Group Blog
### มุ่งสู่เส้นทางลอยฟ้า กิโลเมตรละห้าล้านบาท 1219 โค้ง ###















หลังจากพักรถดื่มกาแฟสดกัน
ที่หมู่บ้านอุ้มเปี้ยมแล้ว
  คณะเราก็เริ่มออกเดินทางต่อทันที
เส้นทางที่รถวิ่งขึ้นเขาลงเขา 
 โค้งไปโค้งมาตลอดทางนั้น
   ฝนก็พรำลงมาตลอด หนักบ้าง เบาบ้าง
หมอกลงทึบบางครั้งก็แทบมองไม่เห็นทาง 
 นี่เพิ่งจะเริ่มเข้าหน้าฝนนะ ยังขนาดนี้แล้ว
ต่อจากนี้ไปจะขนาดไหน
เรานั่งเหม่อมองสองข้างทาง 
 ซึ่งบางช่วงก็เป็นป่าทึบ
  บางช่วงก็เป็นที่ราบเชิงเขา 
 มีการปลูกไร่ข้าวโพดของชาวเขาเป็นระยะๆ
ทำให้คิดถึงความหลังอีกแล้ว อย่าเพิ่งเบื่อคนแก่นะ 
 อยากบอกอดีตให้รู้กันบ้าง ก็เท่านั้น
เพราะอนาคตจะไม่มีภาพอย่างอดีต
ให้เห็นกันอย่างแน่นอนแล้ว 
    เมื่อครั้งที่เราได้เข้ามาอยู่ที่แม่สอด
ประมาณปี พ.ศ. 2514 บอกตรงๆ
เราไม่กล้าเดินทางไปอุ้มผางหรอก 
   เพราะเส้นทางอุ้มผางนั้นลำบากมาก
การเดินทางต้องใช้ช้าง หรือเกวียน
  หรือเดินด้วยเท้า
มีรถโดยสารสมัยก่อนเป็นรถสองแถว
ทำด้วยโครงไม้เก่าๆรถก็เก่าคนก็เก่า
วิ่งปุเรงๆอยู่คันสองคัน 
และเดินทางกันเป็นวันๆ สามวัน สี่วันกว่าจะถึง
บางช่วงบางตอนต้องเดินทาง
ผ่านเข้าไปในเขตดินแดนของพม่า 
 ซึ่งอันตรายมาก เพราะไม่รู้ว่าใครเป็นใครกัน
ณ. เวลานั้น พม่า รบ กับ ชาวเขา
เผ่ากระเหรี่ยง
รบกันอย่างเอาเป็นเอาตายทีเดียว 
 และก็ตายจริงๆทุกวันซิน่า
เราน่ะอยากไปแต่ใจไม่กล้า .... 
 กลัวตายเหมือนกัน 
 เพราะขณะนั้นอายุก็เพิ่งจะยี่สิบต้นๆ
  ฟงแฟนก็ยังไม่มี
เฮ้อ...ตายไปก็น่าเสียดายอยู่หรอกนะ ฮ่าๆๆๆ 
 (พวกพี่ๆแซวประจำว่าใครอยากเป็นแฟน
ต้องทดสอบเดินทางเข้าอุ้มผางก่อน )
เล่าต่อดีกว่า ฮิๆๆๆ ถนนหนทางก็เป็นทางเกวียน
  ซึ่งรถโดยสารก็พอมีอยู่คันสองคัน
เป็นรถแบบเก่าไว้จะหารูปมาให้ดู
รถจะวิ่งเฉพาะช่วงหน้าแล้งเท่านั้น 
 ก็วิ่งได้ประมาณ 4 เดือน 
 อีก 8 เดือนเป็นช่วงหน้าฝนวิ่งไม่ได้ดอกนะเจ้า
ข้าราชการที่อยู่อุ้มผางจะเข้าจังหวัด
ต้องใช้เฮลิคอปเตอร์
ของตำรวจตระเวณชายแดนเท่านั้น
  เราเห็นเป็นประจำรถโดยสารต้องผ่าน
เส้นทางเข้าเขตแดนพม่า หากไปถูกกับระเบิดเข้า 
 รับรองใส้ขึ้นไปแขวนบนยอดไม้แน่นอน
เราได้ข่าวอยู่บ่อยๆ แต่ไม่ใช่รถโดยสารโดนหรอก
  รถอะไรโดนก็ไม่รู้ไม่อยากจะคาดเดา 
 แต่ที่รู้ใส้ออกไปแขวนอยู่บนต้นไม้
อุ้มผางนั้นชนที่อาศัยอยู่
จะเป็นชาวเขาเผ่ากระเหรี่ยงซะมากกว่าเผ่าอื่นๆ 
 เพราะติดชายแดนพม่า
กระเหรี่ยงก็เป็นชนกลุ่มหนึ่งซึ่งไม่ใช่คนไทย
  และไม่ใช่พม่าเพราะพม่าไม่ยอมรับเขา 
 เขาอาศัยอยู่ตามตะเข็บชายแดนไทย
เมื่อถูกพม่าไล่ล่าก็ถอยเข้ามาในฝั่งไทย
   เมื่อพม่าพักรบก็กลับไปอยู่ที่ตะเข็บชายแดนใหม่
เฮ้อ..คิดถึงบุเรงนองจังวุ้ย...ฮ่าๆๆ
ปัจจุบันนี้สงบลงมากแล้ว
  ชาวเขาเผ่ากระเหรี่ยงเขาร่ำรวย
โดยไม่ต้องปลูกฝิ่นแล้วละ
  เพราะเขาหันมาปลูกพืชไร่ ผัก ผลไม้ 
 โดยเฉพาะไม้ในเขตหนาวได้ผลดีมาก 
 เพราะอากาศยามไร้ซึ่งสายฝนนั้น 
 สวีสเซอร์แลนด์ไทยเราดีๆนี่เอง
พูดยังกับเคยไปสวีสฯงั้นแหละ 
 อ่านมาก็อยากเปรียบเทียบว่า
ไทยเราก็ไม่น้อยหน้าต่างประเทศหรอก  ฮิๆๆ
ฝนยังคงพรำตลอดทาง เข้าห้วยน้ำรินแล้ว 
  เส้นทางเริ่มชำรุด ดินถล่มจากเขา
ลงมาทับบนถนนเป็นระยะๆ
ดินที่ลงมานี้ผสมกับน้ำฝน ลื่นมาก 
  คนขับรถต้องมีความชำนาญ
ถึงจะเดินทางด้วยความปลอดภัย















