๊ะหนังสืออย่างไรให้ลงตัว เอาหนังสือเรียนวางตรงนี้ เอาซีดีเพลงว่าตรงโน่น เอาพอกเกตบุ๊กว่างตรงนั้น คิดๆแล้วก็เริ่มจัดไปเรื่อยๆ

สมุดบันทึกเล่มสีเขียว ที่มีสติกเกอร์ติดข้างหน้าว่า ‘ไม่มีกิจห้ามเข้า’
ผมไม่ได้เจอกับสมุดบรรทึกเล่มนี้นานแล้ว ผมนึกว่ามันหายไปไหน ที่จริงมันก็อยู่ใต้กองหนังสือที่เราไม่เคยรื้อมขึ้นมา มันแอบทำตัวเงียบๆไม่ ส่งเสียง ส่องแสง เรียกร้อง ให้ผมสนใจมันเลย เอ-เหรอผมไม่เคยคิดที่จะสนใจมันเองตะหาก

เปิดเข้าไปอ่านข้อความข้างใน หัวใจก็เหมือนถูกกระชากกลับสู่วันเวลาเดิมๆ ที่ล้วนถูกแต่งเติมด้วยรอยยิ้มจากคนรอบข้าง แม้ว่ามีบางช่วงเวลาที่อ้างว้าง
“ฤดูหนาวนี้ทำงานกีฬาสี กูโคตรซวยเลยว่ะ อาจารย์แจ๊คจับได้ว่าเล่นไพ่ในห้อง พวกกูกำลังเล่นอยู่เพลินๆอาจารย์เดินมาเปิดประตูซะงั้น โห นั่งเล่นกันอยู่สามคนโดนหมดเลย รู้สึกว่าไม่น่าเลยกู อุตส่าห์ขอคาบอาจารย์มาทำงานกีฬาสีแต่ดันเอาเวลาที่อาจารย์ให้มานั่งเล่นไพ่ซะงั้น อาจารย์แจ๊คคงผิดหวังมากสินะ รู้สึกเหมือนเห็นน้ำตาอาจารย์ตอนที่ด่าพวกเราเลยว่ะ ทั้งที่เรา(ทั้งสามคนที่เล่นไพ่) เป็นคนสนิทและอาจารย์เชื่อใจมากๆ แต่พวกเรากลับทำเรื่องอย่างนี้ได้
‘พวกมึงเอาเกรดศูนย์ไปได้เลย พวกมึงไม่ต้องมาทำงานอีกแล้ว กูให้เกรดศูนย์พวกมึงแล้ว’
คำพูดของอาจารย์แจ๊ค โคตรทำให้กูกลัวเลย กูไม่เคยได้เกรดศูนย์มาก่อนในชีวิต แล้วก็ไม่อยากได้ด้วย นี่อีกไม่กี่เดือนกูก็จะจบ ม.หก แล้ว ไม่อยากไปนั่งอธิบายให้แม่ฟัง ไม่อยากมีเลขศูนย์ในชีวิตการศึกษา
กังวลชิบหาย
แต่ก็รู้สึดี ที่กูรู้สึกว่ากูทุกข์ก็มีคนร่วมรู้สึกไปกับกู เพื่อนทั้งห้องพยายามคิดเหตุผล(ข้อแก้ตัว)ที่จะไปแก้ไขเรื่องชั่วๆของพวกเราสามคน
แล้วที่รู้สึกดีอีกอย่างนึงคือ มีใครมาบางคนมานั่งปลอบอยู่ตลอดเวลาว่า ‘ทุกอย่างมันจะผ่านไปน่ะดุ้ง’
………………………”
นั่งอ่านเรื่องราวที่แสนยืดยาว กลับรู้สึกว่า เออ-สนุกดีว่ะ สุดท้ายผมก็ไม่โดนเกรดศูนย์ สุดท้ายผมก็ผ่านเรื่องร้ายๆเหล่านั้นมาได้ เรื่องราวของหน้าหนาวปีนั้นก็จบลงแฮปปี้เอนดิ้ง

บางครั้งความทรงจำมันก็อาจจะกลับมาเตือนเราในช่วงเวลาที่เราเหงาๆก็เป็นได้
โสดหน้าหนาวมันคงไม่เหงาอย่างที่คิดหรอก แค่เพียงเรามั่นบริหารจิตให้ร่าเริง

