เดินทางไกลกับ"ไซอิ๋ว" (๓๘) บทที่ ๓๕ มิจฉาสติดุจท้าวพันตา
บทที่ ๓๕ มิจฉาสติดุจท้าวพันตา
เดินทางกันไปพักใหญ่ ก็ผ่านมาถึงสำนักอึ้งฮวยก๊วน ที่มีลำห้วยน้ำไหลร่มรื่น เป็นที่พำนักของปีศาจพันตาแป๊ะงั้นหม้อกุน อันเป็นศิษย์ผู้พี่ของนางปีศาจแมงมุมทั้ง ๗
แป๊ะงั้นหม้อกุนได้ต้อนรับคณะเดินทางเป็นอย่างดี ครั้นนางปีศาจแมงมุมกระซิบบอกว่า ศิษย์และอาจารย์คณะนี้แหละคือศตรูที่ทำให้ตนเดือดร้อนต้องหนีมาพึ่ง แป๊ะงั้นก็โกรธ จึงวางยาพิษโป้ยก่ายซัวเจ๋งและพระถังเสียอาเจียนจนสลบไป รอดแต่เห้งเจียซึ่งเฉลียวทัน
เห้งเจียจึงชักตะบองวิเศษออกสู้รบกับปีศาจพันตาเป็นโกลาหล ก็มิอาจเอาชนะได้ มิรู้จะทำประการใด จึงไปเชิญหญิงวิเศษชื่อไผ้นาฝอ มารดาของเบ้ายิดแชกุน(ดาวลูกไก่) มา นางไผ้นาฝอใช้อาวุธของเบ๊ายิดแชกุนคือเข็มวิเศษทำด้วยแก้วตา(คล้ายกับตะบองวิเศษของเห้งเจีย)เข้าแก้ไขพระถังกับศิษย์ออกมาได้
ฝ่ายเห้งเจียได้ทีก็ใช้ตะบองวิเศษตีปีศาจแมงมุมทั้ง ๗ จนตายสิ้น เมื่อจะฆ่าปีศาจแป๊ะงั้นหม้อกุนมันก็กลับกลายเป็นตะขาบใหญ่ ไผ้นาฝอก็ร้องขอชีวิตมันไว้เพื่อนำไปเป็นคนเฝ้าประตูที่สำนักของนาง เห้งเจียก็ไว้ชีวิต ไผ้นาฝอก็จูงตะขาบไป
เห้งเจียจึงจุดไฟเผาสำนักอึ้งฮวยก๊วนเสียสิ้น แล้วนำทางคณะมุ่งสู่ไซทีต่อไป...
รูป : (หัวเราะ) ท้าวพันตาน่ะ อาจารย์ถอดมาจากรามายณะได้ไม่เลวเลย
นาม : เอาละ เรื่องนั้นไม่สำคัญ แต่ปีศาจแมงมุม ๗ ตนนั่นทำไมดันมาเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกับท้าวพันตาได้ ?
โหงว :ก็แป๊ะงั้นหม้อกุนคืออะไรเล่า...?
รูป : มันอยู่สำนักอึ้งฮวยก๊วน มีลำห้วยไหลริน...?
นาม : ถ้าอย่างนั้นปีศาจตะขาบนี่ต้องเป็นธรรมะประเภทเดียวกับมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ
รูป : แกรู้ได้อย่างไร ?
นาม : ห้วยน้ำไหลของเห้งเจียสมัยที่ยังเถื่อนอยู่ที่ถ้ำจุ๊ยเลี่ยมต๋อง คือมิจฉาทิฏฐิ ห้วยน้ำไหลของอั้งฮั้ยยี้สมัยที่ยังเป็นปีศาจที่ฮ้วยหุ่นต๋อง คือมิจฉาสังกัปปะ เพราะฉะนั้น ที่นี่คือมิจฉาสติ
รูป : จริง มันจึงเป็นศิษย์ผู้พี่ของนางปีศาจแมงมุมทั้ง ๗ เพราะมิจฉาสติเป็นพี่ใหญ่ของอกุศลเจตสิก คืออหิริกะ(ไม่ละอายต่อบาป) อโนตตัปปะ(ไม่สะดุ้งกลัวต่อบาป) ทิฏฐิ มานะ โลภะ และโมหะ
นาม : ปีศาจนี้มีพันตา หมายถึงว่ามันจ้องที่จะฟุ้งซ่านอยู่แต่ในกิเลสจนพูดได้ว่ามีตาตั้งพัน คอยแต่จะจ้องยินดี - ยินร้าย
โหงว :ทีนี้ ไผ้นาฝอ มารดาของเบ๊ายิดแชกุนล่ะ ?
รูป : คือสัมปชัญญะ
นาม : แกรู้ได้อย่างไร ?
รูป : โธ่ เบ๊ายิดแชกุน คือไก่ที่เคยขันขึ้น แล้วนางปีศาจแมงป่องตาย นี่มิใช่สติหรือ ทีนี้มารดาของสติก็คือสัมปชัญญะ ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่เสมอในการก้าว การนั่ง การเดิน การดื่ม ซึ่งเป็นจุดตั้งต้นของการมีสติ
นาม : แล้วทำไมให้ไผ้นาฝอยืมเข็มวิเศษจากเบ๊ายิดแชกุนลูกชายมาช่วยเห้งเจีย และเข็มนั่นเหมือนกับตะบองยู่อี่เสียด้วย ?
รูป : เซ่อไปได้ เข็มวิเศษทำด้วยแก้วตา ก็คือโยนิโสมนสิการ - การกระทำในใจไว้โดยแยบคาย หรือคือการเฝ้าดูเฝ้าพินิจด้วยโยนิโสมนสิการนั้นต้องประณีตประดุจเข็มทำด้วยแก้วตา นั่นล่ะคือจักษุของชีวิตล่ะ ผู้มีโยนิโสมนสิการดีแล้ว จะหลุดพ้นจากทุกข์ได้ มันเป็นอาวุธวิเศษ
นาม : แหม แกนี่ไม่เลวเลย ทีนี้เห้งเจียตีนางปีศาจแมงมุมทั้ง ๗ วินาศล่ะ?
