โปรกอล์ฟไทย ปวิธ คว้าแชมป์มาเก๊า โอเพนเผยถวายในหลวง-รับเงิน 6.9 ล้าน



โปรปวิธคว้ากอล์ฟเอเชี่ยน ทัวร์ครั้งแรกใน“มาเก๊า โอเพน”หลังดวลเพลย์ออฟกับนักกอล์ฟอินเดียถวายชัยชนะ เผยรับทรัพย์ 6.9 ล้านบาทได้ต่อเอเชียน ทัวร์ 2 ปี บอกทำถวายในหลวงและคนไทย

 

เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2016 ปวิธ ตั้งกมลประเสริฐ หรือ “โปรไช้” วัย 27 ปี นักกอล์ฟไทยมือ 446 โลก ถวายชัยชนะในการแข่งขันกอล์ฟรายการเอเชี่ยนทัวร์ครั้งแรกในชีวิตแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร์ สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ซึ่งเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2016

หลังจบรอบสุดท้าย Venetian Macau Open 2016 ปวิธเล่นสกอร์รวม 16 อันเดอร์พาร์ 268 เท่ากับ อนิพันธ์ ลาฮิรี โปรกอล์ฟอินเดียมือ 92 ของโลก และเป็นแชมป์เมื่อ 2 ปีก่อน  แต่ปวิธเฉือนชนะในการดวลเพลย์ออฟหลุมแรก จัดแข่งขันที่สนาม Macau Golf and Country Club.

ปวิธเป็นโปรชาวไทยคนที่ 2 ได้แชมป์รายการมาเก๊า โอเพน ต่อจาก ถาวร วิรัตน์จันทร์ ซึ่งชนะเมื่อปี 2009  โดยปวิธรับเงินรางวัล 198,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 6,930,000 บาท

หลังจบการแข่งขัน ปวิธกล่าวว่า “แมตช์นี้มีพ่อหลวงเป็นแรงบันดาลใจครับ สี่วันนี้โชคดีพัตต์ดี ตีผิดน้อย เล่นได้ตามแผนที่วางไว้ ตอนเพลย์ออฟก็โชคดีคู่แข่งตีตกน้ำ แชมป์นี้มอบทุกอย่างให้คนไทยกับพ่อหลวงของเราครับ”ปวิธกล่าว

สำหรับผลงานนักกอล์ฟไทยรายอื่นที่น่าสนใจ รฐนน วรรณศรีจันทร์ 11 อันเดอร์พาร์ 273 ได้ที่ 5, ชัพชัย นิราช 8อันเดอร์พาร์ 276 ได้อันดับ 10, ภูมิ ศักดิ์แสนศิลป์ 6 อันเดอร์พาร์ 278 ได้ที่ 13 (สัปดาห์ที่แล้วภูมิคว้าแชมป์ อินโดนีเซียน มาสเตอร์ที่จาการ์ต้า ประเทศอินโดนีเซีย),ปริยะ ชุณหสวัสดิกุล และสุทธิเจตน์ คูห์รัตนพิศาล 3 อันเดอร์พาร์ 281ได้ที่ 28

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 18 ตุลาคม 2559    
Last Update : 18 ตุลาคม 2559 2:09:47 น.
Counter : 282 Pageviews.  

สมาคมนิสิตเก่าอักษรศาสตร์ จุฬาฯแนะไม่ควรขานพระนาม“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ”เลิกมาตั้งแต



สมาคมนิสิตเก่าอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเผยไม่ต้องเอ่ยพระนาม“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ” เหตุเลิกมาตั้งแต่รัชกาลที่ 3 ให้เอ่ยพระนาม“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช”

 

เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2559 เฟซบุ๊กของสมาคมนิสิตเก่าอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ขยายความเรื่องการขานพระนาม "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ" ที่มา : ผศ.ดร.อาทิตย์ ชีรวณิชย์กุล คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ว่าด้วยคำว่า "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ"

เฟซบุ๊กอธิบายว่า คำนี้เกิดขึ้นเพราะธรรมเนียมโบราณแต่เดิมของไทย ผู้น้อยจะไม่บังอาจเอ่ยชื่อของผู้ใหญ่ หรือเอ่ยพระนามพระเจ้าแผ่นดินหรือเจ้านายออกมาเป็นอันขาด ถือว่าเป็นการล่วงเกิน ไม่เคารพ