ถ้าใครอยากขึ้นไปอุ้มผางฤดูฝนนี้ 
 ควรคิดให้ดีๆก่อน
  เพราะเส้นทางการเดินทางช่วงนี้ลำบากมาก
รถต้องอยู่ในสภาพที่ดี คนขับต้องชำนาญทาง 
 สภาพโดยรวมเป็นป่ารก ไม่ใช่พื้่นราบ 
 สลับกับหุบเหวตลอดทาง
ข้างทางเต็มไปด้วยเศษไม้
ที่น้ำพัดพามากองไว้เป็นระยะๆ 
  เส้นทางหน้าฝนนี้่โหดจริงๆ 
 ไม่แน่จริงไม่ควรขับขึ้นไปหรอก
ชีวิตไม่ใช่เครื่องทดลองเสี่ยงกับความตายหรอกนะ
   เก็บรักษาไว้ดูโลกศิวิไลนี้อีกยาวไกลดีกว่า
การขับรถต้องรักษากฎจราจรอย่างเคร่งครัด
รักษาเส้นทางของตนเองไว้ 
 หากมองแล้วไม่มีรถสวนแน่ค่อยผ่อนคลายได้
ระยะทางที่ดินจากเขาถล่มก็มีการซ่อมแซมอยู่
   แต่จะทำได้ขนาดไหนก็ฝนตกพรำตลอดวันตลอดคืน
นานๆ จะพบรถสวนมาสักคัน 
  ระยะเวลาการเดินทางต้องเพิ่มขึ้นจากเดิม
หลายชั่วโมงเชียวละ ถนนก็ลื่นมากด้วย
ผ่านเส้นทางที่ดินถล่มลงมาแล้ว 
 ก็พบเส้นทางที่ดีพอวิ่งได้
ซึ่งทางนั้นรู้สึกว่ายิ่งวิ่งยิ่งแคบลง แต่ก็ยังใช้การได้ดี
ช่วงที่โค้งไปโค้งมานั้น
   เปรียบเสมือนทดสอบฝีมือคนขับรถ
ว่าแน่ขนาดไหนที่แน่ๆ คนขับของเรา
ยังไม่ได้นอนเลยตลอดคืนที่ผ่านมา
เจ๋งไม๊ล่ะ เหอๆๆๆๆ 
  ผ่านจุดชมวิวมาแล้ว ไม่มีวิวจะให้ชมหรอก
มีแต่สายฝนและหมอกหนาทึบปกคลุมไปทั่ว
ผ่านโค้งที่เท่าไรไม่ได้นับ 
  หันไปดูผู้ร่วมเดินทางต่างก็หลับไหล
จะด้วยความง่วงหรือด้วยยาแก้เมารถก็ไม่อาจจะคาดเดา
เจ้าติน ติน เงียบสงบ ไม่มีเสียงเลย 
 สงสัยจะเมารถ หรือไม่ก็หลับไป
พร้อมๆกับเพื่อนร่วมเดินทางซะแล้ว









