เดินทางไกลกับไซอิ๋ว (๒๓) บทที่ ๒๐ อวิชชานิวรณ์ - อวิชโชฆะ
บทที่ ๒๐ อวิชชานิวรณ์ - อวิชโชฆะ
ศิษย์และอาจารย์ออกจากถ้ำฮ้วยหุ่นต๋องแล้ว เดินทางมาพักใหญ่ บรรลุถึงฝั่งแม่น้ำเฮ็กขุ้ยฮ้อ พระถังและโป้ยก่ายก็ลงเรือข้ามลำน้ำไปก่อนเห้งเจีย จึงถูกปีศาจตะพาบน้ำ ชื่อกูเคียด จับตัวไปขังไว้ หวังจะต้มเนื้อกิน
ฝ่ายเห้งเจัยนั้น ชำนาญแต่บนบก จึงให้ซัวเจ๋งแหวกน้ำลงไปรบล่อให้กูเคียดขึ้นมา ปีศาจกูเคียดรู้ทันก็กบดานอยู่ในลำน้ำเฉยเสีย เห้งเจียก็มิรู้จะทำอย่างไรดี ก็เรียกเง่าสูนเล่งอ๋องมาคาดคั้นเอาความจริงจึงรู้ว่า ปีศาจตะพาบน้ำกูเคียดที่แท้เป็นบุตรคนที่ ๙ ของพญาเล่งอ๋องที่กระทำผิดต่อคำสั่งสวรรค์ และเง็กเซียนฮ่องเต้ได้สั่งให้งุยเต็งประหารเสีย
กูเคียดได้กลายเป็นตะพาบน้ำ มาแย่งศาลเจ้าอยู่ในแม่น้ำเฮ็กจุ้ยฮ่อ (แปลว่า "น้ำดำ") ครั้นจับพระถังกับโป้ยก่ายได้แล้วก็ส่งจดหมายถึงน้าชายทั้งสองให้มากินเลี้ยงเนื้อพระถัง
แล้วเง่าสูนเล่งอ๋องจึงมอบหมายให้บุตรชายชื่อมอหงังไท้จื้อผู้มีอาวุธคือเหล็กสามเหลี่ยม ไปจับตัวกูเคียดมาให้เห้งเจียลงโทษ มอหงังรับคำแล้วก็ไปสู้รบ แล้วจับตัวกูเคียดมาหาเห้งเจีย เห้งเจียยกโทษให้ มอหงังจึงลากคอกูเคียดไปให้เง่าสูนเล่งอ๋องลงโทษ
ฝ่ายเจ้าที่ที่อยู่ในศาลเจ้าก็แหวกน้ำดำให้เป็นทางโล่ง เชิญศิษย์และอาจารย์ให้ข้ามไปยังฝั่งตรงกันข้ามโดยปลอดภัย
รูป : ฮื่อ อาจารย์นี่ไม่ใช่เล่น พระถังแหวกน้ำในแม่น้ำดำ เหมือนโมเสสแหวกน้ำทะเลแดงจริง ๆ นิ รามายณะไม่พอ...
นาม :แต่ว่าความหมายวิเศษทางพุทธธรรมเป็นอัจฉริยะของท่าน
รูป : ไหนแกลองเฉลยซิ
นาม :กูเคียด ปีศาจตะพาบน้ำ คืออวิชชานิวรณ์ อาศัยอยู่ในแม่น้ำดำคือความมืดตื้อ
รูป :จับกูเคียดได้ แหวกน้ำดำก็บรรลุอรหัตตผลน่ะซี
นาม :โฮ้ย ยัง อวิชชาระดับนี้เป็นเพียงนิวรณ์หยาบ ๆ จึงเปรียบด้วยตะพาบน้ำ เมื่อทดใช้มิจฉาสังกัปปะได้ ก็จะละอวิชชานิวรณ์ได้ แล้วจะข้ามแม่น้ำใหญ่ แล้วทิฏฐิก็เริ่มตรงแน่ว ไม่วกวน
รูป :ชักเลอะกันใหญ่แล้วซี ทีแรกบอกว่ามีสัมมาทิฏฐิ แล้วจะมีสัมมสังกัปปะ เดี๋ยวนี้บอกว่าทดใช้มิจฉาสังกัปปะ จะมีสัมมาทิฏฐิ กลับไปกลับมาได้ไง?
นาม :มันอิงกันเหมือนไม้สองท่อน พิงเป็นมุมยอดอยู่ จะบอกว่าอันไหนเป็นเหตุหรือผลโดยส่วนเดียวก็ไม่ได้ สัมมาทิฏฐิมากขึ้นก็ทำให้ดำริถูกต้องมากขึ้น ดำริยิ่งถูกต้อง ความเห็นก็ยิ่งถูกต้อง
รูป :เอ้า...ยอม ทำไมกูเคียดจึงเป็นบุตรคนที่ ๙ ของเล่งอ๋องที่ถูกงุยเต็งประหารตามคำสั่งสวรรค์
นาม :ข้อนี้จนจริง ๆ เอ...อาจารย์ก็ไม่อยู่ แต่แน่ใจว่ากูเคียดคือหางแถวของอวิชโชฆะ คือเล่งอ๋องที่ถูกงุยเต็ง(โลกียสัมมาทิฏฐิ)ฆ่า ในฐานะที่ทำน้ำท่วม
รูป :น้าทั้งสองของกูเคียด ?
นาม : ทิฏโฐฆะ ภโวฆะ มีทิฏฐิจัดดุจน้ำท่วม มีภาวะจัดดุจน้ำท่วม พออวิชโชฆะท่วม ทิฏฐิและภพก็มารุมกินโต๊ะ
รูป :แล้วกาโมฆะ (กำหนัดในกามจัดดุจน้ำท่วม)
นาม :เฮ้ย...เมากามหาจัดเป็น "เล่ง" ได้ไม่ แต่ทิฏฐิและภพนี้เนื่องจากค่อนข้างมีปัญญา จัดเป็นเล่งอ๋องได้
รูป :มอหงังไทจื้อผู้ปราบกูเคียด ?
นาม :บุตรของเง่าสูนเล่งอ๋อง เง่าสูนคืออิทธิบาท ๔ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ที่เป็นคุณธรรมเครื่องให้ถึงความสำเร็จ แต่มอหงังเป็นทายาทเท่านั้นคือ เล็งเอาความประสงค์จะพ้นจากอวิชชาในระดับนิวรณ์
รูป :แล้วทำไมเห้งเจียไม่ฆ่ากูเคียดเสียล่ะ
นาม :ไม่ต้องสิ เพราะว่าแท้จริงอวิชชาก็คือโพธินั่นแหละ
รูป :บ้า !
นาม :ดี สิ่งไหนที่เป็นอวิชชา สิ่งนั้นมาจากโพธิ เป็นอัญญรูปของโพธิ พอรู้จักอวิชชาถูกต้องก็นั่นแหละโพธิ โพธิถูกรู้จัก ถูกเห็นเมื่อรู้จักอวิชชา และรู้ว่าอวิชชาเนื่องอยู่กับโพธิ ไม่มีอวิชชาแล้วโพธิมันจะมีมาได้อย่างไร
รูป :เอาเข้าไป
นาม :จริง ๆ นา อาจารย์จึงให้กูเคียดถูกลากคอมาหาเห้งเจีย มาให้รู้จักเท่านั้น
รูป :แหวกแม่น้ำดำล่ะ ?
นาม :ก็เฉลยแล้ว ใช้ปัญญากำหนดรู้อวิชชา แม่น้ำดำก็แหวกออก
รูป :เป็นอันว่าแหวกไปขุ่น ๆ นั่นเอง
นาม :เอ๊...ก็บอกว่า แม่น้ำดำแหวกออก โล่งโถง พระถังกับศิษย์ก็ข้ามไปได้
รูป :เปล่า...ข้าว่าแกน่ะ แหวกเฉลยไปน้ำขุ่น ๆ
นาม : !
รูป :อ่านต่อซี เมื่อไหร่จะพบปีศาจดุ ๆ อีกไม่รู้...
(จบบทที่ ๒๐ โปรดติดตามตอนต่อไป...)
** คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๑๐๐ - ๑๐๓ )
|
Create Date : 14 สิงหาคม 2551 | | |
Last Update : 14 สิงหาคม 2551 9:09:47 น. |
Counter : 1424 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เดินทางไกลกับไซอิ๋ว (๒๒) บทที่ ๑๙ การทดใช้มิจฉาสังกัปปะ
บทที่ ๑๙ การทดใช้มิจฉาสังกัปปะ
พระถังซัมจั๋งได้รับประทับตราหนังสือผ่านเมืองโอเกยก๊กแล้ว พร้อมทั้งสานุศิษย์ก็ทูลลาพระราชามุ่งสู่ทางไปไซที เวลานั้นเป็นเดือน ๙ เข้าเดือน ๑๐ ศิษย์และอาจารย์ก็บรรลุถึงภูเขาลักแป๊ะลี้จั๊บเพ้าพ้อซัว
จะกล่าวถึงปีศาจทารกผมสามแหยม อั้งฮั้ยยี้หรือเซี้ยเอ็งไต้อ๋อง ลูกของปีศาจงู้หม้ออ๋อง (สหายเก่าของเห้งเจีย) เกิดจากนางล่อซัว
อั้งฮั้ยยี้บวชเรียนที่สำนักฮ้วยเอี้ยมซัว สำเร็จทางด้านอัคคีฌาน มีนิวาสถานอยู่ถ้ำฮ้วยหุ่นต๋อง ที่มีห้วยน้ำไหลเชี่ยว รายล้อมด้วยดงสนแห้ง
ปีศาจทารกอั้งฮั้ยยี้ แปลงกายเป็นเด็กทารก ๗ ขวบ ถูกผูกโยงต่องแต่งอยู่บนยอดไม้ ร้องอ้อนวอนให้พระถังช่วย เห้งเจียรู้ทัน แต่พระถังหลงกลสั่งให้เห้งเจียขึ้นไปปลดลงมา ปีศาจก็อ้อนวอนขอขี่หลังเห้งเจีย เห้งเจียยอมให้ขี่พักหนึ่ง พอเห็นได้ทีก็จับฟาดพื้น แต่ปีศาจก็ฤทธิ์กล้า สู้รบกันชุลมุน อั้งฮั้ยยี้จึงบันดาลเป็นพายุพัดหอบพระถังซัมจั๋งไปขังไว้ในถ้ำ
ฝ่ายเห้งเจียครั้นไม่เห็นพระถัง ก็แผลงฤทธิ์เรียกเจ้าป่าเจ้าเขามาสอบถาม รู้ความแล้วก็ออกค้นจนพบปากถ้ำฮ้วยหุ่นต๋อง ที่มีสะพานหินยื่นข้ามห้วยน้ำไหล เห้งเจียก็ร้องท้าให้เปิดประตูถ้ำมาสู้กัน ฝ่ายอั้งฮั้ยยี้ก็เดือดดาล ให้เข็นเกวียนไปตั้งบรรจุธาตุน้ำ ไฟ ลม ดิน ไม้ แล้วกระโดดขึ้นยืยบนเกวียน กำมือทุบจมูกตัวเองสองที ทันใดนั้น ปากของอั้งฮั้ยยี้ก็พ่นเปลวไฟ จมูกก็พ่นควัน เกวียนก็ลุกแดง ทั้งควันทั้งไฟมืดมิดไปทั่ว
ฝ่ายเห้งเจีย โป้ยก่าย เห็นเช่นนั้น ต่างก็วิ่งหนีออกไปพ้นห้วยน้ำไหลเชี่ยว เห้งเจียหกคะเมนตีลังกาลิ่วไปเชิญพระยาเง่ากวั๊งเล่งอ๋องทั้ง ๔ มาช่วยดับไฟ ก็หาดับไม่ เห้งเจียย้อนกลับเข้าไปสู้กับอั้งฮั้ยยี้ใหม่ แม้มิกลัวไฟ แต่ก็ถูกควันพิษและเปลวไฟลุกติดตัว วิ่งกระโจนลงดับในห้วยกลับร้อนมากขึ้นถึงสิบเท่า จนเห้งเจียล้มสลบลง
โป้ยก่าย ซัวเจ๋งเห็นเช่นนั้นก็เข้าพยาบาล เห้งเจียฟื้นขึ้นมาร้องคำเดียวว่า "พระอาจารย์" แล้วร้องไห้เพราะไม่เคยพ่ายแพ้ใคร มาแพ้แก่ฤทธิ์อั้งฮั้ยยี้เป็นครั้งแรก เห้งเจียไม่มีแรงจะเหาะไปหากวนอิม โป้ยก่ายจึงรับหน้าที่แทน
ฝ่ายอั้งฮั้ยยี้ทราบข่าวนี้ก็เหาะลิ่วไป แปลงเป็นกวนอิมโพธิสัตว์ดักหน้าโป้ยก่ายกลางทาง หลอกโป้ยก่ายเข้าถ้ำ แล้วจับมัดใส่ถุงผูกไว้บนเพดานถ้ำ ครั้นแล้วอั้งฮั้ยยี้ใช้ให้สมุนเอก ๖ คน คือ หุ้นลี้บู๊ บู๊ลี้หุ้น กิมยู่ฮวย ข่วยยู่ฮอง เฮ้งอั่งเฮง เฮงอั่งเฮ้ง ไปเชิญงู้หม้ออ๋องผู้บิดามากินเลี้ยงเนื้อพระถัง
ฝ่ายเห้งเจียมีกำลังคืนมาก็แปลงกายเป็นแมลงวันเข้าไปสืบข่าว รู้เข้าก็แปลงกายเป็นงู้หม้ออ๋อง ไปนั่งดักรอสมุนปีศาจทั้ง ๖ อยู่ สมุนทั้ง ๖ ก็เชิญกลับเข้าไปในถ้ำของอั้งฮั้ยยี้
อั้งฮั้ยยี้จับพิรุธได้ว่า เห้งเจียแปลงเป็นงู้หม้ออ๋อง จึงสู้รบกันโกลาหล เห้งเจียกลัวพิษควันไฟ ก็รีบเหาะหนีไปเฝ้ากวนอิมโพธิสัตว์ นิมนต์ให้มาช่วย กวนอิมนำฮุยไง้ศิษย์เอกมาด้วย แล้วให้ฮุยไง้เหาะไปยืมอาวุธวิเศษของเจ้าทีกังมา ๓๖ อัน แล้วเอากิ่งหลิวจุ่มน้ำมนต์วิเศษ เขียนอักขระลงกลางฝ่ามือจองเห้งเจียว่า 'บี๊' (เคลิบเคลิ้ม - นันทิ) แล้วให้เห้งเจียเข้ารบกับอั้งฮั้ยยี้
เห้งเจียร้องตะโกนท้ารบพักหนึ่ง อั้งฮั้ยยี้ก็เปิดประตูถ้ำออกมาสู้กัน เห้งเจียก็ยกฝ่ามือขึ้นสู้รบ กวนอิมก็ทำอาวุธวิเศษของพระเจ้าทีกังทั้ง ๓๖ ให้กลับกลายเป็นกลีบบัวรองแท่นนั่ง แล้วขว้างไปกลายเป็นมีด ๓๖ เล่ม เสียบแทงปีศาจอั้งฮั้ยยี้ อั้งฮั้ยยี้ก็ล้มลง ครู่เดียวอั้งฮั้ยยี้ก็ดิ้นปึงปังขึ้นสู้ใหม่ พระโพธิสัตว์กวนอิมก็หยิบห่วงมงคลของพระพุทธเจ้าขว้างไปกลายเป็น ๕ วง เข้ารัดร่างของอั้งฮั้ยยี้ ๕ แห่ง ปีศาจก็ยอมแพ้ เห้งเจียจะฆ่า กวนอิมก็ห้ามไว้ แล้วลงโทษอั้งฮั้ยยี้ให้เดินก้าวหนึ่ง ยกมือประณมรำลึกถึงกวนอิมทีหนึ่ง จนถึงน่ำไฮ้ ให้เป็นสานุศิษย์ มีหน้าที่เฝ้าประตู เปลี่ยนชื่อให้เสียใหม่ว่า เสียนใช้ท่งจื้อ
ฝ่ายเห้งเจียก็เข้าไปในถ้ำ ไล่ฆ่าบริวารปีศาจตายหมด แก้มัดพระถังกับโป้ยก่าย แล้วสมทบด้วยซัวเจ๋งก็เลี้ยงอาหารเจกันในถ้ำปีศาจ อิ่มแล้วก็ออกเดินทางต่อไป...
รูป :แหม...อ้ายผีเวรอั้งฮั้ยยี้ มันดุเด็ดขาดไปเลยนิ
นาม : แหม...อ้ายบ้านี่ ขัดคออาจารย์เรื่อย
โหงว : นั่นล่ะ อั้งฮั้ยยี้
รูป : อาจารย์ว่าใครครับ...?
โหงว : ก็ใครล่ะ ดำริผิด คิดประทุษร้ายอยู่ล่ะ
นาม : !
รูป : อั้งฮั้ยยี้ มิจฉาสังกัปปะ ทำไมมีผมสามแหยม งั้นก็...
นาม : มิจฉาสังกัปปะนั้นมี ๓ คือ กามสังกัปปะ - ดำริกรุ่นไปในกาม วิหิงสาสังกัปปะ - ดำริกรุ่นไปในการเบียดเบียนผู้อื่น พยาปาทสังกัปปะ - ดำริกรุ่นไปในทางมุ่งร้าย นี่คือผมสามแหยม
รูป : ทำไม มิจฉาสังกัปปะจึงอุปมาด้วยเด็กทารกอยู่ถ้ำ ห้วยน้ำไหลเชี่ยว ล้อมด้วยดงสนแห้ง และเป็นลูกของงู้หม้ออ๋องกับนางล่อซัว
นาม : ?
