พระราชทานอภัยโทษ เอ๋-ชนม์สวัสดิ์อดีตนายกอบจ.สมุทรปราการพ้นคุกแล้ว



“เอ๋-ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม”อดีตนายก อบจ.สมุทรปราการถูกปล่อยตัวจากเรือนจำกลางสมุทรปราการ ได้รับพระราชทานอภัยโทษตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ 2559 หลังต้องโทษในคดีทุจริตเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลฯต้องกลับไปรายงานตัวอีก 5 เดือนจนครบ

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 7 กันยายน 2559นายกฤษณ์ วงษ์เวช ผู้บัญชาการเรือนจำกลางสมุทรปราการ เปิดเผยว่า เมื่อเวลาประมาณ 07.00 น.เรือนจำกลางสมุทรปราการ ได้มีพิธีปล่อยตัวผู้ต้องราชทัณฑ์ ตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ 2559 ครั้งที่ 3 จำนวน 54 คน และ1 ในจำนวนนั้นมี นายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สมุทรปราการ ซึ่งต้องโทษในคดีทุจริตเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลนครสมุทรปราการ

นายกฤษณ์เปิดเผยว่าวันนี้กรมราชทัณฑ์ กำหนดให้ทุกเรือนจำปล่อยตัวผู้ต้องราชทัณฑ์ที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ ตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ 2559 โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม พร้อมกันทั่วประเทศ

ทั้งนี้เรือนจำกลางสมุทรปราการ ได้ปล่อยตัวผู้ต้องราชทัณฑ์ ตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ 2559 ไปแล้ว รวม 652 คน หลังจากนี้ผู้ที่ถูกปล่อยตัวจะเข้าสู่กระบวนการตามที่กรมราชทัณฑ์ ได้ประสานไปยัง 4 หน่วยงานประกอบด้วย กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงแรงงาน เพื่อติดตาม ดูแล ช่วยเหลือผู้พ้นโทษที่ต้องการความช่วยเหลือ เช่น ต้องการงานทำหรือ ต้องการการดูแลด้านสุขภาพต่อเนื่องจากหน่วยงานสาธารณสุขเป็นต้น อีกทั้งยังป้องกันการทำผิดซ้ำ

ส่วนบรรยากาศที่บ้านขาว ซึ่งเป็นบ้านพักของ นายชนม์สวัสดิ์ ตั้งอยู่ถนนท้ายบ้าน อ.เมือง จ.สมุทรปราการ พบว่าบ้านปิดเงียบ  เมื่อสอบถามไปยังคนใกล้ชิดระบุว่าขณะนี้ นายชนม์สวัสดิ์ได้ทำบุญอยู่ในกรุงเทพมหานคร แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดอื่นๆได้ ทั้งนี้   

มีรายงานว่าหลังจากได้รับการปล่อยตัวนายชนม์สวัสดิ์ เดินออกจากเรือนจำมีบรรดาคนใกล้ชิดพร้อมครอบครัวมารอต้อนรับที่ด้านหน้าเรือนจำ จากนั้นเดินทางไปกราบนมัสการพระครูวิจารณ์ธรรมคุณ หรือหลวงพ่อชาญ เจ้าอาวาสวัดบางบ่อ ก่อนตะเวนทำบุญตามวัดต่างๆในพื้นที่กรุงเทพมหานคร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการปล่อยตัวในครั้งนี้สืบเนื่องจากเป็นนักโทษชั้นดีจึงได้รับการเสนอชื่อให้ลดโทษในวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ 12 สิงหาคม และเข้าหลักเกณฑ์กลุ่มที่ได้รับการพักโทษ หลังต้องโทษมาแล้ว 2 ใน 3 จากคำพิพากษา

ผู้ได้รับการปล่อยตัวต้องมารายงานตัวกับเจ้าหน้าที่คุมประพฤติทุกเดือน จนครบกำหนดโทษจริง โดยนายชนม์สวัสดิ์ ตกเป็นจำเลยในคดีทุจริตเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลสมุทรปราการเมื่อปี 2542 ใช้เวลาต่อสู้ในชั้นศาลนานเกือบ 16 ปี สุดท้ายถูกศาลฎีกาพิพากษาลงโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือนเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ปี 2558 รวมระยะเวลาจำคุกจริง 1 ปี 33 วัน

 ที่มา thaitribune




 

Create Date : 08 กันยายน 2559    
Last Update : 8 กันยายน 2559 1:33:07 น.
Counter : 546 Pageviews.  

