'หัวใจ๋ข้า หัวใจ๋เจ้า ห้อยอยู่เก๊าเดียวกั๋น' *
*คลิกเพื่ออ่านคำแปลเจ้า :)

เดินทางไกลกับ"ไซอิ๋ว" (๓๓) บทที่ ๓๐ วิปัสสนูปกิเลส ๑๐ ดุจพงหนาม



บทที่ ๓๐
วิปัสสนูปกิเลส ๑๐ ดุจพงหนาม


พระถังและศิษย์ออกเดินทางจากเมืองเจ่จั้ยก๊กแล้ว ก็บ่ายหน้าสู่ทิศปราจีน บรรลุถึง "ทางที่ไม่มีคนเดินเสียนานแล้ว จึงได้เกิดเป็นพงหนามยาวตั้ง ๘๐๐ โยชน์" โป้ยก่ายจึงเนรมิตกายให้ใหญ่แล้วใช้คราดวิเศษ คราดพงหนามนำหน้าคณะไปจนเวลาจวนค่ำก้หาพ้นจากพงหนามได้ไม่

ทั้งหมดได้พบศาลเจ้า มีปีศาจตาเฒ่ากับปีศาจหน้าเขียวออกมาร้องเชิญให้พระถังเข้าไปกินขนมแก้หิว เห้งเจียพิจารณาดุก็รู้ว่าเป็นปีศาจจึงชักตะบองออกจากหูเงื้อจะตี ปีศาจทั้งสองก็บันดาลให้เป็นสายลมพัดหอบพระถังซัมจั๋งหายไป ศิษย์ทั้งสามเที่ยวตามหาโกลาหลก็ไม่พบ

ปีศาจตาเฒ่าชื่อจับโป้ยกง หอบพระถังมาได้แล้วก็เรียกปีศาจน้องชายอีก ๓ คน คือตาเฒ่าโกเต็กกง ตาเฒ่าลินกงจื๊อ และตาเฒ่าฮุดหุ้นโซ้ ให้มาฟังพระถังเทศนา ปีศาจเฒ่าทั้งสี่นั้นเป็นปีศาจที่ใคร่ในการฟังธรรมยิ่งนัก เวลานั้นเดือนหงายกระจ่างฟ้า พระถังให้มีใจเคลิบเคลิ้มและยินดีต่อการแสดงธรรม จึงได้เทศน์เสียไพเราะลึกซึ้งเป็นอัศจรรย์ ปีศาจทั้งสี่สรรเสริญไม่หยุดปาก แล้วชวนพระถังต่อกลอนโต้กันไปมา เป็นที่เพลิดเพลิน

ยังมีปีศาจอีกตนหนึ่งชื่อนางเซียนหนึง เห็นพระถังแล้วให้มีใจรักใคร่กำหนัด ครั้นเห็นพระถังเคลิบเคลิ้มก็เข้าเกี้ยวพาราสีด้วยโคลงกลอนอันไพเราะกลางแสงเดือน ฝ่ายพระถังเมื่อรู้สึกตัวว่าถูกผู้หญิงเกี้ยวก็โกรธ ร้องตวาดไล่แล้วตัวเองก็วิ่งหนี พวกปีศาจเฒ่าทั้ง ๔ พร้อมทั้งสาวใช้ ๒ คนของนางเซียนหนึงก็วิ่งไล่จับ ล้อมสกัดไว้ทุกทิศ พระถังเลยจนมุมอยู่ตรงกลาง

ขณะนั้นเองพระถังก็ได้ยินเสียงเรียกของเห้งเจีย เพราะเสียงตวาดไล่นางเซียนหนึงของพระถังทำให้เห้งเจียจำได้จึงขานรับ

ครั้นแล้วปีศาจทั้ง ๘ ก็อันตรธานหายไปด้วยเสียงของเห้งเจีย เห้งเจียเห็นแต่พระถังนั่งอยู่ที่เพิงหินมีต้นไม้ใหญ่ครึ้มแผ่คลุมอยู่ จึงได้กำหนดรู้ว่าเป็นปีศาจต้นไม้ทั้ง ๘ นั่นเองที่มาจับพระถังไว้

ตาเฒ่าจับโป้ยกงคือปีศาจต้นสน
ตาเฒ่าโกเต็กกงคือปีศาจต้นเป็ก
ตาเฒ่าลินกงจื๊อ คือปีศาจต้นไทร
ตาเฒ่าฮุดหุ้นโซ้คือปีศาจต้นไผ่
ปีศาจหน้าเขียวคือต้นเคี่ยม
นางเซียนหนึงคือปีศาจต้นตะเคียน
สาวใช้ทั้ง ๒ คือปีศาจต้นสารภีและอบเชย


ฝ่ายโป้ยก่ายเมื่อรู้ตามที่เห้งเจียบอกแล้ว ก็เอาคราดวิเศษ ๙ ซี่ล้มต้นไม้ ก็มีโลหิตไหลออกมา โป้ยก่ายก็ถอนรากถอนโคนเสียตายสิ้น






รูป : สำคัญ ๆ ปีศาจชอบฟังธรรม กิเลสในธรรมะแน่ ๆ

นาม : วิปัสสนูปกิเลส ๑๐ ประการน่ะซี

รูป : ก็ปีศาจมี ๘ ตัวเท่านั้นนี่...?

นาม : สิบ ลองไล่ภูมิดูก่อน มีหลักว่าหลังจากพระโยคาวจรหรือผู้ปฏิบัติธรรมเฝ้าสังเกตด้านในจนเกิดอุทยัพพยญาณ - ญาณเห็นการเกิดดับของสังขารธรรมแล้ว จะเกิดสิ่งที่เรียกว่าอุปกิเลสในวิปัสสนานั้น ๆ อันเป็นเหตุให้สำคัญตนนั่นนี่ให้วุ่นไป

รูป : สิบประการอะไรบ้าง ว่ามา...?

นาม : ๑. โอภาส คือแสงสว่าง จนสำคัญตนว่าได้ของวิเศษ
๒. ญาณ คือความรู้แจ่มแจ้งในธรรมสโมธาน จนเป็นเหตุให้สำคัญตนว่าบรรลุอรหัตตผล
๓. ปัคคาหะ มีความเพียรที่มากจนเกินพอดี กลายเป็นมิจฉาวายามะ
๔. ปัสสัทธิ ความสงบรำงับเกิดขึ้นชนิดไม่เคยมีมาก่อนจนทำให้ยึดมั่นถือมั่นว่าได้ของวิเศษ
๕. ปีติ
๖. สุขะ
๗. อุเบกขา
๘. สติแน่วแน่
๙. อธิโมกข์ (ศรัทธากล้า)
๑๐. นิกันติ (ตัณหา - อาลัย) ไม่อยากเลื่อนไปที่อื่น
ทั้งหมดนี้จะเป็นที่ตั้งแห่งความสำคัญตนว่า "เราได้บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์แล้ว" ซึ่งที่แท้เป็นอุปกิเลสของวิปัสสนาเท่านั้น

รูป : ถ้าอย่างนั้นก็อย่าปฏิบัติธรรมดีกว่า เกิดกิเลสเปล่า ๆ

นาม : เจ้าเซ่อ....อุปกิเลสในวิปัสสนานี่แหละจะเป็นทาง

รูป : เป็นไปได้อย่างไร ?

นาม : อุปเกลเส อนิจจาทิวสเต โสทยัพพเย ปัสสโต วีถิโนกกันต ทัสสนัง วุจจเต ปโถ. แปลว่า ความเห็นอันไม่พลาดไปจากวิถีแห่งวิปัสสนาของพระโยคาวจร ผู้เห็นอยู่ซึ่งอุปกิเลสว่า ยังอยู่ในอำนาจของอนิจจัง เป็นต้น คือยังมีการเกิด - ดับ พระผู้มีพระภาคทรงตรัสว่า (นั่น)เป็นทาง(มรรค)

รูป : อธิบายหน่อยพ่อนักอภิธรรม

นาม : คือว่า การกำหนดรู้ว่า วิปัสสนูปกิเลสนั้นยังอยู่ในวิสัยของอนิจจังคือเปลี่ยนได้อีก นั่นแหละจะเป็นมรรคขึ้นมา

รูป : ถึงอุทยัพพยญาณแล้วเกิดวิปัสสนูปกิเลส อันเป็นเหตุให้เผลอยึดมั่นว่าได้บรรลุแล้ว ครั้นสังเกตว่ามันแปรเปลี่ยน นั่นแลเป็นทาง

นาม : ใช่

รูป : เดี๋ยวก่อนพ่อ ปีศาจมี ๘ ตนเท่านั้น อาจารย์คงเผลอ หรือฟั่นเฟือนลืมเสีย ๒ ตน

โหงว : เปล่านะ นับให้ดี ครบทั้งสิบ

นาม : เอ้า...ลองนับดู

ตาเฒ่าจับโป้ยกง ปีศาจต้นสน คือสุขะ
ตาเฒ่าโกเต็กกง - ปีศาจต้นเป็ก คืออุตสาหะ(วิริยะ)
ตาเฒ่าลินกงจื้อ - ปีศาจต้นไทร คือปัสสัทธิ (ความสงบรำงับ)
ตาเฒ่าฮุดหุ้นโซ้ - ปีศาจต้นไผ่ คืออุเบกขา
นางเซียนหนึง - ปีศาจต้นตะเคียน คือปีติ
สาวใช้ - ปีศาจต้นสารภี คือ สติ
สาวใช้ - ปีศาจต้นอบเชย คืออธิโมกข์ (ศรัทธากล้า)
ปีศาจหน้าเขียว - ต้นเคี่ยม คือนิกันติ (ตัณหา - อาลัย)


เอ๋...แล้วโอภาสกับญาณคือปีศาจอะไรฮึ ?

รูป : ก็ช่วยเติมให้อาจารย์หน่อยก้ได้ ต้นหญ้าต้นบอนต้นแสงอาทิตย์คือโอภาส ต้นทุเรียนคือญาณ...

