bloggang.com mainmenu search
ประกาศ...ประกาศ!!

ผมมี Twitter เป็นของตัวเองแล้วนะครับ.. ใครสนใจจะ follow ผม ก็ขอชวน follow เข้ามากันที่.. //twitter.com/once_upon_a_man

มีอะไรไวว่อง อยากจะบอก อยากจะพูด จะรีบมาอัพเดทที่ทวีตทันทีทันใดเลยนะครับ ..ขอขอบคุณที่รับผมเป็นเพื่อนครับ








เห็นว่าห่างหายจากการทำหนังไปนานตั้ง 12 ปี ก็นึกไปว่า “เจมส์ คาเมรอน” คงจะยังไม่อิ่มหนำไปกับการเป็น King of the World ..ก็ได้แต่เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่หนอ ที่พี่ท่านจะเลิกแคร์ หนังเรือล่ม แล้วหันมาทำอะไรใหม่ๆให้กับโลกภาพยนตร์เสียบ้าง

แต่เมื่อได้รู้ว่า คาเมรอน ก็ไม่ได้หนีหายไปไหนอะไรหรอก หากเอาเข้าจริง ก็กำลังแอบสุ่มเตรียมตัวสร้างหนังมหากาพย์ยิ่งใหญ่เรื่องใหม่แบบฉบับของตัวเองขึ้นมา.. ผมก็เชื่อแล้วว่า ผู้ชายคนนี้ เป็นนักพัฒนาตัวพ่อ อย่างที่ฮอลลีวู้ดเขาว่ากล่าวจริงๆ

เพราะเมื่อเขาคิดจะคลอดหนังเรื่องไหนออกมาสู่สายตาประชาชนแล้วละก็.. หนังเรื่องนั้นก็จะต้องเป็นหนังที่เกิดมาเพื่อสร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญ เพียงเท่านั้น

ซึ่งแม้ว่า เจมส์ คาเมรอน อาจจะไม่ใช่ “สตีเว่น สปีลเบิร์ก” ที่แฟนๆไม่ต้องรอนานก็ได้พบผลงานแสนอัศจรรย์ของพ่อมดผู้นี้ ในแทบทุกปี ..แต่ถ้าลองให้เมื่อไหร่ที่ เจมส์ คาเมรอน กลับมาแล้ว เมื่อนั้นหนึ่งขั้นเมพ อย่างเช่น พ่อมดคนที่ว่า ก็ยังต้องยอมคำนับให้






“Avatar” คือ หนังเรื่องใหม่ของ คาเมรอน ที่ว่าแต่ สปีลเบิร์ก ยังขอซูฮก เพียงแค่ชมตัวอย่างเล็กๆน้อยๆ ..แล้วยังจะต้องรวมไปถึงผู้กำกับอีกเยอะแยะที่ได้ร่วมชม และบอกว่า มันคือ การหายตัวไปยาวนานของผู้กำกับคนหนึ่ง ที่คุ้มแก่เวลาการกลับมามากๆ

ถ้าว่ากันที่เนื้อเรื่องแล้ว Avatar ก็ไม่ใช่หนังที่มาพร้อมความแปลกใหม่อะไรหรอก ..หนำซ้ำ ยังมีพลอตที่ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงกับ หนังคลาสสิคอย่าง “Dance with Wolves” หรือว่าการ์ตูนประสาดิสนีย์ “Pocahontas” ..โดยที่โจทย์ของมันได้กำหนดให้ ตัวละครๆหนึ่ง ต้องเดินทางเข้าไปอยู่ในดินแดนแห่งหนึ่ง เยี่ยงคนแปลกหน้า เพื่อเข้าไปเรียนรู้วัฒนธรรม ทำความรู้จักตัวตน และพร้อมที่จะหักหลังเจ้าถิ่นแดนแห่งนั้นได้ เมื่อถึงเวลาอันสมควร (แต่แรก มีจุดมุ่งหมายจะเป็นฝ่ายต้องทำลาย) ...แต่แล้วเมื่อถึงจุดสมควรจริงๆ ไปๆมาๆ คนๆนั้นกลับตกหลุมรักมันอย่างถอนตัวไม่ขึ้น และทำให้จิตใจเบี่ยงเบนต้องเลือกไปอยู่อีกข้างอย่างเลี่ยงไม่ได้

แต่แล้วไอ้สิ่งที่เรียกว่าความเชย ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาพะวงนึกกังวลอะไรให้มากนัก ..เพียงหากเราเลือกจะมองข้าม พลอตที่ดูง่ายดาย สามารถทายตอนจบ แม้จะอ่านแค่เรื่องย่อเหล่านี้ไป เราก็จะได้พบกับความอัศจรรย์อื่นๆ ที่ผู้กำกับ เจมส์ คาเมรอน ได้อดทนเป็นเวลาสิบกว่าปี เพียงเพื่อจะได้รังสรรค์มันมาให้เราได้รับชม ...ด้วยหนึ่งใจ สองตา และสามมิติ!