กรีนพีซเผย 10 เมืองของประเทศไทยพบฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐาน เชียงใหม่ ติดอันดับ 1



กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เผยข้อมูลการจัดอันดับเมืองที่มีค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) สูงสุด 5 อันดับคือ เชียงใหม่ ลําปาง ขอนแก่น กรุงเทพฯ และราชบุรี

 

7 กันยายน 2559 นายธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการ กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประจำประเทศไทย กล่าวว่า จากการจัดอันดับเมืองที่มีมลพิษฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) โดยข้อมูลสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศและฝุ่นละอองของกรมควบคุมมลพิษพบว่ามี 12 สถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศที่ติดตามตรวจสอบและรายงานค่า PM 2.5 ในพื้นที่ 10 จังหวัด โดยการประมวลผลระหว่างเดือนมกราคมถึงกรกฎาคม 2559 พบว่าจังหวัดเชียงใหม่มีค่าฝุ่นละอองเฉลี่ยรายปี 42 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร โดยเฉพาะช่วงหน้าร้อนและเริ่มลดลงในช่วงฤดูฝน สาเหตุมาจากปัญหามลพิษหมอกควันข้ามพรมแดน การจราจรในเมือง และการเผาไหม้ในที่โล่งแจ้ง ส่วนอันดับรองลงมา คือลำปาง 39 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ขอนแก่น 37 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร กรุงเทพมหานคร บริเวณเขตดินแดง 35 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ราชบุรี 32 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร กรุงเทพมหานครบริเวณเขตวังทองหลาง 28 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร สมุทรสาคร 27 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ระยอง 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ชลบุรี 21 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร กรุงเทพมหานคร บริเวณเขตพญาไท 24 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร สงขลา 23 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งช่วง 2 ปีที่ผ่านมาในพื้นที่ จังหวัดสระบุรีมีค่าเฉลี่ยสูงสุดของประเทศ แต่ปีนี้เครื่องตรวจวัดเสียจึงไม่สามารถเก็บข้อมูลค่าฝุ่นละอองได้ ภาพรวมถือว่าค่าเฉลี่ยสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานขององค์การอนามัยโลก คือ อยู่ที่ 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

จริยา เสนพงศ์ ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “ฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอนเป็นสิ่งที่เล็กเกินมองเห็น แต่เป็นปัญหาใหญ่ที่กรมควบคุมมลพิษไม่ควรมองข้ามคือ ดัชนีคุณภาพอากาศของประเทศไทยที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนั้นไม่เพียงพอที่จะบอกว่าอากาศที่เราหายใจเข้าไปจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเราหรือไม่อย่างไร”

ฝุ่นละออง มาจากภาคการขนส่ง การผลิตไฟฟ้า อุตสาหกรรมการผลิต ที่อยู่อาศัย ธุรกิจการค้า และการเผาในที่โล่ง แบ่งได้เป็นฝุ่นที่เกิดจากแหล่งกำเนิดโดยตรงและฝุ่นที่เกิดจากการรวมตัวของก๊าซและมลพิษอื่นๆ ในบรรยากาศ โดยเฉพาะซัลเฟอร์ไดออกไซด์และออกไซด์ของไนโตรเจน ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ยังเป็นมลพิษข้ามพรมแดนและปนเปื้อนอยู่ในบรรยากาศได้นาน เป็นฝุ่นอันตรายไม่ว่าจะมีองค์ประกอบทางเคมีใดๆ ก็ตาม เช่น ปรอท แคดเมียม อาร์เซนิก หรือโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน(PAHs) เป็นต้น ในปี พ.ศ.2556 องค์การอนามัยโลก(WHO) จึงกำหนดอย่างเป็นทางการให้ PM2.5 จัดอยู่ในกลุ่มที่ 1 ของสารก่อมะเร็ง

นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ จังหวัดสงขลา กล่าวว่า "ฝุ่นที่เราคิดว่าไม่มีอันตรายอะไร แต่แท้จริงฝุ่นขนาดเล็กมากอาจเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคมะเร็งบางชนิดได้ ฝุ่นพิษขนาด 2.5 ไมครอน นั้นเล็กมากจนสามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้ ดังนั้นฝุ่นพิษจึงเป็นตัวนำสารพิษสู่ร่างกายโดยเข้าไปอุดตันในเส้นเลือด และนอกจากเป็นปัจจัยการเกิดโรคมะเร็งแล้ว ยังทำให้เป็นโรคหัวใจ โรคเส้นเลือดสมองอุดตันได้ด้วย”

ดัชนีคุณภาพอากาศที่ใช้อยู่ในประเทศไทยขณะนี้ คำนวณโดยเทียบจากมาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศโดยทั่วไปของสารมลพิษทางอากาศ 5 ประเภท ได้แก่ ก๊าซโอโซน (O3) เฉลี่ย 1 ชั่วโมง ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) เฉลี่ย 1 ชั่วโมง ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) เฉลี่ย 8 ชั่วโมง ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) เฉลี่ย 24 ชั่วโมง และฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน (PM10) เฉลี่ย 24 ชั่วโมง และปัจจุบันมีสถานีตรวจวัดของกรมควบคุมมลพิษเพียง 12 สถานีใน 10 จังหวัดทั่วประเทศที่สามารถติดตามตรวจสอบและรายงานค่า PM2.5

จริยา เสนพงศ์  กล่าวสรุปว่า ”แทนที่จะเอื้อให้กับผู้ปล่อยมลพิษ รัฐบาลไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องลงมือดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อทำให้อากาศดีคืนมาและรับประกันถึงสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงอากาศสะอาด"

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 08 กันยายน 2559    
Last Update : 8 กันยายน 2559 1:14:22 น.
Counter : 303 Pageviews.  

ผลโพลชี้เยาวชน-ผู้ปกครอง หนุนเด็กไทยเล่นดนตรีไทยอย่างน้อย 1 อย่าง แต่ยังขาดแคลนเครื่องดนตรีไทย เครื่



กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับสวนดุสิตโพล เผยผลสำรวจทั่วประเทศเกี่ยวกับกรณีการส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนไทยสามารถเล่นดนตรีไทยได้อย่างน้อยคนละ 1 อย่าง ภายใน 5 ปี แต่ยังมีปัญหา โดย เครื่องดนตรีไทยมีไม่เพียงพอ, เครื่องดนตรีไทยเก่า ,ขาดแคลนครูสอนดนตรีไทย

พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.)ว่า วธ.ร่วมกับสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิตสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ทั่วประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์การเรียนการสอนดนตรีไทย หัวข้อความคิดเห็นเด็ก เยาวชน ผู้ปกครองและบุคลากรทางการศึกษาที่มีต่อ "ดนตรีไทย" แบ่งเป็นผู้ปกครองและบุคลากรทางการศึกษา 1,310 คน และความคิดเห็นของเด็ก และเยาวชน ทั่วประเทศ 1,888คน

จากการสอบถามความคิดเห็นเด็กและเยาวชน กรณีจะส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนไทยสามารถเล่นดนตรีไทยได้อย่างน้อยคนละ 1 อย่าง ภายใน 5 ปี พบว่า

   ร้อยละ 88.50  เห็นด้วย

   ร้อยละ 8.64  ไม่แน่ใจ

   ร้อยละ 2.86  ไม่เห็นด้วย 

ขณะที่ความเห็นของผู้ปกครองและบุคลากรทางการศึกษาเห็นด้วยที่จะส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนไทยสามารถเล่นดนตรีไทยได้อย่างน้อยคนละ 1 อย่าง ภายใน 5 ปี

   ร้อยละ 92.67 เห็นด้วย

   ร้อยละ 5.73 ไม่แน่ใจ

   ร้อยละ 1.60 ไม่เห็นด้วย

พล.อ.ธนะศักดิ์ กล่าวต่อว่า จากการสำรวจความเห็นพบว่า ปัญหาอุปสรรคในการเรียนการสอนดนตรีไทยในโรงเรียน/สถานศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่

