กฎหมายห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2560 มีผลบังคับใช้โทษจำคุก



ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ พระราชบัญญัติ ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด พ.ศ. 2560 มีผลแล้วชี้ เป็นความผิดอาญาแผ่นดินอันยอมความไม่ได้ เพิ่มโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2560 ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่พระราชบัญญัติ ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.๒๕๖๐ แล้ว โดยมีรายละเอียดระบุว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชโองการโปรดเกล้าฯให้ประกาศว่าโดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคําแนะนําและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้

มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.๒๕๖๐”

มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๓ ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พุทธศักราช ๒๔๗๕

มาตรา ๔ บุคคลใดให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินหรือกระทําการใดๆ อันมีลักษณะเป็นการอําพราง การให้กู้ยืมเงิน โดยมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

(๑) เรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกําหนดไว้
(๒) กําหนดข้อความอันเป็นเท็จในเรื่องจํานวนเงินกู้หรือเรื่องอื่นๆ ไว้ในหลักฐานการกู้ยืม หรือตราสารที่เปลี่ยนมือได้เพื่อปิดบังการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกําหนด หรือ

(๓) กําหนดจะเอาหรือรับเอาซึ่งประโยชน์อย่างอื่นนอกจากดอกเบี้ย ไม่ว่าจะเป็นเงิน หรือสิ่งของหรือโดยวิธีการใดๆ จนเห็นได้ชัดว่าประโยชน์ที่ได้รับนั้นมากเกินส่วนอันสมควรตามเงื่อนไขแห่งการกู้ยืมเงินมาตรา ๕ บุคคลใดได้มาซึ่งสิทธิเรียกร้องจากบุคคลอื่นโดยรู้ว่าเป็นสิทธิที่ได้มาจากการกระทําความผิดตาม

มาตรา ๕ และใช้สิทธินั้นหรือพยายามถือเอาประโยชน์แห่งสิทธินั้น ต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๔

มาตรา ๖ เมื่อศาลพิพากษาว่าจําเลยมีความผิดแต่รอการกําหนดโทษหรือรอการลงโทษไว้ไม่ว่าจะมีคําขอหรือไม่ ศาลอาจนําวิธีการเพื่อความปลอดภัยตามมาตรา ๓๙ (๓) และ (๕) แห่งประมวลกฎหมายอาญามาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา ๗ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระราชโองการ
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี

ทั้งนี้ พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 ใช้บังคับมาเป็นเวลานานถึง 84 ปี บทบัญญัติจึงไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ประกอบกับการให้กู้ยืมเงินที่เรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา หรือการเรียกเอาประโยชน์อย่างอื่น ทำให้เกิดเครือข่ายผู้มีอิทธิพลเรียกเก็บดอกเบี้ยรายวันในอัตราที่สูง เกิดองค์กรอาชญากรรมที่อาศัยธุรกิจรูปแบบเช่าซื้อเงินด่วน กระจายไปตามที่สาธารณะ สื่อออนไลน์ ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี

กฎหมายดังกล่าวจะช่วยคุ้มครองสิทธิประชาชนไม่ให้ถูกละเมิด เพราะกำหนดความผิดชัดเจน อัตราโทษสูงขึ้น โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดจะมีโทษสูงขึ้น และนำกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินมาใช้บังคับควบคู่ด้วย โดยสาระสำคัญของร่างได้กำหนดอัตราโทษเพิ่มขึ้น จากเดิมผู้เรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 1,000 บาท เป็นจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสนบาท ในกรณีที่มีการกระทำความผิดเป็นกลุ่มกระบวนการที่เป็นลักษณะนายทุนมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 5 แสนบาท และหากผู้กระทำผิดเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องเพิ่มโทษเป็น 2 เท่า

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 16 มกราคม 2560    
Last Update : 16 มกราคม 2560 11:03:11 น.
Counter : 397 Pageviews.  

