เดินทางไกลกับไซอิ๋ว (๘) บทที่ ๕ ปัญญาทำให้ได้วิริยบารมี
บทที่ ๕ ปัญญาทำให้ได้วิริยบารมี
อาจารย์และศิษย์ดุ่มเดินไปในป่าลึก ถึงที่โล่ง ลุถึงบึงใหญ่ชื่อเองเส้า(เหยี่ยวโศก) เขตภูเขาจั๋วบั่วซัว ทันใดนั้น มังกรร้ายเง็กเล้งซัมไทจื้อ ผู้ต้องโทษจากสวรรค์ ได้โผล่พรวดขึ้นมา อ้าปากกลืนม้าหลวงลงไปในท้อง เห้งเจียกระชากตะบองยู่อี่เข้ารบกันโกลาหล เง็กเล้งเห็นท่าจะเสียทีก็ดำลงกบดานในก้นบึง
เห้งเจียมิรู้จะทำประการใด ด้วยตนเชี่ยวชาญเฉพาะบนบก ไม่ถนัดในน้ำ จึงต้องเหาะไปนิมนต์พระกวนอิมโพธิสัตว์พร้อมทั้งเทพยดามาช่วย กวนอิมได้ร้องบอกให้รู้ว่า บุคคลที่เง็กเล้งรอ คือพระถังซัมจั๋งที่จะไปอาราธนาพระไตรปิฎกนั้น บัดนี้ก็คือคนที่ตนได้กินม้าเสียนั่นเอง เง็กเล้งทราบความแล้วก็ขึ้นจากก้นบึง มาทำความเคารพพระถัง และไหว้เห้งเจีย ฝ่ายกวนอิมก็ร่ายมนต์แปลงร่างของเง็กเล้งให้กลับเป็นม้าขาว เพื่อแทนม้าหลวงที่ถูกกลืนกินไป เมื่อกวนอิมและปวงเทพยดากลับไปสำนักตนแล้ว เห้งเจียก็จูงม้าขาวนำหน้าพระถังข้ามบึงเองเส้าด้วยเรือของตาเฒ่าผู้หนึ่ง
นาม : พอก่อนครับขอให้อาจารย์ช่วยเฉลยทีก่อน
รูป : โธ่ เรื่องกำลังสนุก มาขัดคอทำไมก็ไม่รู้
โหงว : เอาละ ไม่ต้องทะเลาะกัน เราจะเฉลยให้ฟัง ชีวิตช่วงนี้ได้ลุถึง "บึงแห่งความท้อถอยใจ"
นาม : มิน่าเล่าถึงให้ชื่อว่า "เหยี่ยวโศก" แม้โผขึ้นไปได้ในอากาศ ทีท้อถอยก็คอตกปีกเปลี้ยละเหี่ยโหย
โหงว : ตีปีกชูคอในทางธรรม เที่ยวอวดโอ่ด้วยแรงแห่งวิริยะของศรัทธา(ม้าหลวง)อยู่พักหนึ่ง ในที่สุดม้าก็ถูกกลืน ความท้อถอยใจก็ประดังเข้ามา
รูป : เพราะบึงนั้นกว้างมากนะครับ อาจารย์ทำไมไม่แต่งให้ม้าพาพระถังเหาะข้ามไปเลยละครับ ?
นาม : ทำไมให้เง็กเล้งซัมไทจื้อ ขึ้นมากินม้าหลวง แล้วอยู่ในบึงแห่งความท้อถอยเล่าครับ ?