โหงว : งู้หม้ออ๋อง สหายของเห้งเจียสมัยเป็นพาลคือ มิจฉาทิฏฐิ เจ้าย้อนไปดูตอนซึงหงอคง(เห้งเจีย)มีสหายมิจฉาทิฏฐิ ๗ ตน
นาม :ผมเข้าใจแล้ว งู้หม้ออ๋องคือ มีเมีย ๒ คน คือนางเง็กมิ่นกงจู้ที่อาจารย์เคยด่า คือ กามสุขขัลลิกานุโยค เมียน้อยแสนสวย ส่วนนางล่อซัวเป็นเมียหลวงคือ อัตตกิลมถานุโยค อันมีมูลมาจากวิภวตัณหา
โหงว :เก่ง...เจ้างู้หม้ออ๋องชอบเมียน้อยคือกามสุขฯ มากกว่า เจ้าจะทราบตอนเห้งเจียผจญนางล่อซัว
รูป : แล้วเกี่ยวอะไรกับอั้งฮั้ยยี้ มิจฉาสังกัปปะ
โหงว : อ้าว มิจฉาทิฏฐิกับนางล่อซัว - ตัณหานั้น ออกลูกมาเป็นมิจฉาสังกัปปะ
นาม : หมายความว่าความคิดดำริผิดทั้ง ๓ คือ ดำริในกาม เบียดเบียนมุ่งร้ายนี้ มีพ่อเป็นมิจฉาทิฏฐิ แม่เป็นตัณหา
โหงว :ถูกแล้ว ...ที่อยู่ของมันคือถ้ำกลางห้วยน้ำไหล
รูป :คล้ายถ้ำจุ๊ยเลี่ยมต๋อง(ท่านน้ำ)ของเห้งเจีย
โหงว :ใช่ ความคิด เจตนาที่คิดดุจน้ำไหลกราก ดงสนแห้งคือ ความสุขที่ไหม้เกรียม
รูป :หลับตาพูดไปได้ อะไรต้นไม้ต้นไร่ เอามาแปลความหมด
โหงว :ต้นสนคือความสุข เจ้าจำให้ดี ตลอดเรื่องถ้ามีดงสนต้องหมายถึงความสุข ส่วนที่นี้ที่ถ้ำ มิจฉาสังกัปปะเป็นดงสนแห้งเกรียม สุขเหมือนกัน แต่สุขชนิดเผาเกรียม
นาม :ทำไมให้อั้งฮั้ยยี้เป็นเด็กทารก ยังไม่ได้ตอบ
โหงว :มิจฉาสังกัปปะ - ดำริผิด ดู ๆ จะเป็นเรื่องเล็ก แต่ที่ไหนได้ ฤทธิ์มันร้ายเหลือขนาดทำให้ปัญญาตามืดสลบเหมือดล่ะเธอเอ๋ย...
รูป :ผีพ่นไฟทั้งเป่าควัน.....ชูกำปั้นยืนบนเกวียน ตั้งกองธาตุปีศาจเวียน.....ทุบจมูกตน พ่นควันพิษ
นาม : ไฉนเกวียน นั้นลุกแดง.....พิษร้อนแรงร้ายอุกกฤษณ์ ปัญญาอ่าโอ่ฤทธิ์..........ดำมิดห้วยเกือบม้วยมุด
โหงว : เกวียนคร่ำคร่า คือกายา.........ธาตุนานาเดือดปุดปุด ทุบจมูก "ขันธ์"บริสุทธิ์..........ผุดทุบซ้ำ ย้ำ "อุปาทาน"
รูป : ผมขอถามความสงสัย...
โหงว : พอ เป็นอันว่า ทุบจมูกครั้งแรกคือ ขันธ์บริสุทธิ์เกิด ครั้นต่อมาก็ถูกยึดถือเป็นอุปาทานขันธ์ ดำริที่ถูกยึดมั่นถือมั่นนั้นดุจควันไฟ ชีวิตมืดมิด ครั้นจะดับมันด้วยความคิด คือคิดจะให้หายทุกข์ ร้อนนั้นกลับยิ่งร้อน
นาม : เอาหลักเกณฑ์ไหนมาว่า...?
โหงว :หลักในใจนั่นแหละ ยิ่งคิดจะได้หายพยาบาท มันกลับยิ่งพยาบาท ยิ่งคิดจะให้หายกรุ่นกามมันกลับยิ่งกรุ่น เพราะว่าให้เหยื่อแก่ความคิดปรุงแต่งเท่าเดิม
รูป :จึงอุปมาด้วยเห้งเจียกระโดดลงห้วยหมายจะดับกลับยิ่งร้อน
โหงว :ใช่
รูป :ผมว่าอาจารย์เลียนหนุมานตอนเผากรุงลงกานา...
โหงว :ก็ใช่นะซีโว้ย...
นาม :ร้องเรียก "พระอาจารย์" เล่าครับ ?
โหงว : "ขันติ ๆ - ทนหน่อย ทนหน่อย" เพราะไฟนี้คือ ซิมม้วยฮวย ไฟที่จะเผาให้จิตเป็นหนึ่งแน่ว ความร้อนของมิจฉาสังกัปปะนี้จะเร่งให้สติแนบเนื่องกับดำริ (ความคิด) ขึ้นทุกวัน ดังนั้นอย่ากลัว จงทน
นาม :แต่ก็เล่นเอาปัญญา "เพลีย" ไปละครับ
โหงว :เรื่องดำริผิดนี้ละไม่ได้ด้วยศีล
นาม :ใช่ซีครับ มิจฉาสังกัปปะอยู่ในวิสัยของปัญญา ที่จะเปลี่ยนเป็นสัมมาสังกัปปะ
โหงว :ขืนใช้ศีลไปเชิญเมตตาเมตตาของศีลจะกลายเป็นปีศาจ คือเมตตาของมิจฉาสังกัปปะ
รูป :จึงอุปมาว่า โป้ยก่ายถูกปีศาจที่แปลงเป็นกวนอิมจับใส่ถุงชักรอกขึ้นเพดานถ้ำแล้ว สาวกปีศาจทั้ง ๖ คือใครครับ ?
โหงว :ใครอีกแล้ว คืออะไรซี...ดำริผิดเกิดขึ้นแล้วในทางใดทางหนึ่ง (กาม พยาบาท เบียดเบียน) ทีนี้แหละ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่ขาดการสังวรจะไปเชิญพ่อของมิจฉาสังกัปปะ คือมิจฉาทิฏฐิ ให้เพิ่มขึ้นอีก เชิญพ่อมันมากินเลี้ยง
นาม :หมายความว่าดำริผิดอยู่แล้ว ยังไม่สำรวมอินทรีย์อีก มิจฉาทิฏฐิก็เพิ่มขึ้น แล้วมันก็มาให้กำลังแก่มิจฉาสังกัปปะอีก ใช่ไหมครับ ?
โหงว :ใช่แล้ว ทีนี้ก็ไปเพิ่มมิจฉาวาจาตลอดจนไปถึงสมาธิ ตามองค์แห่งมิจฉัตตะ ๘ เกิดเป็นมิจฉามรรค แล้วก็มิจฉาวิมุติทีเดียว
นาม :น่ากลัวจริงครับ อ้ายเจ้าผีเด็กแดงคือดำริ คิด ๆ เอาทีละนิด ๆ ทางหนึ่งมันทำให้เกิดอริยมรรค ทางหนึ่งมันให้เกิดมิจฉามรรค
โหงว :นี้เป็นไปตามกฏแห่งอิทัปปัจจยตา ตามที่เพราะสิ่งนี้ ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ ๆ จึงเกิดขึ้น
รูป :ทีนี้เห้งเจียปลอมเป็นแมลงวัน
นาม :โธ่ อ้ายเซ่อ โยนิโสมนสิการของปัญญา ดุจลิงแปลงเป็นแมลงวัน ก็อาจเห็นได้ชัดว่าความไม่สำรวมอินทรีย์นั่นแหละ ชีวิตจึงไปเชิญมิจฉาทิฏฐิมา มันเพิ่งเกิดเมื่อไม่สำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่เอง ทีนี้ปัญญา(เห้งเจีย)คือสัมมาทิฏฐิก็แปลงกายมาแทน คือ ทุกครั้งที่ตาเห็นรูป ก็เห็นด้วยปัญญาตามที่เป็นจริง สัมมาทิฏฐิก็เกิดขึ้น
รูป :ก็อั้งฮั้ยยี้มันจับโกหกได้ กลแตกนี่
โหงว :ปัญญามันยังเป็นโลกียะ ยังหยาบคาย มันก็ทำประณีตอยู่นานได้รึ ก็ต้องสู้รบกันโกลาหล เพราะทำในใจให้แยบคายได้ไม่นาน
นาม :แล้วทำไมไม่ใช้ซัวเจ๋ง(สมาธิ)ช่วย?
โหงว :เฮ้ย...ซัวเจ๋งต้องรักษาม้า(วิริยะ)กับพระถัง(ขันติ) แล้วมิจฉาสังกัปปะนั้นฆ่ามันไม่ได้หรอก มันเป็นกระแสหลั่งไหล จะต้องทดใช้มันไปในทางเมตตาจนกว่าจะบรรลุถึงเขตโซจ๊อก
นาม :พุทโธ่ เข้าใจแล้ว นิมนต์กวนอิมมาปราบคือใช้เมตตาร่วมแรงกับปัญญา(เห้งเจีย) เพราะว่ามิจฉาสังกัปปะทั้ง ๓ รวมลงในข้อเดียวที่ว่า ดำริ "ประทุษร้าย" ตามสัญชาตญาณอย่างสัตว์ กามคือการประทุษร้าย พยาบาท - ก็ประทุษร้ายตัวเอง เบียดเบียน - ประทุษร้ายผู้อื่น จึงทดใช้ให้ดำริในทางเมตตาเสมอ เพื่อละสัญชาตญาณอย่างสัตว์
รูป :แหม...กาม คือการประทุษร้าย
นาม : !
