bloggang.com mainmenu search
นอกจากติดตามตัวผมในบล็อกนี้แล้ว ก็ขอชวนไปสนุกกันในอีกช่องทางกับ "Facebook" และ "Twitter" ด้วยครับ

Like Me @ //www.facebook.com/Onc3.UPoN.a.MaN

และ Follow Me @ //twitter.com/once_upon_a_man




รีวิวนี้ ถูกเผยแพร่ไปแล้วก่อนหน้า ทาง //www.chicministry.com ลิงค์






ล่วงเลยเวลามานานนับทศวรรษได้เลยทีเดียว หลังจากความสำเร็จขั้นสูงสุดกับ “The Sixth Sense” ผลงานโบว์แดงชิ้นเปิดตัวของผู้กำกับ ที่นับจากนั้นก็ถูกขนานนามให้เป็น เจ้าพ่อหนังระทึกขวัญ จอมหักมุมแห่งยุค 2000 ...“M.Night. Shyamalan” คือ ชื่อที่เรารู้ดีว่า หากคิดจะดูหนังของเขาทีไร ต้องเผื่อใจระวัง ยอมรับความผิดหวังเอาไว้ด้วย

เพราะถึงเราจะเห็นเนื้อเรื่องของ หนังแต่ละเรื่อง ก็ล้วนแต่มาพร้อมกลิ่นทริลเลอร์อย่างเต็มขั้นมันซะทุกทีไป ..แต่พอเข้าโรงไปดูแต่ต้น จนยันจะจบ มันก็เป็นแทบทุกๆ ครั้ง ที่เราจะรู้สึกว่า หนังมันกลับพูดอีกอย่างที่อาจไม่เกี่ยวกับความระทึกใดๆ ที่หนังนิยามเอาไว้ในตอนต้นเอาเสียเลย!

ซึ่งก็ด้วยเพราะความเป็นตัวของ ตัว เอ็ม.ไนท์. มันชัดเจนอย่างนี้มาตลอด และถึงจะมีคนคัดค้าน (ให้ช่วยปีนกระไดลงมาหากันหน่อย) ผู้กำกับเชื้อสายแดนภารตะก็ไม่ได้ครั่นคร้าม ทำเป็นว่าแคร์ใดๆ แม้แต่น้อย (มิวายยังเคยแอบกัดนักวิจารณ์แบบแรงๆ มาตรงๆ ที่นำเสนอผ่านหนังของตัวเองด้วยซ้ำ) ..มันก็เป็นดังหอกข้างแคร่ คอยทิ่มแทงตัวเองดีๆ นี่เอง ที่ทั้งนี้ทั้งนั้น พอเห็นว่ามีหอกอยู่ใกล้ๆ คนดูอย่างเราๆ ก็ชวนพากันถอยห่างระวังภัย ไกลออกไปจาก (ความไว้ใจใน) ตัวเขา

ย่อมไม่ใช่เรื่องผิดหรอก ที่ เอ็ม.ไนท์. จะยังมีความมั่นใจในผลงานของตัวเองอยู่เสมอ... แต่บางที หากเขาจะเอาความเป็นตัวของตัวเอง มาพบกันที่ครึ่งทางกับความคาดหวังของคนดู ในหนังสักเรื่องดูบ้าง มันก็น่ายินดีที่อย่างน้อยๆ เขาก็ได้กลับมาทำอะไรที่คนดูอย่างเรา เข้าใจ และอยากเข้าใกล้ ...ให้เป็นเหมือนเมื่อครั้ง The Sixth Sense ที่เขาอาจตีกรอบความคิดของตัวเองเอาไว้หนาแน่น แต่ก็ยังเปิดช่องต้อนคนดูเข้าไปพบอะไรที่ไม่ยากต่อการตีความ ..พอเฉลยปุ๊บ แล้วก็เข้าใจปั้บ (ว่าเราโดน......อำเข้าให้แล้ว!)

