สมเด็จพระสังฆราชประทานพระโอวาทให้ประชาชนยึดถือศีล สมาธิ ปัญญาและความสามัคคีเพื่อพัฒนาชาติ



ประชาชนจากทั่วทุกสารทิศเข้าเฝ้าถวายสักการะสมเด็จพระสังฆราชที่วัดราชบพิธฯ ประทานพรผู้เข้าสักการะด้วยการยกธรรมภาษิต“สัพเพสัง สังฆะภูตานัง สามัคคี วุฑฒิสาธิกา”ความพร้อมเพรียงแห่งชนผู้อยู่ร่วมกันเป็นหมู่ยังความเจริญวัฒนาถาวรให้สำเร็จ นายกรัฐมนตรีนำคณะ คสช.-ครม.ถวายสักการะ 14 ก.พ.

 

เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2560  เป็นวันแรกหลังเสร็จสิ้นพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหารได้เปิดให้ประชาชนเข้าถวายสักการะแสดงมุทิตาจิตสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก(อมฺพรมหาเถร หรือ อัมพร อมฺพโร) ที่พระอุโบสถวัดราชบพิธฯ โดยแบ่งเป็น 2 รอบ คือรอบเช้า 09.00-10.30 น. และรอบบ่าย 14.00-16.00 น.

วัดราชบพิธฯเปิดให้พุทธศาสนิกชนเข้าถวายสักการะสมเด็จพระสังฆราชถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์นี้ และหลังจากนี้หากมีคณะหรือองค์กรไหนจะมาถวายสักการะก็จะจัดเวลาให้ตามสมควร โดยจะเป็นหลังเวลา 14.00

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่เวลา 04.30 น.วันที่ 13 กุมภาพันธ์ บรรดาพุทธศาสนิกชนจากทั่วทุกสารทิศได้เดินทางมาเข้าแถวรออย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่บริเวณประตูด้านหน้าวัดและโดยรอบ พร้อมทั้งนำพวงมาลัยดอกไม้และผ้าไตรจีวรมารอถวายด้วยความตั้งใจเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต

จนกระทั่งเวลา 09.10 น. สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จจากตำหนักอรุณมายังพระอุโบสถ ตลอดเส้นทางพุทธศาสนิกชนที่นั่งรออยู่อย่างหนาแน่นพร้อมใจกันเปล่งเสียงสาธุดังกึกก้อง พระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์และยกพระหัตถ์ขวาขึ้นเพื่อแสดงถึงพระเมตตาที่ทรงมีต่อพุทธศาสนิกชน สร้างความปลาบปลื้มแก่ผู้มารอรับเสด็จอย่างมาก

จัดให้ถวายสักการะรอบละ 10 คน

เมื่อสมเด็จพระสังฆราชเสด็จเข้าสู่พระอุโบสถทางประตูกลาง ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธอังคีรส พระประธานในพระอุโบสถ เสด็จขึ้นประทับพระอาสน์ซึ่งทอดอยู่หน้าเบญจา ผินพระพักตร์ออกหน้าพระอุโบสถพร้อมพัดยศ และเครื่องประกอบพระอิสริยยศประดิษฐานใต้เศวตฉัตร 3 ชั้น ก่อนประทานโอกาสให้พุทธศาสนิกชนเข้าถวายสักการะ

เจ้าหน้าที่วัดจัดให้พุทธศาสนิกชนเข้าถวายสักการะรอบละ 10 คน ส่วนหน่วยงานราชการที่มาเป็นหมู่คณะต้องลงทะเบียนก่อนตามลำดับ

ขณะเดียวกัน ศิษยานุศิษย์ได้จัดเตรียมเหรียญตราสัญลักษณ์สมเด็จพระสังฆราช ออป.จำนวน 10,000 เหรียญ พร้อมหนังสือทิศ 6 และสังคหวัตถุ 4 ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ในสมเด็จพระสังฆราชเมื่อครั้งทรงเป็นพระมหาวาสน์และพระจุลคณิศร ที่ได้รับพระราชทานรางวัลที่ 1 ในการประกวดแต่งหนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็กในพระราชพิธีวิสาขบูชา พ.ศ.2474 และ พ.ศ.2483, หนังสือสมเด็จพระสังฆราชเจ้าและสมเด็จพระสังฆราช วัดราชบพิธฯ และหนังสือพระประวัติพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ รวม 10,000 ชุดเพื่อแจกจ่ายแก่ประชาชน

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้จัดระเบียบให้ทุกคนต้องปั๊มตราประทับที่หลังมือป้องกันการเวียนเทียนเข้ามาถวายสักการะ

ห้ามใช้คำหยาบคายต่อประชาชนที่มาถวายสักการะ

พระพรหมมุนี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชบพิธฯ ในฐานะเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช กล่าวว่า สมเด็จพระสังฆราชได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ทุกคนปฏิบัติต่อประชาชนที่มาถวายสักการะด้วยความสุภาพเรียบร้อย ห้ามใช้คำหยาบคายต่อประชาชนอย่างเด็ดขาด และอยากให้พุทธศาสนิกชนที่เดินทางมาได้เข้ากราบสักการะทุกคน

นอกจากนี้ยังมีพระประสงค์ให้สิ่งของที่ประชาชนนำมาถวายใช้เพียงดอกไม้ พวงมาลัย ผ้าไตรเท่านั้น ส่วนอาหารให้นำมาถวายได้ก่อนเพล และพระองค์จะไม่ทรงรับปัจจัยอย่างเด็ดขาด