โหงว : คิดให้ดี

นาม : พุทโธ่เอ๋ย...โอภาสก็คือแสงเดือนคืนเดือนหงายนั่นเอง

รูป : ถ้าอย่างนั้น ญาณก็คือความเคลิบเคลิ้มของพระถัง ที่เทศน์เสียอย่างน่าอัศจรรย์ แคล่วคล่องดุจบรรลุพระอรหัตตผลแล้วนั่นเอง

โหงว:
ทางรกหนักหนา..........เพราะว่าขาดผู้
ใจเพชรรอบรู้..............มุ่งสู่มรรคผล


นาม :
จึงเกิดพงรก...............พาวกอลวน
หลงสำคัญตน............ว่าเป็นอรหันต์


รูป :
(เออ...ก็)ทั้งสุขทั้งสงบ....แจ้งจบธรรมขันธ์
ศรัทธากล้าครัน...........มั่นทางวางเฉย


โหงว :
สำคัญตนแปร้............ว่าแน่แล้วเหวย
หลุดพ้นสะเบย...........ใครเคยเท่ากู !

รูป : เอ...อาจารย์ครับ แล้วที่พระถังร้องตวาดนางเซียนหนึงจนเห้งเจียตามมาทันนั่น หมายความว่าอย่างไรครับ ?

โหงว :
ครั้นปัญญาพินิจ......เห็นเป็นอนิจจ์อยู่
โยคีเพ่งดู............หยั่งรู้ความจริง


นาม : นั่นแลคือมรรค

รูป : พอ...ข้าจักฟังยิ่ง

โหงว : ต่อนี้ผีสิงห์...............อึ้งไบ๋เล่าฮุด

รูป : เล่าต่อ เล่าต่อ .....ขอฟังอย่าหยุด

โหงว : ผีเป็นพระพุทธ.......

รูป + นาม : โอ๊ย....เดี๋ยวได้รุดลงนรก!


(จบบทที่ ๓๐ โปรดติดตามตอนต่อไป...)






** คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๑๖๗ - ๑๗๓ )







 

Create Date : 31 สิงหาคม 2551    
Last Update : 31 สิงหาคม 2551 8:55:06 น.
Counter : 1421 Pageviews.  

เดินทางไกลกับ"ไซอิ๋ว" (๓๒) บทที่ ๒๙ ชำระมลทิน ๙ แล้ว "เจดีย์ใจ" จะสว่างรุ่งเรือง



บทที่ ๒๙
ชำระมลทิน ๙ แล้ว "เจดีย์ใจ" จะสว่างรุ่งเรือง


พระถังและศิษย์พ้นจากเขตไฟท่วมแผ่นดินไปได้ ก็มีความร่าเริงผาสุกยิ่งนัก ไม่นานนักก็ลุถึงเมืองใหญ่ชื่อเจ่จั๊ยก๊ก เข้าพักค้างที่พระอารามหลวงกิมกวางยี่ ในบริเวณวัดนั้นมีเจดีย์สูงบรรจุพระสารีริกธาตุ ซึ่งเป็นของวิเศษอันเป็นเหตุให้เจดีย์ส่องสว่างโชติช่วง

ครั้นก่อนหน้าที่พระถังจะมาถึง พระเจดีย์กลับมีมลทินมัวหมอง ไปด้วยน้ำฝนที่ตกลงมาเป็นน้ำเลือด ทั้งนี้จากการบันดาลของพญาเล่งอ๋องบ้วนเซี้ย ผู้เป็นสหายของปีศาจงู้หม้ออ๋อง สมคบกันกับบุตรเขยชื่อเก๊าเท้า ปีศาจหนอน ๙ หัว ทั้งพ่อตาและลูกเขยช่วยกันทำเหตุ แล้วขโมยพระธาตุวิเศษเอาลงไปบาดาล ฝ่ายนางบ้วนเซี้ยกงจู๊ ภรรยาของเก๊าเท้าก็ขึ้นไปบนสวรรค์แอบขโมยหญ้าเล่งกี่เช้า ๙ ยอด อันเป็นยาวิเศษของอ๋องโป๊เนียเนี๊ย เทวีแห่งสวรรค์ลงมาปลูกที่บาดาล

พระราชาเมืองเจ่จั๊ยก๊กพิโรธจัด เข้าพระทัยว่าพระภิกษุในวัดแกล้งทำเล่ห์ขโมยพระธาตุเสียเอง อันเป็นเหตุให้หัวเมืองน้อยใหญ่ไม่ส่งบรรณาการให้ จึงจับพระสงฆ์ตรึงตรวนไว้หมดทุกองค์

ฝ่ายเห้งเจียเมื่อทราบความทุกข์ยากของพระสงฆ์ในวัดก็อาสาช่วย คืนหนึ่งเห้งเจียก็จับปีศาจสมุนของพญาเล่งอ๋องที่ลอบมาคุยกันบนเจดีย์ แล้วบังคับให้ชี้บอกที่อยู่ของพญาเล่งอ๋อง คือที่ภูเขาล้วนเจี๊ยซัว บึงเพ็กปอท้ำ

เห้งเจียก็ชวนโป้ยก่ายไปยังบึงที่อยู่ของเล่งอ๋อง แล้วร้องท้าทายกันขึ้น ปีศาจหนอน ๙ หัวเก๊าเท้าก็ขึ้นมาสู้รบด้วย โป้ยก่ายพลาดท่าถูกจับตัวลงบาดาลไป เห้งเจียก็แหวกน้ำลงไปแก้ไขขึ้นมาได้

แล้วเห้งเจียก็บอกให้โป้ยก่ายลงไปรบล่อให้เล่งอ๋องบ้วนเซี้ยขึ้นมาบนบก พอได้โอกาสเห้งเจียก็ใช้ตะบองทุบหัวเสียแหลกเหลว ส่วนปีศาจบุตรเขยนั้นกบดานอยู่ใต้น้ำไม่ยอมขึ้น
เห้งเจียโป้ยก่ายไม่รู้จะทำประการใด ได้แต่หนักใจกันทั้งสองคน

ในขณะนั้น ยี่หนึงจินกุนกับพี่น้อง ๖ คน กลับจากล่าสัตว์ผ่านมาพบเห้งเจียกับโป้ยก่ายเข้า เห้งเจียให้รู้สึกละอายแก่ยี่หนึงจินกุน เพราะตนเคยพ่ายแพ้ฤทธิ์สมัยเมื่อยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ แต่แม้กระนั้นเมื่อถึงคราวลำบากเช่นนี้เห้งเจียก็จำต้องขอร้องให้ยี่หนึงจินกุนช่วยร่วมปราบปีศาจหนอน ๙ หัวด้วย

เมื่อยี่หนึงรับคำแล้ว เห้งเจียให้โป้ยก่ายลงไปรบล่อเก๊าเท้าขึ้นบก ครั้นแล้วยี่หนึงก็ลั่นธนู สุนัขของยี่หนึงก็กระโดดกัดถูกศีรษะของปีศาจหนอน ปีศาจสะบัดหลุดหนีสาบสูญไป

ฝ่ายเห้งเจียเห็นเช่นนั้นก็แปลงกายเป็นปีศาจเก๊าเท้า ลงไปหานางกงจู๊ภรรยาของเก๊าเท้า หลอกล่อเอาพระธาตุวิเศษได้ โป้ยก่ายก็ตามลงไปเอาคราด ๙ ซี่ สับนางกงจู๊เมียปีศาจหนอน ๙ หัวตาย ส่วนมารดาของนางนั้นเห้งเจียพาขึ้นมาให้การต่อพระพักตร์พระราชาเจ่จั้ยก๊ก เพื่อให้ปลดปล่อยพระสงฆ์ที่ถูกจำตรวนอยู่อย่างไร้ความผิด

นางเล่งอ๋องเปิดเผยความลับว่า ของวิเศษทั้ง ๒ คือ พระธาตุวิเศษกับหญ้า ๙ ยอดนั้น หากอยู่ด้วยกันเมื่อใดจะไม่มีอะไรทำอันตรายได้ และโดยเฉพาะหญ้าวิเศษ ๙ ยอดนั้น หากกวาดลงทีหนึ่ง ที่นั่นจะมีรัศมีช่วงโชติ

เห้งเจียทราบคุณวิเศษเช่นนั้นแล้ว ก็ทูลขอไถ่โทษต่อพระราชา ให้นางเล่งอ๋องเป็นผู้เฝ้าพระเจดีย์ ฝ่ายพระราชาเมื่อได้ของวิเศษคืนมาก็ให้ปล่อยพระสงฆ์ในวัด แล้วพร้อมด้วยขุนนางทำพิธีบรรจุพระธาตุวิเศษของพระพุทธเจ้าเข้าไว้ชั้นสูงสุดของเจดีย์

แล้วเห้งเจียก็เอาหญ้า ๙ ยอดวิเศษนั้นต่างไม้กวาด กวาดพระเจดีย์ตั้งแต่ชั้นล่าง จนถึงชั้นยอดสุด พระเจดีย์ก็หมดมลทินจากน้ำเลือด เกิดรัศมีโชติช่วงปรากฏแก่สายตาประชาชน
เมืองขึ้นต่าง ๆ ของเมืองเจ่จั้ยก๊ก ก็ส่งบรรณาการมาให้ตามเดิม

ฝ่ายพระถังจึงยื่นหนังสือขอผ่านเมืองกับพระราชา พระราชาประทับตราแล้วก็ส่งคืนให้ อาจารย์และศิษย์ก็เตรียมออกเดินทางต่อ พวกพระสงฆ์รักใคร่พระถังก็ขอติดตามไปด้วย พระถังห้ามก็มิฟัง จนเห้งเจียต้องแปลงกายเป็นเสือโคร่งขวางหน้าไว้ พระสงฆ์จึงยอมกลับอาราม

อาจารย์และศิษย์ก็มุ่งหน้ายังไซทีต่อไป...



Photobucket




รูป :โอย...ขนาดฟังเล่ายังเหนื่อยแทบตาย เมื่อไหร่จะถึงไซทีเสียทีล่ะ

นาม : ตอนนี้มืดมนจริง ๆ ครับอาจารย์

โหงว :ค่อย ๆ คิดไป เอาละ ล่อให้ว่างู้หม้ออ๋องคืออุทเฉททิฏฐิ บ้วนเซี้ยเป็นสหายสนิท ชอบไปมาหาสู่ซึ่งกันและกัน

รูป :บ้วนเซี้ยเล่งอ๋อง อยู่ใต้บาดาลที่เชิญงู้หม้ออ๋องไปกินเลี้ยงขณะที่กำลังรบกับเห้งเจียใช่ไหมครับ

โหงว :ใช่แล้ว

นาม : พุทโธ่ ! ...เจ้าเล่งอ๋องบ้วนเซี่ยที่แท้คืออกิริยทิฏฐิ - ความเห็นว่าการกระทำไม่เป็นการกระทำ ทำดีก็หาใช่ดีไม่ ฯลฯ ความเพียรไร้ผล ไม่ต้องปฏิบัติอะไร ไม่ต้องละกิเลสอะไร...