โหงว : วิริยะของศรัทธาหมดเขตเพียงริมบึงนั้น ต่อจากนั้นชีวิตจำเป็นต้องพึ่งวิริยะที่เกิดจากปัญญาเข้าปราบปรามปีศาจที่กบดานอยู่ในบึง
รูป : ก็มังกรเง็กเล้งกบดานอยู่ และเห้งเจียไม่ได้ฆ่านี่ครับ
โหงว : ในช่วงที่ชีวิตเป็นบึงแห่งความท้อแท้นั้น วิริยะได้กบดานอยู่ ต้องใช้โพธิสัตว์ปัญญาปลุกให้มันขึ้นมาชนะความท้อถอยได้ นั่นคือวิริยบารมีเกิดแล้ว
นาม : นั่นเป็นคติของมหายานนี่
โหงว : เอาเถอะน่า เฉลยแบบเถรวาทก็ได้ว่า แม้ไม่ไปตามกวนอิมมา เห้งเจียกับเง็กเล้งก็รู้จักกัจนได้ เพราะเง็กเล้งกำลังรออยู่แล้ว
นาม : ทำไมเห้งเจียไม่ถนัดทางน้ำ ?
โหงว : เห้งเจียคือตัวปัญญาที่ยังหยาบเถื่อนอยู่ ยังขาดศีล ซึ่งจะพบในบทถัดไป ซึ่งทั้งสามจะได้ช่วยกันปราบปีศาจในน้ำ คือ กิเลสประเภทกบดาน ตอนนี้สรุปว่า เมตตาของโพธิสัตว์นั้นทำให้วิริยะตื่นขึ้น
นาม : แล้วคณะไปไซทีข้ามบึงแห่งความ "ท้อถอย" ด้วยเรือของตาเฒ่า หมายความว่าอย่างไร ?
รูป : โธ่ ... คุณ ตาเฒ่าไม่มีชื่อจะมีความหมายอะไร นอกจากว่าอาจารย์แต่งส่งเดชให้พระถังข้ามบึงเท่านั้นเอง
โหงว : ตาเฒ่าคือ "โบราณธรรม " โบราณวิธีที่ท่านผู้รู้ได้ผ่านบึงแห่งความท้อถอยของชีวิตไปได้
รูป : โอย ... ผมชักวิงเวียนเข้าทุกทีแล้ว จะไปตีความในด้านในทำไมกันนักหนาเชียว อ่าน-ฟังให้สนุก ๆ ก็พอแล้ว
นาม : ไซอิ๋ว ของอาจารย์เป็นวรรณกรรมชิ้นเดียวของโลกที่เป็นพยานในการมองด้านใน ทุกสิ่งอยู่ข้างใน ใช่ใหมครับ ?
โหงว : อย่ายอเราเลิศลอยเกินไปนัก แท้จริงเราได้เค้าวิธีมาจาก รามายณะ
นาม : อะไรกัน... รามายณะก็เป็นวรรณกรรมด้านในหรือครับ ?
โหงว : ใช่ เอาเถิดเจ้าจะรู้เอง เจ้าอย่าเสียเวลาออกเรื่องเลย ฟังให้ดี เราจะเล่าตอนต่อไป...
**แม่เฒ่า - พ่อเฒ่า หรือ คนชรา = โบราณภาษิตหรือ เรื่องที่เล่า ๆ สืบต่อกันมา
** ขอบคุณภาพการ์ตูนไซอิ๋วจากเว็บ //www.mindcyber.com/ ค่ะ
**คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๑๙ - ๒๒
|
Create Date : 23 กรกฎาคม 2551 | | |
Last Update : 30 กรกฎาคม 2551 11:27:10 น. |
Counter : 1971 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เดินทางไกลกับไซอิ๋ว (๖) บทที่ ๓ อินทรีย์ ๖ ดุจโจร ๖ คน
บทที่ ๓ อินทรีย์ ๖ ดุจโจร ๖ คน
อาจารย์ชวนศิษย์คนโปรด รอนแรมกันมาในท่ามกลางฤดูหนาว และอย่างไม่ทันคาดคิดโจร ๖ คน ได้จู่โจมเข้ามาขวางหน้า ร้องตวาดขู่ว่าจะปล้นทรัพย์และชีวิต พระถังตกใจกลัวจนตัวสั่น เห้งเจียกรากเข้าประจันหน้า ร้องถามชื่อแซ่กันขึ้นนายโจรร้องบอกชื่อดังนี้
โจรคนแรก :
ชื่องั้นขันชี้นะเจ้า.........ตาเห็นรูปใจเร้า รุ่มร้อน ตัณหา ...........แลนา
โจรคนที่สอง :