อุตส่าห์ขึ้นหัวข้อซะหรูเชียวว่า
  เส้นทางกิโลเมตรละห้าล้านบาท 1219 โค้ง 
 มาขยับเข้ามาจะเล่าให้ฟัง
ปี พ.ศ. 2531 รัฐบาลมีนโยบายทำทางขึ้นไปอุ้มผาง
   ซึ่งเปรียบเสมือนทางลอยฟ้า
เพราะตลอดเส้นทางจะขึ้นเขาสูงชัน และลงเขาบ้าง
 ทางนี้คดโค้งไปตามเขา นับโค้งได้ถึง 1219 โค้ง
คนไม่เคยทางไม่เมาก็ให้มันรู้กันไปละ
  เป็นการทดสอบว่าการเมาเหล้า
กับเมาเส้นทางโค้งนั้นอะไรจะสาหัสกว่ากัน 
 (ฮ่าๆๆ คิดเอาเองน่ะ)
เส้นทางนี้เราคิดว่าน่าจะเป็นเส้นทาง
ที่จะทำให้ลดจำนวนของผู้ก่อการร้ายลงได้บ้าง
เพราะเมื่อความเจริญเข้าไปถึง 
  อย่าว่าแต่ผู้ก่อการร้าบเลย เสือ สิงห์ กระทิง แรต
สัตว์ป่าทั้งหลายก็กระเจิดกระเจิง
ไปคนละทิศละทางตัวใครตัวมันละเฟ้ย...
การทำทางเส้นนี้ ยากลำบากมาก 
 ใช้งบประมาณก่อสร้างกิโลเมตรละห้าล้านบาทในสมัยนั้น
ระหว่างการทำทางต้องมีการคุ้มกัน
เจ้าหน้าที่ที่ทำทางกันอย่างแน่นหนา
  เพราะอันตรายจากการสู้รบยังไม่หมดสิ้น
ชีวิตข้าราชการชายแดนไทย ทั้้งทหาร ตำรวจ 
 ตลอดจนคนงานล้มตายกันเป็นจำนวนมาก
กว่าจะแล้วเสร็จ 1219 โค้ง 
 เลือดอาบฟ้าผืนนี้ไปไม่รู้เท่าไร 
 เพื่อแลกกับความสะดวกในการสัญจรไปมา
รู้อย่างนี้แล้ว นักท่องเที่ยวที่ขึ้นไปเที่ยวอุ้มผาง
   ควรจะเที่ยวกันในเชิงอนุรักษ์
ดีกว่าที่จะขึ้นไปเพื่ออวดศ้กดาว่าได้พิชิตโค้ง
ท่องเที่ยวแบบชื่นชมดื่มด่ำกับธรรมชาติ 
 ดีกว่าขึ้นไปด้วยความคะนอง 
 ดื่มกินกันจนเกินขอบเขต เอะอะร้องเพลงลั่นป่า
เหมือนจะเข้าไปพิชิตรางวัลกัน 
 จนสัตว์ป่าตกใจกระเจิงหนีกันจ้าละหวั่น 
 ทำลายธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติโดยแท้
ลองหวนนึกถึงชีวิตที่ต้องสละไปเพื่อความสะดวก
และความสุขของพวกท่านดูบ้างซิ
รู้แก่ใจแต่ไร้สำนึกไม่อยากใช้คำนี้เลยพับผ่าซิน่า 
 เฮ้อ...วันนี้พอแค่นี้ละนะเพราะแก่แล้วต้องพักมากกว่าลุย
แล้วพบกันตอนหน้าถ้าท่านต้องการ.......ฮิๆๆๆๆๆ








Create Date : 13 สิงหาคม 2555
Last Update : 7 กันยายน 2557 11:17:34 น.
Counter : 1369 Pageviews.

1 comment
### จากแม่สอด มุ่งสู่อุ้มผาง แดนแห่งหุบเขาและสายหมอก ###










รับประทานอาหารเช้าที่แม่สอดเสร็จแล้ว
เราก็ออกเดินทางขึ้นอุ้มผางทันที
ตลอดทางมีฝนตกตลอดหนักบ้างเบาบ้าง
ไม่นานเราก็เข้าสู่อำเภอพบพระ
 อำเภอนี้มีสวนกุหลาบใหญ่
มีพื้นที่ปลูกกุหลาบมากที่สุดในภาคเหนือ
มีสายพันธุ์ต่างๆมากมาย โดยเฉพาะกุหลาบไร้หนาม
นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้ทุกฤดูกาลแต่เราแค่ผ่าน
เคยแวะเข้าไปชมมาครั้งหนึ่งเมื่อหลาย่ปีมาแล้ว
 สวยงามมาก แต่หน้าฝนนี่ยังไม่เคยเข้าไปชมเลย
ผ่านทางเข้าน้ำตกพาเจริญ ก็แค่ผ่านอีกเช่นกัน
 แต่อยากจะเล่าความเป็นมาให้ฟังสักเล็กน้อยประดับความรู้ไว้
น้ำตกพาเจริญ ตั้งอยู่ในเขตตำบลช่องแคบ
 อำเภอพบพระ จังหวัดตาก สมัยเมื่อสี่สิบกว่าปีมาแล้ว
ตำบลช่องแคบนี้ จะไปจะมา
มันช่างยากลำบากซะเหลือเกินละ
บอกตรงๆว่าเป็นแดนที่มีผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์มาก