โหงว :นี่ไงคือสหายของอุทเฉททิฏฐิ เห็นว่าบุญทานนั้นไม่เป็นผล ขาดสูญ คล้ายกันมาก

นาม : นางเล่งอ๋องภรรยาก็คือภวตัณหาน่ะซี

โหงว :พอไปได้

นาม : ลูกสาวนางบ้วนเซี้ยกงจู๊ ก็คือนันทิราคะ ลูกของภวตัณหานั่นเอง

รูป :เจ้าเก๊าเท้าฮู่เบ๊ปีศาจหนอน ๙ หัว บุตรเขยล่ะ ?

นาม : มละ ๙ คือมลทิน ๙ : โกรธ ลบหลูคุณท่าน ริษยา ตระหนี่ มายา มักอวด พูดปด ปรารถนาลามก และมีความเห็นผิด

รูป :อ้าว...ยังงั้นอ้ายหนอน ๙ หัวตัวดีนี่เอง ที่ร่วมมือกับพ่อตาบันดาลให้พระเจดีย์รุ่งเรืองกลับมีมลทินด้วยน้ำเลือด

นาม : คือ อกิริยทิฏฐิ พ่อตา กับมละ ๙ ลูกเขยนี่เอง ที่ทำให้เจดีย์เปื้อน แล้วแอบขโมยพระธาตุลงบาดาลไปเสีย

โหงว :เจดีย์คืออะไรรึเธอ ?

รูป :อะไรน๊อ...? เคยส่องสว่างช่วงโชติ เพราะมีพระธาตุแล้วกลับเปื้อนมลทิน

นาม : เจดีย์คือใจ ที่มีแก่นพุทธภาวะ คือพระธาตุวิเศษอยู่เองแล้ว จึงประภัสสรโชติช่วงอยู่

รูป :จริงด้วยซี ตอนเริ่มต้นพระถังอธิษฐานว่าจะขอกราบพระเจดีย์ทุกชั้นตลอดทางแกจำได้ไหม ก็คือการชำระมลทินให้ใจประภัสสรอยู่เรื่อยไป

นาม : ฮื่อ แสงประภัสสรนั้นประชาชนเห็นได้แต่ไกล

รูป :ประชาชนคือเจตสิก รู้เห็น รู้สึกแต่แสงสว่างนั้นอยู่

โหงว :แล้วทำไมถูกขโมยเสียเล่า?

นาม : ...ก็อุตริสมาทานมิจฉาทิฏฐิขึ้นภายหลังครับผม

โหงว :หมายความว่ามิจฉาทิฏฐิและมลทิน ๙ นั้นมาขโมยของวิเศษไปบาดาล

นาม : คือ ความประภัสสรมิได้หายไปไหนดอก แต่มันกบดานอยู่ เพราะชีวิตอุตริสมาทานมิจฉาทิฏฐิเข้า

รูป :ความร่วมมือของนางบ้วนเซี้ยกงจู๊ มันไปขโมยหญ้า ๙ ยอดของสวรรค์มาล่ะ หมายความว่าอย่างไร ?

นาม : หญ้า ๙ ยอดคือพุทธคุณ ๙ ที่ถูกกลบอยู่ใต้บาดาลเพราะมิจฉาทิฏฐิ

รูป :เห้งเจียเลยตามไปทุบหัวบ้วนเซี้ยเล่งอ๋อง - อกิริยทิฏฐิ คือ ปัญญาทำให้เห็นว่าการกระทำมีผล ความเพียรมีผล

นาม : ทีนี้หนอน ๙ ห้ว มลทิน ๙ นั้นถูกละได้อย่างไร ?

รูป :ยี่หนึงจินกุน คือสัสสตทิฏฐิ ความเห็นว่าเที่ยง ซึ่งเป็นอีกฝ่ายของศีลธรรมที่เคยปราบเห้งเจียสมัยเป็นมิจฉาทิฏฐิมีความเห็นผิดให้กลับมาเป็นสัมมาทิฏฐิ

ยี่หนึงมีพี่น้องทั้งหมด ๗ คน คือ อัตถิตา ๗ ตรงกันข้ามกับนัตถิตา ๗ คือ :

๑. ทานที่ให้แล้ว ผลวิบากของกรรมดีหรือชั่ว มีผล
๒. ยัญที่บูชาแล้ว การบวงสรวงที่ทำแล้ว มีผล
๓. โลกนี้มี
๔. โลกหน้ามี
๕. มารดามี บิดามี (หมายถึงมีพระคุณ)
๖. สัตว์พวกที่คอยเกิดมี (โอปปาติกะ)
๗. สมณพราหมณ์ผู้ประพฤติชอบผู้ทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งแล้วสอนผู้อื่นให้รู้ตามได้ มี


โหงว :แต่สัสสตทิฏฐิหาอาจละมลทิน ๙ ได้ไม่ เพียงแต่มันหนีหายไปเท่านั้น

นาม : นางบ้วนเซี้ย กงจู๊นันทิราคะ โป้ยก่ายสับด้วยคราดสังฆคุณ ๙ จนตาย ?

รูป :นางเล่งอ๋อง - ภวตัณหาในความมี ความเป็นถูกอภัยโทษ ให้เฝ้าเจดีย์คือ ชดใช้แรงตัณหาที่เคยเป็นเมียอกิริยทิฏฐิ ให้เป็นความเพียรเฝ้าดูเจดีย์คือใจ

โหงว :พระธาตุวิเศษกับหญ้าวิเศษอยู่ด้วยกันแล้วไม่มีอันตรายใด ๆ ...?

นาม : จริงซีครับ โดยเฉพาะพุทธคุณ ๙ นั้นคือไม้กวาด : นึกถึงพุทธคุณ ๙ แล้ว ใจช่างสว่างไสวรุ่งเรือง ไม่มีอันตรายใด ๆ ทำได้เลย

รูป :จึงอุปมาว่า ไม้กวาดหญ้า ๙ ยอด กวาดลงที่ไหนแล้วเกิดแสงโชติช่วง

โหงว :พระสงฆ์จะติดตามพระถังและศิษย์ไปด้วยล่ะ ?

นาม : ...คือศีลมากมายเกินจำเป็นเกิดแก่ชีวิตเพราะว่ารำลึกถึงพุทธคุณ ๙

รูป :ปัญญาเห็นว่าเจตสิกศีลเหล่านั้นเกินจำเป็น ขับไล่ให้กลับ

โหงว :เพราะว่าศีลของอริยมรรค คือโป้ยก่ายก็เพียงพอแล้ว


(จบบทที่ ๒๙ โปรดติดตามตอนต่อไป...)





** คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๑๕๙ - ๑๖๖ )






 

Create Date : 28 สิงหาคม 2551    
Last Update : 28 สิงหาคม 2551 11:33:03 น.
Counter : 1156 Pageviews.  

เดินทางไกลกับ"ไซอิ๋ว" (๓๑) บทที่ ๒๘ อัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค และการละอุทเฉททิฏฐิ



บทที่ ๒๘

อัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค
และการละอุทเฉททิฏฐิ


พระถังและศิษย์พ้นภัยจากลิงลักฮี้เกาแล้ว ก็บุกป่าฝ่าดงมุ่งสู่ทิศปราจีน ในขณะนั้นย่างเข้าฤดูฝน แต่อากาศกลับวิปริต แปรปรวนกลับเป็นร้อนจัด เพราะว่าบัดนี้อาจารย์และสานุศิษย์ ได้บรรลุถึงเขตภูเขา ฮ้วยเอี้ยมซัว อันเป็นเขตทุรกันดาร ลุกเป็นไฟอยู่ แม้แต่เหล็กและทองแดงในบริเวณนั้นก็หลอมละลายเพราะความร้อน

ฝ่ายเห้งเจียก็เที่ยวสืบช่องทางที่จะระงับไฟจนถูกแนะให้ไปที่ภูเขาจุ๊ยหุ้นซัว ถ้ำปอเจียวต๋องอันเป็นสำนักของนางล่อซัว นางมีพัดวิเศษทำด้วยเหล็กมีมาตั้งแต่เริ่มมีฟ้าเริ่มมีดิน พัดวิเศษนี้อาจใช้ดับไฟได้ เห้งเจียก็รีบเหาะไปที่ถ้ำปอเจียวต๋อง แต่ครั้นได้พบกับนางล่อซัวเข้า เห้งเจียให้นึกครั่นคร้าม เพราะว่านางล่อซัวคือมารดาของอั้งฮั๊ยยี้ และเป้เมียของงู้หม้ออ๋อง แต่เห้งเจียก็ทำเป็นใจดีสู้เสือเข้าไปขอยืมพัดจากนางล่อซัว

ฝ่ายนางล่อซัวนั้นนึกได้ว่าเห้งเจียคือศตรูที่พาลูกชายของตนไปเป็นศิษย์ของพระกวนอิม จึงเดือดดาลที่ยังด้านหน้ามาขอยืมพัดอีก นางจึงเอาพัดโบกจนเห้งเจียปลิวไปตามลมไกลถึง ๘๔,๐๐๐ โยชน์

ฝ่ายเห้งเจียเมื่อถูกพัดวิเศษพัดจนปลิวไปนั้น ก็เอามือและเท้าคว้าจับภูเขากุ้ยซัว อันเป็นที่พำนักของพระโพธิสัตว์เล่งเกี๊ยดไว้ทัน จึงไม่ถึงแก่อันตราย ครั้นเข้าเฝ้าเล่งเกี๊ยดแล้ว จึงได้ยาวิเศษระงับลม เห้งเจียเหาะกลับไปถ้ำปอเจียวต๋อง ร้องท้านางล่อซัวออกมาสู้รบกัน คราวนี้พัดวิเศษของนางล่อซัวทำอะไรเห้งเจียไม่ได้ ด้วยอำนาจของยาวิเศษของโพธิสัตว์เล่งเกี๊ยดคุ้มตัวอยู่