เปิดสมุดบันทึกเล่มเก่าไปเรื่อย ก็มาเจอกับการ์ดวันเกิดสีชมพูสดใส ที่นอนอยู่ในซองสีชมพูอ่อนๆ
เปิดซอง เจอรูปใครบางคนหล่นออกมา พร้อมกับการ์ด แฮปปี้วาเลนไทน์เดย์
อ่านข้อความข้างใน ก็รู้สึกว่าอินท์กับเพลง วัย ของวงฟลัวร์ ที่อินก็เพราะกลิ่นของวันเก่าๆมันยังคละเคล้าไม่ไปไหนจากซองการ์ดสีชมพูใบนี้ ใบที่เราได้รับหน้าหนาวปีก่อน

เก็บการ์ด ทำความสะอาดโต๊ะต่อ ที่จริงชีวิตมนุษย์เราทุกคนต่างรอ รอที่จะกลับไปจุดเริ่มต้น จุดที่เราทุกคนไม่มีตัวตน จุดที่ทุกคนก็ต้องไป

จะหนาวนี้หรือหนาวไหนค่าของมันก็คงไม่ได้ต่างอะไรกันมากมาย
พูดแล้วก็เปิดสมุดบันทึกหน้าต่อไปพร้อมเขียนตัวหนังสือใหญ่ๆว่า
‘ยิ้มดิวะ โสดแล้วงัยไอ้ควาย สนุกกับชีวิตต่อไป’

ขอบคุณสมุดเล่มสีเขียวที่รวมเรื่องฟิ้วๆให้ได้ยิ้มทุกทีที่เปิดอ่าน
ขอบคุณเจ้าของการ์ดวันเกิดที่ส่งมันให้ในวาระดิถียี่สิบปีโอเล่
ขอบคุณหลักธรรมดีๆจากหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช




 

Create Date : 02 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 2 พฤศจิกายน 2552 3:25:02 น.
Counter : 781 Pageviews.  

อยากมี…จนตัวสั่น!

Photobucket

เมื่อวานเดินทาง ร้างไกลบ้าน เพื่อที่จะมาศึกษาต่อให้พ่อได้ยิ้มกับใบปริญญาที่มีค่าเท่ากระดาษหนึ่งแผ่น
เหมือนมีคนเคยพูดให้ได้ยิน-บางทีเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางสำคัญจุดหมาย อันนี้เห็นด้วยอย่างยิ่ง

แม่ขับรถด้วยความเร่งรีบ รวดเร็ว ลั้นล้า ออกมาจากบ้าน แม่ขับ ผมนั่ง
“เข็มขัดเอายัง? เดี๋ยวเงินจะโอนไปให้วันจันทร์นะ เอาหมดแล้วใช่มั๊ยของอ่ะ? เสื้อพ้งเสื้อผ้านี่ขนกลับมาทีไรก็มาลืมไว้ที่บ้าน ตรวจเช็คของตัวเองให้ดีๆหน่อย”เสียงบอกที่ออกคล้ายๆเสียงบ่น จากคนที่รักและห่วงผมมากที่สุด
แม่กำลังขับรถมาส่งผมที่ป้ายรถทัวร์

ขึ้นรถทัวร์ เก้าโมงตรง คิดว่าจะได้ลงซัก บ่ายสี่โมงเย็น
บรรยากาศเดิมๆ รถทัวส์ ป.1 จากต่างจังหวัด จะสะบัดก้นไปกรุงเทพมหานครฯ ไม่นานผมก็หลับนอนพักผ่อนอยู่บนเบาะนุ่มๆ ที่หุ้มด้วยผ้าอย่างดี สีน้ำเงิน
รู้สึกตัวอีกที ก็มีคนเดินชนขา พร้อมพูดว่า “นั่งตรงนี้ครับ”
มีพี่ผู้ชายหนึ่งคนหน้าตาซื่อๆถือกระเป๋ามานั่งข้างๆเรา เขาไปไหนจะไปสนใจทำไม เรามันอยู่โลกคนละใบ และก็ไม่อยากซักไซ้ ขยับกระเป๋าตัวเองที่วางขวางทางเป็นนักเลง เพื่อให้พี่ผู้ชายได้นั่งสบายขึ้น