ให้ประชาชนงดถวายปัจจัย-ยังหลั่งไหลมาต่อเนื่อง

“สมเด็จพระสังฆราชมีรับสั่งให้ประชาชนงดถวายปัจจัย โดยขอให้ถวายเป็นดอกไม้ธูปเทียนแทน พร้อมมีรับสั่งให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานด้วยความสำรวมด้วย ทั้งนี้อาจขยายเวลาเข้าถวายสักการะหากมีประชาชนเป็นจำนวนมาก ซึ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับความเหมาะสม” พระพรหมมุนีกล่าว

ต่อมาเวลา 11.00 น.เป็นเวลาฉันเพลที่พิธีต้องระงับลงชั่วคราวจะไปเริ่มเอาช่วงบ่ายพุทธศาสนิกชน ยังคงเดินทางมาจับจองพื้นที่เพื่อรอถวายสักการะอย่างต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่วัดราชบพิธฯ ต้องนำเต็นท์มาบังแดดให้ผู้ที่ยืนต่อแถวรอถวายสักการะบริเวณด้านหน้าของวัด โดยอนุญาตให้เข้าประตูหน้าพระอุโบสถเพียงประตูเดียวเท่านั้น สำหรับผู้ที่ถวายสักการะเสร็จสิ้นแล้วจะอนุญาตให้ออกประตูด้านข้างของวัด

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ได้ชี้แจงประชาชนที่เดินทางมาในช่วงบ่าย โดยเปลี่ยนจากวิธีการกราบเป็นการไหว้แทนเพื่อความรวดเร็วเนื่องจากมีประชาชนเข้าแถวรอเป็นจำนวนมาก

ประชาชนที่มากันอย่างเนืองแน่น ทำให้บางส่วนตัดสินใจนั่งรอบริเวณทางเสด็จกลับตำหนักอรุณ ขณะที่สมเด็จพระสังฆราชเสด็จจากพระอุโบสถกลับมายังตำหนักอรุณ พุทธศาสนิกชนทั้งสองข้างทางพร้อมใจกันกราบลงบนพื้นและกล่าวสาธุตลอดเส้นทาง

ให้ประชาชนยึดถือศีล สมาธิ ปัญญาและความสามัคคี

พระราชมงคลดิลก (ประกอบ สุภากโร) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชบพิธฯ จึงได้ออกมาประกาศต่อพุทธศาสนิกชนว่า สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อมฺพรมหาเถร) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระประสงค์ที่จะออกมาประทานพระโอวาทด้านหน้าพระอุโบสถ พร้อมทั้งเพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้กราบถวายสักการะอย่างทั่วถึง  

จากนั้นเวลา 16.09 น. สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช เสด็จประทับยังพระอาสนะด้านหน้าพระอุโบสถวัดราชบพิธฯ พุทธศาสนิกชนต่างพร้อมใจกันเปล่งเสียงสาธุ แล้วทรงประทานพระโอวาทความว่า "ขออำนวยพรแก่สาธุชนทุกคนที่ได้มีศรัทธา และได้มาประชุมพร้อมกันด้วยจิตใจที่เปี่ยมด้วยกุศล ท่านทั้งหลายได้มาในวันนี้เพื่อมาอำนวยพร หรือมาแสดงมุทิตาแก่อาตมาที่ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช ขออนุโมทนาสาธุการ ขอบใจอุบาสก อุบาสิกา ทุกท่าน

ท่านทั้งหลายมีธรรม ความดีความงามประจำใจอยู่ และขอให้รักษาความดีความงามที่มีให้คงอยู่ตลอดไป ท่านทั้งหลายเป็นอุบาสก อุบาสิกา เพราะฉะนั้นขอให้รักษาจิตใจที่เลื่อมใสศรัทธาในพระรัตนตรัยให้คงที่ไว้ หลักธรรมสำคัญ 3 ข้อที่พระพุทธองค์ทรงสอน และขอให้ยึดถือเป็นประจำ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา คือ ทำกาย วาจา ใจ ให้เป็นปกติ นึกถึงสภาวธรรมที่ว่างเป็นปกติ มีสมาธิ ปัญญาก็เกิดขึ้นตามลำดับ เพราะฉะนั้น ขอให้นึกถึงหลักธรรมที่พระพุทธองค์ได้สอนเราไว้ 3 ข้อง่ายๆ ทุกคนจะมีความสุขใจ

อนึ่ง รัชกาลที่ 5 ได้ทรงสร้างวัดราชบพิธฯ ในสมัยของพระองค์ มีธรรมภาษิตอยู่บทหนึ่ง คือ “สัพเพสัง สังฆะภูตานัง สามัคคี วุฑฒิสาธิกา” ความพร้อมเพรียงแห่งชนผู้อยู่ร่วมกันเป็นหมู่ยังความเจริญวัฒนาถาวรให้สำเร็จ ให้รักษาคำนี้ไว้ ความพร้อมเพรียงนำความเจริญรุ่งเรืองให้สำเร็จได้ ขณะนี้ประเทศเรากำลังต้องการการพัฒนา ขอให้ท่านนึกถึงธรรมภาษิตนี้ รวมถึงศีลทั้ง 3 ข้อ หวังว่าทุกท่านจะเข้าใจ และยึดถือศีล สมาธิ ปัญญา มีความสามัคคี เท่านี้ประเทศชาติของเราก็จะเจริญรุ่งเรือง"