   ร้อยละ 46.06 บอกว่า เครื่องดนตรีไทยมีไม่เพียงพอ

   ร้อยละ 23.88 เครื่องดนตรีไทยเก่า/ชำรุด

   ร้อยละ 16.17 ครูสอนดนตรีไทยมีจำนวนไม่เพียงพอ

   ร้อยละ 8.63 ไม่มีห้องเรียนสำหรับเรียนดนตรีไทยโดยเฉพาะ

   ร้อยละ 3.79 ครูที่สอนไม่ได้จบการศึกษาด้านดนตรีไทย จากการสอบถามว่า

สถานศึกษามีการจัดการเรียนการสอนดนตรีไทยอย่างไรเด็กและเยาวชน

   ร้อยละ 76.06 บอกว่ามีครูผู้สอนที่โรงเรียน ที่จบหลักสูตรดนตรีไทยโดยตรง

   ร้อยละ 13.92 มีครูผู้สอนที่โรงเรียน ที่ไม่ได้จบหลักสูตรดนตรีไทยโดยตรง

   ร้อยละ 3.74 มีครูผู้สอนจากที่อื่นมาสอนที่โรงเรียน และได้สอบถามเยาวชนว่า

เคยเรียนดนตรีไทย/ดนตรีประเภทใดที่เคยเรียน พบว่า

   ร้อยละ 26.52 เคยเรียนเครื่องตีคือ ฉิ่ง ระนาดเอก ฉาบ กลองยาว ระนาดทุ้ม กรับพวง

   ร้อยละ 21.10 เรียนเครื่องดนตรีพื้นบ้านไทย ภาคอีสาน ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคใต้

   ร้อยละ 20.94 เคยเรียนเครื่องเป่า ขลุ่ยเพียงออ ขลุ่ยอู้ ขลุ่ยหลิบ ปี่ชวา ปี่มอญ ปี่ไฉน เป็นต้น

นอกจากนี้ได้สำรวจว่าเด็ก เยาวชนว่าเล่นดนตรีไทยได้กี่ชนิด พบว่า

   ร้อยละ 49.22 เล่นได้ 1 ชนิด

   ร้อยละ 19.76 เล่นไม่ได้

   ร้อยละ 16.22 เล่นได้ 2 ชนิด

   ร้อยละ 7.44 เล่นได้ 3 ชนิด

   ร้อยละ 4.53 เล่นได้ 4 ชนิด

   ร้อยละ 2.83 เล่นได้มากกว่า 5 ชนิด

ปัจจุบันโรงเรียน/สถานศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ ได้จัดการเรียนการสอนดนตรีไทยหรือไม่ พบว่า

   ร้อยละ 60.75 บอกว่ามีและเปิดสอนนักเรียน/นักศึกษาระดับมัธยมต้น มัธยมปลาย ประถม

   ร้อยละ 20.07 ไม่มี

ทั้งนี้ได้สอบถามความเห็นเยาวชนที่ไม่เคยเล่นดนตรีไทยว่าถ้ามีโอกาสสนใจจะเรียนดนตรีไทย หรือไม่

   ร้อยละ 60.08 สนใจต้องการจะเรียนดนตรีไทยประเภท/ชนิด : ขิม ระนาดเอก จะเข้ ระนาด พิณ ฉิ่งกลอง

   ร้อยละ 39.92 ไม่สนใจ

การเล่นดนตรีไทยมีคุณค่าหรือมีความสำคัญหรือมีประโยชน์อย่างไร

   ร้อยละ 22.97 บอกว่ารักษาขนบธรรมเนียมประเพณีไทยให้คงอยู่ต่อคนรุ่นหลังและตลอดไป

   ร้อยละ 21.56 ได้ฝึกสมาธิช่วยให้เป็นคนรอบคอบ

   ร้อยละ 17.79 ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์

   ร้อยละ 15.66 สนุกสนานและผ่อนคลายความเครียด

อย่างไรก็ตามได้มอบหมายให้ วธ. นำความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่างๆ จากเด็ก เยาวชน ผู้ปกครองและบุคลากรทางการศึกษาที่ได้จากการสำรวจความคิดเห็นครั้งนี้มาใช้ประกอบในการกำหนดแนวทางในการส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนไทยเล่นดนตรีไทยเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งใช้เป็นแนวทางในการกำหนดมาตรการการสนับสนุนทั้งเรื่ององค์ความรู้และสนับสนุนเครื่องดนตรีไทยให้กับเยาวชนที่ต้องการเรียนดนตรีไทยแต่ขาดแคลนเครื่องดนตรี

 ที่มา thaitribune




 

Create Date : 07 กันยายน 2559    
Last Update : 7 กันยายน 2559 7:14:16 น.
Counter : 415 Pageviews.  

