bloggang.com mainmenu search


ที่ผ่านมาและที่ผ่านตา ก็เคยได้เห็นหนังกีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ ชอบจะนำเสนอแต่เรื่องแต่ราวที่วนเวียนอยู่ระหว่างอะไรต่อมิอะไรที่ต่อท้ายด้วยคำว่า "บอล" มาแทบตลอด ...ที่ได้เจอบ่อยๆเป็นสากลก็ ฟุตบอลเอย บาสเก็ตบอลเอย หรือถ้าแลไปฝั่งฮอลลีวู้ด ก็มักจะลงเอยชาตินิยม กับ อเมริกันฟุตบอล เอาซะมาก ...สรุปกันง่ายๆ เลยว่า ซ้ำซาก

จนก็เพิ่งได้มามีหนังเรื่อง "ดรีมทีม" นี่แหละที่ทำหลุดคอนเซปต์ หนังบอล (แต่ก็มิวายมีคาแรกเตอร์ที่เชี่ยวชาญฟุตบอลมาแอบเอี่ยวอยู่ดี) และดั้นเปลี่ยนมาเล่นกับกีฬาที่ไม่น่าจะมีใครคาดคิดเอามาทำหนังอย่างเช่น "ชักเย่อ" ...แถมยังไม่พอแค่นั้น เหล่าคาแรกเตอร์ที่รับบทเป็นนักกีฬา ล้วนแต่เป็น เด็กอนุบาล 3 กันทั้งหมด!!?



ดรีมทีม ... พูดถึงการรวมทีมของเด็กอนุบาล 3 จำนวน 10 คน ที่ได้รับการชักชวนมาร่วมสนุกจาก "หัวแก้ว" ผู้เป็นตัวตั้งตัวตีในการอย่างแข่งกีฬาชักเย่ออนุบาลแห่งชาติ พร้อมกับเหตุผลที่ไม่ได้อยากแข่งเพื่อชนะ หากแข่งเพื่อความมันส์เท่านั้นเอง ...แต่เมื่อเรื่องนี้ได้รับรู้โดยผู้ใหญ่เมื่อไหร่ ความไม่มีเหตุผล(ของเด็ก)มันก็กลับกลายเป็นจุดมุ่งหมายที่โดนสนับสนุนว่าต้องเอาชนะมันและเป็นแชมป์ให้ได้



"ครูหนูเล็ก" ผู้มีความมุ่งมั่นจะเห็นเด็กได้รับการฝึกสอนที่ดี ได้ขอความร่วมมือ(แกมบังคับ)จาก "โค้ชเบิร์ด" โค้ชฟุตบอลที่กำลังมีชื่อเสียง ลดระดับมาดูแล เหล่าเด็กๆดรีมทีม ให้สามารถมีทักษะเอาชนะกีฬาชักเย่อในครั้งนี้ ...พร้อมกันนั้นกับบรรดาเหล่าผู้ปกครองของเด็กๆ ก็ได้เข้ามาเป็นฟันเฟืองสำคัญที่กดดันให้ โค้ชเบิร์ด ต้องพาลูกของพวกเขาไปคว้าชัยให้ได้สถานเดียว

ไม่ใช่เฉพาะการเป็นแชมป์ ที่เป็นปัญหาใหญ่อันน่าหนักใจอยู่แล้วเท่านั้น ...อีกหนึ่งปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นพร้อมๆกันกับการรวมตัวของดรีมทีม คือ การมีจำนวนผู้แข่งขันได้เพียง 9 คนเท่านั้นที่จะได้ลงสนามจริงๆ ...ฉะนั้นแล้วอีก 1 คนที่เหลือจึงต้องนั่งอยู่ริมสนาม เป็นตัวสำรอง ที่รอให้มีคนไม่พร้อมจะแข่งเท่านั้นเอง



เรื่องของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในกลุ่มตัวละคร อาจเป็นประเด็นอันหอมหวานที่เราคุ้นชินกันเป็นอย่างดีในงานของผู้กำกับ "เรียว-กิตติกร" ที่ทำหนังแต่ละเรื่องก็ล้วนสร้างพิมพ์เขียวให้มีความแตกต่าง ไม่เคยซ้ำซากในตัวพลอตเรื่อง จะยกเว้นก็เพียงในหนังทุกๆเรื่องนั้น มักจะต้องมีปมประเด็นแห่งการชนะคะคานเข้ามาถ่วงน้ำหนักให้แต่ละตัวละครในเรื่องราว จะไม่มีใครยอมใครกันได้ราบรื่น ...หากถึงกระนั้นแล้ว ก็อย่าได้ไปเอาเครดิตจากงานเก่าๆ อาทิ พรางชมพู , Goal Club , อหิงสา จนกระทั่ง เมล์นรก หมวยยกล้อ มาอ้างอิง ...เพราะใน หนังใหม่ของพี่เรียว ทำความขัดแย้งที่แตกต่างให้ออกมาเป็นหนังสำหรับครอบครัว ที่ดูกันได้ทุกเพศทุกวัย และ ดรีมทีม ก็ถูกบอกเล่าออกมาด้วยความใสซื่อ ซึ่งไม่มีแก่นสารของความรุนแรงอย่างในงานก่อนๆ ...ถึงจะมีกลิ่นอายแห่งความขัดแย้งอย่างที่ว่า แต่มันก็ไม่เต็มไปด้วย คำห๊าด่าเฮีย อย่างแน่นอน (หยาบสุด ...ก็ กรู กับ มรึง)