จากนั้นเสด็จกลับพระตำหนัก โดยมีประชาชนที่มารอรับเสด็จต่างก้มลงกราบตลอดเส้นทางพร้อมเปล่งเสียงสาธุอย่างพร้อมเพรียงกัน

บรรยากาศในวัดราชบพิธฯ พระสงฆ์ยังคงออกรับบิณฑบาตและทำวัตรเช้าตามปกติ  วัดงดรับการถวายปัจจัยและอาหารจากประชาชนที่เดินทางมาถวายสักการะ แต่สามารถนำดอกไม้สำหรับบูชามาถวายได้ ภายในบริเวณวัดก็มีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนหมุนเวียนนำอาหารและน้ำดื่มมาแจกจ่าย รวมถึงการให้บริการสาธารณสุขแก่ประชาชนที่เดินทางมาด้วย  

พล.อ.ประยุทธ์นำคสช.และครม.ถวายสักการะ

พ.อ.หญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะนำสมาชิก คสช.และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทั้งหมดเข้าเฝ้าถวายสักการะสมเด็จพระสังฆราช ณ พระอุโบสถวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหารในวันที่ 14 กุมภาพันธ์นี้  

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 12 ก.พ. นายกฯ ได้สั่งการให้ ครม.และ คสช.เตรียมตัวให้พร้อม เพราะไม่อยากเป็นการรบกวนสมเด็จพระสังฆราช จึงต้องการให้ทั้ง ครม.และ คสช.เข้าเฝ้าถวายสักการะทั้งคณะรอบเดียวกัน เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตของนายกฯ รวมถึง ครม.และ คสช.ด้วย

พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า ในวันที่ 14 ก.พ.นี้ เวลา 08.30 น. พล.อ.ประยุทธ์จะนำ คสช.และ ครม.ทั้งหมดเข้าเฝ้าถวายสักการะสมเด็จพระสังฆราช โดยให้ คสช.และ ครม.พร้อมกันที่วัดราชบพิธฯ เวลา 08.15 น. จากนั้นนายกฯ และรัฐมนตรีจะกลับมาประชุม ครม.ตามปกติ.

พระเมตตาจาก 'สมเด็จพระสังฆราช' หลังปชช.เฝ้าสักการะ

//www.bangkokbiznews.com/news/detail/740299

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2560    
Last Update : 14 กุมภาพันธ์ 2560 15:17:42 น.
Counter : 253 Pageviews.  

วิจัย สจล. ตอกย้ำความล้มเหลวการแก้ไขและป้องกัน “เพศสัมพันธ์ในวัยรุ่น”แนะครอบครัวและสถานศึกษาปลูกฝัง



เดือนกุมภาพันธ์ของทุกปีถือเป็นช่วงเวลาที่สังคมไทยให้ความสำคัญกับเรื่องความรัก และความรู้ที่เกี่ยวกับเรื่องเพศศึกษา ที่ผ่านมาแม้สถานศึกษาจะพยายามรสอนและความรู้ในด้านนี้ ขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันออกแคมเปญรณรงค์ เพื่อหวังลดปัญหาสังคมจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน อันนำมาซึ่งปัญหาต่างๆ ทั้งโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ท้องไม่พร้อม ขาดเรียน และอาชญกรรม แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้

 

เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 2560 - ผศ.ดร.ฐิยาพร กันตาธนวัฒน์ ภาควิชาครุศาสตร์อุตสาหกรรม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ได้กล่าวถึงงานวิจัย “การรู้เท่าทันเรื่องเพศของวัยรุ่นในบริบทสังคมไทย”  เพื่อสะท้อนให้เห็นภาพกว้างของปัญหา ที่เกี่ยวข้องกับความรู้เรื่องเพศของวัยรุ่นในสังคมไทย ซึ่งการศึกษาเชิงลึกจากกลุ่มผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และกลุ่มวัยรุ่นตอนปลาย อายุระหว่าง 18-21 ปี พบว่า ทั้งสองกลุ่มมีความเห็นสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันว่า การรู้เท่าทันเรื่องเพศนั้นอยู่บนพื้นฐานการรู้จักตนเองและผู้อื่น ควบคู่ไปกับการเรียนรู้และปฏิบัติอย่างถูกต้อง ซึ่งท้ายที่สุดจะช่วยให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างปลอดภัย

แม้ผลการศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างจะชี้ว่า ความรู้เรื่องเพศเป็นสิ่งสำคัญที่สามารถป้องกันปัญหาได้ แต่ในบริบทของสังคมไทยการนำความรู้ ที่ถ่ายทอดในตำราและห้องเรียนออกมาให้ผู้รับเข้าใจและเกิดกระบวนการวิเคราะห์ จนนำไปประยุกต์ใช้ยังคงเป็นเรื่องที่ท้าทายอยู่พอสมควร ที่ผ่านมาหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจึงพยายาม ผลักดันโครงการต่างๆ เพื่อให้ความรู้เรื่องเพศศึกษา เช่น โครงการคุณแม่วัยใส โครงการ Stop teen mom และโครงการป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พร้อมในวัยรุ่น เป็นต้น แต่ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมทางเพศไม่ลดน้อยลง