ทั้งพระนามพระมหากษัตริย์ในอดีตก็ไม่มีการขนานพระนามเป็นการเฉพาะ คนจะเรียกกษัตริย์พระองค์ใดก็ตามใจคนเรียก เช่น พระเจ้าเสือ ขุนหลวงหาวัด อย่างนี้เป็นต้น ความรู้นี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงอธิบายไว้ในหนังสือ "พระราชกรัณยานุสร"

ตัวอย่างสำคัญของการที่คนสมัยก่อนไม่ออกพระนามพระเจ้าแผ่นดินตรงๆ อีกก็เช่น ในสมัยรัชกาลที่ 3 คนเรียกแผ่นดินรัชกาลที่ 1 ว่า แผ่นดินต้น เรียกแผ่นดินรัชกาลที่ 2 ว่าแผ่นดินกลาง รัชกาลที่ 3 ทรงเห็นว่าไม่เป็นมงคล เพราะเรียกเช่นนี้ แผ่นดินของพระองค์ก็จะกลายเป็นแผ่นดินปลาย

ก่อนหน้าที่คนจะเรียกแผ่นดินต้น แผ่นดินกลาง คนก็เอ่ยถึงพระเจ้าอยู่หัวที่สวรรคตว่า ในพระบรมโกศบ้าง พระพุทธเจ้าหลวงบ้าง เหตุก็เพราะธรรมเนียมโบราณที่ผู้น้อยไม่ออกชื่อผู้ใหญ่นี้เอง

ต่อมาพระมหากษัตริย์ไทยได้ทรงเปลี่ยนธรรมเนียมนี้ เริ่มจากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงสร้างพระพุทธรูป 2 องค์คือ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ประดิษฐานในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม แล้วโปรดเกล้าฯ ให้คนขานพระนามแผ่นดินรัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่ 2 ตามนามพระพุทธรูปทั้งสองนั้น

หลักฐานอ้างอิงในเรื่องนี้ ดังในหนังสือ "พระราชพิธีสิบสองเดือน" ว่าด้วยพระราชพิธี เดือน 5 พระราชพิธีศรีสัจจปานกาล พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอธิบายว่า เหตุที่รัชกาลที่ 3 ทรงสร้างพระพุทธรูปสำคัญทั้งสอง และโปรดเกล้าฯ ให้คนเรียกขานพระนามตามพระพุทธรูปนั้น "เพราะเหตุซึ่งไม่โปรดคำที่คนเรียกนามแผ่นดินว่า แผ่นดินพระพุทธเจ้าหลวงในพระบรมโกศ และพระพุทธเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศอย่างหนึ่ง หรือเรียกว่าแผ่นดินต้นแผ่นดินกลางอย่างหนึ่ง"

เห็นได้ว่า คำว่า "ในพระบรมโกศ" ไม่ต้องด้วยพระราชนิยมมาตั้งแต่รัชกาลที่ 3 แล้ว

มาจนถึงรัชกาลที่ 4 เมื่อรัชกาลที่ 3 เสด็จสวรรคต เกิดปัญหาการเรียกขานนามแผ่นดินก่อนขึ้นมาอีก พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้เรียกขานแผ่นดินรัชกาลที่ 3 ว่า แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนแผ่นดินของพระองค์เอง ก็เป็นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ใครๆ เรียก "ในพระบรมโกศ" เมื่อสวรรคตแล้วอีก

ดังนั้น ธรรมเนียมการเอ่ยเรียกพระนามแผ่นดินก่อนจึงเปลี่ยนแปลงแต่นั้นมา เห็นได้ชัดเจนจากหลักฐานข่าวการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 27 หน้า 1782-1788 วันที่ 30 ตุลาคม ร.ศ. 129 ไม่มีการใช้คำว่า "ในพระบรมโกศ" แต่เรียกขานพระนาม "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" และ "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว"

อย่างไรก็ตาม คนทั่วๆ ไปที่ยังติดธรรมเนียมเดิมก็ยังปฏิบัติอยู่ คือเรียก ในพระบรมโกศ บ้าง พระพุทธเจ้าหลวง บ้าง ดังในสมัยรัชกาลที่ 6 คนก็เอ่ยเรียกพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า พระพุทธเจ้าหลวง และยังติดเรียกมาจนถึงปัจจุบัน

หรือแม้ขณะนี้ ที่มีการออกพระนามพระเจ้าแผ่นดินซึ่งเสด็จสวรรคตนั้นว่า "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ" ตามความนิยมตามแบบโบราณดั้งเดิม แพร่หลายไปในสื่อมวลชน