เมื่อนางล่อซัวเห็นเช่นนั้นก็หนีเข้าถ้ำ ลั่นดาลประตูปิดตาย แล้วนั่งซดน้ำชาครุ่นคิดอยู่ เห้งเจียก็แปลงเป็นแมงหวี่ลอดเข้าไปในถ้ำแล้วปนลงไปในกากชา เมื่อนางล่อซัวซดชาลงไปในท้อง เห้งเจียจึงติดลงไปด้วย เมื่อถูกเห้งเจียบิดไส้กระทุ้งหัวใจนางล่อซัวจึงร้องครวญครางขอชีวิต และยินยอมมอบพัดวิเศษให้เห้งเจียเป็นการแลกเปลี่ยน

เมื่อได้พัดวิเศษแล้วเห้งเจียก็ไม่รอช้า ตรงไปที่เขตภูเขาฮ้วยเอี้ยมซัว ที่แผ่นดินลุกเป็นไฟอยู่ ยกพัดขึ้นพัดโบก แต่ไฟกลับลุกท่วมขึ้น ร้องทุรนทุรายมากกว่าเดิมเสียอีก เพราะพัดนั้นเป็นพัดปลอม ต่อมาเห้งเจียจึงทราบว่า ไฟที่ลุกท่วมแผ่นดินอยู่นั้นที่แท้เป็นไฟที่ตนทำมันขึ้นเอง สมัยที่ก่อการจลาจลบนสวรรค์ชั้นพรหม คราวเมื่อต้องโทษของพรหมท้ายเสียงเล่ากุน ถูกจับเข้าเตาหลอม เห้งเจียกลับถีบเตาหลอมพังพินาศ ไฟจึงหล่นลงมายังพื้นโลกลุกท่วมทางอยู่

เห้งเจียจึงเหาะไปหางู้หม้ออ๋อง สามีของนางล่อซัว ซึ่งบัดนี้ไปหลงเมียใหม่ชื่อนางเง็กมิ่นกงจู๊ อยู่ ณ สำนักเจ็กลุ่ยซัว ถ้ำม่อหุ้นต๋อง นางเง็กมิ่นร่ำรวยสมบัติและรูปสวย งู้หม้ออ๋องจึงหลงใหลจนลืมกลับไปหานางล่อซัว ครั้นเห้งเจียเหาะไปถึงถ้ำม่อหุ้นต๋องก้พบนางเง็กมิ่น เห้งเจียก็ไล่ทุบนางวิ่งเข้าไปในถ้ำไปหางู้หม้ออ๋อง ผู้เป็นนักศึกษา ชอบดูตำราไม่ได้หยุด ครั้นงู้หม้ออ๋องทราบว่าเห้งเจียมารังควานเมียใหม่ของตนก็โกรธ ออกมาสู้รบกับเห้งเจียเป็นสามารถ ไม่อาจแพ้ชนะกันได้ พอดีกับงู้หม้ออ๋องถูกสหายมาตามตัวไปกินเลี้ยงที่ใต้บาดาล จึงขอหย่าศึกชั่วคราว เห้งเจียสบโอกาสก็แปลงกายเป็นงู้หม้ออ๋องกลับไปหานางล่อซัว

ฝ่ายนางล่อซัวร้างสามีมานาน ครั้นเห็นงู้หม้ออ๋องก็ตัดพ้อต่อว่าตามประสาหญิงว่า ทอดทิ้งนางไปมีเมียใหม่ งู้หม้ออ๋องเก๊ก็เล้าโลมเอาอกเอาใจ แล้วหลอกเอาพัดวิเศษที่นางล่อซัวอมไว้ในปากจนได้ แล้วหนีมาพบกับโป้ยก่ายกลางทาง โป้ยก่ายขอเป็นผู้รักษาพัด เห้เงจียก็มอบให้ไป โป้ยก่ายก็กลายร่างเป็นงู้หม้ออ๋อง เห้งเจียรู้ว่าตนเสียทีปีศาจควายก็โกรธชักตะบองออกมารบกันโกลาหล โป้ยก่ายตัวจริงมาทันรุมกันรบปีศาจควาย ก็มิอาจเอาชนะมันได้ไม่ ปีศาจแปลงกายเป็นสัตว์ต่าง ๆ เห้งเจียก็แปลงเป็นสัตว์คู่อริ ไล่ตีไล่ต่อยจนปีศาจต้องล่าถอยเข้าถ้ำปอเจียวต๋องของนางล่อซัว

ฝ่ายโป้ยก่ายหวนกลับไปที่ถ้ำนางเง็กมิ่นกงจู๊ แล้วเอาคราดเก้าซี่สับร่างนางเง็กมิ่นจนตาย ทั้งจุดไฟเผาสมุนปีศาจและถ้ำเสียสิ้น แล้วย้อนกลับมาสมทบกับเห้งเจียเข้าล้อมถ้ำปอเจียวต๋อง ที่งู้หม้ออ๋องกับนางล่อซัวซ่อนตัวอยู่ แล้วพังทลายถ้ำเสียวินาศ งู้หม้ออ๋องเหาะขึ้นบนอากาศก็พลัดตกลงในวงล้อมของเทพยดาที่พระยูไลสั่งให้มาล้อมจับทั้ง ๔ ทิศ เบื้องบนเง็กเซียนฮ่องเต้สั่งให้ถักทะลีทีอ๋องและโลเฉียคุมทัพสวรรค์สกัดไว้ เบื้องล่างเห้งเจียกับโป้ยก่ายรุกไล่ขึ้นไป

ในที่สุดงู้หม้ออ๋องก็ยอมแพ้ ยอมกลับใจมาในทางของพุทธธรรม ร่างจึงกลับเป็นควายขาว จอมทัพแห่งสวรรค์ก็จูงจมูกขึ้นสวรรค์ไปทูลรายงานต่อเง็กเซียนฮ่องเต้

ฝ่ายนางล่อซัวเห็นสามีกลายร่างจากควายดำเป็นควายขาว ก็ผลัดเครื่องแต่งกาย กร้อนผมบวชเป็นชี นุ่งขาวห่มขาวออกมาขอขมาโทษต่อเห้งเจีย แล้วมอบพัดวิเศษให้แต่โดยดี เห้งเจียก็ใช้พัดวิเศษนั้นพัดไฟจนค่อย ๆ ดับไป แล้วส่งพัดคืนแม่ชีล่อซัว นางก็อมไว้ในปากตามเดิม

ครั้นเหตุการณ์เรียบร้อยปกติแล้ว เห้งเจียก็เชิญพระถังขึ้นม้า แล้วทั้งหมดก็ออกเดินทางมุ่งไซทีต่อไป.....................


Photobucket



รูป :(หัวเราะ) ตอนนี้อาจารย์ถอดจากรามเกียรติ์ตอนไหนฮึ?

นาม : (หัวเราะ) พระรามแผลงศรพลายวาตะของรามสูร(ปสุราม)ดับไฟป่า

รูป :โธ่เอ๋ย! นางล่อซัวคือรามสูร แล้วศรพลายวาตะคือพัดวิเศษดับไฟนั่นเอง

โหงว : เอาละ ในที่นี้นางล่อซัวแม่ของอั้งฮั้ยยี้ เมียหลวงของงู้หม้ออ๋องปีศาจควายดำที่ไปมีเมียใหม่คือนางเง็กมิ่นกงจู๊ลองทายดูที ?

รูป :จนจริง ๆ ครับ

นาม : อย่าเพิ่งจนซี ลองไล่ไปดู อั้งฮั้ยยี้ คือมิจฉาสังกัปปะ - ดำริผิด งู้หม้ออ๋องคืออุทเฉททิฏฐิ - ความเห็นว่าขาดสูญ บุญบาปไม่มีสวรรค์ไม่มี นรกไม่มี ทานไม่มีผล ฯลฯ ซึ่งเคยคบหาเป็นสหายกับเห้งเจียในสมัยที่ยังเถื่อนอยู่...

รูป :อ๋อ...ยังงั้น แม่ของมิจฉาสังกัปปะ เมียของอุทเฉททิฏฐิก็คือตัณหา

นาม : อุทเฉททิฏฐิสมรสกับตัณหา จึงได้ลูกเป็นมิจฉาสังกัปปะ

รูป :ทีนี้เมียน้อยคือเง็กมิ่นกงจู๊ แม่เลี้ยงคนสวยของมิจฉาสังกัปปะเล่า ?

นาม : ก็ตัณหาเช่นกัน แต่คนละตัณหา

รูป :อะไรของแกน่ะ ตัณหาเหมือนกัน แต่คนละตัณหา...?

นาม : นางล่อซัวคือวิภวตัณหา ซึ่งพอได้สามีอุทเฉททิฏฐิก็จะผลักดันให้ประพฤติตนในอัตตกิลมถานุโยค - สุดโต่งทางทรมานตน ทั้งสำนักจึงอยู่ในเขตไฟลุกท่วมพื้นดิน

โหงว : ไม่เลว ๆ แต่ว่าอัตตกิลมถานุโยคนั้นมาจากสัสตทิฏฐิด้วยนะเธอ

รูป :แต่ว่า มันกลับไปกลับมานะซีครับ ระหว่าง ๒ มิจฉาทิฏฐินี้

นาม : ส่วนนางเง็กมิ่นคนสวยนั่นคือกามตัณหา พอได้สามีอุทเฉททิฏฐิก็เป็นกามสุขัลลิกานุโยค คือประพฤติพัวพันหมกมุ่นอยู่ในกาม

รูป :อีนี่เอง ที่อาจารย์เคยด่าผม โธ่ อาจารย์...