“เหตุที่ปัญหาต่างๆ ไม่ลดลง ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากโครงการและกิจกรรมรณรงค์ เกิดขึ้นจากการริเริ่มของหน่วยงานเป็นหลัก แต่ไม่ได้มาถามความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือตัววัยรุ่นและเยาวชนซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายมากนัก ที่สำคัญสังคมไทยมักประสบปัญหาที่ว่าแม้เรื่องเพศ จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนตาย แต่กลับเป็นเรื่องที่สถานศึกษาให้เวลาจัดการเรียนรู้น้อยมาก ที่มีอยู่ส่วนใหญ่ก็เน้นด้านชีววิทยา การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย และความแตกต่างระหว่างชายหญิง มากกว่าการให้ความรู้ในทางปฏิบัติ เช่น วิธีการใช้ถุงยางอนามัย วิธีคุมกำเนิด แทบจะไม่มีการสอนการควบคุมอารมณ์ ความรู้สึก ความสัมพันธ์ และทักษะการต่อรอง” ผศ.ดร.ฐิยาพร กล่าว

สำหรับกิจกรรมที่เน้นการมีส่วนร่วมของวัยรุ่นเป็นหลัก ควรเป็นกิจกรรมที่ 1. มุ่งเน้นพัฒนาการบวนการคิด เช่น การล้อมวงในจำนวนที่ไม่มากนักแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ระหว่างเพื่อน ครู และผู้มีประสบการณ์ ในลักษณะการทำเรื่องลับให้เป็นเรื่องแจ้งแบบสุภาพ และ 2. มุ่งเน้นทักษะการสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น เช่น การจัดกลุ่มสนับสนุนกันและกัน (Support Group) รวมไปถึงการปรับความคิดเรื่องเพศไปในแนวทางที่ถูกต้องเหมาะสม หรือกิจกรรมในรูปแบบการพัฒนาทักษะชีวิต เช่นความสามารถในการปฏิเสธเมื่อเผชิญกับเหตุการณ์เสี่ยง

อาจารย์คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม สจล. กล่าวเสริมว่า นอกจากข้อเสนอแนะในการปรับปรุงกิจกรรมและโครงการ ให้สอดคล้องและเหมาะสมกับความต้องการ ของวัยรุ่นซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักแล้ว ขณะเดียวกันผลจากการวิจัยยังสามารถสรุปคุณลักษณะ 4 ด้าน ที่ควรปลูกฝังให้เยาวชนไทยรู้เท่าทันเรื่องเพศ ซึ่งทุกด้านล้วนเป็นสิ่งที่ช่วยให้วัยรุ่นสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ดังนี้

1. ด้านความรู้ ความเข้าใจ และความคิด เพื่อให้เยาวชนมองภาพกว้างและเข้าใจธรรมชาติทางเพศได้หลากหลายมิติ เพราะปัจจุบันเนื้อหาความรู้ในบทเรียน ไม่สามารถตอบสนองสิ่งที่วัยรุ่นยุคใหม่ต้องการรู้ได้ทั้งหมด ในทางปฏิบัติการผสมผสานความรู้เชิงวิชาการ และประสบการณ์จริง จึงเป็นหนึ่งในวิธีการสอน ที่ช่วยให้เกิดความเข้าใจได้ดีกว่าการปกปิดหรือบอกข้อมูลเพียงบ้างส่วน

2. ด้านการประยุกต์ใช้ความรู้ หากเยาวชนมีความรู้เพียงอย่างเดียว แต่เมื่อถึงสถานการณ์จริงกลับทำไม่เป็นหรือไม่ถูกต้อง เช่น การใส่ถุงยางอนามัย หรือการไม่รู้ว่าสิ่งผิดปกติที่เปิดขึ้นกับอวัยวะเพศของตัวเอง คือสัญญาณบ่งชี้ของโรคอะไร ท้ายที่สุดจะทำให้สังคมไทย ก็จะยังคงต้องตามแก้ปัญหาที่ปลายเหตุอย่างที่ผ่านมา

3. ด้านความสามารถในการเผชิญปัญหา เพื่อให้สามารถใช้วิจารณญาณและเหตุผล ในการตัดสินใจแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที เช่น การมีสติยับยั้งชั่งใจ หรือการรู้เท่าทันอารมณ์ของตนเอง และตระหนักได้ถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นตามมา หากไม่ป้องกันก่อนการมีเพศสัมพันธ์ รวมไปถึงการหาทางออกที่ดีที่สุด เมื่อเกิดปัญหาที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น

4. ด้านความสามารถในการปรับตัวฟื้นคืนการดำเนินชีวิตภายใต้แรงกดดัน ตัวอย่างที่ชัดเจนคือเมื่อวัยรุ่นพลาดพลั้ง มีเซ็กส์โดยไม่ป้องกัน ส่วนใหญ่มักนำมาซึ่งปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พร้อม หรือแม้กระทั่งติดโรคทางเพศสัมพันธ์ โดยผลสำรวจในปี 2556 พบเยาวชนอายุ 15 - 19 ปี ร้อยละ 32 ต้องออกจากการศึกษาเพราะตั้งครรภ์ จึงหันไปประกอบอาชีพที่มีรายได้ต่ำ ที่สำคัญพบว่าในกลุ่มนี้มีการทำแท้งถึง ร้อยละ 28 และ ร้อยละ 6.9 ทำแท้งซ้ำ ขณะที่ข้อมูลจากกรมอนามัย พบว่า ในปี 2558 มีหญิงอายุต่ำกว่า 20 ปี คลอดลูก 104,300 คน หรือคลอดเฉลี่ย วันละ 286 คน อายุต่ำกว่า 15 ปี ประมาณ 3,000 คน  ดังนั้น การเพิ่มทักษะด้านนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้ผู้ที่ก้าวพลาดยังคงสามารถดำเนินชีวิตได้ต่อไป