แต่จากหลักฐานต่างๆ จะเห็นได้ชัดเจนว่า ได้มีการเปลี่ยนธรรมเนียมการเรียกขานพระนามพระมหากษัตริย์มานานแล้ว การเอ่ยถึงพระเจ้าแผ่นดินซึ่งเสด็จสวรรคตโดยพระนามว่า "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" หรือ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช" จึงเป็นสิ่งสมควร ต้องด้วยพระราชนิยมที่เป็นมาตั้งแต่รัชกาลที่ 3

และที่สำคัญ พระนาม "ภูมิพลอดุลยเดช" นี้เป็นพระนามที่ทรงได้รับพระราชทานมาจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เป็นพระนามที่มีความหมายว่า "พลังแห่งแผ่นดิน มีเดชไม่มีใดเสมอเมือน" อันลึกซึ้งตราตรึงใจเรา และเราปวงชนชาวไทยทั้งหลายได้เอ่ยเรียกพระองค์เช่นนี้ ด้วยความเคารพรักเทิดทูนไว้เหนือเกล้าฯ มาตลอดหลายสิบปีแล้ว

และย่อมไม่มีวันเปลี่ยนแปรเป็นอื่น

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 17 ตุลาคม 2559    
Last Update : 17 ตุลาคม 2559 8:09:48 น.
Counter : 259 Pageviews.  

รัฐบาลให้ประชาชนติดริบบิ้นแทนสวมชุดดำได้-จัดงานบวช-แต่งงาน-แข่งกีฬา-ร้านอาหารทำได้แต่งดบันเทิง



ศูนย์บัญชาการติดตามสถานการณ์ (ศตส.)ประชุมวางแนวทางอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในช่วงพระราชพิธี ติดริบบิ้นสีดำแทนการสวมใส่ชุดสีดำและขาว งานแต่งงวาน-งานบวช-ร้านอาหารดำเนินต่อไปได้แต่ขอให้งดบันเทิง

 

มื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2559 พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาลและรักษาการอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์แถลงภายหลังการประชุมศูนย์บัญชาการติดตามสถานการณ์ (ศตส.) ซึ่งมีนายสุวพันธ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่าได้หารือถึงการแต่งกายของประชาชน เพื่อร่วมแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ อย่างหาที่สุดมิได้

ที่ประชุมศตส.แนะให้ประชาชนสวมใส่เสื้อผ้าสีพื้นและหากไม่สามารถหาชุดสีดำหรือขาวที่มีราคาแพงได้ ให้ประชาชนทั่วไปใช้วิธีการติดริบบิ้นหรือติดเครื่องหมายสัญลักษณ์อื่น ๆ แทนการสวมใส่ชุดสีขาว-ดำ โดยนายกรัฐมนตรีได้ย้ำในเรื่องนี้ว่า การแสดงออกของงประชาชนต้องอยู่บนพื้นฐานของความไม่ติดขัด

ทั้งนี้มีรายงานว่าเสื้อผ้าสีดำประสบปัญหาขาดแคลนและมีการปรับราคาสูงขึ้นทำให้ประชาชนเดือดร้อน

พล.ท.สรรเสริญ ยังชี้แจงถึงการนำเสนอเนื้อหาในสื่อสังคมออนไลน์ เรื่องการสั่งให้ปลดและห้ามประดับพระบรมฉายาลักษ์พระบาทสมเด็จตพระเจ้าอยู่หัวในพระโกศ โดยยืนยันว่า ไม่มีการสั่งการ แต่การประดับต้องถูกต้องเหมาะสม คือฉลองพระองค์เต็มยศ

ส่วนธงตราสัญลักษณ์ที่ใช้เมื่อครั้งเฉลิมฉลองต้องนำลง เพื่อแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ อย่างหาที่สุดมิได้

ขณะเดียวกันนายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทยได้สั่งการถึงผลการประชุมศตส.เมื่อเที่ยงวันที่ 16 ตุลาคม ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงมหาดไทย จากนั้นสั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอเพื่อสั่งการต่อไปยังเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบฝ่ายต่างๆดังนี้

1.ประชาชนสามารถแต่งกายร่วมถวายอาลัยโดยใช้สีไม่ฉูดฉาดและติดริบบิ้น สีขาวหรือสีดำได้