นาม : ความเห็นว่าขาดสูญ ไม่เชื่อบุญไม่เชื่อบาป มันก็คือคนพาลหาเหตุ หากามสุขนี่คือเมียใหม่ หรือไม่ก็น้อมไปทางวิภวตัณหาคือไม่อยากเป็นโน่นนี่ นี่คือเมียเก่า

รูป :แต่ว่าร้อยทั้งร้อยลองเป็นอุทเฉททิฏฐิแล้วมุดมาทางกามสิ้น อ้างเหตุผลเป็นไฟเพื่อกาม พูดธรรมะเป็นน้ำ คล่องปาก แต่ลับหลังตะกลามแต่กามสุข

นาม : จึงว่างู้หม้ออ๋อง - ปีศาจควายดำนั่นเป็นนักศึกษา ชอบค้นคว้าตำราอยู่ในถ้ำจนดึกดื่น รู้สารพัดเพื่อเอาเหตุผลมาแก้ตัวให้กิเลสตะกลามสุข

โหงว : เห้งเจียปราบกันแทบตาย

รูป :ทั้งปัญญาทั้งศีลหาสู้อุทเฉททิฏฐิได้ไม่

นาม : กองทัพสวรรค์คือกุศลเจตสิก, ท้าวกิมกังทั้ง ๔ คือความรู้เรื่องอริยสัจจ์สี่ห้อมล้อม สมทบกับปัญญาและศีล อุทเฉททิฏฐิก็ยอมแพ้

รูป :จากปีศาจความยดำไม่เชื่อบุญเชื่อบาปกลับเป็นควายขาว ถูกจูงสู่สวรรค์ คือ เชื่อบุญ เชื่อบาป เชื่อสวรรค์ เชื่อนรก...

นาม : ...ที่ใจ

รูป :กว่าจะเชื่อได้แทบแย่ และโป้ยก่ายต้องฆ่านางเมียคนสวย - กามสุขัลลิกานุโยคเสียก่อนด้วย...

นาม : ...คือ ด้วยอริยศีลอันมีอาวุธวิเศษ คราดเก้าซี่ คือสังฆคุณ ๙ นั้นใช้ทุบกามสุขให้แหลกเหลวไป

โหงว : กามสุขถูกละได้ อุทเฉททิฏฐิก็เป็นสัมมาทิฏฐิ

นาม : แล้ววิภวตัณหาที่เคยน้อมไปสู่อัตตกิลมถานุโยคก็บวชชี...

รูป :...คือขาวสะอาดขึ้น แล้วยังมีคุณต่อชีวิตในทางดับไฟที่ท่วมทางด้วยพัดวิเศษ

โหงว : ไฟคืออะไร ? พัดวิเศษคืออะไร ?

นาม : ความร้อนของกายและจิตที่ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ ความกระวนกระวาย กระสับกระส่าย ของกายและจิตเนื่องจากทิฏฐิยังไม่ตรง เมื่อละอุทเฉททิฏฐิได้ คือพิจารณาเห็นแล้ว เบื่อหน่ายในผัสสะทั้งหลาย ทางตา ทางหู ฯลฯ ความร้อนใจร้อนกายก็รำงับ จิตที่หายกระสับกระส่าย ความเห็นของผู้นั้นจึงเป็นสัมมาทิฏฐิ ความดำริก็เป็นสัมมาสังกัปปะ ฯลฯ

รูป :มิใช่เรียนรู้แล้วจะเป็นสัมมาทิฏฐิได้ ยิ่งเรียน แม้จะเรียนธรรมะ ยิ่งพาลยิ่งเร่าร้อน เพราะไม่เรียนที่ตาเห็นรูป ฯลฯ แล้วปล่อยวาง หน่ายในการยินดีในตา ในรูป ในวิญญาณทางตา เป็นต้น เห้งเจียสมัยเรียนมากจึงก่อเหตุ ทำให้ไฟท่วมทาง แล้วก็ต้องผจญเอง

โหงว : ไฟเริ่มรำงับด้วยพัดวิเศษ ...พัดวิเศษคืออะไรเล่า ?

นาม : เมื่อมีความร้อนกายกระวนกระวายใจ เป็นทุกข์ ภาวนาทำความรู้สึกว่าไม่มี ไม่มี ไม่มี ไม่มี นัตถิ กิญจิ, นัตถิ กิญจิ

รูป :คืออากิญจัญญายตนะ - อะไร ๆ ไม่มี อะไร ๆ ไม่มี

นาม : น้อมไปทางไม่ปรารถนาอะไร เบื่อหน่ายต่อตาต่อรูป ต่อจักขุวิญญาณ ฯลฯ

รูป :นี่คือวิภวตัณหา ที่บวชชีเพราะสามีคือ อุทเฉททิฏฐิ เปลี่ยนเป็นสัมมาทิฏฐิแล้ว

นาม : วิภวตัณหาก็กลายเป็นประโยชน์ไปได้

รูป :สมัยที่ผัวยังอยู่ พัดวิเศษมี ๒ อันคือจริงกับเก๊ อันเก๊พัดแล้วไฟกลับกระพือท่วมโพลงขึ้น นี่ละมีความหมายอย่างไร ?

นาม : "อะไร ๆ ไม่มี" ถ้าพาลก็เป็นพัดเก๊ ไม่อยากได้อะไรจำเพาะ ที่ไม่ชอบ แต่ตะกละสิ่งที่ชอบ คือวิภวตัณหา ของอุทเฉททิฏฐิ ส่วนอะไร ๆ ไม่มีหรือ "ว่าง ๆ " ของสัมมาทิฏฐิคือพัดวิเศษจริง ดับไฟได้

รูป :พัดนี้สร้างมาพร้อมกับฟ้าดิน ?

นาม : ใช่ซี "ว่าง ๆ ๆ" "ไม่มี ๆ ๆ" หรือ "อากาศไม่มีที่สิ้นสุด"เป็นของวิเศษ เป็นของเกิดก่อนฟ้าดิน คือความไม่มีอะไร คือเนื้อที่ว่าง

โหงว : เอาละ ถ้าเจ้าทั้งสองอยากรู้เรื่องการเดินทางของพระถังต่อ ก็จงฟังบทต่อไป


(จบบทที่ ๒๘ โปรดติดตามตอนต่อไป...)






** คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๑๕๐ - ๑๕๘ )






 

Create Date : 26 สิงหาคม 2551    
Last Update : 26 สิงหาคม 2551 8:59:47 น.
Counter : 1418 Pageviews.  

เดินทางไกลกับ"ไซอิ๋ว" (๓๐) บทที่ ๒๗ กิเลส(ภวตัณหา)กับโพธิปัญญา



บทที่ ๒๗

กิเลส(ภวตัณหา)กับโพธิปัญญา


พระถังซัมจั๋งและศิษย์รอนแรมกันมาระหว่างทาง ถูกนายโจร ๒ คนคุมพรรคพวกเข้าปล้น เห้งเจียก็ชักตะบองออกตีจนตาย พระถังก็โกรธเห้งเจียว่าโหดร้ายไร้ศีลธรรม เห้งเจียก็เถียงว่าขืนไม่ฆ่ามัน มันจะฆ่าอาจารย์ อาจารย์และศิษย์ให้นึกเคืองซึ่งกันและกัน

ครั้นตกกลางคืน พระถังและศิษย์ขอเข้าพักค้างที่บ้านบิดาของสมุนโจรที่เห้งเจียตีตาย บุตรชายเจ้าของบ้านสมุนโจรคิดแค้น จึงคุมสมัครพรรคพวกเข้าจับตัวเห้งเจีย จะฆ่าแก้แค้นให้นายเห้งเจียจึงตีจนตาย แล้วยังตัดคอให้พระถังได้ชม พระถังโกรธสุดขีด จึงร่ายคาถาบีบขมับเห้งเจีย มงคลที่สวมหัวก็บีบจนเห้งเจียล้มกลิ้งไปมา พระถังเดือดดาลใส่เห้งเจียไม่ให้ร่วมทางไปไซที เห้งเจียน้อยใจ จึงร้องท้าทายกับพระถังว่าจะไม่ร่วมทางอีก ครั้นจะกลับไปถ้ำจุ๊ยเลี่ยมต๋องก็นึกละอายสมุนลิง จึงเหาะลิ่วไปสำนักน่ำไฮ้ของกวนอิมโพธิสัตว์ กวนอิมขอให้เห้งเจียอยู่ที่นั่น เพราะเล็งญาณรู้ว่า การไปไซทีนั้นปราศจากเห้งเจียนำทางแล้วย่อมเป็นไปไม่ได้ ถ้าพระถังให้โป้ยก่ายนำทางจะเข้าที่คับขัน และจะต้องมาตามเห้งเจียที่นี่อยู่ดี

ฝ่ายพระถังเมื่อไล่เห้งเจียไปแล้ว ก็ให้โป้ยก่ายจูงม้านำทางพอตะวันใกล้เที่ยงพระถังก็ให้โป้ยก่ายเหาะไปบิณฑบาต โป้ยก่ายก็เหาะหายไปนานจนพระถังหิวทุรนทุราย ซัวเจ๋งจึงรับอาสาไปหาน้ำมาให้พระถังรองท้อง พระถังจึงอยู่กับม้าขาวและหาบห่อจีวรตามลำพัง

ทันใดนั้น เห้งเจียก็ผลุนผลันเข้ามาเอาหม้อน้ำถวาย ฝ่ายพระถังยังไม่หายโกรธก็ร้องด่าและขับไล่เห้งเจียก็ดกรธจึงฉวยตะบองมาทุบตีพระถังจนล้มคว่ำสลบแน่นิ่ง เห้งเจียก็รวบหอบเอาข้าวของห่อจีวรหนีไปยังถ้ำจุ๊ยเลี่ยมต๋อง ภูเขาฮ้วยก๊วยซัว

ฝ่ายโป้ยก่ายกับซัวเจ๋งไปพบกันกลางทางก็รีบกลับมาหาพระถัง เห็นนอนนิ่งอยู่ก็เข้านวดเฟ้นแก้ไขจนฟื้นขึ้นมา เมื่อพระถังเล่าเหตุการณ์ให้ฟังทั้งสองก็โกรธแค้นเห้งเจียนักที่ทรยศเนรคุณต่ออาจารย์ของตัว

พระถังซัมจั๋งไม่มีจีวรจะครองก็เศร้าใจ ขอร้องให้ซัวเจ๋งไปตามคืนมาให้ได้ ซัวเจ๋งก็คว้าตะบองเหาะลิ่วไปถ้ำจุ๊ยเลี่ยมต๋อง พบเห้งเจียกำลังจัดขบวนไปไซทีใหม่ โดยเนรมิตพระถังซัมจั๋ง โป้ยก่าย ซัวเจ๋ง และม้าขาวขึ้นด้วยฤทธิ์ ซัวเจ๋งก็โกรธสุดขีด คว้าตะบองเข้าไล่ทุบตีซัวเจ๋งตัวปลอมจนตาย ฝ่ายเห้งเจียก็เรียกให้ลูกสมุนเข้าจับตัวซัวเจ๋ง