รูป : โธ่ อ้ายเซ่อ...มีปัญญา มีสัมปชัญญะ มีสติในการเฝ้าดูด้านในอย่างแยบคาย(โยนิโสมนสิการ)แล้ว อกุศลเจตสิกก็พินาศไปเองน่ะสิ
นาม : แล้วแป๊ะงั้นหม้อกุนไหงกลายเป็นตะขาบไปฉิบ...?
รูป : นั่นน่ะสิ แล้วไผ้นาฝอยังขอไปเฝ้าประตูสำนักเสียอีก ?
นาม : มิจฉาสติคือปีศาจ...........อวดอำนาจกำแหงหาญ พันตาบ้าฟุ้งซ่าน..............อกุศลผุดดุจฝุ่นฝอย
โหงว :มนสิการโดยแยบคาย.......กิเลสมลายลงผลอยผลอย ให้สติต่อทยอย.................ดุจตะขาบเลื้อยเจื้อยเจื้อยมา
รูป : ครั้นเจตสิกบริสุทธิ์............พระถังผุดฟื้นชีวา
โหงว :ต่อแต่นี้สามผีบ้า...............คือตัณหาของพระพุทธ
นาม : โอ๊ย...อาจารย์วานลงนรก.......
รูป : ตกอบาย อย่าได้ผุด
นาม : น้ำทองแดงเดือดปุดปุด.........
โหงว :ตกก็ช่าง ฟังให้ดี
(จบบทที่ ๓๕ โปรดติดตามตอนต่อไป...)
** คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๑๙๗ - ๒๐๑ )
|
Create Date : 16 กันยายน 2551 | | |
Last Update : 16 กันยายน 2551 8:56:05 น. |
Counter : 2437 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เดินทางไกลกับ"ไซอิ๋ว" (๓๗)บทที่ ๓๔ ผจญปีศาจแมงมุมและผึ้ง
บทที่ ๓๔
อกุศลเจตสิก ๑๔ ดุจปีศาจแมงมุมและผึ้ง
อาจารย์และศิษย์พากันเดินทางรอนแรมมาจนลุถึงบ้านปั๊วซือเนี้ย ถ้ำปั๊วซือต๋อง อันเป็นที่พำนักของนางปีศาจแมงมุมอันดุร้ายทั้ง ๗ มันแปลงกายเป็นหญิงสาว ๔ สาวกำลังนั่งเย็บปักถักร้อยอยู่อีก ๓ สาวกำลังจับกลุ่มเล่นหัวกันอยู่ทางหนึ่ง พระถังเข้าไปบิณฑบาตอยู่ผู้เดียว ถูกนางปีศาจทั้ง ๗ หลอกล่อให้รออาหาร ครั้นพระถังเห็นผิดสังเกตก็วิ่งหนี นางปีศาจจึงปล่อยสายใยจากสะดือรวบรัดพระถังเอาไว้ แล้วมัดมือชักรอกโยงไว้บนเพดานถ้ำ หวังจะต้มกินเนื้อพระถัง
นางปีศาจแมงมุมทั้ง ๗ จับพระถังได้แล้วก็ออกจากถ้ำเพื่อไปอาบน้ำที่สระย๊อกโกจั๊วที่เคยเป็นที่อาบน้ำของนางฟ้าทั้ง ๗ ซึ่งนางปีศาจทั้ง ๗ ได้แย่งมาเป็นกรรมสิทธิ์
ฝ่ายเห้งเจีย โป้ยก่าย ซัวเจ๋งออกติดตามหาพระถังกันวุ่นวาย ครั้นเห้งเจียสอบถามเจ้าที่เจ้าทางจึงทราบความ
ขณะที่นางปีศาจทั้ง ๗ ไปอาบน้ำ เห้งเจียก็แปลงกายเป็นเหยี่ยวไปคาบผ้านุ่งนางปีศาจที่เปลื้องไว้มาให้โป้ยก่ายดู โป้ยก่ายนึกสนุกขึ้นมาจึงไปที่สระ แล้วแปลงกายเป็นปลาช่อน ลงแหวกว่ายวนเวียนเคล้าเคลียขาอ่อนของนางปีศาจ นางปีศาจทั้ง ๗ ก็กระโดดขึ้นจากสระทั้ง ๆ ที่เปลือยกาย พอโป้ยก่ายกลายเป็นหมูตามขึ้นมา นางปีศาจก็พุ่งสายใยเหนียวออกจากสะดือ ล้อมรัดโป้ยก่ายล้มกลิ้งลง นางทั้ง ๗ ก็กลับไปที่ถ้ำที่ขังพระถังไว้ ซึ่งนางปีศาจหัวหน้าได้สั่งให้นางผึ้งทั้ง ๗ ที่เป็นลูกบุญธรรมอยู่เฝ้าถ้ำระวังพระถังไว้แล้ว ทั้ง ๗ นางก็ออกจากถ้ำปั๊วซือต๋อง มุ่งไปสู่สำนักอึ้งฮวยก๊วน ที่พำนักของแป๊ะงั้นหม้อกุน หรือปีศาจพันตา ผู้สำเร็จทางอัคคีฌาน
เห้งเจีย โป้ยก่าย ซัวเจ๋งออกติดตามหาพระถังมาจนถึงถ้ำปั๊วซือต๋อง ก็ถูกนางผึ้งมีพิษเหล็กในร้ายกาจทั้ง ๗ แปลงกายออกนับหมื่นนับแสนระดมกันต่อย เห้งเจียก็ฆ่าตายเสียสิ้น
จากนั้นก็เข้าแก้ไขพระถัง แล้วก็ออกเดินทางมุ่งสู่ไซทีต่อไป......................
รูป : นางปีศาจแมงมุมเปลือยเปล่านั่นยังไม่ตาย...
นาม : ตาย...แต่ธิดาบุญธรรม ๗ คน เอ...ปีศาจแมงมุม ๗ ปีศาจผึ้ง ๗ นางฟ้าที่เคยเป็นเจ้าของสระอีก ๗...?