มาว่ากันเรื่องน้ำตกพาเจริญต่อดีกว่านะ
น้ำตกนี้มีความสูงถึง 97 ชั้น เ
ป็นน้ำตกหินปูนเกิดจากห้วยน้ำนัก
ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งขาติน้ำตกพาเจริญ
 อยู่ห่างจากทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1090
เพียง 700 เมตรเท่านั้น
น้ำตกนี้ถูกพบโดยผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์
 ชื่อ สหายพา ต่อมาเมื่อมีชาวบ้านเข้ามาอาศัยกันมาก
ทำให้มีความเจริญขึ้น
จึงใช้เป็นนามเรียกน้ำตกพาเจริญมาจนทุกวันนี้
ปัจจุบันนี้ยังมีโรงแรมที่พักมาตั้งอยู่ด้วย เจริญแล้วจริงๆ


เราเดินทางต่อไปยังอำเภออุ้มผาง
รถวิ่งมาตามเส้นทางที่ดีมาก
 ถนนสร้างอย่างดี ถือว่าอำเภอพบพระนั้นก็น่าเที่ยว
เราแวะเข้าพักรถกันที่หมู่บ้าน อุ้มเปี้ยม
มีที่พักรถอยู่บนเนินสวยงามมาก
มีอาหารเครื่องดีม และกาแฟสด ด้วย
ห้องน้ำที่นี่มีหลายห้องสะอาดสะอ้าน
เพราะเขาไม่ยอมให้ใส่รองเท้าของเราลุยเข้าไปหรอก
ต้องเปลี่ยนรองเท้าที่เขาจัดไว้ให้
มีร้านขายสินค้าเล็กๆ อยู่ประปราย
มีการปลูกดอกไม้ไว้พอสวยงามยามหน้าฝน
เช่นต้นลำโพงที่ออกดอกบานสพรั่ง
ทิวทัศน์บนเขาไม่เป็นป่ามีการถางปลูกพืชทำไร่
ทำสวนกันเป็นส่วนใหญ่ ตามไหล่เขา
จะมีไร่ข้าวโพดมากมาย
มองไกลๆไม่รู้ว่าเขาปลูกต้นอะไรกันบ้าง
แต่ก็พอเป็นสีสันให้ชมได้เชียวนะ















หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านของศูนย์อพยพ
ของชาวกะเหรี่ยงที่อยู่ชายแดนและถูกพม่าไล่ล่ามา
ไม่มีที่พักอาศํย คนไทยใจดีเลยตั้งศูนย์อบยพให้อยู่กัน
เป็นหมู่ไม่ให้กระจัดกระจายโดยได้รับความช่วยเหลือจาก U.N
ความเป็นอยู่เท่าที่เห็นก็ไม่ลำบากอะไร
เพราะมีบ้านอยู่มีที่ทำกิน ดีกว่าคนพื้นราบอีก 
ส่วนมากจะปลูกข้าวโพดกันในฤดูนี้งามสพรั่ง
จุดนี้เป็นจุดชมวิวที่สวยงามจุดหนึ่ง
ก็พอให้ได้ถ่ายรูปสวยมาให้ดูได้บ้าง
 เราพักดื่มกาแฟสดและถ่ายรูปกัน
จริงๆคณะเราเขาไม่ค่อยถ่ายรูปหรอก
ทั้งๆที่เรามีตากล้องมืออาชีพมาด้วย
แค่ถ่ายรูปเดียวใส่ลง Fb. คนก็เข้ามาlike เพียบ
คนละอุดมการณ์กับคนแก่คนนี้
เราก็ถ่ายจังเพื่อเก็บภาพสวยๆมาฝากแควนๆ
และนำไปลงเพลง Youtube
เพลงเพราะๆที่เราชอบ เพลงเก่าๆที่เราหาฟังยาก
 ทำไว้ฟังกันยามเหงาเอาใจคนคอเดียวกันซะงั้น




















































เขียนเล่าเรื่อยเฉื่อยจนหมดแรง
ก็ยังไม่เข้าเขตอุ้มผางซะที
แล้วนี่ถ้าเข้าเขตอุ้มผางจะไหวเหรอ
เฮ้อ.....ความแก่ไม่เคยปรานีใครจริงๆ
 สงสัยว่าต้องพักซะแล้วละ ไว้รอตอนใหม่นะจ๊ะ แควนๆๆ
ของีบสักหน่อยเตรียมตัวผจญภัย
ไล่ล่าโค้ง 1219 โค้ง ยามฝนพรำ








Create Date : 12 สิงหาคม 2555
Last Update : 7 กันยายน 2557 10:53:01 น.
Counter : 1487 Pageviews.