ซัวเจ๋งเห็นเหลือกำลังก็ล่าถอย เหาะไปยังน่ำไฮ้เพื่อจะไปฟ้องพระกวนอิม เรื่องการทรยศเนรคุณของเห้งเจียและคิดกำเริบจะไปอาราธนาพระไตรปิฎกด้วยตัวเอง

ครั้นถึงเขาน่ำไฮ้ ซัวเจ๋งก็พบเห้งเจียยืนอย่ข้างกวนอิมก็โกรธฉวยตะบองได้ก็ไล่ทุบ จนกวนอิมต้องร้องห้าม เมื่อซัวเจ๋งทราบความว่าเห้งเจียอยู่ที่เขาน่ำไฮ้กับกวนอิมตลอดมิได้ไปไหนเลย ก็ประหลาดใจ เล่าความที่ตนเองไปพบเห้งเจียที่ถ้ำจุ๊ยเลี่ยมต๋องให้ทราบ เห้งเจียก็โกรธที่มีผู้บังอาจปลอมแปลงเป็นตนไปทำร้ายพระถัง จึงชวนซัวเจ๋งเหาะลิ่วไปสู่เขาฮ้วยก๊วยซัว

พอเห็นเห้งเจียอีกตนหนึ่งแล้ว เห้งเจียก็โกรธ ชักตะบองออกจากรูหู กระโดดเข้าทุบตี ต่างสู้รบกันนัวเนีย จนซัวเจ๋งไม่รู้จะช่วยฝ่ายไหน เห้งเจียจึงรบล่อไปจนถึงพระพักตร์พระกวนอิม เพื่อให้ภาวนาคาถาให้มงคลบีบขมับ

ครั้นเมื่อกวนอิมภาวนาคาถาแล้วเห้งเจียทั้งสองต่างล้มกลิ้งไปมาด้วยกันทั้งค่ ร้องเรียกชื่อก็ขานรับเหมือนกัน จนแยกไม่ออกว่าตัวไหนจริงตัวไหนปลอม เมื่อไม่สำเร็จเห้งเจียก็รบล่อลงไปถึงนรก ให้ยมบาลเปิดบัญชีดูว่าใครบังอาจปลอมแปลงมา ก็ไม่สำร็จ

ฝ่ายพระโพธิสัตว์เตจ๋องอ๋อง(ขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในพื้นดิน)ได้ใช้ให้สิงห์ที่นอนหมอบอยู่แทบเท้า(ชื่อทีเทีย)นั้นนอนกกลงกับดินแล้วก็ได้รู้ความลับเรื่องเห้งเจียทั้งสองสิ้น เมื่อทีเทียทำตามคำสั่งแล้วก็กราบทูลพระโพธิสัตว์ว่า แม้เห้งเจียปลอมนี้ก็จริงเหมือนกัน แต่ไม่ควรพูดออกมาในบัดนี้ เพราะจะเกิดจลาจลโกลาหล แล้วจะไม่มีความสุขเลย เพราะฤทธิ์ของเห้งเจียทั้งสองเสมอกัน ไม่มีใครแยกได้ เว้นแต่พระยูไล พระโพธิสัตว์เตจ๋องอ๋องจึงแจ้งความลับนี้ให้แก่เห้งเจียทั้งสองทราบ

ฝ่ายเห้งเจียตัวจริงเมื่อได้ยินดังนั้นก็รบล่อไปไซที เสียงก้องอึกทึกทั้งฟ้าดิน พระยูไลจึงตรัสเรียกให้สาวกมาดูว่า "เธอจงสำรวมจิตให้เป็นหนึ่ง คอยดูสองจิตรบกันให้ดี " แล้วทรงเล่าให้สาวกฟังถึงกำเนิดของลิง ๔ ประเภท เรียกว่า มูลวานร ๔ คือ ๑. เจื๊อเก๊า มีฤทธิ์แปลงกายได้ทุกอย่าง รู้ฟ้า - ดิน ๒. เบ๊เก๊า รู้ฟ้าดินด้วย รู้เรื่องมนุษย์ และเป็นอมตะ ๓. อวนเก๊า มีฤทธิ์อาจลูบพระอาทิตย์พระจันทร์ได้ ๔. มิเก๊า (หกหู) รู้แจ้งสิ่งทั้งปวง มีหูที่ฟังเสียงได้ไกลนับพันโยชน์

พระยูไลตรัสมูลวานร ๔ แล้วก็เอาบาตรขว้างไปครอบลิงลักฮี้เกาที่เหมือนกับเห้งเจียทุกประการไว้ได้ เห้งเจียกำลังโกรธ มิฟังเสียงห้ามของพระยูไล ก็เอาตะบองกระทุ้งลงในบาตร จนลิงหกหูถึงแก่ความตาย แล้วทูลลา เหาะมุ่งกลับไปหาพระถัง

ฝ่ายโป้ยก่ายเหาะไปที่ถ้ำจุ๊ยเลี่ยมต๋อง เอาคราดเก้าซี่สับพระถังปลอม โป้ยก่ายปลอมตายสิ้น แล้วหอบห่อจีวรของพระถังเหาะกลับมาสมทบกัน เห้งเจียกับพระถังคืนดีกันแล้วก็ออกเดินทางรอนแรมมุ่งทิศปราจีนต่อไป.............


Photobucket



รูป : เฮ้อ...เล่ายาวเหยียด เดี๋ยวเนื้อก็หายหมดหรอก

นาม : จริงด้วย ไซอิ๋วของอาจารย์ถูกกลบความหมายหมด เพราะเล่าแจกออกมากไป

โหงว :ไม่เล่าอย่างนี้มันจะเป็นนิทานปริศนาได้รึ ?

นาม : ตัดตอนว่าพระถังทะเลาะกับเห้งเจีย ขัดใจกัน พระถังไล่ไม่ให้ติดตาม กลับให้โป้ยก่ายจูงม้า

โหงว :พอศีลออกหน้านำทางจูงวิริยะ(ม้าขาว) ชีวิตก็ถูกกิเลสทุบเสียสลบเหมือด

รูป : ทั้งโป้ยก่ายและซัวเจ๋งทิ้งพระถังไว้ลำพังนี้ล่ะ หมายความว่าอย่างไร ?

นาม : ศีล สมาธิ ปัญญา แยกกันไปคนละทิศ ไม่ทำงานด้วยกัน ไม่ให้ปัญญาจูงวิริยะละก็ กิเลสชื่อว่า ภวตัณหาเป็นเล่นงานล่ะ

โหงว :พอโพธิปัญญาไม่อยู่ กิเลสก็ทุบโครมเข้า

รูป : กิเลสกับโพธิ ทำไมเหมือนกันยังกับพิมพ์เดียว ไม่มีใครแยกออก

นาม : เว้นแต่พระยูไล คือพุทธภาวะชี้ขาด เดี๋ยวคงรู้ ?

โหงว :กิเลสอยากเป็นโพธิสัตว์ อยากเป็นพระอรหันต์ จัดปลอมแปลงขบวนไปไซที แต่ขโมยจีวรครองของพระถังองค์จริงไป

นาม : คือภวตัณหา จึงเหมือนโพธิปัญญายังกับแกะ

รูป : อยากเป็นพระอรหันต์มันเป็นกิเลสตรงไหนเล่าแก ?

นาม : ที่ตรงอยากเป็นนั่นแหละ พระอรหันต์นั้นท่านหมดอยากที่จะเป็นอะไร ยิ่งอยากเป็นพระอรหันต์ก็ยิ่งไม่ได้เป็น ที่จริงต้องอยากพ้นทุกข์จึงจะถูก

รูป : ขืนให้ละความอยาก ในที่สุดก็เลยหมดอยากพ้นทุกข์ จึงสรุปเอาดื้อ ๆ ว่า มีกิเลสมีทุกข์นี่ดีแล้ว เรื่องอะไรจะไปเพิ่มความอยากให้ลำบากกิเลสเปล่า ๆ

นาม : นั่นแหละทีเทียจึงว่า แม้เห้งเจียปลอมนี้ก็จริงเหมือนกัน ขืนพูดว่าไม่จริงจะยุ่งกันใหญ่ หมายความว่า ให้อยากเป็นผู้หมดกิเลสก่อนเถอะน่า

รูป : ดังนั้นเราอยากเป็นพระอรหันต์นั่นแหละ แล้วค่อย ๆ ให้พุทธภาวะตัดสิน ค่อย ๆ ละตัวอยากออกไปในที่สุด

โหงว :ใช่แล้ว อยากดับทุกข์ อยากหลุดพ้นไว้ก่อนจะปลอดภัย หากไม่อยากหลุดพ้นก็จะจมลึกเข้าอีกที

นาม : เป็นอันว่าโพธิกับกิเลสซึ่งเหมือนกันดิก รบกันโกลาหล แยกไม่ออกว่าไหนเป็นปัญญา ไหนเป็นกิเลส แต่ก็พอแลเห็นได้ด้วยการสำรวมจิตให้เป็นหนึ่งว่า สองจิตรบกันอยู่

รูป : อ้อ จิตหนึ่งอยาก อีกจิตหนึ่งเพียรละความอยาก

โหงว :นี่คือโสหังและเนติ

นาม : อ้อ คือทั้งเป็นและไม่เป็น ทั้งอยากและไม่อยาก คืออยากที่จะละความอยาก

รูป : เห้งเจียทั้งสองปวดขมับด้วยกัน เมื่อมงคลบีบล่ะ ทำไมเป็นเช่นนั้น ?

นาม : กิเลสก็บวชได้เท่า ๆ กับปัญญานั่นแหละ หรือว่าไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของกิเลสก็มีคือว่าง อันธพาลนั่นเอง สิ่งทั้งปวงไม่เทียง สิ่งทั้งปวงไม่ใช่เรา จะไปถือมั่นอะไรได้ อยากทำอะไรก็ทำตามชอบ ไม่มีตัวตนเสียอย่าง

รูป : ทีนี้มูลวานร ๔ ?