3D ในแบบฉบับของ Avatar ..มันไม่ได้เป็นเหมือนหนัง 3D ที่เราเคยๆดูมา ซึ่งเน้นจะโชว์ความทะลุจอของข้าวของต่างๆ ทำให้เราอินถึงขั้นต้องหลีกหนีหลบเลี่ยงอย่างไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว ...แต่ในงวดนี้ กับหนังเรื่องนี้ มันจะทำให้เรารู้สึกได้แบบว่า เรากำลังยืนอยู่บนสถานที่ที่ไม่มีอยู่จริงในจักรวาลแห่งนี้ ...ไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยว่า ที่เห็นอยู่เนี่ย มันคือ CG ทั้งเพ

ความเสมือนจริงที่เนียนสุดๆ นี่แหละ คือ สิ่งอัศจรรย์ที่ เจมส์ คาเมรอน ได้รังสรรค์เอาไว้อย่างตั้งใจ และมีเจตนาถึงขั้นจะให้มันเป็น การพลิกโฉมหน้าของโลกเทคนิค CG อย่างใหญ่หลวง

โดยแต่นี้ต่อไป หนังที่มีคอมพิวเตอร์กราฟฟิค จะไม่ใช่แค่การเอาคนจริงๆไปวางอยู่ในฉากสีเขียว แล้วถ่ายมันออกมาอย่างทื่อๆ เพื่อรอตกแต่งเป็นภาพจริงๆอีกต่อหนึ่ง ...แต่คนทำหนัง จะได้เห็นภาพจริงๆ ในแทบจะทันที หลังจากที่ถ่ายการเล่นของนักแสดงไปเรียบร้อยแบบแหม่บๆ หาไม่ต้องพยายามจินตนา เพ้อพบกันอีกต่อไป

แม้การกระทำที่ว่าจะแลกมาด้วยมูลค่าการใช้จ่ายที่สูงชะลูดตูดปลอดเลยก็เหอะ... แต่ถ้าลองแล้วมัน work แบบที่ Avatar เป็นได้แล้ว ก็เชื่อเลยว่า มันน่าเสี่ยงที่จะยอมขาดทุนเลยจริงๆ

ไม่เพียงแค่ ความล้ำทางเทคนิคการถ่าย เท่านั้น ..ยิ่งล้ำได้อีกก็คือ ส่วนของรายละเอียดในภาพ ที่งานนี้ เก็บทุกเม็ด เนี้ยบทุกจุด ดูแลทุกอณู หาความเพลี่ยงพล้ำใดๆไม่เจอเลยจริงๆ ...กับ ห้วงเวลาที่ได้เห็น ดาวแพนดอร่า ในขณะนั้นนับเกือบสามชั่วโมงได้ ใจบริสุทธิ์ของผมก็ถูกดูดกลืนไปอยู่กับหนัง ปล่อยทิ้งกายหยาบเอาไว้ในโรง ด้วยความหลุดลอย

มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยที่หนังขาย CG เน้นๆเรื่องหนึ่ง จะทำให้ผมรู้สึกอย่างนี้ได้ ..คือ มันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังถูกหลอกลวงอยู่เห็นๆกันทนโท่ เพียงแต่กระนั้นก็ยังบังอาจยอมเต็มใจให้หลอกเสียอยู่ดี

แล้วก็ไม่ใช่แค่ยอมให้หลอกกันครั้งเดียว ..แต่ยังอยากจะมีครั้งต่อๆมาตามมาชวนหลอนอยู่ร่ำไป






การกลับมาของ เจมส์ คาเมรอน ครั้งนี้ จึงต้องถือว่าได้ประสบความสำเร็จในการเอาชนะใจผมไปแบบเป็นเอกฉันท์ ...ซึ่งแม้ถ้าว่ากันด้วยคะแนนรวมแล้ว จะรู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง ที่อาจให้คะแนนเต็มไม่ได้ แต่เมื่อนำเอาทุกสิ่งอันมาหาเป็นค่าเฉลี่ย ก็ยังมาด้วยคะแนนที่สูงอยู่ดี