1 comment
♦♦♦ <<< มุ่งสู่แม่สอด เมืองชายแดนอันศิวิไล >>> ♦♦♦









บันทึกการเดินทางไปอำเภออุ้มผาง 1 - 5 สิงหาคม 2555









ก่อนหน้าการเดินทางสองวัน
 เพื่อนรักได้โทรศัพท์ มาชวนไปเที่ยวอุ้มผางกัน
 เราฟังแล้วก็ยังงงๆอยู่
ใครเขาเที่ยวอุ้มผางหน้าฝนกันล่ะเพื่อน เราทักท้วง
แต่เจ้าเพื่อนรักก็ยังยืนยันว่าจะไป และให้เหตุผลว่า
เพราะฤดูนี้นักท่องเที่ยวมีน้อยมากหรือแทบไม่มีเลยก็ว่าได้
เราไปพักรีสอร์ทของน้องชายเพื่อน
โดยน้องชายสุดที่รักของเพื่อนเป็นผู้จัดรถตู้อย่างดี
พร้อมคนขับผู้ชำนาญและไก๊ส์นำเที่ยวกิตติมศักดิ์
ก็จะใครจะอีกล่ะ หลานชายสุดหล่อของเพื่อน
ผู้ดูแลรีสอร์ทพ่อเขานั่นเอง
เราออกเดินทางคืนวันที่่ 1 สิงหาคม 2555 เวลา 23.00 น.
คณะทัวร์เราประกอบไปด้วย เพื่อน ลูกสาว
ลูกชายเพื่อนอย่างละหนึ่ง
พร้อม เจ้าติน ติน ตัวน้อย
เราและก็หลานชายเพื่อน พร้อมพลขับ
 รถทะยานออกจากศรีราชาเมื่อได้เวลานัดหมาย และแวะกรุงเทพ
เพื่อรับลูกชาย และแถมสาวสวยน่ารักติดไปด้วยอีกหนึ่งคน
คณะเราเจ็ดคนกับอีกหนึ่งตัว ออกเดินทางทันที




การเดินทางในกรุงเทพช่วงเวลาหลังเที่ยงคืนไปแล้ว
แลเหมือนการจราจรจะเบาบางลงบ้าง 
แต่รถก็ยังคงมากมายพอสมควร
เรานั่งมองไปเห็นรถรายังคงวิ่งขวักไขว่
ยังพอเห็นคนเดินข้างทางอยู่ประปราย
นี่เขาไม่หลับไม่นอนกันบ้างเลยหรือ เราอดคิดไม่ได้
หรือกรุงเทพเขาทำธุรกิจกันเป็นกะเหมือนการทำโรงงาน
ก็แน่ละ พวกเขากำลังวิ่งตามเงินกันอยู่นี่นา
คงเหมือนเราในอดีต ซึ่งกว่าจะรู้ว่าการวิ่งตามเงินมันเหนื่อย
ชีวิตก็เกือบจะลาโลกศิวิไลนี้ไปแล้ว เฮ้อ....
แค่คิดก็เหนื่อยและล้าเต็มทนแล้วนะ
ทำไงได้เราต้องดิ้นรนหาเลี้ยงชีพนี่
ในเมื่อท่านให้ชีวิตเรามาสู่โลกอันศิวิไลนี้แล้ว
 เราก็ต้องดิ้นรนรักษาชีวิตให้มีความสุข
และยั่งยืนตลอดไป
มันเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทีเดียวละ
แม้แต่คนที่พร้อมทุกอย่างแล้ว
ก็ยังอยากจะดิ้นรนต่อไปเพื่อให้มีเพิ่มมากขึ้น
หรืออาจจะนำออกมาใช้ให้ความสุขกับชีวิต
 ให้สาสมกับความมั่งมี
ใช้ซะให้สาแก่ใจ อยากรวยนักนี่ ฮ่าๆๆๆ


รถวิ่งไม่นานเท่าไรก็ออกสู่สายเอเซีย
ผ่านอยุธยาและจังหวัดต่างๆไปเรื่อยๆ
แค่อุทัยธานีเท่านั้นฉันก็เข้าสู่ห้วงพวังแห่งความฝันทันที
มารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อเวลาเช้าแล้ว
มองนาฬิกาเป็นเวลา 6.10 น.
มองไปข้างหน้าก็รู้ว่า
รถได้เลี้ยวเข้าทางแยกแม่สอดมาแล้ว
กำลังทะยานสู่แม่สอด ดินแดนแห่งหุบเขาริมฝั่งเมย
ตลอดทางมีฝนตกพรำมาโดยตลอด
ท้องฟ้าเริ่มสว่างแล้ว
สองข้างทางยังคงสภาพป่าให้เห็นสลับกับหมู่บ้านเล็กๆ
ถนนปัจจุบันเขาทำกว้างขวางใหญ่โตสดวกสบายมาก
ผิดกับเมื่อปี 2514 - 2516
ที่เราเข้าออกแม่สอดเป็นประจำมาก
ถนนสมัยนั้นเป็นถนนแคบๆรถสวนไปมาลำบากมาก
ทางการต้องกำหนดให้วิ่งรถเข้าวันออกวันสลับกัน
สองข้างทางก็เต็มไปด้วยป่าเขา เหวลึก
บางช่วงก็พบกับดินและหินลูกรังไหลลงมาปิดทางรถวิ่ง
 เราต้องช่วยกันเอาดินออก
รถที่วิ่งประจำทุกคันจะมีเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมเสมอ
 เพื่อช่วยเหลือตัวเอง
สองข้างทางที่วิ่งเข้าไปจะเต็มไปด้วยอันตราย
ผู้ก่อการร้ายสมัยนั้นชุกชุมมาก
เขาจะแอบซุ่มอยู่บนเขาข้างทางหรือป่าทึบข้างทาง
เขาไม่คิดจะทำร้ายคนเดินทางเข้าออกแม่สอดหรอก
 แต่เขาต้องป้องกันตัวของเขาเอง
โดยเฉพาะตำรวจตระเวณชายแดนนี่
เป็นไม้เบื่อไม้เมากันทีเดียวละ
 อย่าได้เจอกันนะ ต้องตัดสินกันด้วยลูกปืนเอ็ม 16
โอ๊ย...ยังมีเรื่องเล่าสมัยนั้นมากมาย ว่างๆจะเขียนเล่าให้ฟังนะ
แก่แล้วชอบเล่าเรื่องเก่า ก็แค่ประสบการณ์