นาม : คือปฏิสัมภิทา ๔ คือ :
๑ . ธรรมปฏิสัมภิทา รู้แตกฉานในข้อธรรม คือลิงเจื๊อเก๊า รู้แปลงกายได้ทุกอย่าง ธรรมะหมวดไหนรู้หมด พลิกพลิ้วสโมธานได้สิ้น

๒. อรรถปฏิสัมภิทา รู้แตกฉานในอรรถะ คือเนื้อหาสาระของธรรมะ อุปมาด้วยลิงเบ๊เก๊า รู้ฟ้าดิน เป็นอมตะ

๓. ปฏิภาณปฏิสัมภิทา รู้แตกฉานในปฏิภาณ ดุจลิงอวนเก๊า ที่อาจใช้ปฏิภาณลูบเดือนลูบตะวันเล่นได้

๔. นิรุกติปฏิสัมภิทา รู้แตกฉานในนิรุกติ - ศัพท์และภาษาบรรดามีของมนุษย์ ดุจลิงหกหูมิเก๊าที่มีหูฟังเสียงภาษามนุษย์ได้ทุกชนิด


รูป : เฮ่ย ปฏิสัมภิทา ๔ เขาเป็นเรื่องสูงเรื่องดีเอามาเปรียบกับลิงไปได้

นาม : ก็ทีโพธิเปรียบกับลิง ศีลเปรียบกับหมู สมาธิเปรียบกับเงือกยังได้นี่นา

โหงว :ปฏิสัมภิทา ๔ อยู่ในประเภทปัญญา

รูป : จึงอุปมาว่าเป็นลิงเหมือนเห้งเจีย

นาม : ตัวสุดท้าย นิรุกติ แตกฉานภาษา คิดกำเริบจะเป็นพระอรหันต์ ด้วยการเรียนรู้ภาษาบาลีสันสกฤตเอาทีเดียว

รูป : เห้งเจียเลยกระทุ้งเสียขมองทะลุ

โหงว :ที่จริงพระยูไลขอไว้ คือไม่ต้องถึงกับฆ่าการเรียนรู้ภาษา(บาลี - สันสกฤต)ดอก ครอบไว้ด้วยบาตรพระนั่นแหละอยู่หมัดดีกว่า แตกฉานก็เรื่องของแตกฉาน แต่ก็ยังเป็นพระผู้เลี้ยงชีพอยู่ด้วย"บาตร"อย่างพระ ไม่ใช่เอาความแตกฉานมาหากิน

นาม : ทำไมรู้ธรรมะด้วยบาลี จึงแยกไม่ออกจากโพธิ ฮึ?

รูป : รู้แตกฉานบาลี อธิบายธรรมะได้ยิ่งกว่าพระอรหันต์อีกรู้หรือเปล่า ทั้ง ๆ ที่หาเข้าใจจริงไม่

นาม : แยกแยะรากศัพท์บาลี ทะลุปรุแล้วปรุอีก แต่กิเลสหาปรุตามไปด้วยไม่

รูป : เผลอ ๆ กิเลสรู้นิรุกติคืออหังการกลับท่วมเสียปรี่เลย

นาม : รู้บาลีสันสกฤต คล่องแคล่วในการแยกแยะธรรมะแล้วจะเผลอคิดว่าเข้าถึงพระธรรม เพราะฟุ้งซ่านในภาษา ในเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จนต้มตัวเองได้สำเร็จ ว่าเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎก หาใช่แตกฉานไม่

โหงว :พุทธะ พุทธบุคคล พุทธภาวะเท่านั้นจะตัดสินได้ว่า ไหนเก๊ ไหนจริง

รูป : เหมือนพาลัรบกับสุครีพ พระรามแยกไม่ออก อาจารย์ก็ฉลาดใช่เล่น แปลงมาเป็นสองเห้งเจีย

นาม : พอปัญญาแท้ฆ่าลิงรู้ภาษาบาลีสันสกฤตชนิดนี้แล้ว โป้ยก่าย - ศีลก็เอาคราดสับขันติเก๊ ศีลเก๊เสียยับ

รูป : ลิงอีกสามไม่ต้องฆ่าซีน่า เพราะไม่มีปัญหาเหมือนนิรุกติ

โหงว :เชี่ยวนิรุกติ์ฉุกใจคิด..............สันสกฤต - บาลีฉาน
แจงศัพท์แจกแตกซ่าน...........ดังผาลลอย ไม่ไถดิน

นาม : (หัวเราะ) ง่ายนักหนาไถนาธรรม.............เรียนเช้าค่ำจำหมดสิ้น

รูป : (หัวเราะ) ไถไป ไถไป ไม่จดดิน................

โหงว : คงได้ข้าวดอกเจ้าเอย

รูป : อยากฟังต่อ................

(จบบทที่ ๒๗ โปรดติดตามตอนต่อไป...)





** คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๑๔๑ - ๑๔๙ )







 

Create Date : 24 สิงหาคม 2551    
Last Update : 24 สิงหาคม 2551 14:58:50 น.
Counter : 2459 Pageviews.  

เดินทางไกลกับ"ไซอิ๋ว"(๒๙)บทที่ ๒๖ นันทิราคะอุปมาด้วยแมงป่อง vs สติ อุปมาด้วยเสียงไก่ขัน



บทที่ ๒๖

นันทิราคะอุปมาด้วยแมงป่อง ที่ต้องละด้วยสติ อุปมาด้วยเสียงไก่ขัน



...ทันใดนั้น นางปีศาจแมงป่องที่ปลอมแปลงมาเป็นหญิงขาวเมืองไซเหลียงก๊ก ก็ได้โอกาสบันดาลเป็นลมเข้าตะครุบหอบพระถังพาไปยังสำนักเขาต๊อกตี่ซัว(ศตรูอันมีพิษ) ถ้ำปี้แป้ต๋อง(ถ้ำเครื่องสาย)

นางปีศาจแมงป่องผู้มีอาวุธร้ายคือสากตำข้าว จับพระถังเข้าถ้ำได้แล้ว ก็ทำเสน่ห์ยาแฝดให้พระถังเคลิบเคลิ้ม แล้วเข้าเล้าโลมปลุกปล้ำจะให้พระถังยินดีด้วย ก็พอดีเห้งเจียแปลงเป็นผึ้งตามเข้ามาทันการ เห้งเจียเห็นอาจารย์จวนจะเพลี่ยงพล้ำ จึงกลับร่างเดิม ชักตะบองวิเศษออกจากหู เข้ารุกไล่ตีนางปีศาจร้าย นางปีศาจแมงป่องโมโหหนักที่เห้งเจียมาขัดขวางความสุข ก็พ่นควันและไฟออกทั้งทางปากและจมูกคลุ้งไปทั้งถ้ำ แล้วใช้สากวิเศษขว้างมาตำใส่หัวของเห้งเจียดังสนั่น เจ็บปวดเหลือจะกล่าว ฝ่ายโป้ยก่ายกับซัวเจ๋งเห็นเช่นนั้น ต่างก็วิ่งหนีนางปีศาจ ตามหลังเห้งเจียไปติด ๆ ทั้งสามมานั่งหอบปรึกษากันอยู่

ครั้นตกกลางคืน นางปีศาจก็เข้าเล้าโลมพระถังอีก พระถังก็นั่งสมาธิดุจดังคนใบ้ไร้ความรู้สึก นางปีศาจเล้าโลมไม่สำเร็จก็เดือดดาล จับพระถังสวมขื่อคาไว้

ถึงตอนเช้า เห้งเจียให้ซัวเจ๋งเฝ้าม้าและจีวร ตนเองและโป้ยก่ายเข้าไปร้องท้าทายนางปีศาจ นางปีศาจก็ออกจากถ้ำมา ขว้างสากตำข้าววิเศษตำลงบนปากของโป้ยก่ายเต็มแรง ทั้งสองก็วิ่งหนี โป้ยก่ายนั้นส่งเสียงครวญครางลั่นป่า

เห้งเจีย โป้ยก่ายวิ่งหนีกันมาพักหนึ่ง ก็ได้พบพระกวนอิมโพธิสัตว์จึงได้รับความรู้เรื่องนางปีศาจแมงป่องจากกวนอิมว่า นางปีศาจแมงป่องนี้เคยอยู่ที่วัดลุยอิมยี่ มันชอบฟังธรรม เพลิดเพลินในธรรม ฝ่ายพระยูไลเห็นมันเข้าก็ไม่ชอบใจเอามือปัดให้พ้น มันกลับต่อยพระยูไล จึงทรงรับสั่งให้ท้าวกิมกังจับตัวมัน มันจึงได้หนีมาปลอมตัวปะปนกับคน เป็นหญิงชาวเมืองไซเหลียงก๊ก

เมื่อเห้งเจียขอร้องให้กวนอิมไปช่วย พระกวนอิมโพธิสัตว์กลับตอบว่า พระองค์เองเข้าใกล้นางปีศาจนี้ไม่ได้ แต่ขอแนะให้เห้งเจียไปตามหาดาวเบ้ายิดแชกุน(ดาวลูกไก่)

เห้งเจียจึงลากวนอิม หกคะเมนลิ่วขึ้นสวรรค์ ชวนเบ๊ายิดแชกุนลงมาแล้ว เห้งเจียก็ร้องท้านางปีศาจให้ออกมาสู้รบกัน นางปีศาจก็คว้าสากตำข้าวผลุนผลันออกมา เบ๊ายิดก็โก่งคอขันขึ้น พอได้ยินเสียงไก่ขัน นางปีศาจแมงป่องก็ล้มลงขาดใจตาย

เห้งเจีย โป้ยก่ายจึงเข้าไปในถ้ำ แก้ไขพระถังแล้วจึงได้พบว่า นางปีศาจได้จับหญิงชาวไซเหลียงก๊กมาขังไว้จำนวนมาก จึงได้ทำการปลดปล่อยให้เก็นอิสระกลับไปดังเดิม

ทั้งสองช่วยกันเอาไฟเผาถ้ำปีศาจเสียหมดสิ้น แล้วนิมนต์อาจารย์ขึ้นม้ามุ่งสู่ไซที






รูป : แหม...กำลังเพลินในธรรม มีธรรมนันทิ ธรรมวิวาห์อยู่ดี ๆ กลับกลายเป็นผีอุ้มไปเสียฉิบ

นาม : มันคืออะไร ?