น้ำท่วมภาคใต้ วิกฤติที่เป็นโอกาสเอา"ข้าวสาร"มาหลอมใจคนไทยให้รักกัน โดย กาย ไพรินทร์



น้ำท่วมภาคใต้ครั้งนี้หลายครอบครัวแทบสิ้นเนื้อประดาตัว กาย ไพรินทร์ เสนอไว้ในเฟซบุ๊กว่าหากเราช่วยกัน บริจาคข้าวสารบ้านละ 2 กิโลกรัมให้ชาวใต้ที่ถูกน้ำท่วมครัวเรือนละ 2-3 กระสอบก็จะช่วยให้เกิดความอุ่นใจ เขาพร้อมที่จะเป็นตัวกลางในการดำเนินงานครั้งนี้ ดังนี้...

 

"น้ำท่วมภาคใต้"...ครั้งนี้สาหัสอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แถมท่วมในช่วง "เศรษฐกิจตกต่ำ" ดิ่งเหวมายาวนาน...พืชทางการเกษตรราคาก็ไม่ได้กระเตื้อง เงินเก็บเงินออมของชาวบ้านแทบจะหมดกระปุก เงินฝากในบัญชีก็ร่อยหรอจนน่าใจหาย...

กระแสน้ำซัดกระหน่ำบ้าน รถ ข้าวของ และเครื่องใช้ต่างๆ พังยับเยิน ลองคิดถึงสภาพคนหาเช้ากินค่ำ จะอยู่ในอาการอย่างไร เพราะที่ผ่านมา มีพวกนักการเมืองบางกลุ่ม คอยเสี้ยมให้ประชาชนขัดแย้งแตกแยกกัน เพื่อจะให้ตัวเองดูดีมีบทบาทเหมือน"พระเอกนางเอก" มานับ 10 ปี

โจมตีกันไปมาแทบจะแบ่งภาคกันอยู่ โพสต์ข้อความกระแนะกระแหนด่าทอกันทาง"เฟสบุ๊ค"...ปลุกกระแสความเกลียดชังกันไม่จบไม่สิ้น ผมว่านะ "พวกเราชาวบ้าน" ที่มีความฉลาด และ "จริงใจ" มากกว่าพวกนักการเมืองบางกลุ่มบางคน เอาอย่างนี้ดีไหม

พวกเรามา "เปลี่ยนแปลง" สังคมไทยกันสักครั้ง...อาศัยจังหวะ"น้ำท่วมภาคใต้"นี่แหละเป็นจุดเริ่มต้น พี่น้องภาคเหนือ อีสาน กลาง ซึ่งเป็นแหล่งปลูกข้าวรายใหญ่...แม้ที่ผ่านมาการเมืองจะ"หลอก"พวกเราให้เกิดความขัดแย้งกันระหว่างภาคใต้ เหนือ อีสาน กลาง ออก ตก จำนวนไม่น้อย...

ผมว่าพวกเราน่าจะถือโอกาสนี้ "ยื่นไมตรีจิต" ที่ดีต่อกัน ผมคงไม่ขอให้ใครบริจาคเงินหรอก...เพราะชาวบ้านอย่างพวกเราก็มีเงินพอประทังชีวิตตัวเองไปวันๆ แต่สิ่งหนึ่งที่มีคุณประโยชน์มหาศาลไม่ต้องไปซื้อหามาด้วยเงินเพิ่มความรวยให้พวกพ่อค้ามันอีก...

สิ่งนั้นก็คือ "ข้าวสาร" ขายก็ไม่ค่อยได้ราคามากนัก เอาไว้กินก็คงไม่หมดหรอก พวกเราแบ่งข้าวมาช่วยเหลือพี่น้องชาวใต้บ้านละ 2 กิโลกรัม ซึ่งไม่ได้มากอะไร ผมว่าท่าจะดีนะ ...เพื่อเอาไปช่วยเหลือพี่น้องชาวใต้ที่เดือดร้อนจากน้ำท่วมครั้งนี้ เพราะชาวบ้านจำนวนไม่น้อยแทบสิ้นเนื้อประดาตัวเลยทีเดียว ...

รัฐบาลจะช่วยได้สักเท่าไหร่ เราก็รู้ๆกันอยู่ ต่อให้น้ำลดก็ตาม "ครอบครัว" ที่ถูกน้ำท่วมจนมิดหลังคา ยังต้องทนเดือดดร้อนลำบากฟื้นฟูอีกเป็นปีๆ ยิ่งเศรษฐกิจตกต่ำแบบนี้ ฟื้นไม่ง่ายนัก ...