โหงว :ลองเฉลย กวนอิมเขียนอักขระลงบนฝ่ามือเห้งเจียว่า "บี๊"
รูป :ผมแสดงมั่ง 'บี๊' เท่ากับเคลิบเคลิ้มหรือนันทิ ความเพลิน หมายความว่า แทนที่จะเพลิดเพลินในสัญชาตญาณอย่างสัตว์คือกาม พยาบาท เบียดเบียน ให้หันมาเพลินในเมตตา อั้งฮั้ยยี้ก็จังงังงวยงงด้วยคาถามหาละลวยของกวนอิม ด้วยประการฉะนี้ เอวัง
โหงว :ยังไม่เอวังสิ เมตตานั้นมีศิษย์คือทาน เพลินที่จะดำริในการให้อยู่เสมอ
รูป :อั้งฮั้ยยี้ก็ยังไม่ล้ม
โหงว :ใช่ กวนอิมจึงต้องขอยืมอาวุธเจ้าทีกังมา ๓๖ อัน มาเป็นกลีบบัวรองนั่ง แล้วขว้างไปเป็นมีดเสียบปีศาจ
นาม :พุทโธ่เอ๋ย เข้าใจแล้ว เมตตาทานอย่างเดียวยังไม่พอ ต้องเอามงคล ๓๖ มาเป็น "กลีบ" รองสิ่งแวดล้อมของใจให้เกิดแนวโน้มในทางเสียบแทงปีศาจดุจมีดปลายแหลม
รูป :ของเขามี ๓๘ ดันเอามาเพียง ๓๖ มีอย่างที่ไหน
นาม :ข้อ ๓๖ วิรัชชัง - เว้นจากธุลี เขมัง - จิตเกษม นั้นเป็นเรื่องหลุดพ้นแล้ว ตอนนี้เอาแค่ ๓๖ ก่อน
รูป :มงคล ๓๖ น่ะ อะไรบ้าง
นาม :ไปเปิดตำราเอาเองซี นับแต่...ไม่คบคนพาล คบบัณฑิต...
รูป :เอาล่ะ อั้งฮั้ยยี้ดำริผิด มันเซไปหน่อย เดี๋ยวหนึ่งกลับฟื้นขึ้นมาฮึดฮัดอีกล่ะ...?
โหงว :ทีนี้ต้องสวมห่วงมงคล ๕ ห่วง ในที่ ๕ แห่งให้มัน
นาม :ดำริผิดจะต้องทดใช้ไปทางเมตตา ด้วยการแผ่เมตตาไปสู่สัตว์ทั้งหลาย ด้วยอาการ ๕ คือ ๑. สพฺเพ สตฺตา - - สัตว์ทั้งหลาย ๒. สพฺเพ ปาณา - - สัตว์มีปราณ (ลมหายใจ) ทั้งหลาย ๓. สพฺเพ ภูตา - - สัตว์เกิดแล้วทั้งหลาย ๔. สพฺเพ ปุคฺคลา - - สัตว์คือบุคคลทั้งหลาย ๕. สพฺเพ อตฺตภาวปริยาปนฺนา - - สัตว์ผู้ที่ถึงแล้วซึ่งภาวะแห่งตนทั้งหลาย
รูป :ทั้ง ๕ อาการ ว่างจากสัตตา ว่างจากปาณา ว่างจากภูตา ว่างจากปุคคลา ว่างจากอัตตา นี่คือมงคล ๕ ห่วง สวมเข้าไป ๕ ตำแหน่ง แล้วความดำริจะอยู่ในอำนาจ
โหงว :เจ้าชักจะฉลาดขึ้นแล้ว แต่ยังไม่เอวัง
นาม :นอกจากนี้แล้ว ต้องแผ่เมตตาด้วยปัญญา (กวนอิมคือเมตตา - ปัญญา) ด้วยอาการ ๕ ที่ "ว่าง" จากสัตว์ทุก ๆ ย่างก้าวด้วย
โหงว :ไม่ใช่ประณมที่มืออย่างเดียว จิตนั้นมีเมตตาประกอยด้วยสุญญตา
รูป :บ้ากันใหญ่ เมตตา และว่างจากบุคคล ว่างจากสัตว์ ว่างจากชีวะ แล้วจะไปเมตตากะผีอะไรได้
โหงว :ว่างจากคน มีแต่ธรรม
นาม :อั้งฮั้ยยี้ได้เป็นสานุศิษย์ของกวนอิม เฝ้าประตูหน้าคือดำริแต่เมตตา นี่คือการทดใช้ความคิด(ดำริ)ที่เคยเถื่อน ประทุษร้าย
โหงว :กายกรรมทดใช้ไปทางรับใช้ผู้อื่น ไม่หวังผลตอบแทน วจีกรรมทดใช้ไปทางรับใช้ผู้อื่นด้วย พูดแต่มรรคาของชีวิต ความดำริ ความคิดทดใช้ไปทางเมตตาการุณย์ต่อสรรพสัตว์ ใจรู้แจ้งต่อสุญญตา นี่คือการบวชตามโพธิสัตว์วิธี
นาม :บวชกาย บวจวาจา บวชความดำริ และบวชปัญญา
รูป :คือปีศาจเอ็กฮองไต้อ๋อง ปีศาจอึ้งฮองไต้อ๋อง ปีศาจทารกอั้งฮั้ยยี้ ซึงหงอคง(ปัญญาเห็นสุญญตา - เห้งเจีย) เล่าต่อดีกว่า
นาม :เดี๋ยวก่อน กินเจ...?
รูป :จะบ้าหรือแก กินเจก็คือกินผัก มังสวิรัติ จะไปแปลความให้เป็นด้านในทำไม
โหงว :กินเจ คือ นิรามิสสุข - สุขที่ไม่อิงอามิส ชีวิตทดใช้มิจฉาสังกัปปะได้ ก็มีความสุข เพราะเมตตานี่คืออาหารที่ไม่เสพสัญชาตญาณอย่างสัตว์
รูป :โอ้โฮ ลึกขนาดนี้เชียวรึแล้วกินโชล่ะ ? (โช = เนื้อเลือด)
นาม : ก็คือเสพสัญชาตญาณอย่างสัตว์ ไร้เมตตา มีแต่สัญชาตญาณของการประทุษร้ายเป็นอาหารของชีวิต เรียกว่า สามิสสุข สุขเพราะอิงอามิส
(จบบทที่ ๑๙ โปรดติดตามตอนต่อไป...)
** คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๘๘ - ๙๙
|
Create Date : 10 สิงหาคม 2551 | | |
Last Update : 10 สิงหาคม 2551 17:17:42 น. |
Counter : 2152 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เดินทางไกลกับไซอิ๋ว (๒๑) บทที่ ๑๘ อรตินิวรณ์
บทที่ ๑๘ อรตินิวรณ์
พระถังและสานุศิษย์เดินมาถึงภูเขาใหญ่ เห็นกำแพงเมืองอยู่ข้างหน้า ก็ชวนกันเดินตรงไป และคืนนั้น ได้ขอพักค้างที่พระอารามหลวงชื่อ โป๊ลิ้มยี่ เจ้าอาวาสถือตน ไม่ยินดีต้อนรับพระพเนจร จนเห้งเจียต้องแผลงฤทธิ์ข่มขู่ให้ต้อนรับพระถัง
กล่าวถึงเหตุการณ์เมืองโอเกยก๊ก เมื่อ ๕ ปีก่อนฝนฟ้าแล้งจัด จนประชาชนระส่ำระสาย ฤาษีช่วนจินเต้าหยิน ได้ทำพิธีเรียกฝนให้ตกลงมาห่าใหญ่ จึงเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าโอเกยก๊ก ครั้นได้โอกาส ช่วนจินเต้าหยิน ก็ลอบปลงพระชนม์พระราชาเสีย โดยผลักลงบ่อแปดเหลี่ยม เอาแท่นหินปิดไว้ แล้วเกลี่ยทรายกลบ ปลูกต้นกล้วยไม้ไว้ข้างบน แล้วช่วนจินก็แปลงกายเป็นพระเจ้าโอเกยก๊ก มิมีใครรู้ ไทจื้อรัชทายาทก็ไม่ได้เข้าเฝ้าเป็นเวลา ๓ ปีแล้ว
ฝ่ายซากพระศพของพระราชานั้น ได้จมลงถึงบาดาล พญาฮั้ยเล่งอ๋อง มิตรของโป้ยก่ายได้เก็บรักษาไว้มิให้เน่าเปื่อย
คืนที่พระถังกับศิษย์พักค้างแรมที่อารามหลวงโป๊ลิ้มยี่นั้นเอง พระถังนั่งสวดมนต์อยู่จนดึก ศิษย์หลับหมดแล้ว วิญญาณของพระเจ้าโอเกยก๊กก็มาหา ร้องเรียกชื่อพระถังเบา ๆ พระถังก็กำลังเคลิ้ม ในหูได้ยินว่า ขอให้ส่งสานุศิษย์ไปช่วยให้พ้นจากบาดาล แล้ววิญญาณนั้นก็ทิ้งหยกตราประจำพระองค์ หมายสำคัญไว้ที่ประตู เพื่อให้เห้งเจียนำไปแสดงกับไทจื้อและฮองเฮา
ตกดึกพระถังปลุกเห้งเจียแล้วเล่าเรื่องให้ฟัง รุ่งเช้าเห้งเจียเข้าไปพบไทจื้อ เล่าความจริงให้ฟังว่าพระราชาองค์ปัจจุบันเป็นองค์ปลอม ไทจื้อไม่เชื่อ เห้งเจียจึงแสดงหยกขาวให้ดู ทั้งวางอุบายให้ไทจื้อไปสอบถามฮองเฮาพระมารดาว่ารสสัมผัสของพระราชาเปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือไม่
ฝ่ายไทจื้อจึงไปกราบทูลถามพระมารดาถึงความนัยนั้น ฮองเฮาก็เล่าความจริงว่า ๓ ปีมาแล้ว ที่รสสัมผัสของพระเจ้าโอเกยก๊กจืดชืด ไทจื้อจึงเชื่อว่าเป็นช่วนจินปลอมตัวมาจริง ๆ ก็นำความนั้นมาบอกเห้งเจีย
เห้งเจียกับโป้ยก่ายก็ชวนกันไปที่บ่อแปดเหลี่ยม ด้วยฤทธิ์ตะบองของเห้งเจียโป้ยก่ายก็ลงไปในบ่อที่มีน้ำ ดำลงไปถึงบาดาล จนพบพญาฮั้ยเล่งอ๋องสหายเก่า แล้วแบกซากศพของพระเจ้าโอเกยก๊กขึ้นมา เห้งเจียเหาะนำหน้าศพมาที่อาราม แล้วตีลังกาขึ้นสู่พรหมโลกไปหาพรหมท้ายเสียงเล่ากุนขอยาชุบชีวิต เมื่อได้แล้วกผ็ลงมาชุบชีวิตพระราชาให้ฟื้นขึ้นมา แล้วถอดเครื่องทรงกษัตริย์ออกฝากไว้ในอาราม ให้นุ่งขาวห่มขาวแทน
รุ่งเช้า ทั้งหมดก็เข้าไปในพระราชวัง เห้งเจียเข้าต่อสู้กับช่วนจินเต้าหยิน เต้าหยินจึงแปลงร่างเป็นพระถังอีกองค์หนึ่ง เห้งเจียแยกไม่ออกจึงร้องบอกให้พระถังร่ายคาถาบีบขมับ หากองค์ไหนร่ายคาถาแล้วเห้งเจียปวดหัว องค์นั้นคือองค์จริง เห้งเจียจึงจับช่วนจินได้ เงือดเงื้อตะบองจะฆ่า แต่บุ้นซู้โพธิสัตว์เหาะมาห้ามไว้ทัน แล้วเฉลยว่า ที่แท้ช่วนจินเต้าหยินคือ สิงห์พาหนะของพระองค์ พระองค์แกล้งใช้มาเพื่อลงโทษพระเจ้าโอเกยก๊ก เมื่อเห้งเจียมาแก้ไขแล้วก็เป็นอันว่าสิ้นเวรต่อกัน
รูป : เรื่องตอนนี้เหมือนในเปาบุ้นจิ้น
โหงว : ฮื่อ... เปาบุ้นจิ้นลอกของเราไปซี
นาม : เห้งเจียแผลงฤทธิ์ บังคับให้สมภารวัดโป๊ลิ่มยี่มาต้อนรับ หมายความว่าอย่างไร ?