รถวิ่งมาถึงจุดชมวิว สายฝนยังคงพรำ
ท่ามกลางหมอกหนาทึบ
จนแทบมองไม่เห็นทาง รถต้องเปิดไฟหน้าวิ่ง
คนขับตัองชัวร์ไม่ประมาทและชำนาญทางพอสมควรละ
 ถึงจะปลอดภัย รถวิ่งมาถึงตลาดชาวเขาดอยมูเซอ
ที่นี่เป็นที่ขายสินค้าของพวกชาวเขาที่ปลูกพืชผักผลไม้
อยู่ภายในหุบเขา หรือตามไหล่เขาทั่วไป
เมื่อก่อนยังไม่มีตลาดนี้เราผ่านไปมา
จะเห็นชาวเขาสะพายลูกไว้ข้างหลัง
และแบกเข่งที่สานขึ้นใช้เองเดินลัดเลาะมาตามป่าเขา
และมาหยุดนั่งขายข้างทางประปรายไม่มากนักราคาก็ถูกมาก
ปัจจุบันสินค้าที่ชาวเขานำมาขายนั้น บางอย่างแพงกว่าตลาดอีก
และของดีๆ สวยๆ ลูกใหญ่ๆน่ารับประทานก็หายากแล้ว
เพราะมีพ่อค้าแม่ค้าในเมืองหรือจากจังหวัดอื่นมาเหมาซื้อไปหมด
เหลือขายเฉพาะของที่เหลือเลือกแล้วและราคาก็แพง
และยังมีสินค้าจากที่อื่นเช่นจากเชียงใหม่ เชียงราย หรือลำปาง
 ก็นำมาวางขายกันเกลื่อน ไม่ใช่ของพื้นที่จริงๆทั้งหมด
นี่แหละเมื่อความเจริญเข้าถึงที่ไหน
ก็จะเข้าไปเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต
ของคนที่นั่นให้เปลี่ยนไปจากเดิมทุกที่
ปัจจุบันคุณอย่าหวังจะได้มีโอกาส
สัมผัสชีวิตชาวดอยที่แท้จริงเลย
นอกเสียจากคุณจะลุยเข้าไปจนถึงถิ่นที่อยู่
ซึ่งก็เจริญจนแทบจำไม่ได้แล้ว
าวเขาปัจจุบันรวยกว่าชาวเมืองอีก
รถราเขาก็มีวิ่งบรรทุกผลิดผลเอง
บ้านช่องก็แลดูดีกว่าเก่ามาก บางที่อินเตอร์เนทก็ยังมีใช้
นี่เพราะเขาไม่ขี้เกียจ ทุกคนขยันอดทนและประหยัดมาก
ปัจจุบันลูกหลานชาวเขาก็เรียนจบสูงๆมาก และรับราชการก็มีเห็น
 นี่แหละโลกอันศิวิไลถ้าอาศํยอยู่ให้เป็นก็จะมีสุข
ฝนยังพรำเบาบ้างแรงบ้างตลอดเวลา
ตลาดชาวเขาชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำฝน
แต่ก็ยังมีนักท่องเที่ยวแวะอุดหนุนสินค้าประปราย



ป้ายบอกว่าอีก 46 กิโลเมตรถึงแม่สอด
หูเราอื้อ..เพราะรถขึ้นเขาและโค้งไปโค้งมา
หมอกและฝนยังคงหนาแน่น
อีก 500 เมตรจะถึงทางลงเขาอีกแล้ว เราเริ่มง่วง
เพราะตลอดทางนอนไม่เต็มอิ่ม สัปหงกสัปเงย
จนมาถึงด่านตรวจที่ 3 ห้วยยะอุ ตำรวจที่ประจำด่านเรียก
และสอบถามคนขับว่ามาจากไหนและจะไปไหน
 พร้อมกับแนะนำให้ขับรถอย่างระมัดระวังเพราะฝนตก
ก็ O.K นะตำรวจไทยชายแดน สู้ทนลำบากตากฝนทำงานกันทุกค่ำเช้า
อย่างอดทนจนน่าทึ่ง ขอให้เจริญๆเถอะนะพ่อคุ้นนนน
ผิดกับตำรวจในเมืองเจริญมากมายนัก อยู่ก็แสนสบายไม่ลำบาก
จึงมีเวลาตั้งด่านตรวจจับรถป้ายแดงกันมากมาย
ก็ป้ายดำประมูลไม่สำเร็จสักทีนี่ ไม่รู้ว่าช้าเพราะอะไร
รถที่ออกใหม่ก็มากมายจากการสนับสนุนเรื่องลดภาษีรถคันแรก
ป้ายแดงที่ถูกต้องก็หมดสต๊อค
ซื้อมาติดเองก็โดนจับ ไม่ติดก็จับ
 ต้องซื้อรถมาจอดรอป้ายไว้ที่บ้านซึ่งยังไม่รู้เมื่อไหร่จะได้
นั่นแหละถึงจะพ้นการโดนจับ
ก็คุณผิดกฎหมายนี่นาต้องจับปรับซะให้เข็ด
ตำรวจที่ขยันขันแข็งพวกนี้เรามีความเห็นว่า
น่าจะส่งเขาไปผลัดเปลี่ยนการปฏิบัติงาน
กับพวกตำรวจชายแดน
ที่ต้องทนลำบากตากแดดตากฝนดูบ้างนะ
 เฮ้อ...เซ็ง