รูป : เฮ่ย...นางปีศาจแมงมุมนั้นแบ่งเป็น ๒ กลุ่ม คือ ๓ คนที่นั่งเล่นหัวกันอยู่ กับอีก ๔ คนนั่งเย็บปักถักร้อยอยู่
โหงว :คิดดูให้ดี คิดดูให้ดี
นาม : จนครับอาจารย์
โหงว :ปีศาจแมงมุม ๗ ตน กับธิดาบุณธรรม คือแมงผึ้งมีพิษอีก ๗ รวมเป็น ๑๔
นาม : พุทโธ่เอ๊ย... อกุศลเจตสิก ๑๔ นั่นเอง ผมเข้าใจแล้ว นางปีศาจแมงมุม ๓ ตน คือ โลภะ โทสะ โมหะ ส่วนอีก ๔ ตนคือ อหิริกะ อโนตตัปปะ ทิฏฐิ และมานะ นางแมลงผึ้งมีพิษร้าย ธิดาบุญธรรมคือ อุทธัจจะ วิจิกิจฉา อิสสา มัจฉริยะ กุกกุจจะ ถีนะ และมิทธะ รวมเป็นอกุศลเจตสิก ๑๔
รูป : แล้วนางฟ้าทั้ง ๗ ที่เคยเป็นเจ้าของสระ...?
นาม : ?
โหงว :คือฌานังคเจตสิกทั้ง ๗ ที่เป็นคู่ปรับ(เอกัตตะ)กับอกุศลเจตสิก ๑๔
นาม : คือวิตก วิจาร ปีติ เอกัคตา โสมนัส โทมนัส และอุเบกขา
รูป : เป็นอันว่าฌานังคเจตสิกทั้ง ๗ถูกอกุศลเจตสิก ๗ เข้าแย่งชิงสระอาบน้ำ คือปีศาจแมงมุมแย่งที่นางฟ้า
นาม : สระย๊อกโกจั๊ว คือจิตที่...ผีมานางฟ้าหนีหมด
รูป : ตายเจ็ดเหลืออีกเจ็ด.....ผีระเห็ดไปถึงไหน?
โหงว :ไซอิ๋วตอนต่อไป............พบผีห้าวท้าวพันตา
นาม : !!
รูป : !!
(จบบทที่ ๓๔ โปรดติดตามตอนต่อไป...)
** คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๑๙๓ - ๑๙๖ )
|
Create Date : 11 กันยายน 2551 | | |
Last Update : 11 กันยายน 2551 10:23:59 น. |
Counter : 2672 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เดินทางไกลกับ"ไซอิ๋ว" (๓๖) บทที่ ๓๓ โรคอาลัย "เหยื่อ"
บทที่ ๓๓ โรคอาลัย "เหยื่อ"
พระถังซัมจั๋งและสานุศิษย์รอนแรมมาจนบรรลุถึงเมืองจูจิ๊ก๊ก อันมีผู้คนพูดจาอ่อนหวาน พระราชาทรงประชวรหนัก เพราะเมื่อ ๓ ปีก่อนหน้านี้ ปีศาจไซ้ทั้ยส่วยแห่งสำนักภูเขาขี้ลินซัว ถ้ำเก๊ยเฉียต๋อง ได้มาแย่งพระมเหสีกิมเชี้ยเกงเนี้ย (หอทองอริยะ)ไปเสีย ได้ออกหมายประกาศหาหมอผู้สามารถรักษาพระราชาให้หาย จะได้รางวัลหนัก
เห้งเจียก็อาสาเข้าตรวจโรคของพระราชา แล้วบอกว่าพระองค์เป็นโรค "วิหคพลัดคู่" พอเห้งเจียระบุชื่อโรคถูก พระราชาก็มีอาการดีขึ้น เห้งเจียจึงกลับมาที่พักแล้วเริ่มปรุงยา อันประกอบด้วยตัวยาดังต่อไปนี้
๑.ต๊ายอิ้ง (น้ำเต้า ?) ๒.ปาเต๊า (สลอด) ๓.แป๊ะเช้าเซียง (เขม่าก้นหม้อ) ๔.น้ำเยี่ยวม้าขาวของพระถัง(ม้ามังกรลูกพญาเล่งอ๋อง)
เมื่อเห้งเจียบดผสมกันเข้าแล้ว สำเร็จเป็นยา ๓ กลอน ชื่อ โอกิมตัน ซึ่งจะต้องใช้น้ำกระสาย ๒ ประเภท
น้ำกระสายประเภทแรกมีของ ๖ สิ่งนำมาต้มรวมกัน ได้แก่
๑. ขนนกการะเวก ๒. น้ำเยี่ยวปลากิมหลีฮื้อ(ปลาทอง) ๓. แป้งผัดหน้าอ๋องโป๊เนี่ยเนี้ย(เทวีแห่งสวรรค์) ๔. ขี้เถ้าในเตาไฟของพรหมท้ายเสียงเล่ากุน ๕. ชายผ้าโพกพระเศียรของเง็กเซียนฮ่องเต้ ๖. หนวดมังกร(เล่งอ๋อง) ๕ เส้น
ส่วนน้ำกระสายอย่างที่ ๒ คือน้ำที่ตกจากอากาศเรียกว่า "น้ำไม่มีราก"
พวกขุนนางผู้คอยเฝ้าพยาบาลพระราชาอยู่ ครั้นได้ทราบสรรพคุณและน้ำกระสายยาของเห้งเจียแล้วก็เลือกเอาน้ำกระสายอย่างหลังคือ "น้ำไม่มีราก"
ดังนั้น เห้งเจีย โป้ยก่ายและซัวเจ๋ง จึงมายืนรวมกันกลางลาน แล้วออกกำลังร้องเรียกพญาเล่งอ๋องเง่าก๊วงให้มาบ้วนน้ำลายลงเป็นฝน แล้วนำน้ำไม่มีรากนั้นมาละลายยาโอกิมตันถวายให้พระราชาเสวย พระราชาเสวยแล้วก็ถ่ายสิ่งโสโครกออกมามากมายและหายประชวร แล้วเล่าเรื่องที่ปีศาจมาข่มขู่เอาพระมเหสีไป ให้พระถังกับสานุศิษย์ฟัง