2.การแต่งเครื่องแบบราชการสามารถติดเข็มพระราชทานต่างๆ ได้

3. แนวปฏิบัติเกี่ยวกับงานประเพณีและรื่นเริง

3.1 งานประเพณี เช่น งานแต่งงาน งานบวช ฯลฯ และกิจกรรมแข่งกีฬาต่างๆ ให้กระทำได้ในรูปแบบที่เหมาะสมและขอความร่วมมืองดเว้นการแสดงรื่นเริง ดนตรี

3.2 สถานบริการ สถานบันเทิง ร้านอาหาร

- สถานบริการสถานบันเทิงในอาคารปิดสามารถประกอบธุรกิจปกติได้

- ร้านอาหารปกติดำเนินการได้แต่ขอความร่วมมืองดเว้นการแสดงดนตรี และการละเล่นต่าง ๆ

- การแสดงคอนเสิร์ตทุกชนิด ขอความร่วมมือให้งดหรือเลื่อนไปก่อน

นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีมีบัญชาเพิ่มเติมให้ทุกหน่วยงานคงรูปพระบรมฉายาลักษณ์ไว้เช่นเดิม เพียงให้นำข้อความทรงพระเจริญและหรือธงตราสัญลักษณ์ออกเท่านั้น

แห่ยกย่องสาวน้ำใจงาม ทำเข็มกลัดริบบิ้นสีดำ แจกชาวบ้านไม่มีเงินซื้อเสื้อดำถวายอาลัย

https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_53944

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 16 ตุลาคม 2559    
Last Update : 16 ตุลาคม 2559 18:08:24 น.
Counter : 350 Pageviews.  

คำแนะนำการรักษาสุขภาพจิตในระหว่างเกิดความเศร้าโศกสูญเสีย-ให้กำลังใจปลอบโยนซึ่งกันและกัน



ท่ามกลางบรรยากาศความโศกเศร้าของคนไทยทั้งประเทศ จิตแพทย์กรมสุขภาพจิต เตือนให้สมาชิกในครอบครัวเฝ้าระวังภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุ เพราะผู้สูงอายุเป็นวัยที่เต็มไปด้วยประสบการณ์เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจย่อมทำให้เกิดผลกระทบทางจิตใจ

 

เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2559 น.พ.อภิชาติ จริยาวิลาศ โฆษกกรมสุขภาพจิต ระบุว่า มีความเสี่ยงให้ประชาชนเกิดความเครียดและภาวะซึมเศร้าได้ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง อย่างผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิต โรคหัวใจ โรคเรื้อรังต่างๆ รวมทั้งผู้ที่มีภาวะซึมเศร้าผิดปกติ ที่ไม่รับประทานอาหาร ลูกหลานจึงไม่ควรปล่อยให้อยู่ตามลำพังและต้องดูแลใส่ใจเป็นพิเศษ ทั้งรับฟังไถ่ถามความรู้สึก ควบคู่กับการสัมผัส เช่น จับมือและกอด

น.พ.อภิชาติ ยังแนะนำให้ผู้ที่อยู่ในความโศกเศร้า เข้าร่วมกิจกรรมกับชุมชน หรือกิจกรรมทางศาสนาที่ตัวเองนับถือ หรือเขียนบรรยายความรู้สึกที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ เพื่อช่วยบรรเทาความเศร้าโศกที่เกิดขึ้น ส่วนคนรอบข้างต้องแสดงตัวว่าจะอยู่เคียงข้าง เพื่อผ่านช่วงเวลาของความทุกข์โศกไปด้วยกัน

ความโศกเศร้าเสียใจจากการสูญเสียนับเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตอันเป็นการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปนั้น ย่อมทำให้เกิดผลกระทบทางจิตใจเป็นเรื่องปกติ สิ่งที่ทุกคนควรทำคือการดูแลสุขภาพจิตของตนเองให้พร้อมรับกับเหตุการณ์อันก่อให้เกิดความเศร้าเสียใจ สำหรับคำแนะนำในการดูแลสุขภาพจิตจากกรมสุขภาพจิตมีดังต่อไปนี้