ยี่เทียล้อหน้ากริ้ว..........หูยินเสียงใจสะยิ้ว รุ่มร้อน ตัณหา .............แลนา
โจรคนที่สาม :
ภิชืออ้ายหน้าแปร้.........จมูกได้กลิ่นใจแพ้ รุ่มร้อน ตัณหา.............แลนา
โจรคนที่สี่ :
จิสองซื้อคือลิ้น...........ลิ้มรสแล้วใจดิ้น รุ่มร้อน ตัณหา............แลนา
โจรคนที่ห้า :
ซิ้นปุ๊มอิ๋วที่ห้า.............สัมผัสผิวใจบ้า รุ่มร้อน ตัณหา............แลนา
โจรคนที่หก :
อี่เกี้ยนออกหัวหน้า.......ใจรู้คิดพะว้า รุ่มร้อน ตัณหา.............แลนา
เห้งเจียได้ยินชื่อแล้วหัวเราะก๊ากใหญ่ ร้องขึ้นว่า " อ้ายพวกลูกหลานข้า เจ้าพวกขนหน้าแข้งของปู่ ถ้าพวกเจ้าทั้งหก ปล้นอะไรมาแล้ว ให้เรามีส่วนแบ่งด้วย ปู่ก็จะไว้ชีวิตพวกเจ้า "
นายโจรทั้งหก เป็นเดือดเป็นแค้นในคำสบประมาท...... โธ่อ้ายลิงหาเรื่องตาย
ทั้งหกรุมเข้ารบเห้งเจีย เห้งเจียจึงตีตายหมด ฝ่ายพระถังเห็นศิษย์โหดร้ายก็ตำหนิ เห้งเจียก็เถียงว่า ขืนไม่ตีมัน มันก็จะตีอาจารย์ตายเท่านั้น
ศิษย์และอาจารย์โต้เถียงด่าทอกันรุนแรง พระถังเดือดดาลขึ้น จึงออกปากขับไล่ไม่ให้ร่วมทางไปไซที เห้งเจียก็น้อยใจ จึงทิ้งอาจารย์เสีย แล้วเหาะลิ่วไปซดน้ำชากับพญาเล่งอ๋องที่ใต้บาดาล
โหงว : เป็นไง ?
รูป : แหมสนุกจริงๆ ครับ เห้งเจียเป็นลิง ทำไมจึงแต่งให้เก่ง ขนาดโจร ๖ คนสู้ไม่ได้
นาม : แกลืมไปอีกแล้วซีน่า
โหงว : โจร ๖ คน คือ ผัสสะ ๖( ตาเห็นรูป จักษุวิญญาณเกิด ฯลฯ อันเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา )
นาม : วิญญาณ ๖ ที่เกิดในขณะแห่งการกระทบของอายตนะ ๖ กับ อารมณ์ ๖ นั้นคือธาตุรู้ นั้นคือธาตุรู้(วิญญาณธาตุ) ซึ่งเป็น "ขนหน้าแข้ง" ของโพธิจิต
รูป : แท้จริง ธาตุรู้(วิญญาณธาตุ) ที่เกิดจากการกระทบทั้งหกทางนั้นมีสองชนิด ชนิดแรกคืออวิชชาสัมผัส นี้จำเป็นต้อง "ฆ่า" เสีย เอาไว้ไม่ได้ ขืนเอาไว้มันจะฆ่าพระถัง คือ ชีวิตทางธรรมจะถูกฆ่า อีกชนิดหนึ่งคือ ปฏิฆสัมผัส หรือ วิชชาสัมผัส การกระทบที่สักว่ากระทบ หรือ มีการเห็นตามอาการที่เป็นจริงของการกระทบ แล้วไม่ปรุงแต่งเป็นตัณหา เช่นนี้ย่อมให้มีการกระทบได้ การกระทบทางอายตนะนั้นดุจโจรปล้น ถ้าให้ปัญญามีส่วนในการกระทบทุกๆ ครั้งการกระทบนั้นกลับเป็นความรู้
นาม : จึงอุปมาว่า เห้งเจีย(ปัญญา) จะไว้ชีวิต ถ้าปล้นแล้วมาแบ่งให้ตนด้วย
โหงว : ใช่แล้ว
รูป : ก็แล้วทำไม พระถังจึงไม่เข้าใจละครับ เห้งเจียนั้นฉลาดออก
โหงว : นี่เธอ ขอเตือนว่าไม่มีพระถังหรือลิง พระถังคือศรัทธา ขันติ สัจจะอธิษฐานซึ่งภูมิธรรมเหล่านี้ ยังลงร่องรอยกันไม่ได้กับปัญญา
นาม : จึงอุปมาว่า ทะเลาะกันดังลั่นไปทั้งป่า
รูป : แล้วไง แต่งให้เห้งเจียดันเหาะลิ่วไปซดน้ำชากับพญาเล่งอ๋อง ถึงบาดาลเชียว
นาม : เอ ?