รูป : นันทิราคะแห่งถ้ำปี้แป๋ คือเครื่องสายแห่งความเพลินในราคะตัณหา ปีศาจแมงป่องเจ้าราคะครอบงำให้มืดดุจอยู่ในถ้ำผี

โหงว :เพลิดเพลินในธรรมจนเผลอไปเพลินด้วยราคะในอารมณ์ของตัณหาเข้า หามืดไม่กลับสว่างจ้าจนตามัวเพราะเข้าใจไปว่าเพลินในธรรม ที่แท้เพลินกาม

นาม : แกคิดว่า สากตำข้าวอาวุธวิเศษของนางปีศาจคืออะไรฮึ ?

รูป : ที่มันทิ่มหัวเห้งเจียและโป้ยก่ายเข้าจังเบ้อเร่อน่ะ ถ้ามิใช่โทสะแล้วมันจะเป็นอะไรได้

นาม : ทำไมเป็นโทสะ?

รูป : ราคะคู่กับโทสะเสมอ พอไม่ได้ดังราคะต้องการมันก็เกิดโทสะเท่านั้น นั่นล่ะคือสากตำข้าวที่มักตำเจ้าตัวปัญญา แล้วเป็นเหตุให้ทุศีล

นาม : นั่นคือทิ่มกระหม่อมของเห้งเจีย ตำปากของโป้ยก่าย

โหงว :ปวดขมับด้วยโทสะอันเนื่องมาจากไม่ได้ราคะดังใจ แล้วผลักดันให้ด่า ดุ ตะคอกขู่มึง ๆ กู ๆ ปากขมุบขมิบ

รูป : นั่นแหละ...สากทิ่มปากโป้ยก่ายเข้าแล้ว

นาม : ถ้าเพียงหงุดหงิดขัดใจล่ะ ?

รูป : หงุดหงิดก็เนื่องจากราคะ ขัดใจก็ราคะ

นาม : ถ้าแค่นี้จะอุปมาด้วยอะไรดี มันไม่ถึงกับเป็นสากใหญ่ ๆ ยาว ๆ

โหงว :แค่สากสั้น ตะบองสั้น หรือแค่ไม้ตีพริก

รูป : เห้งเจีย โป้ยก่าย เข้าสู้รบกับนางปีศาจเป็นอันวิ่งป่าราบเลย

นาม : ใช่ซี ปัญญาและศีลยังไม่อาจเอาชนะนันทิราคะได้ทันที

รูป : ถึงมีปัญญา รู้โน่น รู้นี่ ก็หาทานแรงนันทิราคะได้ไม่ ได้แต่รู้ ถึงมีศีลขนาดไหนก็ทุศีลอยู่ลึก ๆ

นาม : จนกว่าพบกวนอิม - เมตตา

โหงว :เมตตายิ่งเข้าใกล้ราคะไม่ได้ จะไปทำเป็นเมตตากับราคะเดี๋ยวก็เสร็จมันเท่านั้น

รูป : ฮื้อ เห็นมามากแล้ว

โหงว :ทีนี้จะละมันได้อย่างไรล่ะ เจ้าปีศาจแมงป่อง ราคะที่คอยต่อยตอดให้ปวดอยู่นี่น่ะ ?

รูป : หาไก่มาจิกเสีย

นาม : ไม่ใช่ หาไก่มาขันให้มันได้ยิน มันจะตายเอง

โหงว :แล้วมันคืออะไรล่ะ ไก่ขันน่ะ ?

นาม : สติสัมปชัญญะดุจไก่ขันขึ้น ใช้สติ- ระลึกตื่นตัว รู้ตัวทั่วพร้อมให้ทันท่วงที เพื่อละความเพลินในอารมณ์ทุกชนิด

รูป : ความเพลิน - นันทิราคะก็พลันล้มลงขาดใจตาย

โหงว : แล้วชาวเมืองไซเหลียงที่นางปีศาจจับมาล่ะ ?

นาม : ธรรมนันทิ - ความเพลินในธรรม ก็ถูกแยกเด็ดขาดจากนันทิราคะ แต่ก่อนในธรรมนันทิยังมีผีนันทิราคะแฝงอยู่ เจตสิกธรรมคือ หญิงชาวเมืองธธรรมนันทิ ถูกผีราคะอำอยู่ บัดนี้ถูกปลดปล่อย

รูป : ดูเหมือนว่า เพลินทางธรรมอยู่ เผลอหน่อยเดียวเป็นเสร็จผี...

นาม : ไม่ใช่ดอก แต่ขืนเพลินทางธรรมอยู่อย่างสามัญ สงบเย็นอยู่ก็เดินทางต่อไม่ได้ เดินต่อไม่ได้แม้สงบสุข ถึงไม่ใช่ปีศาจมันก็จะต้องกลายเป็นปีศาจขึ้นมาวันหนึ่ง

รูป : งั้นออกเดินทางให้ปีศาจจับข่มขืนแล้วก็ใกล้นิพพานเข้าไปรึ ?

นาม : การผจญผีแล้วปราบมันได้ นั่นคือทาง

รูป : เข้าฌาน ทำสมาธิ หยุดพฤติของจิตก็เพียงสงบ คือได้เมีย หรือแต่งงานเท่านั้น หาใช่การเดินทางไม่

โหงว :จิตที่หยุดอยู่ในฌานเฉย ๆ รู้ธรรมยาก

นาม : เพราะว่า เราต้องการรู้ว่ากิเลสคืออะไร เกิดจากอะไร ปราบมันได้อย่างไร แล้วผลของการปราบกิเลสได้คืออะไร รวมความว่าแยกออกว่า อะไรคือกิเลส อะไรคือโพธิ

โหงว :เท่านั้นยังหาใช่รู้ธรรมไม่ รู้จริงจะเห็นว่าผีกับเทพหรือพาหนะของเทพนั้นเป็นอันเดียวกัน สังสารวัฏฏกับนิพพานนั้นไม่แยกจากกันได้

รูป : เพราะว่ากิเลสนั่นแหละคือทาง

นาม : ปีศาจทุกตัวจะกลายเป็นเทพ หรือพาหนะของเทพ ผีทุกตัวเนื่องอยู่กับเทพ และทั้งผีทั้งเทพจะช่วยให้การเดินทางเป็นไปจนถึงไซที

โหงว :เพราะว่าการเดินทางคือความแจ่มแจ้งในอริยสัจจ์

นาม : ลำพังเห้งเจีย - ปัญญา ก็อาจเหาะไปอาราธนาพระไตรปิฎกได้ ด้วยการหกคะเมนทีเดียวถึงพระพักตร์พระยูไล

รูป : คือถึงพุทธะได้ด้วยปัญญา ภายในวูบเดียว

นาม : คือวูบถึง แล้ววูบ ถูกไล่กลับมามือเปล่า

โหงว :คิดให้ถึงมันก็ถึง คิดว่าว่างมันก็ว่าง

รูป : แต่พระยูไลไม่รับรอง การมาชนิดคอรัปชั่นนี้

นาม : เห้งเจียจะต้องพาพระถัง โป้ยก่าย ซัวเจ๋ง และจำต้องผจญ ทั้งผีทั้งเทพจึงจะสำเร็จจริง

โหงว :คือ แจ่มแจ้งต่ออริยสัจจ์ ๔ คือความจริงเรื่องทุกข์ ความจริงเรื่องเหตุแห่งทุกข์ ความจริงเรื่องความดับทุกข์ และความจริงเรื่องข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์

นาม : ซึ่งสรุปเหลือ ๒ คือ ทุกข์ และความดับทุกข์

รูป : ความประจักษ์แจ้งต่อผีและเทพคือทาง

โหงว :ทั้งผีและเทพเป็นหนึ่งเดียว

นาม : อริยสัจจ์ ๔ จึงต้องรู้ด้วยความเป็นหนึ่งเดียว

รูป : อาจารย์ผมวานเล่า...

โหงว :ถ้างั้นเจ้าจงเฝ้าฟัง...............ถัดแต่นี้องค์พระถัง
ถูกเห้งเจียทุบแทบตาย

นาม : เอ๊ะเห้งเจียเนี่ย...บ้า?

โหงว :เจ้าอย่ากระเดียดเอาง่าย - ง่าย
คือลิงหกหูหน้าละม้าย..............คล้ายเห้งเจียเสียครามครัน

รูป : เห้งเจียรบเห้งเจีย !

นาม : นัวเนียบาดาลสะท้านสวรรค์

โหงว :สองจิตฤทธิ์พอกัน.........ลั่นถึงหูพระยูไล!


(จบบทที่ ๒๖ โปรดติดตามตอนต่อไป...)






** คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๑๓๔ - ๑๔๐ )





 

Create Date : 21 สิงหาคม 2551    
Last Update : 23 สิงหาคม 2551 14:35:31 น.
Counter : 2371 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  

แม่ไก่
Location :
ลำปาง Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 184 คน [?]




**หลังไมค์เจ้า**





Cute Clock Click!



เออสิ,มาอยู่ใยในโลกกว้าง
เฉกชลคว้างมาเมื่อไรไม่นึกฝัน
ยามจากไปก็เหมือนลมรำพัน
โบกกระชั้นสู่หนไหนไม่รู้เลย


รุไบยาต ~ โอมาร์ คัยยัม
สุริยฉัตร ชัยมงคล : แปล




Latest Blogs

~ท่านหญิงในกระจก/แสงเพลิง ~

~เพชรรากษส/อลินา ~

~มนตร์ทศทิศ/ราตรี อธิษฐาน ~

~เมื่อหอยทากมีรัก 1-2/"ติงโม่"เขียน/พันมัย แปล ~

~ให้รักระบายใจ/"ณกันต์"เขียน ~

~ผมกลายเป็นแมว/Abandoned/Paul Gallico เขียน(ภูธนิน แปล) ~

~พ่อค้าซ่อนกลรัก & หมอปีศาจแสนรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~อาจารย์ยอดรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~

~จอมโจรพยศรัก/"หูเตี๋ย" เขียน(Wisnu แปล) ~


สารบัญหนังสือ: รวมลิงก์หนังสือที่รีวิวในบล็อก # ๑ + ๒



Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add แม่ไก่'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.