“ทุกวันนี้วัยรุ่นต้องเผชิญกับสถานการณ์ทางสังคม ที่มีอิทธิพลให้เกิดพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศได้ง่าย ครอบครัวและสถาบันการศึกษาจำเป็นต้องปลูกฝัง ความรู้และทักษะชีวิตให้ครอบคลุมทุกด้าน เพื่อให้เยาวชนไทยสามารถนำไปประยุกต์ใช้ ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน แต่ยังคงสามารถค้นหาวิธีการแก้ปัญหา ที่เป็นผลดีมากที่สุดต่อทั้งตัวเองและคนรอบข้าง” ผศ.ดร.ฐิยาพร กล่าวทิ้งท้าย

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2560    
Last Update : 13 กุมภาพันธ์ 2560 22:07:41 น.
Counter : 252 Pageviews.  

ตำรวจยันแจ้งดำเนินคดี พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย อดีตรองผบ.ตร.ปลูกบ้านรุกป่าอุทยานแห่งชาติทับลาน 13 ไร่



ตำรวจออกคำแถลงยืนยันแจ้งดำเนินคดี พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย อดีต รองผบ.ตร. ร่วมกับ พล.ต.ต.พงษ์เดช พรหมมิจิตร รอง ผบช.ภ.5 สร้างบ้านพักตากอากาศ รุกอุทยานแห่งชาติทับลานกว่า 13 ไร่ นางชญานิศฐ์ พิศิษฐวานิช แฟนของพล.ต.ต.พงษ์เดชโดนด้วย

 

เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2560  ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) มีการออกแถลงว่า เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ เวลาประมาณ 15.30 น. ภายใต้การบูรณาการร่วมกันของเจ้าพนักงาน ประกอบด้วย พ.ท.สิริรัฐ หนองแสง, ร.ต.จํารูญ ปาธิสุทธิ์ หัวหน้าชุดรักษาความสงบเรียบร้อยประจํา อ.วังน้ำเขียว สังกัด กองพันทหารราบ มทบ.21, นายเสกสรรค์ เที่ยงพลับ นักวิชาการป่าไม้ปฏิบัติการ หัวหน้าเขตจัดการอุทยานแห่งชาติทับลานที่ 2 (สวนห้อม) ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตํารวจ กองบังคับการปราบปราม กองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเจ้าหน้าที่ ตํารวจ สภ.วังน้ำเขียว

เจ้าหน้าที่ร่วมกันตรวจสอบพื้นที่ ซึ่งสร้างเป็นบ้านพักตากอากาศ เลขที่ 163 หมู่บ้าน สุขสมบูรณ์ หมู่ที่ 2 ต.ไทยสามัคคี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา ปลูกสร้างอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติทับลาน โดยมีนางติ๋ม อุทัศน์ อายุ 47 ปี อยู่ที่บ้านเลขที่ 242 บ้านน้ำซับ หมู่ที่ 11 ต.วังน้ำเขียว อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา รับจ้างดูแลและทําความสะอาดบ้านพักดังกล่าว เป็นผู้ร่วมตรวจสอบและให้ข้อมูลกับเจ้าพนักงาน ผลการตรวจสอบพื้นที่มีรายละเอียดดังนี้

1.บ้านพักดังกล่าว ตั้งอยู่บนพื้นที่ราบติดลําธารสาธารณะ มีรั้วรอบพื้นที่ มีทางเข้าติดกับถนนสาธารณะ ภายในมีสิ่งปลูกสร้างเป็นอาคารที่พักและอาคารอื่นๆ จํานวน 6 หลัง

2.จากการสอบถามนางติ๋ม ซึ่งรับจ้างทํางานมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 ได้ความว่า ที่ดินและบ้านพัก ดังกล่าวเป็นของ พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย อดีตรองผบ.ตร. ได้ก่อสร้างเอาไว้เพื่อพักผ่อน และนานๆจะมาพักครั้งหนึ่ง โดยที่ดินแปลงดังกล่าว พล.ต.ต.พงษ์เดช พรหมมิจิตร รองผบช.ภาค 5 และนางชญานิศฐ์ พิศิษฐวานิช (พรหมมิจิตร) เป็นผู้มอบให้พล.ต.อ.จุมพล

ต่อมานางติ๋ม ได้นําเจ้าหน้าที่ทหาร คือ ร.ต.จํารูญ เข้าตรวจดูภายในบ้านพัก พบภาพถ่ายของ พล.ต.อ.จุมพล และภรรยา ตั้งอยู่ภายในบ้านหลายจุด เจ้าหน้าที่ทหารได้ทําการตรวจยึดไว้แล้ว

3.จากการตรวจวัดพื้นที่ดังกล่าว โดยใช้เครื่องมือตรวจวัดพิกัดจากสัญญาณดาวเทียม (GPS) จํานวน 6 จุดพบว่าพื้นที่ก่อสร้างดังกล่าวมีเนื้อที่ประมาณ 13 ไร่ 1 งาน 75 ตร.ว. และเมื่อตรวจเปรียบเทียบกับแผนที่ แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาฯ พบว่าบริเวณที่ก่อสร้างบ้านพัก ตั้งอยู่ในเขต “อุทยานแห่งชาติทับลาน” 