โหงว : ปัญญาพยายามสถาปนาจิตครั้งที่ ๓
นาม : ช่วนจิน ?
รูป : ก็เต้าหยิน อาจารย์แกล้งด่านักพรตเต๋าล่ะ
โหงว : อย่าสู่รู้น่า ช่วนจินเป็นสหายของงึ้นกั๊ก ชอบไปมาหาสู่กัน...ลองเดาดู...
รูป : งึ้นกั๊กคือพยาบาท ช่วนจินก็...ก็...
นาม : ? จนครับ
โหงว : อรติ - ความไม่ชอบ ไม่รัก ไม่พอใจ จนอาจจะล้ำไปถึงความเกลียด ซึ่งเป็นสหาย ชอบไปมาหาสู่กับพยาบาท พอเกลียด ไม่พอใจก็แค้นใจ พอแค้นใจก็เกลียด
นาม : ทำไมให้เป็นปีศาจเต้าหยิน ?
รูป :อรตินั้น ดู ๆ คล้าย ๆ อุเบกขา คือไม่ชอบ ไม่รัก แต่ว่ามันเฉยแบบไม่ชอบ ซึ่งยังเป้นนิวรณ์ไม่ใช่อุเบกขา จึงว่าเป็นปีศาจเต้าหยินปลอมตัวมา...
นาม :พระเจ้าโอเกยก๊ก ?
โหงว :บอกแล้วว่า พระราชาทุกเมืองหมายถึงศรัทธา ตั้งแต่พระเจ้าไทจง พระเจ้าเชียงโป๊ก๊ก ตลอดจนถึงไซที
นาม :ผมเข้าใจแล้ว นิวรณ์ ๕ ถอยกำลัง ชีวิตจึงดูคล้ายมีอุเบกขาอยู่ระยะหนึ่งแล้วจางไป เพราะอุเบกขานั้นค่อย ๆ กลายเป็นอรติ นั่นคือนิวรณ์นี้มาเป็นราชาแทน
รูป :ศรัทธา จึงดิ่งลงบาดาล แต่ไม่ตายหมดสิ้น เพราะแนวโน้มของศีลช่วยไว้
นาม : นั่นคือ ฮั้ยเล่งอ๋อง สหายของโป้ยก่ายรักษาซากศรัทธาไว้
รูป : เอ๋...บ่อ ๘ เหลี่ยม ?
นาม : โธ่ เจ้าเซ่อ มิจฉัตตะ ตรงข้ามกับอริยมรรคมีองค์ ๘ ที่ดุจบ่อลึกถึงบาดาล
รูป : มีอะไรบ้าง ?
นาม : มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปโป มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันโต มิจฉาอาชีโว มิจฉาวายาโม มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ อ้าว...ทีนี้ยาของพรหมท้ายเสียงเล่า ?
โหงว : สุขที่ประณีต ทำให้ซากของศรัทธาในชีวิตค่อยฟื้นขึ้น
รูป : (หัวร่อ) อาจารย์ ทำไมฮองเฮามเหสีถึงบ่นว่ารสสัมผัสของพระเจ้าโอเกยก๊กจืดชืดมาสามปีแล้ว ผมว่าพระราชาแก่ลงใช่ไหม ?
โหงว : อรติที่ดูคล้าย ๆ อุเบกขานั้นมันไม่มีรสชาติเหมือนความสุขที่มาจากศรัทธาเลย
รูป : ไปได้ทั้งน้ำขุ่น ๆ แหละ...
นาม : แล้วช่วนจินปลอมเป็นพระถังเล่า ?
โหงว : อรติกับขันติคล้ายกันมาก (ไม่ชอบ ไม่รัก กับทน)
รูป : องค์ไหนร่ายคาถาบีบขมับเห้งเจียได้ องค์นั้นใช่ล่ะคือพระถังองค์จริง
นาม : ขันติอดทนด้วยความรู้ อดทนเพื่อให้ปัญญาแห่งไตรลักษณ์ นี่คือพระถังแท้ ส่วนอรติไม่ชอบ แต่ต้องทน หากมิได้เพ่งอยู่กับไตรลักษณ์ จึงเป็นขันติเก๊
โหงว : ไม่เลว ขันติไหนมีการเห็นแจ้งต่อไตรลักษณ์ นั่นคือองค์พระถังแท้
รูป : ช่วนจิน คือสิงห์ของบุ้นซู้ มาใช้เวรพระราชา...?
โหงว : บุ้นซู้คือ มัญชูศรีโพธิสัตว์ ตัวแทนของปัญญา อรติแปลงมาเป็นอุเบกขา เพื่อให้ปัญญาเห็นแจ้ง เพื่อว่าทางของโพธิสัตว์จะได้ไพบูลย์
นาม : สรุปว่า จากเชียงโป้ก๊ก ละนิวรณ์ ๕ อรติและอกุศลธรรมที่อยู่ในระดับนิวรณ์ได้ ศรัทธาที่เหลือแต่ซากก็จะฟื้นขึ้นมาจากตาย นี่คือ การสถาปนาจิตอีกครั้งหนึ่ง
รูป : อาจารย์เล่าเรื่องปีศาจตัวดุ ๆ หน่อยน่า
โหงว : เอาล่ะ ต่อแต่นี้ปีศาจตัวดุที่สุด ให้แกฟังให้ดี โธ่...มันขี่คอเจ้าทั้งสองอยู่ทีเดียวล่ะเจ้าเอ๋ย...
ดูให้ดี ผีหรือเทพ............เสพคบเจ้าอยู่เช้าค่ำ พอคิดผิดจิตมืดงำ.........ถ้ำของผีอยู่ที่ใจ พอคิดดี ผีก็ดับ.............กลับเป็นเทพ เสพย์สุขไฉน สวรรค์บันเทิง เหลิงฤทัย...คิดผิดผุด มุดลงนรก
นาม : ทั้งนรก แลสวรรค์.....มันระทึก ลึกในอก
โหงว : ต่อแต่นี้ ผีทารก....
รูป : เชิญโกหกให้ ชื่นใจเอย...
โหงว : ?
(จบบทที่ ๑๘ โปรดติดตามตอนต่อไป...)
** คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๘๑ - ๘๗
|
Create Date : 07 สิงหาคม 2551 | | |
Last Update : 7 สิงหาคม 2551 9:11:18 น. |
Counter : 1509 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เดินทางไกลกับไซอิ๋ว (๒๐) บทที่ ๑๗ ละนิวรณ์ ๕ ด้วยองค์ฌาน ๕ ชีวิตจะ "บาน" ขึ้นระดับหนึ่ง
บทที่ ๑๗ ละนิวรณ์ ๕ ด้วยองค์ฌาน ๕ ชีวิตจะ "บาน" ขึ้นระดับหนึ่ง
ศิษย์และอาจารย์ออกจากเมืองเชียงโป้ก๊กแล้ว ร่าเริงบันเทิงใจ มุ่งเดินหมายทิศตะวันตก พักหนึ่งก็ลุถึงภูเขาเพ่งเต๊งซัว ณ ภูเขานั้นมีสำนักชื่อ เน่ยฮวยต๋อง เป็นนิวาสถานของปีศาจสองพี่น้องคือกิมกั๊กไต้อ๋อง กับงึ้นกั๊กไต้อ๋อง สองปีศาจมีอาวุธวิเศษ ๕ อย่าง
กิมกั๊กผู้พี่มีขวดน้ำมนต์ทำด้วยหยกส่องสว่างไปทั้งถ้ำกับพัดไฟวิเศษ งึ้นกั๊กมีน้ำเต้าวิเศษกับเกี่ยม(ดาบ)วิเศษ ส่วนเชือกวิเศษนั้นฝากไว้กับมารดาที่เขาเอี๋ยมเล่งซัวถ้ำเอี๋ยมเล่งต๋อง
ปีศาจสองพี่น้องทราบกิตติศัพท์ว่า พระถังกำลังเดินทางไปไซที ก็หมายจะจับกินเนื้อให้ได้ ก็จับโป้ยก่ายผู้เดินล่วงหน้าคณะไปขังไว้ งึ้นกั๊กแปลงกายเป็นตาเฒ่าถือพรต ขาพิการ และขอขี่คอเห้งเจีย เห้งเจียก็ให้ขี่ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็นปีศาจ ฝ่ายงึ้นกั๊กก็รู้ว่าเห้งเจียรู้ จึงเรียกภูเขา ๓ ลูกมาครอบทับเห้งเจียไว้ แล้วบันดาลเป็นลมหอบพระถังกับซัวเจ๋งเข้าไปขังไว้ในถ้ำ เตรียมจะต้มกินเนื้อ
ฝ่ายเห้งเจียหลุดรอดมาจากเขาสามลูกเพราะเจ้าที่เจ้าเขาช่วย ยังมิทันได้ตามไปช่วยพระถัง ปีศาจทั้งสองก็มอบขวดน้ำมนต์หยกและน้ำเต้าให้สมุนใหญ่คือปีศาจเจ่งเสย และเส่งหลี เพื่อนำไปเรียกเห้งเจียเข้าไปในขวด เห้งเจียก็หลอกต้มเอาอาวุธทั้งสองเสีย กิมกั๊กงึ้นกั๊กทราบเช่นนั้นก็เดือดดาล ใช้ให้ปีศาจน้อยปาซัวเฮ้ากับกี๋ฮั้ยเล้ง ไปเชิญมารดามากินเลี้ยงเนื้อพระถัง พร้อมทั้งให้นำเชือกวิเศษมาด้วย เห้งเจียก็ตามไปฆ่าปีศาจน้อยทั้งสอง รวมทั้งมารดาของกิมกั๊กงึ้นกั๊กด้วย นางกลับกลายเป็นเสือปลาเก้าหาง
เห้งเจียก็ปลอมเป็นมารดาของสองปีศาจกลับมาที่ถ้ำ ปีศาจจับได้ก็สู้รบกันโกลาหล เห้งเจียไม่รู้คาถาใช้เชือกวิเศษ เชือกจึงมัดเอาตัวเองล้มกลิ้ง ปีศาจทั้งสองจับได้ เห้งเจียดิ้นหลุด คว้าน้ำเต้าวิเศษของปีศาจ ร้องเรียกชื่องึ้นกั๊ก งึ้นกั๊กขานรับก็เลยถูกดูดเข้าไปอยู่ในน้ำเต้า ดิ้นขลุกขลัก
ฝ่ายกิมกั๊กเห็นปีศาจน้องพ่ายแพ้แก่เห้งเจีย จึงหยิบดาบและพัดวิเศษออกมาสู้รบ แล้วเผลอสติง่วงหลับฟุบลง เห้งเจียก็แอบเข้าลักขวดน้ำมนต์หยกวิเศษได้ กิมกั๊กเห็นทีจะพ่ายแพ้ก็เหาะไปตามปีศาจอาชิดไต้อ๋องน้าชายมา พร้อมด้วยไพร่พลปีศาจชายหญิง เห้งเจียให้ซัวเจ๋งระวังพระถัง ตัวเองกับโป้ยก่ายก็รุมกันรบกับอาชิดไต้อ๋อง รบกับพักใหญ่ซัวเจ๋งก็เข้าช่วยด้วย โป้ยก่ายได้ทีก็เอาคราดวิเศษสับร่างของอาชิดตาย ร่างก็กลายเป็นเสือปลา
ฝ่ายกิมกั๊กเห็นเช่นนั้นก็โกรธ เข้าสู้ไม่คิดหนี เห้งเจียได้โอกาสก็ร้องเรียกชื่อกิมกั๊ก กิมกั๊กเผลอขานรับก็ถูกดูดเข้าไปอยู่ในขวดน้ำมนต์วิเศษ
เป็นอันว่าปีศาจถูกริบอาวุธทั้ง ๕ เสียหมดสิ้น เห้งเจียจึงนิมนต์พระถังขึ้นหลังม้าออกเดินทางต่อไป
พักหนึ่ง พรหมท้ายเสียงเล่ากุนก็มาดักหน้าทวงอาวุธวิเศษของปีศาจ เพราะที่แท้นั้นกิมกั๊กกับงึ้นกั๊กคือกิมกงจื้อ ผู้รักษาเบ้าทอง กับงึ้นกงจื้อ ผู้รักษาเบ้าเงินของพรหมท้ายเสียงเล่ากุนที่แอบลักอาวุธวิเศษแล้วแปลงกายมาเป็นปีศาจในมนุษย์โลก เห้งเจียทำไก๋ว่าไม่ได้ริบอาวุธมา ท้ายเสียงเล่ากุนก็ขู่ตะคอก จนเห้งเจียต้องยอมคืนให้
พรหมท้ายเสียกล่าวขึ้นว่า..."แม้นคณะไปไซทีไม่ผ่านการปราบปีศาจนี้แล้ว ไฉนจะบรรลุมรรคผลได้เล่า " เมื่อท้ายเสียงเล่ากุนกลับไปพรหมโลกแล้ว ศิษย์และอาจารย์ก็บันเทิงใจ รีบเร่งดุ่มเดินสู่ป่าใหญ่ หมายทิศตะวันตกเป็นสำคัญ
รูป : แหม อ้ายปีศาจ ๘ ตัวนี่มันร้ายจริง ๆ
โหงว :เราเล่าย่อน่ะ ความจริงดุเดือดกว่านี้มาก
นาม : ทำไมอาจารย์ไม่เล่าให้ละเอียดล่ะ
โหงว : เรื่องตอนนี้ มันดุเดือดอยู่ในใจเธอ หลายร้อยเท่าของหนังสือไซอิ๋วอีกซี
รูป : เล่าต่อ
นาม : เดี๋ยว ยังไม่เฉลย สำคัญเสียด้วย ที่ท้ายเสียงเล่ากุนกล่าวว่าหากไม่ผ่านปีศาจกลุ่มนี้แล้ว ไฉนจะบรรลุมรรคผลได้เล่า...
โหงว : จริง...
รูป : กิมกั๊ก งึ้นกั๊ก เจ่งเสย เส่งหลี ปาซัวเฮ้า กี๋ฮั้ยเล้ง มารดาของปีศาจสองพี่น้อง และอาชิดไต้อ๋องคือใคร ?
โหงว : ใครอีกแล้วเจ้านี่ เจ้าต้องถามว่าคืออะไรซี ฟังให้ดีนะ...
กิมกั๊กไต้อ๋อง คือ กามฉันทะ งึ้นกั๊กไต้อ๋อง คือ พยาบาท เจ่งเสย - เส่งหลี คือ ถีนะ - มิทธะ ปาซัวเฮ้า - กี๋ฮัยลั้ง คือ อุทธัจจะ - กุกกุจจะ มารดาของกิมกั๊กงึ้นกั๊ก คือ วิจิกิจฉา
นาม : พุทโธ่ นิวรณ์ ๕ เครื่องปิดกั้นปัญญานั่นเอง
กระสับกระส่ายเพราะติดรสแห่งกาม คือ กามฉันทะ ครุ่นเคียดแค้นชิงชังขัดใจอยู่ คือพยาบาท ง่วงงุน ซึมเซ่อ คือถีนะ ท้อถอยระโหยละเหี่ย คือ มิทธะ ฟุ้งซ่านว่อนอยู่ คืออุทธัจจะ รำคาญใจตนเองหงุดหงิด คือกุกกุจจะ ไม่อาจวางใจลงได้ เคลือบแคลง อยู่ในความลังเลสงสัยคือวิจิกิจฉา
รูป :เขาไม่ได้ขอร้องให้อธิบายสักหน่อย อาจารย์ครับ แล้วอาชิดไต้อ๋องเล่า ?
โหงว : เดี๋ยวรู้เองน่า
นาม : อาวุธวิเศษละครับอาจารย์ ?
โหงว :ดาบวิเศษ - วิตก, พัดวิเศษ - วิจาร, ขวดน้ำมนต์หยก - ปีติ, น้ำเต้าวิเศษ - สุข, เชือกวิเศษ - เอกัคคตา
รูป :ลากเข้าหามันก็ได้ล่ะว้า...