โหงว : เมื่อมีแต่ศรัทธา ขันตินำหน้า ปัญญาก็กบดานเสียเท่านั้น ขันติหรือศรัทธามันไม่ค่อยชอบใช้ปัญญาดอกเธอ
นาม : จริง.....หรือแกว่าไง
รูป : อาจารย์เล่าต่อดีกว่าครับ ว่าพระถังทำอย่างไร จึงให้ปัญญามาเป็นคนจูงม้าไปไซทีได้อีก
โหงว : อย่ากลัวเลยเธอ ว่าแต่เห้งเจียของเธอเอง ลงไปซดน้ำชาอยู่ใหนน่ะ ?
**เห้งเจียเหาะไปซดน้าชากับพญาเล่งอ๋องใต้บาดาล = ปัญญาเฉื่อยชา ไม่ทำหน้าที่
** ขอบคุณภาพการ์ตูนไซอิ๋วจากเว็บ //www.mindcyber.com/ ค่ะ
**คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๑๐ - ๑๓
|
Create Date : 17 กรกฎาคม 2551 | | |
Last Update : 30 กรกฎาคม 2551 11:10:08 น. |
Counter : 3109 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เดินทางไกลกับไซอิ๋ว (๕) บทที่ ๒ กตัญญูกตเวทิตา สนับสนุนให้ได้โพธิปัญญา
บทที่ ๒ กตัญญูกตเวทิตา สนับสนุนให้ได้โพธิปัญญา
เทพเจ้าประจำดวงดาวไทเป็กแชกุน ได้ปรากฎกายในร่างของตาเฒ่า มาช่วยพระถังไห้รอดพ้นจากความตาย แล้วสั่งว่า "ถ้าท่านจะไปไซที จำต้องไม่ปริปากบ่นถึงความทุกข์ยาก ด้วยการทำอย่างนี้ ท่านจะได้สานุศิษย์ผู้มีฤทธิ์ นำทางไปถึงจุดหมายได้ "
พระถังซัมจั๋งเดินทางต่อไปแต่ผู้เดียวในป่าใหญ่ อันเต็มไปด้วยภูตผีและสัตว์ร้าย วันหนึ่งพระถังได้ถูกเสือและงูร้ายล้อมหน้าล้อมหลังจนใจสั่นระรัว ถ้ามิได้นายพรานป่าชื่อเล่าเป็กกิมมาช่วย ก็น่าที่พระถังจะสิ้นชีวิต เล่าเป็กกิมพรานป่าผู้กตัญญูต่อมารดา นิมนต์พระถังไปที่บ้านแล้วตามไปส่งพระถังที่ภูเขาโง้วเห้งซัว คือภูเขาห้ายอดที่พระเซ็กเกียมองนี่ฮุดโจ๊วครอบทับซีเทียนไต้เซีย(ซึงหงอคง)ไว้ และสาปสั่งจนกว่าพระถังซัมจั๋งจะมาปลดปล่อย เอาไปเป็นสานุศิษย์ ไปสืบพระไตรปิฎกยังไซที
พระถังขอร้องให้เล่าเป็กกิม ไปส่งจนพ้นเขตภูเขาโง้วเห้งซัว แต่พรานกตัญญูต่อมารดาปฏิเสธ อ้างว่า " พ้นเขตภูเขานั้นแล้ว บรรดาเนื้อสิงสาราสัตว์ มิได้อยู่ในอำนาจของข้าพเจ้าแล้ว "
ขณะนั้นเอง ทั้งสองได้ยินเสียงร้องทักดังก้องฟ้าของซีเทียนไต้ซือ
" อาจารย์... ทำไมช้านักเล่า ? "