ศาลฎีกาพิพากษายืนจำคุก“สนธิ ลิ้มทองกุล”20 ปีทำเอกสารเท็จกู้กรุงไทย-ส่งเข้าเรือนจำพร้อมสตรีอีก 2 คน



ศาลฎีกาพิพากษายืนจำคุก 20 ปี สนธิ ลิ้มทองกุล คดีทำเอกสารรายงานเท็จกู้ธนาคารกรุงไทยกว่าพันล้านพร้อมผู้หญิงอีก 2 คน เจ้าหน้าที่นำส่งเรือนจำทันที เผยเป็นคดีมาตั้งแต่ปี 2539 นสพ.ผู้จัดการมีคลิปให้ชมด้วย

 

เมื่อเวลา 10.25 น.วันที่ 6 กันยายน 2559 ที่ห้องพิจารณา 912 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำ อ.1036/2552 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ในเครือผู้จัดการและอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.),นายสุรเดช มุขยางกูร อดีตกรรมการบริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ,น.ส.เสาวลักษณ์ ธีรานุจรรยงค์ อดีตผู้บริหารแผนฟื้นฟู บมจ. แมเนเจอร์ฯ และ น.ส.ยุพิน จันทนา อดีตกรรมการ บมจ. แมเนเจอร์ฯ เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานกระทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 มาตรา 307, 311, 312 (1) (2) (3) , 313

กรณีเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2539 - 31 มีนาคม 2540 จำเลยทั้งสี่ เป็นกรรมการบริษัท แมเนเจอร์ ฯได้ร่วมทำสำเนารายงานการประชุมของกรรมการบริษัทเป็นเท็จว่า กรรมการมีมติให้บริษัท เป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้กับบริษัท เดอะ เอ็ม กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ซึ่งนายสนธิ จำเลยที่ 1 ถือหุ้นอยู่ รวม 6 ครั้ง จำนวน 1,078 ล้านบาท โดยไม่ได้ขออนุมัติจากมติที่ประชุมกรรมการบริษัท และยอมให้มีการเปลี่ยนแปลงบัญชีไม่ตรงกับความเป็นจริง และไม่ได้นำภาระการค้ำประกันเงินกู้ดังกล่าวส่งให้ตลาดหลักทรัพย์ ละสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดดหลักทรัพย์ (กลต.) เพื่อลวงให้ผู้ถือหุ้นบริษัท แมเนเจอร์ฯ ขาดประโยชน์ที่ควรจะได้รับ รวมทั้งเป็นการลวงให้นักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ไม่ได้รับรู้ถึงการค้ำประกันหนี้ดังกล่าว

คดีนี้ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555 ลงโทษนายสนธิ จำเลยที่ 1 และ น.ส.เสาวลักษณ์ จำเลยที่ 3 ฐานร่วมกันกระทำผิดต่อหน้าที่โดยทุจริตเป็นเหตุให้บริษัทเสียหาย โดยร่วมกันกระทำการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้ , ร่วมกันไม่ลงข้อความสำคัญในบัญชีหรือเอกสารของบริษัท และร่วมกันทำบัญชีไม่ครบถ้วนไม่เป็นปัจจุบัน ไม่ตรงต่อความเป็นจริงเพื่อลวงให้บริษัท และผู้ถือหุ้นขาดประโยชน์ ตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ ฯ มาตรา 307,311,312,313 ให้จำคุกคนละ 17 กระทงๆละ 5 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 และ 3 ทั้งสิ้น 85 ปี

ส่วน น.ส.ยุพิน จำเลยที่ 4 ให้ลงโทษตามความผิดเดียวกัน 13 กระทงๆ ละ 5 ปี รวมจำคุก 65 ปี ขณะที่นายสุรเดช จำเลยที่ 2 ให้จำคุก 5 ปี ตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ ฯมาตรา 313