ป้ายข้างทางบอกว่าอีก 32 กิโลเมตรจะถึงแม่สอดแล้ว
ใจชักคิดถึงปลาท่องโก๋กับกาแฟที่แม่สอดซะแล้ว
จะอร่อยเหมือนเดิมไม๊นะ หรือจะปิดร้านเลิกขายไปซะแล้ว
 ร้านนี้อยู่ริมแม่น้ำเมย สมัยโน้นมีร้านเดียว
กลางวันมีกระเพาะปลาขาย ฝีมือไม่ต้องพูดถึง
คนปรุงเป็นแปะแก่ๆเดี๋ยวนี้คงไม่อยู่แล้ว
น่าจะไปปรุงกระเพาะปลา หรือไม่ก็ทอดปลาท่องโก๋
ให้ท่านยมและพรรคพวกรับประทานอยู่เป็นแน่แท้
ในไม่ช้าเราก็คงได้ตามไปร่วมวงรับประทานด้วยแน่นอน
 เฮ้อ...คิดถึงความหลังอีกแล้ว นี่แหละคนแก่ละ


ข้างทางยังคงมีป้ายบอกเป็นระยะๆ มองซ้ายก็เหว มองขวาก็เหว
สมัยก่อนโน้นรถตกเหวบ่อยเกิดจากคนขับไม่ชำนาญทาง
และขับรถประมาท หรือไม่ก็เบรคแตก
หรือเพราะไม่มีป้ายบอกเหมือนสมัยนี้นะ
ต้นสักยังคงตั้งตรงสูงชลูดอวดใบอันใหญ่โต
ให้เห็นอยู่ตามข้างทางทั่วไป
เดี๋ยวนี้เป็นไม้สงวนหายากแล้ว
ครั้งโน้นเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว ไม้สักหาง่าย
 โต๊ะ ตู้ เตียงก็ทำจากไม้สักนี่แหละ ราคาไม่แพงเลย
ข้าราชการที่ต้องมาปฏิบัติหน้าที่ทางนี้ มักจะสั่งทำลังไม้สัก
ใส่เครื่องใข้สัมภาระส่วนตัวกันหลายใบเวลาย้ายไปที่อื่น
ด่านตรวจของกรมป่าไม้เขาไม่เข้มกับข้าราชการหรอก
ก็รู้รู้กันอยู่แล้วว่ามันจำเป็นต้องใช้ขนสัมภาระนี่นา แหะๆๆเราก็มี