เห้งเจียก็ขันอาสาไปปราบปีศาจ พระราชาจึงมอบสายประคำทอง เครื่องประดับคู่พระทัยของมเหสีให้แก่เห้งเจียไว้เป็นเครื่องหมาย เห้งเจียรับมาแล้วก็เหาะขึ้นอากาศไปจนถึงเขตถ้ำเก๊ยเฉียต๋อง ภูเขาขี้ลิ่นซัว แล้วแปลงกายเป็นสมุนปีศาจชื่อ "มีมาก็มีไป" ลักลอบเข้าไปในถ้ำ แล้วก็ได้ทราบว่าพระมเหสีถูกปีศาจกักตัวไว้ถึง ๓ ปี แต่ปีศาจมิสามารถแตะต้องตัวพระนางได้ เพราะในวันที่นางถูกลักพาตัวมา จี๋เอี๊ยงจีนหยิน เต้าหยินองค์หนึ่งได้เอาเสื้อหนามพุงดอ มาสวมกายพระนางไว้ ปีศาจจึงมิอาจลวนลามได้
เมื่อพบพระมเหสี เห้งเจียก็แสดงสายประคำทองให้พระนางเห็น แล้วขอให้พระนางแสร้งโอนอ่อนผ่อนตามปีศาจ เพื่อให้มันไว้ใจ ยอมมอบระฆังวิเศษ ๓ ใบซึ่งเป็นอาวุธที่น่ากลัวที่สุดให้กับพระนาง เมื่อริบอาวุธนี้ได้แล้ว การรบกับปีศาจก็จะง่ายเข้า
พระมเหสีได้ทำตามคำขอของเห้งเจีย จนปีศาจมอบระฆังวิเศษให้แล้ว นางก็มอบให้เห้งเจียซึ่งแปลงกายเป็นสาวใช้ปรนนิบัตินางอยู่ แต่ความที่เห้งเจียใจร้อนจึงแก้ห่อระฆังออก มันก็ระเบิดเป็นไฟและควันคลุ้งไปทั้งถ้ำ เสียงดังสนั่นหวั่นไหว
เมื่อปีศาจไซ้ทั้ยส่วยได้ยินเสียงนั้นก็ระดมให้สมุนปิดปากถ้ำ แล้วค้นหาศตรู ก็หาพบตัวเห้งเจียไม่ มันจึงไปทวงระฆังวิเศษจากพระมเหสี แล้วผูกไว้กับสะเอว ฝ่ายเห้งเจียก็แปลงเป็นตัวเล็น ไปกัดเนื้อที่เอวของปีศาจ ปีศาจก็เกาไม่หยุด จนต้องปลดระฆังออกส่งให้พระมเหสีช่วยเก็บไว้ตามเดิม เห้งเจียได้ระฆังวิเศษแล้วก็เนรมิตระฆังปลอม ๓ ใบขึ้นมาแทน มอบให้พระมเหสีเก็บไว้
ครั้นรุ่งเช้า เห้งเจียก็ชักตะบองออกขู่คำราม ท้าทายปีศาจให้ออกมาสู้รบกัน ไซ้ทั้ยส่วยก็คว้าระฆังจากพระมเหสีมาสู้รบกับเห้งเจีย เห้งเจียจึงชูระฆังจริงให้ดู ปีศาจก็ตกตะลึงหมดเรี่ยวแรงทันที ขณะที่เห้งเจียกำลังจะฆ่าปีศาจ กวนอิมก็เสด็จมาห้ามไว้ แล้วทรงบอกว่าปีศาจไซ้ทั้ยส่วยคือสิงห์พาหนะของพระองค์เอง หนีมาเป็นปีศาจเพื่อลงโทษพระราชากับพระมเหสีที่เคยพรากคู่นกผัวเมียมาก่อน
เมื่อพระกวนอิมจูงสิงห์ของพระองค์จากไปแล้ว เห้งเจียก็เอาไฟจุดเผาสมุนปีศาจเสียสิ้นแล้วทูลเชิญพระมเหสีกลับเมือง
ฝ่ายพระราชาก็ออกมารับพระมเหสี ด้วยพระทัยปีติโสมนัสยิ่ง ทรงทำสักการะใหญ่แก่เห้งเจีย อีกทูลเชิญพระถังซัมจั๋งขึ้นเสวยราชสมบัติแทนพระองค์ แต่พระถังปฏิเสธ ขอแต่หนังสือผ่านเมืองเท่านั้น ครั้นได้หนังสือผ่านเมืองแล้ว พระถังและศิษย์ก็ทูลลาพระราชา บ่ายหน้าทางทิศปราจีน มุ่งสู่ไซทีต่อไป.........
รูป : โรคกิเลสนี่แปลก พอระบุชื่อ รู้สมุฎฐานเท่านั้นก็อาการดีขึ้น
นาม : ใช่ซี พอรู้ว่าอ้ายนี่แหละคือกิเลสนั้น ๆ มันก็กลายเป็นปัญญา กลายเป็นแสงสว่างขึ้นมาทีเดียว
รูป : อย่างโมหะคือความมืดมนไม่รู้ ครั้นโมหะถูกกำหนดได้ว่า...อ้าว...นี่แหละโมหะล่ะ ความรู้คือแสงสว่าง เมื่อแสงสว่างเกิดความมืดก็หายไป
โหงว : นอกจากว่าแสงสว่างของความรู้นั้น มันจะกลับเป็นความมืดชนิดสีขาวขึ้นมาอีก
รูป : คือเป็นโมหะซ้อนโมหะ แล้วเป็นเหตุให้รู้สึกเหมือนรู้ เสียจนหลุดพ้นโง่ ๆ ไปงั้นเอง
นาม : เอาล่ะ โรควิหคพลัดคู่แกว่าคืออะไร ?
รูป : ชีวิตเพิ่งละลาภสักการะ ทางเหม็นมาหยก ๆ มันก็ต้องโรคชินที่จะอาลัยเหยื่อน่ะสิ
นาม : จริง ๆ คือว่า ไม่อาลัยลาภสักการะดอก แต่มันเคย "สวาปาม" เข้าไปสะสมของเน่า โสโครกไว้มาก
รูป : จึงต้องกินยาถ่าย รุของโสโครกออกเสียให้หมด
โหงว : ยานั้นคืออะไรเล่า...?