เล่าเป็กกิมเป็นคนกล้า เดินรี่เข้าไปที่ที่มาของเสียง เห็นซีเทียนไต้ซือ ถูกภูเขาทับอยู่ก็เข้าไปถามความ ครั้นรู้เรื่องกันแล้ว ก็ช่วยเอานิ้วแคะขี้ตะไคร่น้ำที่ขึ้นในหูของซีเทียน เนื่องจากถูกภูเขาครอบอยู่นานนับร้อย ๆ ปี
ซีเทียนก็ขอให้พระถังขึ้นไปปลดแผ่นยันต์มีอักขระ ๖ พยางค์ ออกจากยอดภูเขา อักขระ ๖ คำนั้นว่า " โอม มณีปัทเม ฮูม "
ครั้นแล้วซีเทียนก็แผลงฤทธิ์เสียงดังสนั่น ดีดสลัดตัวหลุดออกมาจากภูเขา มาหมอบไหว้พระถังซัมจั๋ง อาจารย์ก็ได้สานุศิษย์เอกคู่หูแต่ครั้งนั้น
เล่าเป็กกิมพรานกตัญญูก็ลากลับไป
ซีเทียนเอาตะบองยู่อี่ที่เสียบไว้ในรูหูออกมาทุบเสือตัวหนึ่งตาย แล้วถลกหนังเสือเอามานุ่งห่ม เป็นอันว่าซีเทียนได้บวชครั้งแรก พระถังตั้งชื่อใหม่ให้ว่า "ซึงเห้งเจีย'
ศิษย์จูงม้าให้อาจารย์นั่ง บ่ายหน้าเดินดุ่ม ๆ ไปในป่าใหญ่ มุ่งสู่ทิศปราจีน....
นาม : พระถังรอดจากปีศาจกิเลสมูลอย่างไรครับ ?
โหงว : เจ้าไม่ตั้งใจฟังเราเล่าเลยจริง ๆ ก็ไทเป็กแชกุนกล่าวว่าอย่างไรเล่า ?
นาม : จงทนอย่าได้บ่น แล้วจะได้ศิษย์มีฤทธิ์มาก แล้วศิษย์นั้นจะช่วย
โหงว : นั่นแหละ จงทนต่อการบีบคั้นของกิเลส ไม่ยอมที่จะทำตามอำนาจของกิเลส แล้วจะพ้นจากหล่มได้เอง
รูป : เอ๊ะ ท่านครับ ถ้าพ้นจากหล่มของกิเลสมูล ๓ พระถังก็เป็นพระอรหันต์แล้วซีครับ
โหงว : นี่เธอ เราเตือนกี่ครั้งแล้ว ไม่ใช่พระถังซัมจั๋งที่ใหนนะ แต่ชีวิตช่วงที่ศรัทธาขันติยังต้องล้มลุกคลุกคลาน และปีศาจกิเลสมูลมิได้ถูกฆ่าตายนี่ เพราะพระถังยังไม่ได้ศิษย์(เห้งเจีย -ปัญญา) ปีศาจมันหลบหายไปเท่านั้น แล้วมันจะมาใหม่ในรูปของปีศาจอีกหลายร้อยหลายแสนทีเดียว
รูป : เอ อยู่ดี ๆ กิเลสมูลหายไปเฉย ๆ ได้หรือครับ ในชีวิตกิเลสมันดองสันดานอยู่นี่
โหงว : อย่าสู่รู้น่า ... จงดูเข้าไปในใจ เจ้าจะพบว่า แม้สิ่งที่เรียกว่ากิเลสมูลก็หามีอยู่จริงไม่ ปีศาจทั้ง ๓ มันเป็นมายา เข้ามาเพื่อให้รู้จัก และให้เห้งเจียฆ่ามันเสีย มันไม่ได้มีอยู่ตลอดเวลาดอก
รูป : เล่าเป็กกิม ซีเทียนไต้เซีย เล่าครับ ?