อย่างหนึ่งที่คงเป็นเหมือนหลายๆคนว่าไว้ ที่ทำให้ Avatar เป็นของมีตำหนิ ก็คือ ส่วนของบทหนัง ..พลอตที่ไม่แปลกใหม่ อาจถือว่าหยวนๆได้บ้าง แต่ถ้าเอาที่ปมประเด็น การเสียดแทงสังคม ที่มีให้เห็นอยู่หลายหลาก แทบทุกเรื่องมันล้วนแต่ถูกเล่าออกมาแบบผิวๆ หาไม่มีอันไหนที่กล้าจะลงลึก รุกล้ำ เข้าไปเป็นพิเศษ ...แทนที่จะทำให้เรื่องราวโดยรวมดูมีความ แกรนด์ (Grand = ยิ่งใหญ่) สร้างพลังผลักดันให้คนดูรู้สึกรู้สมไปกับมัน ช่างน่าเสียดายที่ คาเมรอน ไม่กล้าเล่น และบอกเล่ามันแบบแกนๆ (แกน = โหวงๆ) ได้เท่านี้

นี่ยังไม่รวมกับ ความเคยชินของหนังแอ๊คชั่น ที่มักจะพบจุดบอดในตัวของมันเอง ไม่ว่าจะด้วยเหตุและผล ความเป็นมาเป็นไป หรือว่าความไม่น่าเป็นไปได้ของบางสิ่งอย่างที่ดูผิดธรรมชาติ ด้วยแล้ว ..Avatar ก็เลยดูไม่ต่างอะไรกับหนังฟอร์มยักษ์ทั่วๆไปเรื่องหนึ่งที่ บท ยังพยายามทำออกมาได้ไม่ดีพอ

ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นด้วยคำสาปอะไรหรืออย่างไง ..ที่ไม่ใช่แค่ Avatar เท่านั้น แต่ยังต้องรวมถึงหนัง เจมส์ คาเมรอน อีกทุกๆเรื่องเลยล่ะ อันลงเอยมักจะมีความด่างพร้อยที่บท เหมือนๆกัน

เพราะเช่นนี้แล้ว มันก็คงดูไม่น่าแปลกใจอะไรหรอก ที่ในบรรดาการประกาศรางวัลต่างๆ เราจะไม่ได้เห็น(และไม่น่ามีโอกาส..หลังจากนี้) Avatar มีชื่อในฐานะผู้เข้าชิงบทหนังยอดเยี่ยม ..เพราะถ้าว่ากันโดยส่วนตัว มันก็แค่ดีในระดับหนึ่ง ในระดับที่ไม่ทำให้หนัง ออกนอกลู่นอกทาง






แต่ถ้าสมมติว่า Avatar ยังอุตส่าห์หาเรื่องออกนอกลู่นอกทางไปได้แล้วละก็ ..อีกหนึ่งรางวัลที่เราคงไม่มีโอกาสได้เห็นว่ามีชื่อ ก็จำต้องรวมถึง ผู้กำกับยอดเยี่ยม ไปด้วยประการฉะนี้

ซึ่งแม้ว่า Avatar จะดูพิกลพิการในบางสิ่งบางอย่าง อันทำให้ตัวหนังยังไม่เสร็จสิ้นด้วยความสมบูรณ์แบบ.. แต่ถ้ามามองมาแลมันในแง่ของความไหลลื่นในการขยับเขยื้อนทางร่างกาย (ส่วนของการดำเนินเรื่อง) แล้ว ..ความสามารถทางการกำกับ ระดับขั้นเมพ ของ คาเมรอน ก็เก่งกาจ แสนสามารถจะกลบลบจุดด้อยอันเป็นตำหนิได้อย่างแนบเนียนเป็นที่สุด ..แล้วก็ยังเนียนสุดๆ ตรงที่มัน(ตำหนิ)ช่างดูนวลเป็นเนิ้อเดียว(กับความใส) หา(แบบผ่านๆ ที่ผิวๆ)ได้มีริ้วรอยไม่ และเป็นเช่นนี้ไปทั้งเรื่องนับเวลาเกือบสามชั่วโมง นี่แหละหนา

ถึงจุดนี้ มันไม่ใช่แค่คู่ควรกับการชิง ผู้กำกับยอดเยี่ยม ในฐานะทำให้เวลาที่ยาวนาน ดูแสนสั้น และทำหนังสนุกๆที่ผสมผสานความลงตัวได้ในทุกทาง (การแสดง/ดนตรี/งานเทคนิค) อันมีทั้งความมันส์(สุดๆกับฉากรบท้ายเรื่อง ..และเร้าระทึก แบบยิบย่อยอีกตามรายทาง) ความขำ ความอ่อนหวาน ความสะเทือนใจ ขวัญหาย และซาบซึ้งจนน้ำตาริน ได้ปั่นรวมออกมาเป็นเนื้อที่อิ่มอร่อย ให้ชวนเพลิดเพลินเจริญใจยิ่งนัก (ซึ่งจะว่าไปก็เป็นลายเซ็นเฉพาะตัวของพี่ท่านมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว) ..แต่หากว่ามีใครสักคนคิดจะสร้างรางวัล ผู้แต่งหน้าหนังได้สวยที่สุด ขึ้นมาแล้วละก็ ผมขอเป็นหนึ่งในกรรมการที่มอบมันให้กับ เจมส์ คาเมรอน ไปด้วยใจจริง และจริงใจ อย่างเป็นเอกฉันท์