4.สําหรับความเป็นมาของพื้นที่ก่อสร้างดังกล่าว มีรายละเอียดดังนี้

พ.ศ.2506 : คณะรัฐมนตรีมีมติประกาศพื้นที่ป่าวังน้ำเขียวเป็นป่าไม้ถาวร

พ.ศ.2515 : มีราชกิจจานุเบกษา ประกาศให้พื้นที่วังน้ำเขียว ท้องที่ต.สะแกราช อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา เป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติวังน้ำเขียว

พ.ศ.2521 : มีราชกิจจานุเบกษา ประกาศกําหนดเขตที่ดินในท้องที่อ.เมืองนครราชสีมา อ.ปักธงชัย และอ.โชคชัย จ.นครราชสีมา ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน

พ.ศ.2524 : มีราชกิจจานุเบกษา ประกาศกําหนดบริเวณที่ดินป่าวังน้ำเขียวและป่าครบุรี ในท้องที่ต.สะแกราช ต.วังน้ำเขียว อ.ปักธงชัย ต.ครบุรี ต.จระเข้หิน ต.โคกกระชาย อ.ครบุรี และต.สระตะเคียน ต.โนนสมบูรณ์ อ.เสิงสาง จ.นครราชสีมา และป่าแก่งดินสอ-ป่าแก่งใหญ่ และป่าเขาสะโตน ในท้องที่ต.บุพราหมณ์ ต.ทุ่มโพธิ์ อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี ให้เป็นอุทยานแห่งชาติทับลาน

พ.ศ.2528 : มีราชกิจจานุเบกษา ประกาศยกเลิกกฎกระทรวงป่าสงวนแห่งชาติป่าวังน้ำเขียว ปี พ.ศ.2515 แต่กําหนดให้เฉพาะพื้นที่ป่าวังน้ำเขียวในท้องที่ต.จะเข้หิน อ.ครบุรี และ ต.วังน้ำเขียว อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา ภายในเขตตามแผนที่ท้าย กฎกระทรวง เป็นป่าสงวนแห่งชาติ

พ.ศ.2551 : นางชญานิศฐ์ หรือ ป้อม พรหมมิจิตร (พิศิษฐวานิช) ปลัด อบต.ไทยสามัคคี เป็นผู้ครอบครองที่ดินแปลงเกิดเหตุ และเป็นแฟนกับพ.ต.ท.พงษ์เดช พรหมมิจิตร รอง ผกก.หน.สภ.วังน้ำเขียว (ยศและตําแหน่งในขณะนั้น)

พ.ศ.2554 : พ.ต.ท.พงษ์เดช และนางชญานิชฐ์ ร่วมกันขายที่ดินแปลงเกิดเหตุให้พล.ต.ต.จุมพล มั่นหมาย ผบช.ภ.3 (ยศและตําแหน่งในขณะนั้น) และเริ่มทําการก่อสร้างบ้านพัก และปรับภูมิทัศน์ที่ดินเพื่อพักอาศัย โดย พล.ต.อ.จุมพลฯ ได้ยึดถือครอบครองทําประโยชน์ เช่น มาพักผ่อนช่วงวันหยุด มีการจัดเลี้ยงช่วงเทศกาลต่าง โดยจ้างนางติ๋ม คอยดูแลทําความสะอาด และให้เงินเดือนทุกเดือน ส่วนการถือครองที่ดินตามหลักฐานการเสียบํารุงท้องที่ มีนางชญานิศฐ์ เป็นผู้ถือครองแทน

5.จากการตรวจสอบพื้นที่และการรวบรวมพยานหลักฐานเบื้องต้น พบว่ามีการกระทําความผิดจริง จึงได้มอบหมายให้นายผาด บัวบาน พนักงานพิทักษ์ป่า ระดับ ส. ได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.วังน้ำเขียว เพื่อให้ดําเนินคดีกับพล.ต.อ.จุมพลพล.ต.ต.พงษ์เดช และนางชญานิศฐ์ ในความผิดฐาน

1.ร่วมกันก่อสร้าง หรือทําด้วยประการใดๆ อันเป็นการทําลายป่าหรือเข้ายึดถือ หรือครอบครอง ป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตผู้ใดครอบครองป่าที่ได้ถูกแผ้วถางโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา ก่อนให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลนั้นเป็นผู้แผ้วถางป่านั้น ตามพะราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 54, 55 

2.ร่วมกันยึดหรือครอบครองที่ดิน รวมตลอดถึงก่นสร้าง แผ้วถาง หรือเผาป่าทําด้วยประการใด ๆให้เป็นอันตรายหรือทําให้เสื่อมสภาพแก่ดิน หิน กรวด หรือทราย ตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ มาตรา 16 (1),(4) 

3.ร่วมกันกระทําด้วยประการใดๆ โดยมิชอบด้วยกฎหมายอันเป็นการทําลายหรือทําให้สูญหาย แก่ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเป็นของรัฐ หรือเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบชดใช้ ค่าเสียหายให้แก่รัฐ ตามมูลค่าทั้งหมดของทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกทําลาย สูญหาย หรือเสียหายไปนั้น ตามพ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535 4.ร่วมกันยึดถือ ครอบครอง ทําประโยชน์ หรืออยู่อาศัยในที่ดิน ก่นสร้าง แผ้วถาง เผาป่า ทําไม้ เก็บหาของป่าหรือกระทําด้วยประการใดๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่า ตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา14

6.พนักงานสอบสวน สภ.วังน้ำเขียว ได้รับคําร้องทุกข์ไว้แล้ว ตามคดีอาญา เลขที่ 43/2560 ลงวันที่ 6 ก.พ. 2560 ซึ่งจะได้ดําเนินการสืบสวน สอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานดําเนินคดีกับผู้กระทําความผิดตามกฎหมายต่อไป.