รถวิ่งมาเรื่อยๆ ผมก็หลับอย่างเรีบยร้อย

รถจอดพักให้นักเดินทาง ได้ลงไปสูดอากาศที่ปราศจากแอร์ ทำธุรส่วนตัว กินน้ำปัสวะ ทิ้งขยะ โทรหาแฟน
ผมไม่มีแฟน ไม่มีขยะ ไม่ได้ปวดปัสวะ แล้วก็ไม่ได้มีธุระกิจส่วนตัว ก็เลยเดินเข้าไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อ ไม่นานผมก็ถือ โมจิ(เค้าว่าอย่างนั้นนะ)หนึ่งถาด นมเปรี้ยวหนึ่งกล่อง แล้วก็น้ำผลไม้หนึ่งขวดมาอวดพนักงาน

พี่คนที่นั่งข้างๆยิ้มให้ผมหนึ่งที พร้อมทำตาหยีๆและเสยผม
“ไปไหนคับ”เสียงที่อ่อนโยน ถูกโอนออกจากปากพี่ชายหน้าตาซื่อที่ถือขนมอะไรไม่รู้ ดูแล้วท่าทางน่ากิน
“ครับ” ผมไม่ได้ฟัง เพราะสายตามัวแต่ไปจับจ้องขนมที่พี่ถืออยู่
“ไปไหนคับ” ครั้งนี่พี่พูดแรงกว่าเดิม
“อ๋อ ไปกรุงเทพฯ คับ” ผมตอบ
หลังจากนั้นพี่ก็เริ่มชวนผมคุย ด้วยท่าทีที่สุดแสนจะเป็นมิตร คุยด้วยแล้วแสนสุขสบายจิต

คุยกันไปซักพัก เรื่องความรักจากปากพี่ก็เผยออกมา โดยที่เราคิดว่าเรายังไม่ได้ถามอะไรด้วยซ้ำ แต่ผมกลับตั้งใจจฟังอย่างรู้สึกตัว เพราะเรื่องราวที่พี่เล่าเหมือนเอาชีวิตผมไปคลุกเคล้าเข้ากับชีวิตของพี่ อะไรมันจะคล้ายกันได้ขนาดนี้ ยิ่งฟังก็รู้สึกเหมือนได้แง่คิดดีๆจากคนที่เพิ่งเจอกันแค่ครั้งแรก
“เวลาจะเป็นตัวที่ทำให้ทุกอย่างมันกลับมาสงบเงียบ ราบเรียบเหมือนเดิม พี่ว่าคนอกหักทุกคนล้วนต้องการเวลา พี่ว่ากว่าเราจะรักกันได้ต้องใช้เวลา แต่กว่าจะเลิกกันได้ใช้เวลานานกว่า แต่พอเวลาผ่านไปนาน นานจนเรารู้สึกเฉยชา เราจะรู้ตัวว่าช่วงนั้นเราไม่มีสติขนาดไหน มองกลับไปดูภาพตัวเองก็อดขำในการกระทำไม่ได้” นี่เป็นส่วนหขึ่งของคำพูดของพี่คนที่นั่งข้างๆ
“พี่ว่าบางที่คนเราเกิดมาก็เพื่อที่จะคู่กับคนๆนึงอยู่แล้ว บางคนเกิดมาเพื่อที่จะเป็นแฟนกัน บางคนเกิดมาเพื่อที่จะเป็นเพื่อนสนิทกัน บางคนเกิดมาเพื่อจะเป็นพี่น้องกัน แต่วมันไม่รู้ว่าอะไรจะแน่ชัดหรอก เพราะทุกอย่างต้องใช้เวลา บางคนอยากมีแฟนมากจนตัวสั่น คิดว่าถ้าเราไม่รีบหาเดี๋ยวนี้นานไปเราก็จะไม่มี นานไปเราจะหาไม่ได้ พี่คิดว่าคนที่คิดอย่างนี้ ชีวิตเค้าจะจะห่างไกลคำว่ารัก”
“เหมือนผมรู้จักกับคนแบบนี้เลยคับพี่”คำพูดที่ออกจากความรู้สึกนึกคิดของผม
“บางทีการอยู่คนเดียวการเว้นที่ว่างให้เราได้คิด ได้นั่งเพียงลำพังเราจะรู้สึกได้เองว่าชีวิตไม่ได้วังเวงอย่างที่คิด พี่เลิกกับแฟนแรกๆพี่ก็จะตายเหมือนกัน อยู่ไม่ได้ ทำอะไรก็ลำบากใจมากมาย แต่พอได้อยู่กับตัวเองก็ทำให้รู้สึกว่าชีวิตไม่ได้ขาดอะไรเลย เราอยู่ของเราได้ เราไม่ตาย เราก็แค่ทำบุญร่วมกับเขามาแค่นั้น หยุดคิด หยุดฝัน แล้วทุกๆวันมันก็จะมีค่า มากว่าไปเสียเวลาคล่ำครวณเสียใจ”พี่พูดกระแทกแรงๆเข้าที่ใจผม