อย่างน้อยถ้าพวกเราเอาข้าวไปมอบให้ครอบครัวละ 2-3 กระสอบ ก็กินได้ครึ่งปี หรือ 1 ปี คนเราในยามลำบากแต่ยังมีข้าวสารไว้ติดบ้านก็ยังพอ"อุ่นใจ" ผมว่าลืมความขัดแย้งที่พวกนักการเมืองปั่นหัวพวกเราเสียเถอะ ...

นี่คือ โอกาสที่ดีที่ "คนไทยทั้งประเทศ" จะกลับมาเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้องที่ดีต่อกันได้เหมือนเดิม ช่วยกันคนละเล็กละน้อยในยามยากนี่แหละ "จะเข้าใจซึ้งใจเห็นใจ และเข้าใจกันแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น" ...

อย่างคำสอน "พระพุทธเจ้า" ว่า ....อันไหนปล่อยวางได้ก็ปล่อยวางไปเถอะ ถือไว้ก็หนักอยู่ในอกเราเปล่าๆ เพราะการเก็บความทุกข์ไว้ในใจเหมือนกับตกอยู่ใน "ขุมนรก" ดีๆนี่เอง ...ถ้าใครคิดว่า "แนวคิด" นี้ดีมีประโยชน์ต่อคนไทยด้วยกัน เบื่อความขัดแย้ง ก็ช่วย "กดไลค์ กดแชร์" เลี้ยงกระแสเพื่อไม่ให้เงียบต่อไป...

ถ้าทำกันเองได้ก็ทำกันไปเลยครับ หรือถ้าขาดคนประสานงานที่มีใจเป็นกลางไม่ฝักใฝ่กลุ่มผลประโยชน์ใด... ผมยินดีเป็นตัวกลางประสานงานรับบริจาคข้าวสารเพื่อช่วยเหลือ "พี่น้องชาวใต้" ที่ได้รับความเดือดร้อนในครั้งนี้...

...ไม่ได้ต้องการชื่อเสียง ไม่สนใจการเมือง แค่อยากเห็น "คนไทย" กลับมารักกันดังเดิมเท่านั้นเอง...การให้ในยามยากคือจุดเริ่มต้นของความเข้าใจกัน

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 13 มกราคม 2560    
Last Update : 13 มกราคม 2560 15:43:10 น.
Counter : 310 Pageviews.  

ตั้งตารอเลย “ดีที่สุดของ iPhone ยังมาไม่ถึง” คำให้สัมภาษณ์จาก Tim Cook



ในโอกาสครบรอบการเปิดตัวทำตลาดของโทรศัพท์ iPhone ที่ครบรอบ 10 ปี กันไปเมื่อช่วงวันที่ 9 มกราคม ที่ผ่านมานั้น ก็มีการรวบรวมสถิติพัฒนาการและการให้สัมภาษณ์ต่างๆ ของผู้บริหารจาก Apple ซึ่งให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อมวลชนออกมา โดยมีทั้งวาทะของ Tim Cook เจ้าหน้าที่ประธานบริหาร (CEO) ของบริษัทในเวลานี้ และ Phil Schiller รองประธานอาวุโสฝ่ายการตลาด ที่คัดแบบเด็ดๆ มาบอกเล่ากันในข่าวอัพเดทชิ้นนี้

โดยทาง Timothy Cook นั้นระบุสั้นๆ เพียงว่า โทรศัพท์ iPhone ได้กลายเป็นส่วนสำคัญของรูปแบบการใช้ชีวิตในมือผู้บริโภคทุกวันนี้ ซึ่งเกิดการพัฒนาเปลี่ยนแปลงกระบวนวิธีการสื่อสาร การรับชมสื่อความบันเทิง การทำงานและการใช้ชีวิตไปอย่างมากมาย การเปิดตัวของโทรศัพท์ iPhone ในช่วง 10 ปีแรกนั้น ถือว่าเป็นการตั้งมาตรฐานใหม่ของอุปกรณ์ประมวลผลแบบพกพา ซึ่งเป็นแค่ก้าวแรกของการเริ่มต้นเท่านั้น เพราะสิ่งที่ดีที่สุดของ iPhone ยังมาไม่ถึงในเวลานี้