นาม : ปัญญาก็มาปรุงยา รักษาโรคติดของเน่าโสโครก สัจจะคือน้ำเต้า, ทมะ คือ เขม่าก้นหม้อ , ขันติคือ น้ำเยี่ยวม้าขาว จาคะคือสลอด
รูป : แกนี่ลากหาความเก่งชะมัด ไหนลองเฉลยอุปมาดูซิ
นาม :สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ คือ ธรรมะ เครื่องมือที่จะละโรคอาลัยกิเลส เป็นยาขนานเอกที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ อิงฺฆ อญฺเญปิ ปุจฺฉสฺสุ ปุถู สมณพฺราหฺมเณ ยทิ สจฺจา ทมา จาคา ขนฺตยา ภิยฺโยธ วิชฺชตีติ - เชิญท่านไปลองถาม สมณพราหมณ์อื่นดูบ้างว่า มีธรรมะหมวดไหนเลิศไปกว่า สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ ในโลกนี้ สัจจะคือ ตั้งสัจจะจริงจัง จริงใจ ซื่อตรง ปักใจตรงต่อสิ่งที่จะทำ คือจะละอาลัยในกิเลส ทมะ เมื่อตั้งสัจจะแล้ว ก็ต้องข่มใจให้ทำตามที่ตั้งสัจจะไว้ เพราะถ้าไม่ข่มมันจะเปลี่ยนอุดมการณ์ ขันติ เมื่อข่มจิตเข้ามันก็เจ็บปวด จะต้องทน อดทน ทนทาน ทรหด ไม่ยอมเปลี่ยนอุดมการณ์ที่ตั้งสัจจ์ไว้ จาคะ ทนมาก ๆ เดี๋ยวมันจะทนไม่ไหว เก็บกดมาก ๆ เดี๋ยวมันระเบิด ก็หาทางระบายสิ่งที่เป็นอุปสรรค คือละกิเลสเสีย ละสันดานเลวเสีย ละอาลัยเสีย จะได้ไม่ต้องทนมากนัก
รูป : จาคะคือถ่ายรุสันดานเลว สันดานกิเลสออกดุจกินสลอดซีนะ
นาม : ใช่ซี
รูป : ขันติก็คือวิริยะ(ม้าขาว)อุปมาด้วยน้ำมูตรม้าขาว ทีนี้ทมะทำไมเปรียบด้วยลูกน้ำเต้า ?
นาม : จนจริง ๆ
โหงว : ฉันก็จนใจจริง ๆ
รูป : ผมก็จนใจ โธ่ แต่งเองยังจน...
นาม : เอาล่ะ ทีนี้มาถึงยาที่ประกอบด้วยตัวยา ๔ อย่างนี้ ต้องมีน้ำกระสาย มิฉะนั้นกินไม่ลงใช่ไหมครับ ?
โหงว : ใช่ซี ยาขนานนี้แสนขม เพราะเป็นทั้งการข่มใจและละสันดาน ถ่ายรุกิเลสใครจะกล้ากินล้วน ๆ เล่า
รูป : น้ำกระสาย ๒ ชนิดช่วยให้กินลง
นาม : คือ ฉันทะ ปีติพอใจต่อการกระทำนั้นแหละ จะหล่อเลี้ยงให้กินยา ดุจน้ำกระสายช่วยให้กินยาได้ง่ายขึ้น
โหงว : น้ำกระสายชนิดแรก มี ๖ สิ่ง...?
นาม : จนใจจริง ๆ
รูป : เฮ้อ...ลากเข้าหาความก็ได้ละน้า...
นาม : จน
โหงว : ของไม่มี ของหาไม่ได้เพราะไม่มี
นาม : เอาความไม่มีไม่เป็นเข้าเป็นน้ำกระสาย เด็ดดวงไปเลย ทีนี้ น้ำไม่มีรากล่ะ ?
โหงว : น้ำไม่มีรากที่ต้องใช้เห้งเจีย โป้ยก่ายซัวเจ๋ง และพยาเล่งอ่องร่วมกันทำ คือปีติ ที่เกิดขากปัญญา ศีล สมาธิ และเจริญด้วยอิทธิบาทสี่ มีฉันทะเป็นต้น
รูป : ด้วยปัญญา ศีล สมาธิประกอบกับฉันทะ ทำให้มากจนน้ำไม่มีราก คือปีติหลั่งลงให้ความชุ่มชื่นแก่ชีวิต
โหงว : ปีติดุจฝน นี่คือน้ำกระสายยา เมื่อมีปีติหล่อเลี้ยง สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ ก็ทำงานของมันได้เต็มที่ ไม่มีเบื่อ ไม่ทนทรมาน ไม่เก็บกด
รูป : (หัวเราะ)พระราชาก็ถ่ายของโสโครกออกหมดพุง
นาม : โรคอาลัย "เหยื่อ" ก็สร่างซา
โหงว : ทีนี้ปัญญาก็อาสาไปปลดปล่อยพระมเหสี
รูป : ตอนนี้ผมว่าอาจารย์เลียนแบบรามเกียรติ์ เอ้า...
โหงว : ก็ใครว่าไม่ใช่เล่า
นาม : คือตอนไหน...?
รูป : ตอนหนุมานถวายแหวน แต่ของอาจารย์กลับเป็นเห้งเจียแสดงสายประคำทอง แล้วความร้อนที่กันไม่ให้ทศกัณฐ์เข้าใกล้นางสีดาในรามเกียรติ์นั้น ของอาจารย์กลับเป็นให้มเหสีสวมเสื้อหนามพุงดอไปฉิบ...!
(จบบทที่ ๓๓ โปรดติดตามตอนต่อไป...)
** คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๑๘๕ - ๑๙๒ )
|
Create Date : 09 กันยายน 2551 | | |
Last Update : 9 กันยายน 2551 9:18:09 น. |
Counter : 1387 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เดินทางไกลกับ"ไซอิ๋ว" (๓๕) บทที่ ๓๒ ทางเหม็นอุจจาระ
บทที่ ๓๒ ทางเหม็นอุจจาระ
อาจารย์และศิษย์รอนแรมไปทางทิศปราจีน สองข้างทางมีดอกไม้บานสะพรั่ง เดินทางมาอีกเดือนเศษ ตกเย็นวันหนึ่งก็มาถึงบ้านตาเฒ่าแซ่ลี้ ณ หมู่บ้านท้อล้อจึง เมื่อตาเฒ่าทราบความประสงค์ว่าจะไปไซที เพื่ออาราธนาพระไตรปิฏกมาเมืองจีนแล้ว ตาเฒ่าแซ่ลี้ก็ร้องห้ามว่า มาผิดทางเสียแล้วทาง ๆ นี้มิใช่ทางไปไซที เพราะว่าข้างหน้าจะเป็นทางเหม็นเหลือทน เนื่องจากลูกมะพลับจะสุกในฤดูฝน และหล่นลงมาทับถมกันจนเน่าเหม็นฟุ้งท่วมทางไม่อาจผ่านไปได้ ชาวบ้านทั่วไปเรียกทางนี้ว่า "ทางอุจจาระ"
พระถังและสานุศิษย์ได้ขอพักค้างแรมบ้านตาเฒ่าในคืนนั้น เฒ่าแซ่ลี้ได้เล่าถึงความเดือดร้อนของชาวบ้านแถบนั้นให้ฟัง ถึงภัยที่เกิดจากปีศาจโสโครกตนหนึ่ง ที่มารังควานชาวบ้านกินวัว กินควาย หมูเห็ดเป็ดไก่ จนประชาชนลำบากมาก มันมักมากลางคืนเพราะกลัวแสงสว่าง บรรดาหมอผีที่ชาวบ้านไปเชิญมาปราบ ทั้งที่เป็นฆราวาส และพระก็ถูกฆ่าตายหมดสิ้น เห้งเจียได้ยินดังนั้นก็ขันอาสาจะฆ่าปีศาจโสโครก จึงให้ตาเฒ่าหาผู้ใหญ่บ้าน ๘ คน มาเพื่อเป็นพยานในการปราบผี
พอตกดึกของคืนนั้น ปีศาจร้ายก็มา ในมือถือทวนเล่มใหญ่ มืดทะมึนสูงจดฟ้า เห้งเจียให้ซัวเจ๋งรักษาพระถัง ตัวเองกับโป้ยก่ายก็เหาะทะยานขึ้นไปรบกับปีศาจโสโครก ฝ่ายปีศาจเห็นดังนั้นก็ปล่อยกลิ่นเหม็นเหมือนอุจจาระออกมา เห้งเจีย โป้ยก่ายเอามืออุดจมูกเข้าสู้รบ จนปีศาจสู้ไม่ได้ก็กลายเป็นงูแสงอาทิตย์ตัวมหึมาตามกำเนิดเดิม หัวและหางคือทวนคู่มือนั่นเอง
เห้งเจียโป้ยก่ายก็ไล่จับงูนั้น งูเลื้อยหนีลงรู โป้ยก่ายจับหางไว้ได้แต่หลุดมือไป เห้งเจียตามลงไปในรูงูก็โผล่ขึ้นมาอีกทางหนึ่ง เอาหางฟาดโป้ยก่ายล้มลง เมื่อเห้งเจียวิ่งเข้าไปใกล้งูใหญ่นั้นก็กลืนเห้งเจียลงไปในท้อง เห้งเจียจึงใช้ตะบองวิเศษค้ำท้องงูให้งอตัวโค้งเป็นสะพาน โป้ยก่ายเห็นดังนั้นก็ร้องตะโกนบอกว่า ถึงเป็นสะพานก็ไม่มีใครกล้าเดิน เห้งเจียร้องออกมาจากท้องงูว่า จะทำให้งูเป็นเรือ แล้วใช้ตะบองกระทุ้งทะลุหลังงูเป็นเสากระโดง งูเจ็บปวดก็แล่นไปเหมือนเรือ ในที่สุดก็สิ้นชีวิต โป้ยก่ายจึงเอาคราดสับงูที่ตายแล้วซ้ำอีก เห้งเจียก็ท้วงว่าไม่มีประโยชน์ โป้ยก่ายสารภาพว่าตั้งแต่เกิดมาชอบตีแต่งูที่ตายแล้วเท่านั้น
สองสหายปราบปีศาจโสโครกเน่าเหม็นเสร็จแล้ว เห้งเจียก็นิมนต์พระถังออกเดินทาง ก่อนการตะลุยทางอุจจาระ เห้งเจียขอให้ชาวบ้านเลี้ยงอาหารโป้ยก่ายจนอิ่มแปร้ โป้ยก่ายจึงเต็มใจแปลงกายเป็นสุกรตัวมหึมา ใช้ปากคุ้ยทางเหม็นนำหน้าขบวนเดินทาง โป้ยก่ายคุ้ยผลมะพลับเน่าเบิกทางไปพักใหญ่ ทั้งคณะก็พ้นทางเหม็น ศิษย์และอาจารย์ก็ลงล้างเนื้อตัวให้หายกลิ่นอุจจาระ แล้วต่างมีความสดชื่นกระปรี้กระเปร่ายิ่งนัก สองข้างทางก็มีไม้ดอกบานสะพรั่ง
ทั้งคณะก็บ่ายหน้ามุ่งทิศปราจีนต่อไป..........
รูป : เหม็นเหลือทน เหม็นเหลือทน !
นาม : ฮึ ที่จริงนั้นหอมจนโดดเข้าตะครุบ
รูป : ตะครุบอุจจาระน่ะเรอะ?
นาม : ก็แกไม่รู้รึว่า "ทางเหม็น" หมายถึงอะไร ?
รูป : โธ่ ก็มะพลับมันหล่นลงในหน้าฝนแล้ว เน่าเหม็นเท่านั้นแหละน่า
นาม : ทางเหม็นหรือทางอุจจาระคือลาภสักการะ และเสียงสรรเสริญเยินยอ ที่เกิดขึ้นหลังจากผ่านวิปัสสนูปกิเลส
โหงว : ทำไมเป็นอย่างนั้นไปได้เล่า ?
นาม : วิปัสสนูปกิเลส ๑๐ นั่นแหละผลักดันให้พูด ๆ ๆ ผลักดันให้เคร่ง ๆ ๆ ผลักดันให้เฉย ๆ ๆ ชาวบ้านทายกทายิกาก็เลื่อมใส เล่าลือกันไป ลาภก็ไหลมาเทมา สักการะก็หนาแน่น
รูป : แล้วมันเกี่ยวอะไรกับอุจจาระ ?
นาม : เจ้าเซ่อ ทางอุจจาระที่ชาวบ้านเรียกนั้นคือ ลาภซึ่งจะได้มาบริโภคแล้วถ่ายออกมา ยิ่งลาภมากยิ่งถ่ายมาก...
รูป : แล้วทางเหม็น...?