ซึ่งมาถึงกับผลงานชิ้นล่าสุด ก็ดูเหมือนจะเกลี่ยกล่อมกันได้สำเร็จเสียที ..แถมการเกลี่ยกล่อมครั้งนี้ ยังสัมฤทธิ์ผลไปถึงขั้น ขอให้เปลี่ยนแนวมาทำหนังในแบบที่ตัวเขาไม่เคยทำมาก่อนได้เสียด้วย

เมื่อ เอ็ม.ไนท์. ถูกขอให้เอาการ์ตูนทางทีวีเรื่องดังสุดฮิตในอเมริกาอย่าง “Avatar : The Last Airbender” นำมาสร้างเป็นหนังโรงเพื่อน้อมรับกับช่วงเทรนด์จอตู้ขึ้นจอเงินที่กำลังบูมสุดๆ ในยุคนี้ ..สิ่งที่เราคงต้องให้ความสนใจในที่นี้ ไม่ใช่แค่การมาเปลี่ยนแนวอย่างกะทันหันของผู้กำกับ แต่ยังจะต้องโฟกัสไปถึง การทำหนังเรต PG ที่มีนักแสดง เด็ก เป็นดารานำ และเป็นครั้งแรกที่เขาทำหนังที่ เด็ก ดูได้





“The Last Airbender” (ที่ถูกย่อชื่อลงมา เพื่อกันความเข้าใจผิดกับหนังที่มีชื่อนำเหมือนๆ กัน เรื่องนั้น) พูดถึง เรื่องราวปรัมปรา ที่ผูกโยงให้ ธาตุสำคัญทั้ง 4 ที่ถือกำเนิดโลก อย่าง ลม น้ำ ดิน ไฟ ..ต่างมีประวัติ มีอาณาจักรเป็นของตัวเอง และยังจะมีความผูกพันร่วมกัน โดยมี หนึ่งศูนย์รวมที่เป็นดังตัวประสานของทุกๆธาตุ ให้อยู่ร่วมบนโลกผืนเดียวกันได้อย่างสงบสุข ที่เรียกแทนว่า “Avatar”

แต่เมื่อวันหนึ่ง Avatar คนล่าสุด ที่ชื่อว่า “Aang” ได้เกิดหายตัวไปอย่างลึกลับ และไม่มีใครได้รู้ข่าวคราวใดๆ อีกเลย มายาวนานนับเป็นร้อยปี.. นับแต่วันนั้น โลกที่เคยสมานฉันท์ ก็เริ่มมีการเหิมเกริม ชิงดีชิงเด่นเกิดขึ้น โดยเฉพาะ เผ่าอัคคี (ไฟ) ที่หมายมุ่งความเป็นใหญ่ หวังจะเป็นเจ้าที่อยู่เหนือกว่าทุกๆ ธาตุบนโลกใบนี้

จนกระทั่งร้อยปีผ่านมา มันได้ล่วงใกล้ถึงกาลเวลาแห่งการล่มสลายของโลกทั้งใบเข้าไปทุกทีๆ ในอีกไม่กี่อึดใจ หากไม่มีใครทำอะไรเลย ..ผู้ที่เป็น Avatar ก็ได้กลับคืนมาอย่างถูกที่ ถูกเวลา เพื่อจะแก้ไขสถานการณ์ที่บานปลาย และทำให้ทุกๆ เผ่าพันธุ์สามารถคืนความสุขดำรงชีวิตอยู่อย่างปรองดองกันได้อีกครั้งหนึ่ง

พูดเท่านี้ คงไม่ต้องบอกหรอกว่า ตอนจบมันจะเป็นอย่างไรกันหนอ? ..เพราะลองขึ้นชื่อว่าเป็นหนัง เด็ก ก็ไม่พ้นที่สุดท้ายจะได้บังเกิดโลกในอุดมคติขึ้นมาได้ใหม่เป็นแน่





แต่ที่ไม่แน่ใจเอาเสียเลย ซึ่งเป็นความรู้สึกหลังจากได้ดู The Last Airbender จบไปเรียบร้อย ..ก็มาพร้อมกับความสงสัยว่า 'หนังที่เราดูไปเมื่อกี้ มันใช่หนังของ เอ็ม.ไนท์ ชยามาลาน จริงๆเหรอ?'

พูดอย่างนี้ อาจจะชวนให้เข้าใจได้สองทาง ไม่ใช่ทางที่ชื่นชม ก็ย่อมคืออีกทาง ที่คงจะสงสัยจริงๆ ..ซึ่งสำหรับส่วนตัวผมแล้ว มันไม่ใช่...ทางแรก!