โหงว : เล่าเป็กกิม คือ ความกตัญญูที่ไปเขี่ยตระไคร่ในหูของซีเทียน ก็คือกตัญญูกตเวทิตาคุณนั้น จะเป็นธรรมเครื่องสนับสนุนให้ ได้โพธิปัญญา เราจึงอุปมาด้วยกตัญญู เขี่ยแคะหูให้ปัญญาที่ถูกครอบงำอยู่ในชีวิต
รูป : ทำไมถึงเขต ภูเขาโง้วเห้งซัวแล้ว บรรดาเนื้อเสือจึงไม่อยู่ในอำนาจพรานกตัญญูเล่าเป็กกิม ?
โหงว : การละกิเลสในเขตนั้น เป็นหน้าที่ของปัญญา ไม่ใช่กตัญญู
รูป : พระเซ็กเกียมองนีฮุดโจ๊ว ครอบซีเทียนด้วยภูเขา ๕ ยอดเล่าหมายความว่าอย่างไร ?
โหงว : เจ้าจงย้อนไปดูบทซึงหงอคง แต่เราสรุปย่อให้ฟังว่า ปัญญาสามัญนั้นถูกอุปาทานขันธ์ ๕ ครอบงำอยู่นานนัก จนกว่า...
นาม : จนกว่าขันติจะถูกกตัญญูส่งมาถึง
โหงว : อย่าสู่รู้น่า... จนกว่าจะแกะอักขระ ๖ พยางค์ คือ "โอม มณี ปัทเม ฮูม" ออกได้ เมื่อนั้นแหละ ปัญญาจึงจะเป็นอิสระและ จะนำชีวิตไปสู่นิพพาน
รูป : แกะอักขระ ๖ พยางค์ ออกหมายความว่าอย่างไร ?
โหงว : "แกะ" หมายความว่า เข้าใจอรรถซึมซาบในบทภาวนานี้ คือ "โอม มณี ปัทเม ฮูม" แปลว่า "ขอนอบน้อมแด่ดวงมณีในดอกปทุม " คือ ความประเสริฐแห่งใจ
รูป : ท่านครับ เห้งเจียทุบเสือถลกหนังมานุ่งหมายถึงการบวช ปัญญาบวชได้อย่างไรกันครับ ?
โหงว : เห้งเจีย(ปัญญา) ห่มหนังเสือ นั่นหมายถึงปัญญาที่เริ่มน้อมไปสู่เนกขัมม์เท่านั้น ส่วนการบวชจริง ๆ ของปัญญาคือ การสวมมงคล ๓ วงของพระยูไล
รูป : มงคล ๓ วง ?
โหงว : มงคล ๓ วง คือ ไตรลักษณ์ ที่นำมา " ครอบหัว " ปัญญาเข้าแล้ว นั่นคือ การบวชแท้
รูป : ผมไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ครับ
โหงว : อยากเข้าใจก็จงเงี่ยหูฟัง เราจะเล่าในตอนต่อไป
(...จบบทที่ ๒ โปรดติดตามตอนต่อไป...)
**คัดจาก"เดินทางไกลกับไซอิ๋ว โดย "เขมานันทะ" หน้า๕ - ๙)
|
Create Date : 16 กรกฎาคม 2551 | | |
Last Update : 30 กรกฎาคม 2551 11:05:40 น. |
Counter : 2063 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|