นาม : ก็คือสักการะ เสียงสรรเสริญซึ่งปุถุชนประสงค์กันนัก เพราะคิดว่าเป็นทางหอม แต่บัณฑิตหรือผู้รู้ย่อมกล่าวว่ามันคือทางเหม็น
รูป : ทำไมจึงเป็นอย่างนั้นไปได้ ได้เสียงสรรเสริญชื่อออกหอมกรุ่น
นาม : ครั้นเสียงเยินยอถอยเล่า เสียงนินทาก็เหม็นฟุ้งขึ้นมาซี...
โหงว : นอกจากเหม็นเพราะเสื่อมลาภเสื่อมยศแล้ว ยังเหม็นเพราะจิตของผู้ปฏิบัติจะต่ำทรามลงด้วยซี
รูป : ถ้าอย่างนั้นต้องหลบให้พ้นทางอุจจาระเหม็นฟุ้งนี้ให้รู้แล้วรู้รอด
นาม : หลบไปไหน ? หลบอย่างไร ?
รูป : ไม่ทำอะไรเลย อยู่เฉย ๆ ไม่สอนใคร
นาม : ยิ่งสงบเฉย เขายิ่งนับถือ หนักเข้าก็กองอุจจาระเต็มกุฏิเหม็นอีก
รูป : งั้นก็เลิกปฏิบัติธรรมเสียให้สิ้นเรื่อง
นาม : แกก็ยิ่งเหม็นเน่าเฟะยิ่งกว่านั้นอีก จำเป็นต้องลุยผ่านทางอุจจาระนี้
รูป : ตาเฒ่าแซ่ลี้บอกว่ามิใช่ทางไปนิพพานนี่
นาม : เห้งเจียหัวเราะชอบใจ ขันอาสาปราบปีศาจมิใช่หรือ ปัญญามันกล้า
รูป : งั้นจะทำอย่างไรดี.................จึงพ้นที่ทางเน่าน่ะ ทางเหม็นอุจจาระ.................ท่านพระถังทำยังไง?
นาม : ปัญญาอาสาปราบ................กำราบผีอย่าสงสัย ผีเขมือบหมูเป็ดไก่.................อีกวัวควายของชาวเมือง
รูป : อาจารย์ผีโล้นเหลือบ..............เขมือบหมูแสนหมดเปลือง คืออะไรในท้องเรื่อง................เฉลยไม่ตกนรกจะกิน
โหงว : พระสงฆ์องค์พ่ายรส...............หมูหมดคอกเพราะแพ้ลิ้น ไม่พิจารณาเป็นอาจินต์............เป็นผีอาจมต้มชาวเมือง
นาม : โอย...คบอาจารย์คร้านลงนรก
รูป : แต่งโกหกได้ปราดเปรื่อง
โหงว : ปล่อยข้าว่าตามเรื่อง...............ผีเขมือบหมูอยู่เป็นนิตย์
รูป : ปัญญาและศีลช่วยกันปราบผีกินหมูเป็ดไก่ก็เข้าใจแล้ว แต่ชาติกำเนิดของมันเป็นงูแสงอาทิตย์เลื้อยลงรู โป้ยก่ายจับหางกลับถูกฟาดเสียล้มคะมำ แล้วยังกลืนเห้งเจียเสียอีก นี่ผมยังงง ?
นาม : อย่าคิดมากเลยน่า กิเลสในลาภสักการะนั้นลำพังศีลเอาไม่อยู่ดอก มันฟาดศีลเสียคว่ำไปเลย ก็อุตริไปจับงูข้างหางนี่
รูป : อ้าว แม้ปัญญาก็ถูกกลืนลงท้อง ก็จบกัน...?
โหงว : แต่พอกลืนถึงท้อง.............ชักตะบองกายสิทธิ์ ปัญญาแรงสำแดงฤทธิ์.......แปลงงูพิษเป็นสะพาน
รูป : โธ่...ผมเข้าใจแล้วครับ คือว่าใช้ปัญญาทำลาภสักการะให้เป็นเครื่องมือเสีย แทนที่จะเป็นของเหม็น แปลงงูเป็นสะพานหรือเรือไปเลย ด้วยตะบองวิเศษ ให้ลาภและสักการะเสียงสรรเสริญเยินยอกลับเป็นเครื่องมือในการทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นได้กว้างขวางยิ่งขึ้น
นาม : ศีลร้องโวย ใครจะกล้า.........ลื่นหนักหนาลาภสักการ เล่นกับมันพลันฟุ้งซ่าน.........สะพานงูดูหวาดเสียว
รูป : ปัญญาจับบังคับงู................ให้อยู่ใต้ฝ่าเท้าเทียว ใจสูงไม่ยุ่งเกี่ยว....................เจ้างูร้ายก็ตายพลัน
นาม : โป้ยก่ายเป็นหมูยักษ์
รูป : คุ้ยขี้ตักดุจจักรผัน
โหงว : คือศีลที่วิสุทธิ์อัน....................พระอริย์นิยมชม
นาม : บริสุทธิ์ผุดผ่องใจ....................ไม่เมาลาภเมาอาจม
โหงว : ผ่านเรื่องอุจจาระจะรื่นรมย์.......ชีพสะพรั่งดั่งไม้บาน
(จบบทที่ ๓๒ โปรดติดตามตอนต่อไป...)
** คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๑๗๘ - ๑๘๔ )
|
Create Date : 06 กันยายน 2551 | | |
Last Update : 6 กันยายน 2551 9:03:58 น. |
Counter : 1315 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เดินทางไกลกับ"ไซอิ๋ว" (๓๔) บทที่ ๓๐ วิปัสสนูปกิเลส "เราบรรลุอรหัตตผลแล้ว"
บทที่ ๓๐ วิปัสสนูปกิเลส "เราบรรลุอรหัตตผลแล้ว"
ศิษย์และอาจารย์ดั้นด้นออกพ้นพงหนาม แล้วรอนแรมมาถึงภูเขายอดสูงเทียมเมฆ มีอารามชื่อว่าเซี้ยวลุ่ยอิมยี่ ตำบลเซี้ยวไซที อันเป็นอารามที่ปีศาจอึ้งไบ๋เล่าฮุดเนรมิตขึ้นแล้วจำแลงตนเป็นพระยูไลนั่งรอพระถังอยู่
เมื่อคณะเดินทางเห็นป้ายอาราม พระถังก็ปักใจเชื่อว่าได้บรรลุถึงอารามลุ่ยอิมยี่ เขตไซที อันเป็นที่พำนักของพระยูไลแล้ว แต่เห้งเจียนั้นปัญญาไว เห็นคำว่า"เซี้ยว"อยู่ด้วย จึงได้เตือนให้พระถังระวังตน เกรงว่าจะเป็นปีศาจแปลงตนเป็นพระพุทธเจ้า
ฝ่ายพระถังหาเชื่อคำของเห้งเจียไม่ ปีศาจอึ้งไบ๋จึงจับไว้ได้ทั้งคณะ เห้งเจียนั้นถูกฉาบทอง อาวุธวิเศษของปีศาจรวบติดอยู่ ไม่สามารถออกมาได้ จนเทพารักษ์ได้ช่วยให้หลุดออกจากฉาบ แต่ก็กลับถูกปีศาจอึ้งไบ๋ขว้างด้วยอาวุธวิเศษอีกอันหนึ่งคือไถ้ล้อมฟ้ารวบมัดไว้สิ้น
เห้งเจียหนีออกมาได้ เที่ยวไปตามใคร ๆ มารบปีศาจก็ไม่มีใครเอาชนะอาวุธวิเศษคือไถ้ล้อมฟ้านั้นได้ เห้งเจียสิ้นคิดก็นั่งร้องไห้อยู่คนเดียว กล่าวฝ่ายพระศรีอาริยเมตไตรยเสด็จออกตามหาพนักงานตีระฆังที่จำแลงมาเป็นปีศาจอึ้งไบ๋เล่าฮุดอยู่ มาพบเห้งเจียเข้าจึงทราบความ พระศรีอาริย์ก็เอาน้ำลายกายสิทธิ์เขียนมนต์ลงบนฝ่ามือเห้งเจีย เพื่อให้ไปรบกับปีศาจ
เห้งเจียก็ไปร้องท้าอึ้งไบ๋ที่หน้าอาราม หลังจากเข้าสู้รบกันแล้วปีศาจก็ถูกฝ่ามือมนต์ของเห้งเจียที่ศีรษะถึงแก่งงงวย เห้งเจียก็รบล่อปีศาจไปที่ไร่แตงโม ตามที่นัดหมายกับพระศรีอาริย์ไว้ ฝ่ายพระศรีอาริย์ก็แปลงเป็นตาเฒ่าเจ้าของไร่ เห้งเจียปลอมเป็นผลแตงโม ปีศาจอึ้งไบ๋เสียกลขอกินแตงโมจากตาเฒ่าเพราะกระหายน้ำ พอแตงโมลงถึงท้อง เห้งเจียก็เริ่มบีบ หยิก ตบ ตี บิดเครื่องในของปีศาจจนมันยอมแพ้ยอมคืนไถ้ล้อมฟ้าให้แก่พระศรีอาริย์ เห้งเจียจึงออกจากท้อง แล้วเข้าไปช่วยพระถังออกจากที่ขังในอาราม แล้วจุดไฟเผาปีศาจเล็ก ๆ น้อย ๆ เสียสิ้น
คณะไปไซทีเป็นอิสระแล้ว ก็ออกเดินทางจากอารามเซี้ยวลุยอิมยี่มุ่งทิศปราจีนต่อไป...
รูป : (หัวเราะ) เจ้าปีศาจอึ้งไบ๋นี่สำคัญ ปลอมเป็นพระพุทธเจ้ามานั่งรอพระถังอยู่ได้
นาม : วิปัสสนูปกิเลสว่า "กูบรรลุอรหัตตผลแล้ว"
รูป : พระพุทธเจ้าเก๊นี่คงนั่งยิ้ม ร้องทักพระถังว่า "ถังซัมจั๋ง ทำไมมาช้านักเล่า เรารออยู่เชียว "
นาม : สำคัญ ๆ อาจารย์ช่างอุปมาแท้ ที่ให้อาวุธวิเศษของปีศาจมีทั้งฉาบทองและไถ้ล้อมฟ้า
รูป : ฉาบทองคืออะไร ? ไถ้ล้อมฟ้าคืออะไร?
นาม : ? ? ?...
โหงว : ตราบใดที่ยังรู้สึกว่า "กูบรรลุอรหัตตผลแล้ว" นั้นหาใช่พุทธะไม่ เป็นเพียงปีศาจคนตีฉาบ ตีระฆังที่หน้าแท่นบูชาพระศรีอาริย์เท่านั้น
รูป : อุปมาไม่เห็นเข้าท่า แล้วไถ้ล้อมฟ้าล่ะ ?
นาม : อาจารย์ครับ ไถ้ล้อมฟ้านี้คือพรหมชาลใช่ไหมครับ ?
โหงว : ฮื่อ ตาข่ายดักติดถึงชั้นพรหมทีเดียวล่ะเธอ
รูป : ทำไมให้พระศรีอาริย์มาปราบก็ไม่รู้แล้ว ให้กินแตงโมเสียด้วย...?
นาม : โธ่...ง่ายออก เมื่อเกิดวิปัสสนูปกิเลสแล้ว ให้ทำตามในบทก่อน แต่มีเคล็ดว่าให้ตั้งใจไว้ล่วงหน้าด้วยว่า อะไรเกิดขึ้นนั้นยังไม่ใช่ ไม่ใช่ ต้องรอก่อน รอก่อน...
รูป : อ้อ...นี่เอง คือศรีอาริยเมตไตรยจะมาให้รอก่อน รอก่อน ขืนว่าใช่แล้วก็เป็นอันเจอปีศาจแปลงมา อ้าว...แล้วแตงโมล่ะ ?
นาม : ไม่ใช่แตงโม แต่เป็นแตงเห้งเจียต่างหาก
โหงว : ใช้ปัญญาหาเงื่อนงำ...............เข้าขยำย่ำพุงผี บีบท้องถองลิ้นปี่....................ปีศาจพ่ายฟายน้ำตา
รูป : เล่าต่อเถิดอาจารย์
โหงว : ถึงทางผ่านเหม็นนักหนา.......... ลุยอุจจาระคละคลุ้งฟ้า............อุดจมูกไว้ให้ดีดี
รูป : ..??
นาม : ...??
(จบบทที่ ๓๑ โปรดติดตามตอนต่อไป...)
** คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๑๗๔ - ๑๗๗ )
|
Create Date : 04 กันยายน 2551 | | |
Last Update : 4 กันยายน 2551 9:20:45 น. |
Counter : 1542 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|