นาม : อาวุธวิเศษทั้ง ๕ คือ ฌานังคะหรือองค์แห่งฌานทั้ง ๕ นั่นเอง ละนิวรณ์ ๕ แล้วจะได้องค์แห่งฌาน ๕
โหงว : เดี๋ยว...เจ้านั่นว่าเราแต่งลากเข้าหาความ
'วิตก' อุปมาด้วยดาบคมกริบ 'วิจาร' - การเคล้าเคลียกระพือของอารมณ์ เปรียบด้วยพัดไฟ 'ปีติ' - ซาบซ่านกระตุ้นซู่ซ่าเย็น ๆ เปรียบด้วยขวดหยกมีน้ำมนต์ 'สุข' - ปีติได้แผ่ซ่านลงสู่สงบสุข ว่างกลวงดุจน้ำเต้า 'เอกัคคตา' - จิตเป็นหนึ่งแน่วที่ได้รวบรวมเอาทุกองค์เข้าไว้ดุจเกลียวแห่งเชือก
รูป : ก็ว่าไปได้เรื่อยแหละ เอ้า...เชิญลากเข้าหาความต่อ
โหงว : ปัญญาทำให้ถีนะ- มิทธะถอยกำลัง ก็ได้ปีติ - สุขขึ้นระดับหนึ่ง นี่เป็นก้าวแรกของการละนิวรณ์ เปรียบด้วยเห้งเจียหลอกต้มเอาอาวุธวิเศษขวดหยกกับน้ำเต้าจากสองปีศาจสมุนเอกเจ่งเสย - เส่งหลี
รูป : อ้าว...ว่าไป
โหงว : เมื่อความซึมเซ่อง่วงงุน ท้อถอยหายไป ปีติ - สุขเกิดขึ้นระดับหนึ่ง ก็ละวิจิกิจฉาลังเลได้ นี่คือการฆ่ามารดาปีศาจตายลง ปีศาจปาซัวเฮ้า กี๋ฮั้ยเพ้ง(ฟุ้งซ่านรำคาญใจ) ก็พลอยตายไปพร้อม ๆ กับวิจิกิจฉานั่นแหละ ก็ได้เชือกวิเศษคือเอกัคคตาจิตมาระดับหนึ่ง - ชั่วระยะหนึ่ง
นาม : แล้วไหงใช้เชือกวิเศษไม่เป็นกลับรัดคอตัวเองเข้า...?
โหงว : นั่นซิ เพราะยังไม่ได้ละกามฉันทะ ซึ่งเป็นคู่ปรับ(เอกัตตะ = ธรรมที่เป็นคู่ปรับกัน)กับเอกัคคตา ละวิจิกิจฉาไปบางระดับ พอจะใช้เอกัคคตาไปสู้รบกับกามราคะ สู้ไม่ได้ กลับรัดตัวเองเป็นกาเมกัคคตา
นาม : ไม่มีในหลักธรรมเลย ผมไม่เคยได้ยิน
โหงว : นั่นซี คือว่า จิตไปมีความเป็นหนึ่งในกามฉันทะเข้า
รูป : ไม่เข้าใจโว๊ย...!
โหงว : ช่างเอ็ง ไอ้น้ำเต้าวิเศษ คือสุขแล้วพยาบาทก็หายไป เพราะสุขเป็นเอกัตตะของพยาบาท
นาม :จึงให้เห้งเจียถือน้ำเต้าวิเศษร้องเรียกชื่องึ้นกั๊ก ๆ ๆ งึ้นกั๊ก(พยาบาท)จึงถูกสุขดูดมาขังไว้เสีย เป็นอันว่าละพยาบาทได้ สุขเกิด แล้วกามราคะตัวสำคัญละได้อย่างไร?
โหงว :กามฉันทะเห็นทีจะแพ้ วิ่งไปตาม เมถุนสังโยค
รูป :ชักเลอะกันใหญ่แล้ว นิทานบ้าอะไรก็ไม่รู้ ไม่มีคน สัตว์ ตัวตน เรา เขา มีแต่นั่นวิ่งไปหาโน่น โน่นวิ่งไปหาโน้น โน้นวิ่งไปหานู้น...เฮ้อ กลุ้ม
นาม :พุทโธ่ อาชิดไต้อ๋อง น้าของสองพี่น้องคือเมถุนสังโยค ๗ นั่นเอง มิน่าชื่ออาชิด เสือปลาเจ็ดหาง
หางที่ ๑ ยินดีในการลูบไล้ การนวดแห่งมาตุคาม ปลื้มใจเพราะการบำเรอนั้น หางที่ ๒ ไม่ยินดีต่อการลูบไล้ แต่ชอบซิกซี้เล่นหัวกับมาตุคาม หางที่ ๓ ไม่ชอบซิกซี้ แต่ปลื้มใจที่ได้สบตากับมาตุคาม หางที่ ๔ ไม่ชอบสบตา แต่ชอบฟังเสียง ปลื้มใจเมื่อได้ยินเสียงมาตุคาม หางที่ ๕ ไม่ชอบใจในเสียง แต่ยังตามรำลึกถึงเรื่องเก่า ๆ หางที่ ๖ ไม่ชอบตามรำลึกถึงเรื่องเก่า แต่ยังชอบเห็นบุตรคฤหบดี ผู้พรั่งพร้อมด้วยกามคุณ ๕ แล้วพลอยปลื้มใจ หางที่ ๗ ไม่ถึงอย่างนั้น แต่ประพฤติพรหมจรรย์ หวังจะได้เป็นเทพในสวรรค์ (หวังกามอีกเหมือนกัน)
โหงว :คือว่า แม้กามราคะอย่างแรงกล้าของบรรพชิตที่แม้ปฏิญาณจนว่าเป็นพรหมจรรย์ ไม่เสพเมถุนกับมาตุคามแล้ว แม้นิวรณ์ข้อนี้จะจางลง ก็ยังมีกะลิ้มกะเหลี่ยถึงมันอีกตั้ง ๗ หางแน่ะ
รูป : เสือปลา ๗ หาง แหม ยังเหลือหางแถวของกามฉันทะ ปีศาจหญิง - ชายของอาชิดไต้อ๋องเล่า คืออะไร?
นาม : ก็คืออกุศลกรรมทั้งปวงที่เกิดจากความยึดถือว่าเป็นหญิง(อิตถีสัญญา) หรือเป็นชาย (ปุริสสัญญา) อันเป็นต้นเค้าของกามฉันทะ หรือเมถุนสังโยค
โหงว : ไม่เลว กามฉันทะถูกละด้วยเอกัคคตา เพราะเป็นเอกัตตะแก่กัน แต่แท้จริงเอกัตตะเหล่านี้ แยกกันโดยเด็ดขาดไม่ได้ ย่อมเนื่องกันอยู่ ดังนั้นเราจึงให้อาวุธวิเศษถูกยืมใช้ไปใช้มา โดยกิมกั๊กกามฉันทะเป็นตัวบงการ
นาม : ท้ายเสียงเล่ากุนมาทวงอาวุธวิเศษเล่า?
โหงว : คืออุเบกขา
รูป :อ้าว...ไหนว่าท้ายเสียงเล่ากุนคือเหลาจื้อ บ๊ะ กลับกลอกจริง
โหงว : เอาอีกแล้วเจ้านี่ โดยรูปธรรมคือเหลาจื้อ แต่ใจของเหลาจื้อคืออุเบกขา (พรหม)
นาม :หมายความว่า เมื่อชีวิตช่วงที่ปัญญาคือสมาธิ ละนิวรณ์ ๕ ได้ ก็ได้องค์ฌาน ๕ องค์ฌาน ๕ มารวบยอดที่อุเบกขา นั่นคือการพบเหลาจื้อ
โหงว : ใช่ซี
รูป :แล้วไหงให้ทวงของวิเศษไปเสียเล่า?
โหงว : องค์แห่งฌานทั้ง ๕ ไม่ใช่ผลที่สุด จำต้องสละไปเพื่อเจริญวิปัสสนา คือใช้ปัญญาให้เห้งเจียได้ใช้ตะบองยู่อี่ *
รูป : แหม หากว่าไม่ละนิวรณ์ ๕ แล้ว ไม่ได้องค์ฌาน ๕ มรรคผลเป็นอันเป็นไปไม่ได้ ผมคนหนึ่งล่ะ ไม่เอาด้วย โธ่ ! ทำฌานให้ปรากฏง่ายเสียเมื่อไหร่ ?
โหงว : เปล่านะ แท้จริงกามฉันทะพยาบาทมันระงับไปเท่านั้น การระงับนิวรณ์ในกรณีนี้ใช้ปัญญา(เห้งเจีย)ปราบตลอด ดังนั้น แม้ไม่ได้ทำสมาธิโดยวิธีแบบฉบับ แต่โดยใช้ปัญญาก็อาจทำองค์ฌานให้ปรากฏขึ้นได้ในชีวิตประจำวันนี้เอง เข้มขึ้น แน่วแน่ขึ้น แล้วผ่านเลยไป และถ้าโป้ยก่าย ซัวเจ๋ง (ศีล สมาธิ) เข้าร่วมมือด้วย องค์ฌานทั้ง ๕ จะประจักษ์ตามระดับ มากน้อยตามส่วน เราจะเล่าต่อละนะ
รูป : เดี๋ยวก่อนครับ ย้อนไปทีแรก ทำไมงึ้นกั๊กไต้อ๋อง(พยาบาท)ตอนแปลงเป็นตาเฒ่ามาขอขี่คอเห้งเจียล่ะครับ โป้ยก่ายกับซัวเจ๋งตัวโตกว่าอีก ?
นาม : (หัวร่อกั้ก ๆ ) อ้ายเซ่อ พยาบาทมันก็ชอบขี่คอคนมีปัญญาซีวะ
โหงว : ไม่มีคน ไม่มีคน
นาม : ผมขอสรุปว่า ละนิวรณ์ ๕ ได้ ชีวิตก็ดุจดอกไม้ที่กลีบห้ากลีบ...คือองค์ฌาน ๕ ที่ทุกคนมีอยู่แล้วก็จะคลี่บานออก
รูป : ถ้ำปีศาจแห่งนี้จึงมีชื่อว่า เน่ยฮวยต๋อง...ถ้ำดอกบัว
โหงว : ไม่เลว แต่บานออกระดับหนึ่งเท่านั้น
รูป : เล่าต่อ
โหงว : บทต่อไปเราจะเล่าถึงช่วนจินเต้าหยิน สหายของงึ้นกั๊ก ชอบไปมาหาสู่กันนัก
นาม : ?