จำเลยทั้งหมดให้การรับสารภาพ เห็นควรลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุกจำเลยที่ 1 และ 3 เป็นเวลา 42 ปี 6 เดือน และจำเลยที่ 4 จำคุก 32 ปี 6 เดือน แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงผิดแล้วให้จำคุกจำเลยที่ 1,3,4 สูงสุดตามกฎหมายมาตรา 91(2) คนละ 20 ปี ส่วนจำเลยที่ 2 จำคุก 2 ปี 6 เดือน

ต่อมามีการอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำตัดสินเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2557 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ส่วนนายสุรเดช จำเลยที่ 2 ไม่ได้ยื่นอุทธรณ์ คดีจึงถือที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นรับโทษจำคุก 2 ปี 6 เดือน

ในชั้นฎีกา จำเลยที่ 1,3,4 ยื่นฎีกา ต่อสู้ว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดกรรมเดียว โดยขอให้ศาลพิพากษาลงโทษสถานเบาและให้รอการลงโทษ

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมแล้วเห็นว่า ในการทำรายงานการประชุมเท็จหนึ่งครั้ง แต่พวกจำเลยนำสำเนาไปยื่นค้ำประกันการกู้ยืมเงินถึง 6 ครั้ง ในวัน-เวลาที่แตกต่างกัน รวมเวลา 1 ปี ขณะที่จำนวนเงินกู้ยืมเงินแต่ละครั้งก็ไม่เท่ากัน ที่ศาลล่างพิพากษาลงโทษจำเลยรายกระทงนั้นชอบแล้วฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ ศาลเห็นว่า การบริหารบริษัทต้องมีหลักธรรมมาภิบาล โดยบริษัทของจำเลยเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์มีผู้เกี่ยวข้องจำนวนมาก หากกรรมการบริษัทกระทำผิดเสียเองย่อมสร้างต่อบริษัท และส่งผลกระทบจำนวนมาก การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดร้ายแรง ที่จำเลยอ้างถึงคุณงามความดียังไม่เพียงพอที่จะให้รอการลงโทษได้  ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น ที่ศาลล่างพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้นชอบแล้ว พิพากษายืน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังคำฟังคำพิพากษา นายสนธิ ได้โอบกอดให้กำลังใจจำเลยร่วมอีก 2 คน ก่อนที่นายสนธิจะออกมาโทรศัพท์แจ้งข่าวผู้ใกล้ชิด จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้ควบคุมตัวทั้งสามมายังห้องควบคุมตัวใต้ถุนศาล

ต่อมาเวลา 11.00 น. เศษ เจ้าหน้าราชทัณฑ์ ได้ควบคุมตัวนายสนธิ,น.ส.เสาวลักษณ์ อดีตผู้บริหารแผนฟื้นฟู บมจ.แมเนเจอร์ฯ และ น.ส.ยุพิน อดีตกรรมการ บมจ. แมเนเจอร์ฯ เพื่อส่งตัวเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และทัณฑสถานหญิงกลาง โดยน.ส.เสาวลักษณ์ ได้ร้องไห้ ขณะขึ้นรถเรือนจำเดินทางไปเรือนจำด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล บุตรชายของนายสนธิ,นายพิภพ ธงไชย อดีตแกนนำพันธมิตรฯ,นายปานเทพ พัวพงษ์พัน ,นายปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการ,กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และนายตุลย์ ศิริกุลพิพัฒน์ บรรณาธิการอาวุโส นสพ.เอเอสทีวีผู้จัดการเดินทางมาให้กำลังใจด้วย

น.ส.อัจฉรา แสงขาว หนึ่งในทีมทนายความของนายสนธิ เปิดเผยว่า ปกติแล้วนายสนธิเป็นคนที่มีกำลังใจดี การอยู่ในเรือนจำจึงไม่น่าจะมีปัญหา อย่างไรก็ตาม การดำเนินการหลังจากนี้คงต้องรอให้การคุมขังครบกำหนดที่ต้องรับโทษมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ตามคำพิพากษาของศาลจึงจะดำเนินการยื่นเรื่องขอพักการลงโทษตามหลักเกณฑ์ระเบียบของกรมราชทัณฑ์ต่อไป คงใช้เวลาอีกนานสักระยะหนึ่ง ส่วนเรื่องการขอพระราชทานอภัยโทษเป็นรายบุคคลนั้นต้องขึ้นอยู่กับความประสงค์ของนายสนธิอีกครั้ง

ศาลฎีกาพิพากษายืนจำคุก “สนธิ” ผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์ (มีคลิป)

//manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9590000089404

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 07 กันยายน 2559    
Last Update : 7 กันยายน 2559 0:18:55 น.
Counter : 279 Pageviews.  