แลกเปลี่ยนทัศนะกับพี่ชายรวยความคิดคนนี้ไปนานๆก็ทำให้รู้สึกว่า คำว่ารักที่เคยสัมผัสมาค่าของมันที่คนเราคิด ก็แค่การยึดติด

ถึงเวลาที่เราสองคนต้องจากกัน ผมยังไม่รู้จักอะไรเกี่ยวกับพี่เค้าเลย
“พี่ทำงานอะไรคับ”
“พี่เป็นผู้จัดการร้านอาหารคับ ตั้งใจเรียนนะ แล้ววันนึงความบังเอิญอาจทำได้กลับมานั่งคุยกันอย่างนี้อีกก็ได้ ทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้ ทุกวินาทีคือความบังเอิญ”

แล้วผมก็กลับสู่ที่เดิม ที่ที่ผมต้องมาเอาใบปริญญากลับไปฝากพ่อ

ขอบคุณ พี่น้อย ในความคิดคมๆที่ผมฟังแล้วก็อมยิ้มตลอดทาง
ขอบคุณกระดาษแผ่นน้อยที่คนไม่น้อยรอยคอยถือมาถ่ายรูป พร้อมกับยิ้มกว้างๆ
ขอบคุณความห่วงใยจากครอบครัวที่แสนอบอุ่นเสมอ




 

Create Date : 01 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 1 พฤศจิกายน 2552 15:05:52 น.
Counter : 831 Pageviews.  

เช้ากฐินเย็นฮาโลวีน

shock

แม่ปลุกแต่เช้า ให้ลงมาช่วยทำกับข้าว เพราะวันนี้จะมีญาติพี่น้อง เพื่อนพ้องของพ่อและแม่ มาแออัดกินข้าวต้มมัดที่บ้านของเรา
งานทอดกฐินมีอยู่ในหมู่บ้าน บ้านผมไม่ใช่ที่จัดงาน แต่ใครที่มาร่วมงานต้องแวะมากินข้าวเที่ยงที่บ้านผม

เมื่อคืนนอนดึก แต่ไม่ได้คึกอะไร แค่สนุกสนานเพลิดเพลินใจ กับอะไรๆที่เราลองทำดู
เมื่อคืน ผมนอนฟังพระเทศน์ครับ
เสียงของ ท่าน ว.วชิรเมธี ที่กำลังเทศนาเรื่องช่วงเวลาแห่งความสุข ไหลเข้าหูทั้งสองข้างของผม ที่นอนอมยิ้มหน้าตาจิ้มลิ้ม ปริ้มๆไปด้วยความสุข
หลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่มีใครทราบ ตื่นขึ้นมา เสียงของท่าน ว.วชิรเมธี ก็ยังเล่าเรื่องราวข้อคิดดีๆ ให้เราได้อิ่มเอมใจ

สี่ทุ่มครึ่ง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น มองดูหน้าจอ อ๋อ!สารส้มโทรมา
เสียงสนทนาภาษาสารส้ม สอดแทรกมาตามสายคลื่นโทรศัพท์ ตัวผมเองก็อยากหลับ ไม่อยากขยับให้มากกว่านี้
คุยไปซักพัก ตามันชักจะอยากลืม ในลำคอบอกสมองว่าอยากดื่ม ผมก็เลยเดินลงบันไดพาเอาคอที่แหบแห้งไปราดน้ำ