ต่อมาวันที่ 12 กุมภาพันธ์  ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อกับนายประวัติศาสตร์ จันทร์เทพ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติทับลาน มรดกโลก (ในพื้นที่รอยต่อ 2 จังหวัด จ.ปราจีนบุรี กับ จ.นครราชสีมา) กล่าวว่า ทราบข้อมูลเพียงเบื้องต้นว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นมติของ ครม. การดำเนินทางคดีบ้านพักตากอากาศ มาจากส่วนกลาง กรุงเทพฯ โดยข้อมูลทางคดีและการตรวจยึดต่างๆ อยู่ที่ทางพนักงานสอบสวนเจ้าหน้าที่ตำรวจในขณะนี้ ซึ่งจะได้ติดตามเรื่องดังกล่าวต่อไป

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2560    
Last Update : 13 กุมภาพันธ์ 2560 16:57:57 น.
Counter : 525 Pageviews.  

อุตุนิยมวิทยาออกประกาศเตือนอากาศแปรปรวนอุณหภูมิลดมีลมแรงให้ดูแลสุขภาพของตัวเอง พยากรณ์อากาศ 13-19 กุ



อุตุนิยมวิทยาเตือนอากาศแปรปรวนเหตุความกดอากาศสูงจากจีนปกคลุมในไทยตอนบน อุณหภูมิลดลงมีลมแรง ภาคใต้เรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง 13-16 กุมภาพันธ์ขอให้ประชาชนดูแลสุขภาพของตัวเอง อ่านพยากรณ์อากาศ 13-19 กุมภาพันธ์แต่ละภาค

 

นายวันชัย ศักดิ์อุดมไชย อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยาได้ประกาศฉบับที่ 21 ลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2560 เรื่อง"อากาศแปรปรวนบริเวณประเทศไทย "

ระบุว่าบริเวณความกดอากาศสูงกำลังแรงจากประเทศจีนปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ลักษณะเช่นนี้ทำให้ในช่วงระหว่างวันที่ 13-14 กุมภาพันธ์ 2560 ประเทศไทยตอนบนจะมีอากาศหนาวเย็น โดยอุณหภูมิลดลงได้อีกเล็กน้อย กับมีลมแรง จึงขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลสุขภาพเนื่องจากอากาศเปลี่ยนแปลงไว้ด้วย

สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรง ทำให้บริเวณดังกล่าวมีคลื่นลมแรง โดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ขอให้ประชาชนที่อาศัยตามชายฝั่งภาคใต้ฝั่งตะวันออก ระวังอันตรายจากคลื่นลมแรงที่ซัดเข้าหาฝั่ง ชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยควรงดออกจากฝั่งในช่วงวันที่  13-16 กุมภาพันธ์ 2560      

ประกาศ ณ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เวลา 05.00 น. กรมอุตุนิยมวิทยาจะออกประกาศฉบับต่อไปวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เวลา 11.00 น.

พยากรณ์อากาศระหว่างวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2560 - 19 กุมภาพันธ์ 2560

การคาดหมาย 

การคาดหมายลักษณะ ในช่วงวันที่ 13-15 ก.พ. 60 บริเวณประเทศไทยตอนบนมีอากาศหนาวเย็นโดยทั่วไปกับมีลมแรง สำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังแรง โดยคลื่นสูง 2-3 เมตร ส่วนในวันที่ 16-19 ก.พ. 60 ประเทศไทยตอนบนจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นกับมีหมอกในตอนเช้าและมีหมอกหนาในบางพื้นที่ ส่วนบริเวณอ่าวไทยตอนล่างยังคงมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตรข้อควรระวัง  

ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 13-15 ก.พ. 60 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็น ส่วนในวันที่ 16-19 ก.พ. 60 ขอให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกหนาไว้ด้วย ส่วนชาวเรือบริเวณอ่าวไทยควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง เรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง ในช่วงวันที่ 13-16 ก.พ. 60

ลักษณะสำคัญทางอุตุนิยมวิทยา   

ในช่วงวันที่ 13-15 ก.พ. 60 บริเวณความกดอากาศสูงกำลังแรงจากประเทศจีนปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีอากาศหนาวเย็น สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมภาคใต้และอ่าวไทยมีกำลังแรง ทำให้บริเวณภาคใต้ตอนล่างมีฝนตกในระยะนี้ ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังแรง โดยคลื่นสูง 2-3 เมตร

ส่วนในวันที่ 16-19 ก.พ. 60 บริเวณความกดอากาศสูงจะมีกำลังอ่อนลงทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอุณหภูมิสูงขึ้นกับมีหมอกในตอนเช้าและมีหมอกหนาในบางพื้นที่ สำหรับภาคใต้ตอนล่างยังคงมีฝนตกได้ ส่วนมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือมีกำลังอ่อนลงแต่บริเวณอ่าวไทยตอนล่างยังคงมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร

ภาคเหนือ     

ในวันที่ 13-16ก.พ. 60 อากาศเย็นถึงหนาว และอุณหภูมิจะลดลงอีกเล็กน้อย

อุณหภูมิต่ำสุด 12-16 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-33 องศาเซลเซียส

บริเวณยอดดอยอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 5-13 องศาเซลเซียส

ส่วนในช่วงวันที่ 17-19 ก.พ. 60 อุณหภูมิจะสูงขึ้นกับมีหมอกในตอนเช้าและมีหมอกหนาในบางพื้นที่

ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม. /ชม.