ดูเตอร์เต้ด่าโอบามา“ลูกอีดอก”ยันไม่ใช่หุ่นเชิดใครมีอธิปไตยของตัวเองแฉสหรัฐทำให้ฟิลิปปินส์ไม่สงบในมิน



ดูเตอร์เต้อัดโอบามา“ลูกอีดอก”ประกาศไม่ใช่หุ่นเชิดของสหรัฐ เป็นประเทศมีอธิปไตยของตัวเอง ไม่สนวิจารณ์การปราบอาชญากรรมยาเสพติดใครจะว่ายังไงก็ตามจะฟังเฉพาะคนฟิลิปปินส์ แฉสหรัฐเป็นเหตุให้เกาะมินดาเนาเกิดความไม่สงบ ทำเนียบขาวสั่งงดการพบแบบทวิภาคีในการประชุมอาเซียน วันถัดมาดูเตอร์เต้แสดงความเสียใจที่โจมตีส่วนตัว

เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2559 สำนักข่าว CNN รายงานว่าประธานาธิบดีร้อดริโก้ ดูเตอร์เต้ ของฟิลิปปินส์เป็นผู้ทำลายการพบปะแบบทวิภาคีกับประธานาธิบดีบารัค โอบามา ด้วยการใช้คำพูดแบบผรุสวาทเมื่อวันที่ 5 กันยายนเป็นเหตุให้ทำเนียบขาวประกาศยกเลิกการพบปะที่จะมีขึ้นในระหว่างการประชุมอาเซียนที่นครเวียงจันทน์  

เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวเปิดเผยว่าหากมีการพบปะกันทั้งโอบามาและดูเตอร์เต้จะเผชิญหน้ากันในปัญหาการปราบปรามผู้ค้ายาเสพติด,การทำวิสามัญฆาตกรรมโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลฟิลิปปินส์ที่ไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรม  

“เขาคิดว่าเขาเป็นใคร ?  ผมไม่ใช่หุ่นเชิดของอเมริกัน ผมเป็นประธานาธิบดีที่มีอธิปไตยแห่งดินแดนของตัวเอง และผมจะไม่ตอบคำถามใดๆกับใคร ยกเว้นคนฟิลิปปินส์”นายดูเตอร์เต้กล่าวเมื่อวันที่ 5 กันยายน“ลูกอีดอก,ผมจะสบถใส่แบบนี้” (Who does he think he is? I am no American puppet. I am the president of a sovereign country and I am not answerable to anyone except the Filipino people," Duterte scoffed in a speech Monday. "Son of a bitch, I will swear at you.)

รายงานข่าวเปิดเผยว่าทั้งนายโอบามาและนายดูเตอร์เต้จะพบกันแบบทวิภาคีในสัปดาห์นี้ระหว่างการประชุมอาเซียนที่นครเวียงจันทน์ อย่างไรก็ตามเมื่อแผนการยกเลิก ในวันที่ 6 กันยายนโอบามาจะพบกับประธานาธิบดี ปัก กัน-เฮย แห่งเกาหลีใต้แทน   

ซีเอ็นเอ็นรายงานว่านายดูเตอร์เต้ตำหนิสหรัฐอเมริกาเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความไม่สงบทางภาคใต้ของฟิลิปปินส์ในเกาะมินดาเนา

“จากข้อเท็จจริงแล้ว เรารับมรดกตกทอดปัญหานี้มาจากสหรัฐฯ”นายดูเตอร์เต้กล่าว “ทำไมหรือ ? ก็พวกเขาบุกเข้ามาในประเทศเราและทำให้คนของเราเป็นคนเข้าปราบปราม ทุกคนก็มีประวัติที่น่ากลัวของการทําวิสามัญฆาตกรรม ทำไมจึงมีปัญหาหากเราจะปราบปรามอาชญากรรม

ดูเตอร์เต้ไม่ลดละเขากล่าวอีกว่าให้ดูปัญหาสิทธิมนุษยชนในสหรัฐตลอดมา ดูสินว่าเขาจัดการอย่างไรกับคนอพยพ