ประชาชนชาวไทยทั่วไป

1.ไม่ควรเก็บกดความรู้สึกไว้

เนื่องจากการสูญเสียทำให้เกิดความเศร้าเสียใจ สิ่งที่เกิดขึ้นจากความเสียใจล้วนแล้วแต่เป็นกระบวนการทางธรรมชาติ และคุณไม่ควรเก็บกดความรู้สึกไว้ หากต้องการร้องไห้ให้ร้องไห้ออกจนหมด เมื่อร้องไห้แล้วความรู้สึกโศกเศร้า หนักอึ้ง หมดแรงหมดพลังจะผ่อนคลายไปได้มาก

2.ควรอยู่ในอาการที่สงบ

เนื่องจากว่าความเสียใจอาจจะนำมาซึ่งการขาดสติหรือทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ควรทำ  ได้แก่  การดำรงตนอยู่ในอาการที่สงบ เศร้าเสียใจอย่างสำรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ ไม่ควรร้องไห้ฟูมฟายมากเกินไปจนขาดสติเพื่อไม่ให้ตนเองเกิดความตึงเครียดมากจนเกินไป

3.ดำรงตนอยู่ในหลักศาสนา

ในห้วงยามแห่งการสูญเสียนี้ไม่มีสิ่งใดดีไปกว่าการใช้ศาสนายึดเหนี่ยวจิตใจ คุณควรใช้หลักของธรรมะเข้าข่ม โดยคิดในแง่ศาสนาว่าการเกิดแก่ เจ็บตายเป็นกฎทางธรรมชาติที่เราทุกคนล้วนต้องประสบพบเจอ ไม่มีผู้ใดที่สามารถก้าวข้ามผ่านกฎเกณฑ์นี้ไปได้ สิ่งที่ทำได้คือการทำบุญ สวดมนต์ตามหลักศาสนาของคุณเพื่อให้ผลบุญที่มีส่งไปถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ

4.ใช้เวลากับคนใกล้ชิด

สำหรับสิ่งที่ควรทำมากที่สุดยามเกิดความโศกเศร้าเสียใจจากการสูญเสียนั้น คือ การอยู่กับคนที่เข้าใจในตัวของคุณมากที่สุด เนื่องจากการอยู่กับคนใกล้ชิดนั้นจะทำให้ความโศกเศร้าคลายลงไปได้มาก คนที่เข้าไปใกล้ชิดจะช่วยปลอบโยนให้ความรู้สึกสูญเสียลดลงไป

5.ระบายความรู้สึก

การระบายความรู้สึกเศร้าเสียใจถึงสภาพจิตใจที่เป็นอยู่จะทำให้คุณลดความเสียใจได้ ไม่ว่าจะเป็นการระบายความเศร้าด้วยคำพูดกับคนใกล้ตัว หรือการโพสต์แสดงความเศร้าเสียใจลงในสื่อโซเชียลเน็ทเวิร์กนั้นนับเป็นสิ่งที่ทำแล้วรู้สึกสบายใจได้ทั้งสิ้น

6.ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน

ในสภาวะเช่นนี้ทุกคนต่างมีความเศร้าเสียใจไม่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่สำคัญมากที่สุด  ได้แก่  การเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน มีการให้กำลังใจต่อกัน สถานการณ์นี้อาจจะพบเจอเมื่อคุณอยู่ในที่สาธารณะ เช่น การไปเข้าเฝ้าขบวนพระบรมศพหรือการเดินทางไปเพื่อรวมใจกันไว้อาลัย เป็นต้น หากพบเจอผู้ที่กำลังเศร้าเสียใจหรือร้องไห้ให้พยายามปลอบใจซึ่งกันและกัน

7.ทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศล

สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดเพื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศคือการทำบุญเพื่อถวายในครั้งนี้ ซึ่งนอกจากผลบุญจะส่งไปยังพระองค์ท่านแล้ว ผู้ที่ทำบุญยังรู้สึกสบายใจมากยิ่งขึ้นอีกด้วย เปรียบเสมือนกับการเสริมกำลังใจให้แข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม

8.ทำกิจวัตรตามเดิม

หน้าที่คือสิ่งสำคัญ นี่คือพระราชดำรัสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้มอบให้ไว้ เพราะฉะนั้นหากต้องการน้อมนำคำสอนของพ่อหลวงมาใช้จึงควรทำกิจวัตรไปตามเดิม หากคุณมีหน้าที่ใด ๆ อยู่ควรรับผิดชอบหน้าที่นั้นให้สำเร็จ หน้าที่และภาระการงานจะทำให้คลายความโศกเศร้าไปได้มาก