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  

ในช่วงวันที่ 13-15 ก.พ. 60 อากาศเย็นถึงหนาว

อุณหภูมิต่ำสุด 12-16 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 26-30 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม. /ชม.

ส่วนในช่วงวันที่ 16-19 ก.พ. 60 อุณหภูมิจะสูงขึ้นกับมีหมอกในตอนเช้าและมีหมอกหนาในบางพื้นที่

อุณหภูมิต่ำสุด 16-20 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-36 องศาเซลเซียส

บริเวณยอดภูอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 7-13 องศาเซลเซียส

ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม. /ชม.

ภาคกลาง  

ในช่วงวันที่ 13-16 ก.พ. 60 อากาศเย็นถึงหนาว

อุณหภูมิต่ำสุด 16-20 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-33 องศาเซลเซียส

ส่วนในช่วงวันที่ 17-19 ก.พ. 60 อุณหภูมิจะสูงขึ้นกับมีหมอกในตอนเช้าและมีหมอกหนาในบางพื้นที่

อุณหภูมิต่ำสุด 20-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-36 องศาเซลเซียส

ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม. /ชม.

ภาคตะวันออก

ในช่วงวันที่ 13-16 ก.พ. 60 อากาศเย็น และลมแรง

อุณหภูมิต่ำสุด 16-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส

ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-35 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร

ส่วนในช่วงวันที่ 17-19 ก.พ. 60 อุณหภูมิจะสูงขึ้นกับมีหมอกในตอนเช้า

อุณหภูมิต่ำสุด 20-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-35 องศาเซลเซียส

ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1-2 เมตร

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2560    
Last Update : 13 กุมภาพันธ์ 2560 12:39:11 น.
Counter : 195 Pageviews.  

ประชาชนไม่เขื่อข่าวปองร้ายนายก ฯ โพลล์ระบุมีการปล่อยข่าว



“ดุสิตโพล” เผยผลสำรวจปชช.กรณีข่าวลอบปองร้าย “ประยุทธ์-ประวิตร” ชี้ปล่อยข่าวสร้างกระแส แนะเพิ่มบทลงโทษหาต้นตอคนปล่อยข่าว

 

เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2560. “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เปิดเผยสำรวจเพื่อเป็นการสะท้อนความคิดเห็นของประชาชนระหว่างวันที่ 6-10 ก.พ. ที่ผ่านมา เรื่อง “ข่าวลือ ข่าวปล่อย ในสายตาคนไทย” โดยพบว่า ประชาชนติดตามข่าวสารที่สนใจจากช่องทางใด/และช่องทางใดที่คิดว่าน่าเชื่อถือมากที่สุด โดยโทรทัศน์เป็นช่องทางที่ประชาชนเชื่อถือมากที่สุด/และเป็นช่องทางที่สนใจมากสุดมากถึง ร้อยละ 76.10 / 78.82 อันดับ 2 คือ โซเชียลมีเดีย และเฟซบุ๊คเป็นช่องทางที่สนใจมากสุดมากถึง ร้อยละ 68.27 และอันดับ 3 หนังสือพิมพ์ ร้อยละ 35.08

เมื่อถามถึงกรณีข่าว “จะมีการลอบปองร้ายผู้นำ” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ, พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประชาชนเชื่อหรือไม่? พบว่า ร้อยละ 76.99 ไม่เชื่อ เพราะไม่ทราบข้อมูลข้อเท็จจริง ควรมีวิจารณญาณ อาจเป็นการปล่อยข่าวสร้างกระแส ขณะที่ ร้อยละ 23.01 เชื่อ เพราะสาเหตุน่าจะมาจากนโยบายปราบปรามการทุจริตและผู้มีอิทธิพล ผู้นำแต่ละประเทศก็มักจะมีผู้ปองร้าย

ทั้งนี้ประชาชนส่วนใหญ่เชื่อว่า ข่าวการเมือง คือข่าวที่มีการปล่อยข่าว หรือข่าวลือมากที่สุด คือ 52.79 เปอร์เซ็นต์  เหตุผลเพราะการเมืองยังไม่นิ่ง มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด เป็นการเล่มเกมการเมือง แบ่งพรรคแบ่งพวก สร้างกระแส โจมตีกันไปมา ฯลฯ  รองลงมาคือข่าวเศรษฐกิจ 30.42 เปอร์เซ็นต์

เมื่อถามถึงวิธีจัดการการปล่อยข่าว หรือข่าวลือที่ดีที่สุด ประชาชนส่วนใหญ่คือ 84.67 เปอร์เซ็นต์  บอกให้เพิ่มบทลงโทษ เจ้าหน้าที่ดำเนินการอย่างจริงจัง เด็ดขาด รองลงมา 77.25 เปอร์เซ็นต์ เห็นว่าต้องสืบสวนหาต้นตอคนปล่อยข่าว ดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด และ 76.75 เปอร์เซ็นต์  เห็นว่าผู้บริโภคข้อมูล ต้องมีสติ ไม่ตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มไม่หวัง

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2560    
Last Update : 13 กุมภาพันธ์ 2560 7:22:23 น.
Counter : 191 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  

p_chusaengsri
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 52 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add p_chusaengsri's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.