*ยู่อี่ โดยความหมายตรงกับมโนหรจินดามณี คือแก้วสารพัดนึกที่จะบันดาลอะไร ๆ ได้ดังใจ
(จบบทที่ ๑๗ โปรดติดตามตอนต่อไป...
** คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๖๗ - ๗๑ )
|
Create Date : 06 สิงหาคม 2551 | | |
Last Update : 6 สิงหาคม 2551 9:34:11 น. |
Counter : 1727 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เดินทางไกลกับไซอิ๋ว (๑๙) บทที่ ๑๖ ละกามสุขด้วยภาวนาสุข
บทที่ ๑๖
ละกามสุขด้วยภาวนาสุข
พระถังซัมจั๋งใช้ให้โป้ยก่ายไปบิณฑบาต โป้ยก่ายก็แอบไปหลับอยู่ในพงหญ้า ซัวเจ๋งทิ้งพระถังไว้แล้วออกไปตาม พระถังทนนั่งเฉย ๆ ไม่ได้จึงออกไปเดินเล่น จึงหลงทางออกจากทางใหญ่ ซมซานอยู่ในป่า แลไปข้างหน้าเห็นยอดเจดีย์ ก็ดีใจยิ่งนัก คิดว่าเป็นอาราม รีบเดินตรงเข้าไป แต่กลายเป็นถ้ำอั้วจื้อปองฮ้วยต๋อง ของปีศาจอึ้งเพ้าไต้อ๋อง ซึ่งกำลังหลับอยู่ เมื่อมันลืมตาขึ้นเห็นพระถังก็วิ่งไล่จับไว้ได้
จะขอเล่าย้อนไปถึงพระราชาเมืองเชียงโป้ก๊ก มีพระราชธิดา ๓ องค์ ปีศาจอึ้งเพ้าไต้อ๋องได้บันดาลเป็นลมหอบเอาพระธิดาองค์สุดท้องชื่อนางเง็กนึ่งฮวยเซียว ไปเป็นเมียอยู่ในถ้ำมาได้ ๑๓ ปีแล้ว จนมีลูกชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง เมื่อเมียของปีศาจทราบว่าปีศาจจับพระถังมาขังไว้ในถ้ำ นางจึงได้โอกาสที่จะส่งข่าวถึงพระราชบิดา
ฝ่ายโป้ยก่ายและซัวเจ๋งตามหาพระถังมาจนถึงถ้ำอั้วจื้อปองฮ้วยต๋อง ก็สู้รบกับปีศาจแต่สู้ไม่ได้ จึงพ่ายหนีไป ระหว่างนั้น นางเง็กนึ่งฮวยเซียวได้ปล่อยพระถัง พร้อมทั้งฝากจดหมายเซ็นสลักหลังว่า "ภาวนาสุข" ไปยังพระเจ้าเชียงโป้ก๊ก
พระถัง โป้ยก่ายและซัวเจ๋ง และม้าขาวออกเดินทางไปยังเมืองเชียงโป้ก๊ก อันงดงามร่มรื่น แล้วทูลถวายหนังสือเพื่อขอผ่านเมือง พระราชาประทับตราแผ่นดินให้แล้ว ทรงขอร้องให้สานุศิษย์ผู้มีฤทธิ์ของพระถังไปปราบปีศาจอึ้งเพ้าไต้อ๋อง เพื่อปลดปล่อยพระธิดากลับคืน โป้ยก่ายกับซัวเจ๋งเหาะกลับไปสู้รบกับปีศาจ โป้ยก่ายก็เอาเปรียบแอบหนีไปนอนเสีย จนซัวเจ๋งเสียทีถูกปีศาจจับตัวไปขังไว้
อึ้งเพ้าไต้อ๋องแปลงกายเป็นราชบุตรรูปงามเข้าไปในเมืองเชียงโป้ก๊ก แล้วร่ายเวททำให้พระถังกลายเป็นเสือเฒ่า แล้วทูลพระราชาว่าที่แท้พระถังคือปีศาจเสือแปลงมา ตนมาเพื่อจะช่วย พระราชาก็ซาบซึ้ง รักใคร่ในบุตรเขยยิ่งนักได้เลี้ยงดูกันเอิกเกริก
เมื่ออึ้งเพ้าเมาสุราก็เผลอตัวกลับกลายเป็นปีศาจตามเดิม ได้สู้รบกับม้าขาวของพระถัง ม้าสู้ไม่ได้ก็ถอยหนีไป โป้ยก่ายกลับมาจากนอนหลับในป่ามาพบม้าขาวในสภาพสะบักสะบอมก็เลยคิดถึงเห้งเจีย จึงถือคราดเหาะลิ่วไปสู่ถ้ำจุ้ยเลี่ยมต๋อง อ้อนวอนให้เห้งเจียกลับไปช่วยพระถัง
เห้งเจียจึงตีลังกามาในอากาศ ถึงถ้ำปีศาจก่อนโป้ยก่ายก็จัดการปลดปล่อยซัวเจ๋ง แล้วเข้าไปจับตัวบุตรชายหญิงของปีศาจลากขาแขนเหาะลอยละลิ่วเข้าไปในเมืองเชียงโป๊ก๊ก จับเด็กทั้งสองฟาดลงกับพื้นจนร่างแหลกเหลว แล้วเข้าสู้รบกับอึ้งเพ้า แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะปีศาจได้
เห้งเจียจึงตีลังกาขึ้นสู่สวรรค์ ค้นที่มาของปีศาจก็พบว่าอึ้งเพ้าคือดาวดวงหนึ่ง หลงรักด้วยราคะต่อนางฟ้าตนหนึ่งซึ่งจุติมาเกิดเป็นพระธิดาองค์ที่สามของพระเจ้าเชียงโป๊ก๊ก จึงแปลงกายติดตามมาบันดาลเป็นลมหอบไปสมสู่ในถ้ำ
อึ้งเพ้าจึงต้อโทษของสวรรค์ให้ไปเป็นพนักงานสุมไฟให้แก่พรหมท้ายเสียงเล่ากุน
ฝ่ายเห้งเจียก็กลับไปรับพระราชธิดากลับสู่เมืองเชียงโป้ก๊ก ร่ายเวทคลายมนต์ปีศาจ เสือเฒ่าก็กลับกลายเป็นพระถังตามเดิม
ศิษย์และอาจารย์ได้รับหนังสือผ่านเมืองมาแล้วก็ทูลลาพระราชา มุ่งหน้าสู่ไซที...
นาม : ว่าแล้วเชียว พอให้ศีลนำทาง ขันติก็หลงเข้าถ้ำปีศาจทันที อึ้งเพ้าไต้อ๋องคืออะไรครับ ?
โหงว : กามสุข เป็นเทพลงมาลักนางกงจู้ที่สาม คือภาวนาสุขไปสมสู่ในถ้า
รูป :พระเจ้าเชียงโป้ก๊กเล่า...?
โหงว :คือบุญหรือสุข มีธิดา ๓ องค์ คือ ๑.บุญเกิดจากการให้ทาน ๒. บุญเกิดจากการรักษาศีล ๓. บุญเกิดจากการภาวนา
รูป : ไหงแต่งให้กามสุขข่มขืนภาวนาสุขเสียเล่า ?
โหงว : เมื่อจิตยังสถาปนาตั้งมั่นไม่ได้ตราบใด ภาวนาสุขที่มีอยู่จะล้มลุกคลุกคลาน แส่ส่ายไปหากามสุข นี่คือกามสุขฉุดคร่าภาวนา ขันติ(พระถัง)จึงภูกขังในถ้ำปีศาจ ทำท่าจะไปไม่รอด ศีล(โป้ยก่าย) สมาธิ(ซัวเจ๋ง)เข้าแก้ไขก็ไม่ได้เพราะขาดปัญญา ครั้นปัญญาละกามสุข(อึ้งเพ้า)ได้แล้ว ภาวนาสุข(กงจู๋)ก็เป็นอิสระ
นาม : เดี๋ยวก่อน ลูกของอึ้งเพ้าหญิงหนึ่งชายหนึ่งเล่า ?
โหงว : หญิงชายทุกคนเป็นลูกของ "กามสุข" ติดกันงอมแงม ครั้นฆ่าความเป็น"ลูก"ของกามสุขได้ ภาวนาสุขก็มีมานะซี
รูป : เมืองเชียงโป้ก๊กอาจจะเป็นเมือง ๆ หนึ่ง ระหว่างอินเดียกับจีนที่ยวนฉ่าง จะผ่านเข้าเมืองต้องขอวีซ่าเข้าไป
โหงว : เอาอีกแล้วเจ้าเซ่อ ! การเดินทาง ๆ กายภาพอีกแล้ว การผ่านเมืองให้พระราชาประทับตราแผ่นดินในหนังสือเดินทางนั้นคือการสถาปนาจิตตามลำดับ
นาม : แหม วิเศษจริงครับเปรียบการเลื่อนเข้าสู่ภูมิธรรมกับการขอวีซ่า - พาสปอร์ตผ่านเข้าเมือง
โหงว :ฮื่อ...อย่ายอ ๆ บทต่อไปเรื่องปีศาจ๕ มีของวิเศษ ๕อย่าง ทั้งหมดรุกรบกันโกลาหลเจ้าอยากฟังไหมล่ะ
รูป : ฟังต่อ ฟังต่อ
(จบบทที่ ๑๖ โปรดติดตามตอนต่อไป...)
(** คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๖๗ - ๗๑ )
|
Create Date : 05 สิงหาคม 2551 | | |
Last Update : 5 สิงหาคม 2551 8:44:31 น. |
Counter : 1370 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|