รถวิ่งมาถึงแม่ละเมาแล้ว นี่คงใกล้ศาลเจ้าพ่อพะวอ
ที่เราเคารพนับถือแล้วซินะ
แต่รถคงไม่ได้แวะเราได้แต่ยกมือไหว้อธิษฐานถึงท่าน
ให้ช่วยปกป้องคุัมครองการเดินทางของคณะเราให้ปลอดภัยด้วย
คนแก่อยากเล่าอีกแระ ขอเล่าสักนิดนะจ๊ะคุณคุ๊นนน
อย่าเพิ่งเบื่อนะคนแก่มักชอบเล่าเรื่องเก่าๆเสมอ
เหมือนจะตอกย้ำว่าเราแก่แล้วนะ
เพราะเรื่องที่เล่านั้นมันผ่านมาแล้วเป็นสิบๆปี
ปัจจุบันไม่ได้พบเห็นกันแล้ว
เมื่อสี่สิบกว่าปีที่แล้ว ครั้งที่เราได้เข้ามาอยู่ที่แม่สอดนั้น
ศาลเจ้าพ่อพะวอนั้นล่ำลือกันไปทั่วทุกหุบเขาว่า.....
ท่านนั้นศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก
ไม่ว่าจะเป็นคนไทยพื้นราบ ชาวเขาเผ่าต่างๆ
หรือแม่แต่บุคคลที่ถูกเรียกว่า ผู้ก่อการร้ายในสมัยนั้น
ต่างเคารพนับถือท่านยิ่งนัก และการเคารพสักการะท่านนั้น
ไม่ใช่การบีบแตรรถเพียงอย่างเดียวหรอก
มันดังไม่พอ กลัวเจ้าพ่อพะวอจะไม่สน
ต้องรัวกันด้วยกระสุน เอ็ม 16 เท่านั้น
 รัวกันไปเลย สิบยี่สิบนัด
ไม่รู้ว่าเอาลูกปืนมาจากไหนกันนักหนา ฮ่าๆๆๆๆ
คนมีปืน 9 มม. .38 มม. หรือ 11 มม. น่ะ จิ๊บๆๆ
เราเคยถามจ่าเส็ง(สัสดีแม่สอดสมัยนั้น)ที่เรานับถือ
และพักอาศํยอยู่ด้วยที่แม่สอดว่า
 ทุกคนต่างก็มาสักการะขอพรกับเจ้าพ่อพะวอ
และมีลูกปืนมายิงสลุด
ให้เจ้าพ่อฟังทุกวัน อย่างนี้แล้ว
เวลาพวกนี้(หมายถึงเจ้าหน้าที่กับผู้ก่อการร้าย)ยิงกันล่ะ
เจ้าพ่อจะช่วยใคร
พ่อเส็งตอบว่า เจ้าพ่อไม่ช่วยใครหรอกแต่เจ้าพ่อจะยืนดู
และสังเกตุการณ์ว่าใครจะยิงแม่นกว่ากัน
หากฝ่ายไหนยิ่งไม่แม่นและจบชีวิตลง
เจ้าพ่อก็จะเอามารับใช้ที่ศาลนี้
แต่ถ้าฝ่ายยิงแม่นต่อไปเกิดยิงไม่แม่นตายลง
เจ้าพ่อก็จะเอามาเป็นทหารเฝ้าศาลนี้ต่อไป
 อ้าว.....ฟังแล้วยังงงๆอยู่นะพ่อ
พ่อเส็งก็ระเบิดหัวเราะดังลั่น แล้วกล่าวว่า
จริงๆแล้วท่านคุ้มครองทุกคนนั่นแหละ
ที่เป็นคนดี ให้อยู่รอดปลอดภัย
 แกนี่มันง่าว..ซะจริ๊ง..
พ่อแค่พูดเล่นแกก็อ้าปากค้างซะแล้ว ฮ่าๆๆๆ
และคนดีเหล่านี้ก็มักจะรอดตายทุกทีซิน่า
เราเลยเสริมว่า เหมือนพ่อใช่ไม๊
พ่อหัวเราะเสียงดังและตอบว่า "บ่ฮู้โว้ย......"ฮ่าๅๅๅ


รถแล่นลงเขามาเรื่อยๆ
สองข้างทางมีการขยายเขตทางให้กว้างขึ้นอีก
ไม่นานคงเสร็จ ฝนยังตกปรอยๆไม่หยุด
 ใกล้แม่สอดเข้ามาทุกทีแล้ว
รถวิ่งผ่านทางเข้าวัดถ้ำอินทนิลแล้ว จวนแล้วซินะ
ถึงด่านห้วยหินฝน ปากทางเข้าอ.แม่สอดแล้ว
มองไปสองข้างทางและมองตรงไปข้างหน้ารถ อุแม่จ้าว....
แม่สอดหรือนี่ มันเจริญจนผิดหูผิดตาเชียวละ
 มีรีสอร์ท โรงแรมที่พัก มากมายสองข้างทาง
เข้ามาในตัวอำเภอก็พบว่าเจริญจนไปไม่ถูกเชียวละ
สองข้างทางเต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่อง ร้านค้าดังๆมากมาย
มีปั้มน้ำมันใหญ่ๆด้วย ที่นี่ต่างกับเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว
หน้ามือเป็นหลังมือเชียวละ
 แล้วนี่เราจะไปหาประวัติศาสตร์ในใจได้ที่ไหนอีกเล่า
โอย....ไม่มีแล้วอดีตถูกลบไปสิ้น
 ปัจจุบันคือเมืองท่องเที่ยวอันลือชื่อซะแล้ว
โชคดีนะที่ได้มาเห็นการเปลี่ยนแปลงก่อนตาย
แต่ถึงอย่างไรเราก็ว่าในอดีตดีกว่า มีความสุขกว่าแน่นอน
 เราแวะเข้าตลาดหาซื้อกับข้าวไปทำกินกันที่อุ้มผาง
แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรแตกต่างไปจากศรีราชา บ้านเราเลยสักนิด
เฮ้อ....ผักชาวบ้านชาวเขาไม่มีให้เห็นเหมือนแต่ก่อนแล้ว
นี่แหละความศิวิไล ที่มนุษย์จัดสร้างสรรขึ้นตามใจปรารถนา
 ก้าวหน้าล้ำไปจนตามไม่ทัน เฮ้อ...พักก่อนดีกว่า
คอยติดตามตอนต่อไปนะจ๊ะ








Create Date : 07 สิงหาคม 2555
Last Update : 7 กันยายน 2557 10:32:33 น.
Counter : 1197 Pageviews.

1 comment
1  2  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