9.พยายามคิดในเรื่องอื่นๆ ด้วย

สิ่งสำคัญคือการก้าวเดินต่อไป แม้จิตใจจะอยู่ในสภาวะสูญเสีย คุณควรจัดการภาระหน้าที่ของตนเองและคิดเรื่องอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วยกัน เพราะหากว่าคุณคิดเพียงเรื่องเดียวอาจทำให้สภาพจิตใจเสียสมดุลได้

10.งดเสพสื่อหากมีอาการเพิ่มมากขึ้น

ในกรณีที่ผู้เสพสื่อมากเกินไปรู้สึกหดหู่จิตใจและจมดิ่งอยู่กับความทุกข์ สิ่งที่สำคัญที่สุด  ได้แก่  การงดเสพข่าวสารทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นสื่อวิทยุ โทรทัศน์ โซเชียลเน็ทเวิร์กหรือสื่อต่าง ๆ อันอาจจะนำพาความหดหู่ยากยับยั้งมาให้ ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่าภาพที่ปรากฏในสื่ออาจเป็นตัวกระตุ้นความเศร้าได้

การปฏิบัติตัวของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า

ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเป็นผู้ที่มีสภาพจิตใจโน้มเอียงไปทางความเศร้าเสียใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ช่วงเวลานี้จึงเป็นช่วงเวลาที่ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ

1.ปรึกษาแพทย์ที่รักษาอยู่

สิ่งที่ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าควรทำคือการปรึกษาจิตแพทย์ที่รักษาอยู่ด้วย พร้อมทั้งปรึกษาอาการที่เกิดขึ้น บอกเล่าสภาพความคิดและจิตใจที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งจิตแพทย์จะทำการวินิจฉัยเพิ่มเติมว่าควรให้ยาร่วมในการเยียวยาจิตใจหรือไม่

2.ญาติควรดูแลอย่างใกล้ชิด

ญาติและคนใกล้ชิดควรเอาใจใส่ความรู้สึกของผู้ป่วยเป็นพิเศษและควรหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้ป่วยรับรู้ข่าวสารของความเศร้าโศกมากเกินไป

สิ่งที่บุคคลทั่วไปควรปรึกษาแพทย์หรือนักจิตวิทยาหากมีอาการ

1.เสียใจจนไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันเป็นเวลานาน

หากว่าบุคคลที่ไม่ได้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้ามีอาการเศร้าเสียใจอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน มีความรู้สึกต้องการทำร้ายตนเอง หวาดกลัวสิ่งต่าง ๆ อย่างไร้เหตุผล รวมไปถึงได้ยินเสียงจากมโนคติที่สร้างขึ้นเอง มีอาการประสาทหลอน สิ่งเหล่านี้คือสัญญาณเตือนว่าควรพบแพทย์อย่างเร่งด่วน

2.มีอาการชักเกร็ง

หากมีอาการชักเกร็งเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ตึงเครียด ย่อมเป็นไปได้ว่าอาจจะเกิดจากความเศร้าโศกมากเกินไป ควรพาตนเองออกจากสถานการณ์นั้นและรีบพบแพทย์

สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้ คือ การให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ปลอบโยนซึ่งกันและกัน พยายามปล่อยวางและละอคติเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งและเปรียบเสมือนการนำคำสอนของพ่อหลวงในเรื่องความสามัคคีมาปฏิบัติอย่างแท้จริง

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 16 ตุลาคม 2559    
Last Update : 16 ตุลาคม 2559 16:55:13 น.
Counter : 238 Pageviews.  

เศรษฐกิจพอเพียง จะทำความเจริญให้แก่ประเทศได้ แต่ต้อง.....



เมื่อค่ำวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม 2559 ปวงประชาชนชาวไทยหัวใจแทบล่มสลาย เมื่อได้ฟังประกาศของสำนักพระราชวังจากสื่อต่างๆ ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จสวรรคตแล้ว ณ โรงพยาบาลศิริราชของวันเดียวกัน เวลา 15 นาฬิกา 52 นาที

ก่อนหน้านี้ มีประชาชนคนไทยจำนวนมากที่ยังคงนั่งบริเวณลานต่าง ๆ ของโรงพยาบาลศิริราช สวดมนต์ขอพรเพื่อถวายฯ จนเมื่อรู้ข่าวต่างก็ร้องไห้กันระงมด้วยความอาลัยรัก,เคารพดุจพ่อของแผ่นดิน