“ในมุมมองของเรานะ คนที่ทำอาชีพนั้นๆ ไม่ควรจะมีแฟนเป็นคนร่วมอาชีพเดียวกันนะ”เสียงของผมระงมผ่านสมอลล์ทอล์กสีดำที่ผ่านการใช้งานมาอย่างยาวนาน
“………..”
“ เราคิดว่าหากเราทำงานอย่างนึงแล้ว เราจะมีโลกๆนึงที่เป็นโลกของเรา โลกแบบที่อาชีพเราเป็น สำหรับเรานะเราคิดว่าหากเรายังมีแฟนหรือแต่งงานกับคนที่เดินอยู่ในโลกๆเดียวกันกับเรา มิติของการใช้ชีวิตมันจะน้อยลง เช่นถ้าสมมุติ หมอแต่งงานกับหมอ สังคมก็คงจะเป็นสังคมหมอๆ ที่ทำตัวงอๆอยู่แค่โรงบาลหรือคลินิก วิศวกรแต่งงานกับวิศวกรก็คงต้องนอนกอดกันกลางไซด์งาน ครูแต่งงานกับครูรู้ใช่มั๊ยหลายๆอย่างคงไม่พ้นคำว่าโรงเรียน ชีวิตมันจะแคบลงโดยที่เราไม่รู้ตัว แต่ก็แล้วแต่มุมมองของคนแหละ แต่ถ้าคิดตามเรานะ ครูแต่งงานกับหมอเรือนหอมันจะน่าอยู่กว่าครูแต่งงานกับครู เชื่อป่ะ? วิศวกรนอนคุยกับพยาบาลจะสนุกสนานมากกว่าวิศวกรนอนคุยกับวิศวกร เราเชื่อจริงๆนะ สังคมที่เกิดการผสมผสานอย่างที่เราคิด จะเป็นสังคมที่มีมิติไม่น่าเบื่อ เชิ่อสิ?”
“……….”

วันนี้เมื่อสี่ปีก่อน ตอนประมาณ 3 ทุ่มผมกับเพื่อนกำลังประชุมกันว่าเราจะแต่งตัวเป็นผีอะไรกัน ผีถุงเท้า ผีดมกาว ผีแซวสาว ผีหน้าขาว ผีมะพร้าว ผีลืมหัว ผีลืมตัว ผีฯลฯ ผมจำไม่ได้ว่าผมแต่งตัวเป็นผีอะไร แต่ที่จำได้คือเสื้อกีฬาสี สีฟ้าที่ใส่วันนั้นเปื้อนลิปสติกซักไม่ออกจนถึงวันนี้(คราบเลอะยิ่งเยอะประสบการณ์)
ฮาโลวีนครั้งแรกในชีวิตผมเมื่อสี่ปีก่อน เกิดขึ้นในโรงเรียนมัธยมที่อาจารย์หมวดต่างประเทศต้องการอินเทรน ตามกระแสต่างชาติ ให้นักเรียนหัวเกรียนๆแต่งตัวเป็นผี ออกมาจากหอพักให้มาทักมาหลอกกัน แต่ขอบอกว่ามันส์มากมาย

เสียงของท่าน ว.วชิรเมธี ที่พูดเรื่องช่วงเวลาแห่งความสุข ฟังแล้วก็อยากให้อยากให้ทุกช่วงของชีวิตเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขจริงๆอย่างที่ฟัง
ทำไมต้องอยากด้วยล่ะ ในเมื่อเราสร้างช่วงเวลาแห่งความสุขได้ด้วยตัวของเราเอง ไม่เห็นจะยากเลย
งานกฐินที่พ่อแม่พี่น้องมารวมกันเพื่อที่จะทำบุญ
งานฮาโลวีนที่ขาแดนซ์มาเตรียมฟ้อนเตรียมแอ่นหน้าเวที
งานเหล่านี้เป็นช่วงเวลาเฮฮาที่หาความสุขจากมันได้ไม่ยาก เป็นช่วงเวลาช่วงหนึ่ง ที่ทุกคุณคิดถึงแล้วรอยยิ้มจะเกิดที่มุมปาก
งานที่สังคมประกอบได้ด้วยหลายๆมิติที่ไม่น่าเบื่อ

ขอบคุณไฟล์ธรรมะดีๆจากเวป ธรรมจักรดอทคอม
ขอบคุณสารส้มที่แวะมาสร้างมุมมอง รอยยิ้ม
ขอบคุณช่วงเวลาดีๆทุกช่วงที่เคยเกิดขึ้นในชีวิต




 

Create Date : 30 ตุลาคม 2552    
Last Update : 30 ตุลาคม 2552 17:18:09 น.
Counter : 900 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  

เบิกทวารแมน
Location :
นครนายก Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เบิกทวารแมน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.