ด้านของ Philip Schiller กล่าวต่อไปว่า มันเป็นเรื่องที่น่ามหัศจจรย์อย่างมากที่นับตั้งแต่การเปิดตัวของโทรศัพท์ iPhone โดย Apple ในรุ่นแรกจนถึงรุ่นล่าสุดอย่าง iPhone 7 Plus ได้กลายเป็นมาตรฐานกลางของการเปรียบเทียบตัดสินสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ ในท้องตลาด และสำหรับเราหลายๆ คน โทรศัพท์ iPhone นั้นได้กลายเป็นอุปกรณ์ส่วนสำคัญในรูปแบบการใช้ชีวิตและเราก็รักที่มันเกิดขึ้นเช่นนั้น

โทรศัพท์ iPhone คือรูปแบบแรกของการใช้งานตั้งแต่ใช้สายโทรศัพท์ไปจนถึงวีดีโอแชทผ่าน FaceTime คือการบันทึกภาพต่างๆ Live Photos หรือวีดีโอระดับ 4K คือการฟังเพลงสตรีมออนไลน์ การใช้สื่อสารโซเซี่ยลมีเดีย คือการเล่นเกมส์ คือการนำทางไปสู่การค้นพบสถานที่ใหม่ๆ คือการใช้จ่ายชำระเงิน คือการท่องเว็บออนไลน์ คือการรับชมโทรทัศน์ กีฬา และภาพยนตร์ ไปจนถึงการจัดการสุขภาพและฟิตเนส iPhone ได้กลายเป็นรูปแบบของการใช้ชีวิตเหล่านี้รอบตัวเรารวมไปถึงอีกหลายๆ อย่างได้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมามากมาย และผมเชื่อว่า สิบปีที่ผ่านมานี้เป็นแค่การเริ่มต้นก้าวแรกของเราเท่านั้น

ที่มา macstroke




 

Create Date : 13 มกราคม 2560    
Last Update : 13 มกราคม 2560 15:28:41 น.
Counter : 398 Pageviews.  

จังหวัดระนองปล่อยขบวนคาราวานสิ่งของบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้



รองผู้ว่าฯระนองปล่อยขบวนคาราวานน้ำใจเพื่อนำสิ่งของอุปโภคบริโภคมุ่งหน้าช่วยเหลือพี่น้องประชาชนผู้ประสบภัยจากสถานการณ์น้ำท่วมจังหวัดภาคใต้

 

เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2560 เวลา 09.30 น. ที่อาคารเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา โรงยิมเนเซี่ยมองค์การบริหารส่วนจังหวัดระนอง นายวิรัตน์ รักษ์พันธ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง,นายคงกฤษ ฉัตรมาลีรัตน์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดระนองพร้อมด้วยนายสุริยันต์  จิรสัตย์สุนทร ปลัดจังหวัดระนอง นาย ภราดล รุ่งโรจน์ธีระ หัวหน้าสำนักงาน ปภ.จังหวัดระนองร่วมกันปล่อยคาราวานน้ำใจเพื่อนำสิ่งของบริจาคข้าวสารอาหารแห้งไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้ ที่อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี

นายวิรัตน์ รักษ์พันธ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดระนองเปิดเผยว่าตามที่ในพื้นที่ภาคใต้ประสบภัยน้ำท่วมรุนแรงที่สุดในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อบ้านเรือนและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ภาคใต้เป็นวงกว้างหลายจังหวัดรวมทั้งจังหวัดระนองเอง แต่ก็ไม่ได้ประสบภัยร้ายแรงมากนักจากสถานการณ์น้ำท่วม ด้วยความมีน้ำใจของชาวระนองในวันนี้ได้ร่วมกันปล่อยคาราวานสิ่งของที่รับบริจาคนำไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชนภาคใต้ที่ได้รับความเดือดร้อนในอำเภอใกล้เคียง คือที่อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี

ในส่วนของทางจังหวัดระนองนำโดย นายจตุพจน์ ปิยัมปุตระ ผู้ว่าราชการจังหวัดระนองได้เชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาร่วมกันแบ่ง-ปันน้ำใจ บริจาคสิ่งของเครื่องอุปโภค-บริโภคได้ที่ศูนย์รับบริจาค เพื่อนำไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนในจังหวัดพื้นที่ภาคใต้ โดยเปิดรับบริจาคทุกวัน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดระนอง ชั้น 1 ศาลากลางจังหวัด โทรศ์พท์ 077-800-178 สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดระนอง โทรศัพท์ 077-800-121 และสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดระนอง ชั้น 1ศาลากลางจังหวัด โทรศัพท์ 077-800-128