ถึงจะไม่ Grand อย่างน่าจะเป็น ..แต่การ Opening ก็สวยสดงดงามเกินกว่าที่คิดไปมากมาย จนไม่อาจทำใจปฏิเสธ มองเห็น Avatar เป็นได้แค่หนังใหญ่ๆแบบแกนๆเรื่องหนึ่งเท่านั้นเองได้เลยจริงๆ






แม้โดยส่วนตัว Avatar เรื่องใหม่ เรื่องนี้ จะยังไม่สามารถทำให้เขาคู่ควรกับคำว่า King of the World ที่เขาแสนมั่นใจเคยเอื้อนเอ่ยได้เสียที ..แต่ถ้าวัดกันที่ ความน่าจดจำในแง่ของฝีไม้ลายมือแล้ว มันเหนือกว่า “Titanic” ไปแล้วเรียบร้อย (ชู้รักเรือล่ม เรื่องนั้น พยายามดูกี่ที ก็ไม่เคยจะอินกับตาแจ๊คและยายโรสได้สักกะที) และจัดว่าพี่ท่านได้กลับมาสู่ขั้นท็อปฟอร์ม อย่างที่เคยเป็นกับ “Terminator 2” ในอีกครั้งหนึ่ง

แล้วผมก็จะไม่แปลกใจอะไรด้วย ถ้าเกิดในอนาคตเบื้องหน้าอีกนับสิบๆปี ..Avatar เรื่องนี้ จะกลายเป็นหนึ่งในหนังชุด สุดคลาสสิค ขึ้นหิ้งชั้นเดียวกันกับ “Star Wars” เอย “Lord of the Rings” เอย หรือว่า “Indiana Jones”

เพราะถึง Avatar ภาคแรก จะไม่ได้ถึงกับยอดเยี่ยมสุดกู่อะไรนักหรอก... แต่ถ้าลองให้ภาคต่อๆไป ยังรักษาระดับความดีได้เท่าเดียวกันนี้ ก็เชื่อเลยว่า ความนิยมในมัน คงเสื่อมคลายสลายหายได้ยาก

ต่อให้หนังจะจบเรื่องราวทุกอย่างหมดจด ..คนเคยดูก็จะยังพูดถึง และยังแอบมีใจจะลุ้นให้มีตอนต่อไป ได้อีกเรื่อยๆ เช่นเดียวกับหนังที่ผมยกตัวอย่างมานั่นแหละ






สุดท้ายนี้ สำหรับใครที่ยังไม่ได้ดู... ขอบอกเลยว่า นี่คือ หนึ่งในโจทย์บังคับของหนังปี 2009 ที่คุณควรจะได้ดู ..และถึงจะมีทางเลือกหลายทาง (3D ใน IMAX หรือ 3D Digital หรือ 2D) แต่เชื่อเถอะว่า การลองเลือกสักทาง แล้วจะให้ผลลัพธ์ออกมาที่ช่างคุ้มค่า มันเกิดขึ้นได้กับการดูหนังแห่งปีเรื่องนี้

มีงบน้อย หวังสนุกกับตัวหนังพาไปถ้วนๆ เลือก 2D

มีงบไม่มาก แต่อยากรับประสบการณ์ชวนตะลึงพอเป็นกระษัย (และดีตรงที่ ซับไทยชัดเจน) เลือก 3D Digital

แต่ถ้าอยากทุ่มไม่กั้ก ต้อนรับความตื่นเต้น ตื่นตา ตื่นใจ เต็มทุกอรรถรส ..ถึงจะเซ็งๆ ที่ซับไม่แหล่ม แต่การดู IMAX 3D ก็คู่ควรกับคำว่า แหล่มโคตร!!!

ซึ่ง แหล่มโคตร!!! ในที่นี้ ..มันก็คือ คำตอบที่ชัดเจนที่สุด ที่ทำให้ผมตัดสินใจจะให้เกรดหนังเรื่องนี้ในระดับสูงสุดนั่นเอง






ขอแนะนำเป็นอย่างยิ่ง...ครับ

เกรด A ... {}






ส่วนที่เป็นฟอนท์สี เขียว-แดง เพิ่มเข้ามา... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี(เขียว)-ดูด้อย(แดง) ของหนังแต่ละเรื่องครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมทำไฮไลท์ไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกัน

ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน...
1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ


ผมยินดีเสมอในมิตรภาพของทุกท่าน และบล็อคของผมก็ต้อนรับเสมอในความน่ารักของทุกคน
ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ
Create Date :30 ธันวาคม 2552 Last Update :30 ธันวาคม 2552 4:27:25 น. Counter : Pageviews. Comments :7