ในประเด็นนี้ทำให้นายโอบามายุติการพบปะกับนายดูเตอร์เต้ “ผมต้องการความมั่นใจว่าหากมีการพบปะกันแล้วจะเกิด

การสร้างสรรหรือไม่หรือว่าจะทำให้การพบปะลุล่วงไปหรือไม่”นายโอบามากล่าวในระหว่างการแถลงข่าว

“เรื่องนี้ต้องหยิบยกขึ้นมาพูดว่า เราจะพบกันหรือไม่ เมื่อไหร่”นายโอบามากล่าว โดยอ้างถึงกรณีข้อถกเถียงนโยบายการปราบปรามยาเสพติดนับตั้งแต่นายดูเตอร์เต้เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์  

อย่างไรก็ตามในช่วงบ่าย ทำเนียบขาวก็ประกาศยกเลิกการพบปะกันของผู้นำ 2 ประเทศ  

ฟิลิปปินส์ทำสงครามปราบยาเสพติด

นับตั้งแต่ประธานาธิบดีดูเตอร์เต้ได้รับเลือกเข้าบริหารประเทศมีรายงานว่าผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดถูกสังหารไป 1,900 ราย ในจำนวนนี้ถูกตำรวจสังหาร 700 ราย  

ทั้งนี้ในการกล่าวปาฐกถาทั่วประเทศของดูเตอร์เต้เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2016 ได้ปลุกให้เจ้าหน้าที่“พยายามขึ้นเป็น 2 เท่าและ 3 เท่าตัวหากจำเป็นต้องปราบปราม เราจะไม่หยุดจนกว่าจะกำจัดเจ้าพ่อยาเสพติดคนสุดท้าย ผู้สนับสนุนการเงินคนสุดท้ายหรือคนสุดท้ายที่จะต้องมอบตัวไม่เช่นนั้นก็ต้องไปอยู่ในคุก ....หรือดินกลบหน้า หากเขาต้องการ”

ทางด้านนายมาร์ติน แอนดานาร์ เลขานุการสำนักงานประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ฝ่ายการสื่อสารกล่าวว่าเรื่องนี้เราไม่ได้ถกเถียงการทำวิสามัญฆาตกรรม แต่รัฐบาลเข้ามาเพื่อรักษาไม่ให้ประชาชนตกเป็นทาสของยาเสพติดและลงโทษกลุ่มที่ฝ่าฝืนกฎหมาย รวมทั้งพวก“ขาใหญ่”ด้วย

“สำนักงานตำรวจแห่งชาติฟิลิปปินส์กำลังลงมือสอบสวนสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการลงมือสังหารและการดำเนินงานที่ได้รับรายงานถึงเรื่องการตาย”นายแอนดานาร์กล่าว

ขณะที่กลุ่ม Human Rights Watch ได้เรียกร้องให้คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดสากลและสำนักงานปราบปรามอาชญากรรมและยาเสพติดแห่งองค์การสหประชาชาติร่วมกันประณามการสังหารผุ้ต้องสงสัยผู้ใช้และผู้ค้ายาเสพติดที่เพิ่มขึ้นจำนวนมาก(ในฟิลิปปินส์)

ต่อมาวันที่ 6 กันยายนสำนักประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ได้ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจที่นายดูเตอร์เต้ออกมาใช้คำผรุสวาทต่อประธานาธิบดีโอบามา จนทำให้ทำเนียบขาวต้องระงับการพูดคุยแบบทวิภาคีของสองผู้นำ  นายดูเตอร์เต้เองยอมรับว่าคำแถลงที่ออกไปจากโฆษกของเขานั้นเขาแสดงความเสียใจ“เป็นการการเกิดขึ้นแบบส่วนตัวที่โจมตีประธานาธิบดีสหรัฐ”

คำแถลงยังระบุว่าจะมีการหาข้อแตกต่างระหว่างความจำเป็นอันดับแรกก่อนอื่นใดของประเทศและการรับรู้(ร่วมกัน) 

 ที่มา thaitribune




 

Create Date : 07 กันยายน 2559    
Last Update : 7 กันยายน 2559 0:03:44 น.
Counter : 286 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  

p_chusaengsri
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 52 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add p_chusaengsri's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.