จากนั้น ทั่วทั้งแผ่นดินก็ระงมไปด้วยความโศกเศร้า

ปวงประชาชนคนไทยและผู้คนที่อาศัยพระบรมโพธิสมภารในราชอณาจักรไทย ต่างก็เดินทางไปหมอบเฝ้าตามเส้นทางจากโรงพยาบาลศิริราชจนถึงหน้าประตูวิเศษไชยศรี เพื่อถวายสักการะพระบรมศพที่จะอัญเชิญไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท

ปวงประชาชนคนไทยและทุกคนที่อาศัยในผืนแผ่นดินไทย ต่างก็สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้

ตลอดระยะเวลา 70 ปีที่ผ่านไป

ตั้งแต่เด็กและเยาวชนจนกระทั่งถึงผู้เฒ่า ต่างก็มีพ่อของแผ่นดินสถิตย์มั่นอยู่ในใจแล้ว

เราคนไทยต่างก็ยึดมั่นกันไม่เสื่อมคลายมานานแสนนานแล้วว่า พ่อของแผ่นดินนอกจากพสกนิกรจะเทิดทูนไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม ที่พระองค์ท่านดำรงในสถาบันพระมหากษัตริย์ อันมีคุณูปการกับประเทศชาติและประชาชน

เราภาคภูมิมาโดยตลอดทั้งยามที่อยู่ในแผ่นดินของเราอย่างสงบร่มเย็นอันเกิดจากพระบุญญาบารมีที่ยิ่งใหญ่ของพระมหากษัตริย์ไทย

คนไทยที่อยู่นอกราชอณาจักรก็ภาคภูมิใจกันถ้วนหน้า เมื่อนานาประเทศต่างยกย่องว่าพ่อของแผ่นดินเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระอัจฉริยะด้านต่างๆโดยแท้

คนไทยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณมาโดยตลอดถึงโครงการต่าง ๆ ที่พ่อของแผ่นดินมีพระราชดำริ ได้พระราชทานให้หน่วยราชการและองค์กรต่าง ๆ ดำเนินการ และยังทรงเสด็จพระราชดำเนินติดตามผลและทรงพรมหากรุณาธิคุณได้พระราชทานคำแนะนำ

ไม่ว่าจะเป็นโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา มุ่งเน้นการดำเนินงานโดยยึดแนวพระราชดำริเกี่ยวกับ“เศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรอย่างยั่งยืน

ยังมีมูลนิธิชัยพัฒนา เพื่อสนับสนุนช่วยเหลือประชาชนในลักษณะของการดำเนินงานพัฒนาต่างๆ ,โครงการหลวง,โครงการปลูกป่าถาวร,โครงการปลูกป่า,โครงการฝนหลวง,โครงการแก้มลิง,กังหันชัยพัฒนา และที่รู้จักกันทั่วโลก คือแนวพระราชดำริ เศรษฐกิจพอเพียง ที่พระราชทานมานานกว่า 30 ปี เป็นแนวคิดที่ตั้งอยู่บนรากฐานของวัฒนธรรมไทย เป็นแนวทางการพัฒนาขั้นพื้นฐานที่ตั้งอยู่บนทางสายกลางและความไม่ประมาท

ยังมีพระอัจฉริยะที่เลอเลิศอีกมากมายที่ประชาชนคนไทยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น

คนไทยทุกคนแม้จะโศกเศร้าที่สูญเสียพ่อของแผ่นดิน จะต้องตั้งมั่นด้วยความเข้มแข็งที่จะมีความรักความสามัคคี, ดำรงตนด้วยเศรษฐกิจพอเพียง และตอบแทนคุณของแผ่นดินตลอดไป ดังพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯในพระบรมโกศ  เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2541ในวาระเฉลิมพระชนมพรรษา

"เศรษฐกิจพอเพียง...จะทำความเจริญให้แก่ประเทศได้ แต่ต้องมีความเพียร แล้วต้องอดทนต้องไม่ใจร้อน ต้องไม่พูดมาก ต้องไม่ทะเลาะกัน ถ้าทำโดยเข้าใจกัน เชื่อว่าทุกคนจะมีความพอใจได้..."

เป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น อันหาที่สุดมิได้

 ที่มา thaitribune




 

Create Date : 16 ตุลาคม 2559    
Last Update : 16 ตุลาคม 2559 16:23:37 น.
Counter : 275 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  

p_chusaengsri
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 52 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add p_chusaengsri's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.