ผู้ว่าฯระนอง ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพแก่ผู้ประสบภัยในพื้นที่อำเภอละอุ่นและบ้านระวิตำบล บางพระเหนือ

เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2560 เวลา 13.00 . นายจตุพจน์ ปิยัมปุตระ ผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง พร้อมด้วยพลโท สุรชัย จิตต์แจ้ง ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศกองทัพบก นายวิรัตน์ รักษ์พันธ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เดินทางเยี่ยมเยียนให้กำลังใจและมอบถุงยังชีพ จำนวน 210 ชุด ให้แก่ผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่อำเภอละอุ่น ณ ศาลาเอนกประสงค์ (ริมน้ำ) เทศบาลตำบลละอุ่น และที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพบ้านระวิ หมู่ที่ 5 ตำบลบางพระเหนือ จ.ระนอง

ผู้ว่าฯ จ.เลย รับมอบเงินสดพร้อม ข้าวสาร อาหารแห้งนำส่งเพื่อช่วย เหลือผู้ประสบอุทกภัย จังหวัดภาคใต้

วันที่ 11 มกราคม 60 เวลา 13.00 น.นาย คุมพล บรรเทาทุกข์ ผวจ.เลย เป็นประธานรับ มอบเงินสด จำนวน 100,000 บาท พร้อม ข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำดื่ม และอื่นๆ จากที่ ทำการปกครอง อ.เมือง เลย โดย นายณรงค์ จีนอ่ำ นอ.เมืองเลย และ คณะเป็นผู้มอบ ซึ่งได้รับ บริจาคจาก ส่วนราชการ หน่วยงาน รัฐวิสาหกิจ ผู้บริหารองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และพี่น้อง ประชาชนชาว อ.เมือง เลย จ.เลย มีนาย ณัฐวัสส์ วิริยานภาภรณ์ ปลัดจังหวัดเลย นาย ประมวล ลาภจิตต์ ปภ. จังหวัด ร่วมรับมอบ ซึ่งจังหวัดเลย โดย สนง.ปภ.จ.เลย จะได้ รวบรวมนำส่งเพื่อช่วย เหลือผู้ประสบอุทกภัย จังหวัดภาคใต้ต่อไป

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 12 มกราคม 2560    
Last Update : 12 มกราคม 2560 10:14:25 น.
Counter : 335 Pageviews.  

จดหมายจากสื่อถึงคสช. สปท.และสนช.กำลังละเมิดหลักการสิทธิเสรีภาพและความเป็นอิสระของสื่อมวลชนถือว่าถอยห



เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2560 ชมรมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์อาวุโสสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยได้ออกแถลงการณ์กรณีที่คสช.สปท.และสนช.กำลังจะออกกฎหมายมาใช้บังคับที่ขัดกบหลักการประชาธิปไตยและสิทธิขึ้นพื้นฐานของประชาชนในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ดังนี้….

 

จากสถานการณ์อันเปราะบางในความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับสื่อมวลชนทุกรูปแบบในประเทศไทย แสดงออกให้เห็นถึงลักษณะความพยายามที่ต้องการให้อำนาจรัฐเข้ามามีอำนาจครอบงำ และบงการสื่อในลักษณะต่างๆ มากขึ้น

ชมรมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์อาวุโส สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย มีความเป็นห่วงและกังวลยิ่งขึ้นว่ารูปแบบของกฎหมาย หรือข้อกำหนดใดๆ ที่คณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสื่อสารมวลชน และคณะกรรมาธิการวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมวลชน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ พยายามดำเนินการผ่านเป็นกฎหมายออกมาใช้บังคับนั้น จะเป็นการละเมิดหลักการในเรื่องสิทธิเสรีภาพ และความเป็นอิสระของสื่อมวลชน ทั้งในระดับประเทศ และในระดับสากล ซึ่งล้วนเป็นการขัดกับหลักการความเป็นประชาธิปไตย และสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน สิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน

แน่นอนว่าภาพลักษณ์ของประเทศไทย ในความพยายามพัฒนาระบอบประชาธิปไตยให้มีขึ้นอย่างก้าวหน้า ในรูปแบบการเมือง การปกครองประเทศในอนาคต จะขาดการยอมรับในชุมชนประชาธิปไตยของโลก และผิดไปจากเจตนารมณ์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ในความพยายามพัฒนาระบอบประชาธิปไตยตามโรดแมปที่กำหนดขึ้น

ชมรมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์อาวุโส มีความเป็นกังวลต่อความพยายามของ คสช. หรือคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และคณะกรรมาธิการทั้งสองคณะ ในความพยายามนำเสนอการปฏิรูปสื่อที่จะนำเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ด้วยเกรงว่าลักษณะแห่งความพยายามดังกล่าว เป็นการคุกคามสื่อ แทรกแซงสื่อ และมีเจตนาแฝงเร้นในการควบคุม ครอบงำ และบงการสื่อมากกว่า ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่สังคมประชาธิปไตยไม่อาจยอมรับได้ และไม่ปรารถนาสร้างให้มีขึ้น ไม่เป็นสิ่งอันพึงควรกระทำ

บรรดานักข่าวนักหนังสือพิมพ์อาวุโสทั้งมวลนี้ ต่างได้ผ่านสถานการณ์ของการเรียกร้อง แสวงหาสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน สิทธิเสรีภาพของการแสดงออก จนถึงขั้นได้ต่อสู้ให้ได้มาซึ่งสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน ต่อสู้กับอำนาจรัฐในการครอบงำ บงการ และแทรกแซงสื่อ มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เรามีความภาพภูมิใจว่า ประเทศไทยได้รับการยอมรับประเทศหนึ่ง ทั้งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของอาเซียน และในชุมชนสื่อมวลชนทั้งมวล ว่าเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าในการเรียกร้อง ต่อสู้ ให้ได้มา และรักษาไว้ ซึ่งสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนในประเทศไทย จนสามารถนำเรื่องสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนในทุกมิติ มาบัญญัติไว้ทั้งในรัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ.2540 และรัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ. 2550

ชมรมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์อาวุโส จึงขอแถลงการณ์แสดงความกังวลและห่วงใย ต่อสถานการณ์ “ก้าวถอยหลังลงคลอง”ของคณะผู้รักษาความสงบแห่งชาติ และคณะกรรมาธิการทั้งสองคณะ ต่อทัศนคติความคิด ความเชื่อ และการวางคุณค่าอันยังความล้าหลังต่อสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนทุกรูปแบบในประเทศไทย และจะขยายเป็นจุดด่างดำในความเป็นประชาธิปไตยที่ คสช.สร้างขึ้น

เราขอคัดค้านพฤติการณ์ดังกล่าวนี้ และจะร่วมต่อสู้ให้ได้มาซึ่งสิทธิเสรีภาพอันยั่งยืน มั่นคง ของสื่อมวลชนเฉกเช่นที่ได้เคยต่อสู้มา และจะร่วมสนับสนุนการต่อสู้ขององค์กรวิชาชีพสื่อทั้งหกองค์กร อันได้แก่ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ และสมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทย

เราเรียกร้องให้ผู้ครองอำนาจรัฐตระหนักถึงความสำคัญและหลักการของความเป็นประชาธิปไตย ที่จะไม่ดำเนินการใดๆ ในลักษณะถอยหลังลงคลองลึกเลยเถิดอย่างไร้เหตุผล เราเรียกร้องให้ประชาชนตื่นตัว ตระหนักรู้ถึงสิทธิ เสรีภาพ ของสื่อมวลชน สิทธิของการรับรู้ซึ่งปราศจากการแทรกแซงจากอำนาจรัฐ ไม่มีระบอบประชาธิปไตยใดเลย ที่กดขี่ครอบงำ และบงการสื่อมวลชน นอกจากระบอบอำนาจนิยมเผด็จการ

ชมรมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์อาวุโส

สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย

11 มกราคม 2560

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 12 มกราคม 2560    
Last Update : 12 มกราคม 2560 6:18:54 น.
Counter : 210 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  

p_chusaengsri
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 52 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add p_chusaengsri's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.