ตั้งแต่ที่หนังเริ่มในช่วงแรกๆ ผมก็เริ่มจะไม่อินกับการเล่าเรื่องของหนังแล้ว เพราะสัมผัสได้ถึงความไม่ปะติดปะต่อ บางจังหวะก็เล่นโดดข้ามกันง่ายๆ อีกบางสิ่งที่ดูน่าจะมีไว้ กลับหายไปเหมือนตัดทิ้ง เพื่อให้หนังกระชับเข้าว่า ..ซึ่งก็พอเข้าใจได้ว่า เด็กดูหนังก็ควรจะสั้น ให้เหมาะสมกับวัยคนที่ทนอะไรยาวๆ นานๆ ไม่ค่อยได้

แต่กับคนที่อยากทนดูอะไรที่มันมี เหตุมีผล มีความเป็นมา และเป็นไปที่พอจะมีช่องให้สอดคล้องแล้ว ...ความสั้นเกินกว่าเหตุของหนังสักเรื่อง มันก็คือ ความทรมานอันแสนน่าเบื่อดีๆ นี่เอง ..และมันก็เป็นดังที่เราได้รับจาก The Last Airbender ที่ทั้งเรื่อง และบท ก็แสนจะอ่อนปวกเปียก อีกงานกำกับของผู้กำกับที่มีชื่อ ก็เหมือนเอาชื่อเสียงมาฝากไว้ แล้วลืมเก็บ ตัว ง.งู กลับไป สุดท้ายก็กลายเป็นคำว่า เสีย!





เท่าที่ดูหนังของ เอ็ม.ไนท์. ชยามาลาน ผู้นี้มา ...นี่คือ เรื่องที่เขาทำให้ผมผิดหวังที่สุด ..แล้วยังจะผิดหวังยิ่งกว่าที่เคยดู “The Village” แล้วพบว่าตัวเองไม่ได้มีทางที่จะสามารถไปจมปลักอยู่ในโลกของหนังเรื่องนั้นได้เลย

ซึ่งมันก็เป็นข้อพิสูจน์ได้กลายๆ ว่า เอ็ม.ไนท์. ผู้เดียวกันนี้ ย่อมไม่เหมาะกับการทำหนังเด็ก ..เพราะเอาเข้าจริง จินตนาการแบบผู้ใหญ่ (อันเคร่งเครียด) ของเขาอย่างที่เราเคยเห็นกันมานานนม (จนดูน่าเบื่อ) มันยังจะดูน่าเชื่อถือกว่า การลดวัยมาแอ๊บทำในสิ่งที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่ปรากฎความรู้สึกว่านี่คือลายเซ็นที่เราจะพบได้เมื่อมาดูหนังของเขา

ถึงแม้หนังจะยังพอมีความดี ความชอบหลงเหลือ ในเรื่องงานโปรดักชั่นที่อลังใช้ได้ ส่วนการใช้ CG ที่ดูเนียน และละเอียด ประกอบกับดนตรีบรรเลง ที่ถึงครบความเข้มข้น โดย “James Newton Howard” ให้แถมท้ายอีกนิดกับช่วงท้ายเรื่องที่พอจะให้สาระคู่ปรัชญาชวนนึกตรึกตรองคืนมาบ้าง (เข้าใจคิดที่เอา เรื่องของน้ำ มาผูกกับปมของตัวละครพระเอก) ..แต่นอกเหนือจากนั้น ไม่ได้น่าจดจำใดๆ เลย และทำให้ นี่กลายเป็นหนังเรต PG อีกเรื่องหนึ่งที่ ผู้ใหญ่ อย่างผม ดูแล้วไม่ไหวจะแอ็บเด็ก





“The Last Airbender” ... เป็นงานที่โชว์ลมปราณได้แค่ระดับล่างๆ สำหรับ เอ็ม.ไนท์. ชยามาลาน ที่พอไปโดนธาตุไฟ (ประมาณเล่นของที่อันตราย เป็นการเสี่ยงตายอย่างหนึ่ง) หาทางเข้ามาแทรกจนได้ ...ต่อให้เก่งมาจากไหน ยังไงก็เอาไม่อยู่!


เกรด C ... {}





ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน...
1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ


ผมยินดีเสมอในมิตรภาพของทุกท่าน และบล็อคของผมก็ต้อนรับเสมอในความน่ารักของทุกคน
ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ
Create Date :10 สิงหาคม 2553 Last Update :10 สิงหาคม 2553 1:12:37 น. Counter : Pageviews. Comments :2