ดรีมทีม อาจจะถือเป็นหนังของพี่เรียว ที่เขียนบทเข้าขั้นง่าย แสดงออกกันตรงๆ ไม่มีลูกเล่นที่แพรวพราว เปี่ยมสไตล์อย่างเคยคุ้น ...แต่ถึงกระนั้นแล้ว มันก็ถูกทำออกอย่างไม่มักง่าย มีเรื่องนำ มีเหตุการณ์พา ทั้งใส่เหตุและผมที่เพียงพอจะชวนคนดูให้รู้และเข้าใจ ...ถึงจะยังมองเห็นในบางจุดอันซ่อนเร้น มีองค์ประกอบไม่พอ ไม่ครบ (ยกตัวอย่าง ความเป็นไปเป็นมาของเด็กๆ , การมีบทบาทของบรรดาเหล่าผู้ปกครอง ก็มาร่วมกันไม่ครบจำนวนเด็กๆที่มีอยู่ 10) แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่พอมองข้ามได้อีกทั้งเข้าใจว่าถ้าใส่มากไปกว่านี้ ก็อาจจะทำให้หนังดูล้นในขอบเขตเวลาจนเกินเลย (อย่าลืมว่านี่คือ หนังที่พยายามทำให้เด็กดูได้ จึงมีเรื่องปัจจัยเวลาที่ต้องไม่มากเกินให้มีใจจะรับรู้อีกด้วย) ...หากมีเพียงเท่านี้ แล้วยังหนักแน่นจนรู้สึกได้ ผมก็เห็นว่ามันโอเคและดีแล้ว



ส่วนในด้านงานกำกับของพี่เรียวนั้น ก็ถูกควบคุมให้บอกเล่าออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่เกิดความรู้สึกที่เห็นว่า มันเป็นการเอาเด็กอนุบาลมาพ่นคำพูดตามบทเป๊ะๆ จนกระทั่งความพยายามยัดเยียดบทบาทผู้ใหญ่ให้มาแย้งใส่กันจนน่ารำคาญ



ความเป็นหนังตลก ในหนนี้ของพี่เรียว มีมากขึ้นกว่าครั้งก่อนๆ (ที่ล้วนแต่เคยแอบอิง จะมากจะน้อยก็ล้วนแต่มีแทบทั้งนั้น) และก็ยังเป็นตลกในรูปแบบเดียวกับ เมล์นรกฯ ที่ขายเหตุการณ์และบทบาทตัวละครนำพาไป ถูกเน้นย้ำเรื่องของการกระทำมากไปกว่าการปล่อยมุขทางคำพูด ...จะแตกต่างกับคราวก่อนก็ตรงที่ ความตลกในที่นี้ จะมาพร้อมกับความใส ที่ไม่ต้องคิดอะไรลึกลับในแง่มุมของการจิกกัดแบบเรื่องก่อนๆ ...ถึงจะไม่ได้ทิ้งจนหมดไป ก็แค่มีอยู่บ้างเป็นประปราย (ยกตัวอย่าง มุขผู้นำเล่นกอล์ฟ...ที่เอาเรื่องจริงแถวๆประเทศนี้มาพูดถึงผ่านความคิดแบบเด็กๆ)



ว่ากันเฉพาะที่ตัวหนังจากฝีมือของ พี่เรียว อาจจะถูกจัดอยู่ในโหมดความรู้สึกที่ทำให้ชอบหนังได้แล้ว ...แต่ก็ยังมิอาจสำคัญได้เท่า เหล่าบรรดานักแสดง ทั้งรุ่นเล็ก และรุ่นใหญ่ ที่มีบทบาทอย่างสมดุล และต่างก็ทำหน้าที่อย่างมีความหมาย แม้เพียงความมากน้อยจะแตกต่างกันก็ตามที ...โดยเฉพาะกับบรรดาเด็กๆ วัย 5 ขวบ ที่หน้าหนังเอามาขายความใส ซื่อ น่ารัก น่าหมั่นเขี้ยวของพวกเขา เอามาเรียกคนที่รักเด็กเช่นผมอยากเข้าไปดูได้แรงๆ ...แล้วพอได้ดูหนังเต็มๆ ก็พอใจกับความเป็นธรรมชาติของพวกเขา ไม่ว่าจะในฉากขำขำ หรือว่าตีหน้าเศร้า เราก็รู้สึกตามที่บทบาทของเขาพาให้เชื่อ ...มันออกมาโดยไม่เห็นความเสแสร้ง ไม่ตื่นกล้อง ประหนึ่งเหมือนเราดูสารคดีเด็ก ซึ่งตัวเด็กๆคล้ายไม่รู้ตัวว่ากำลังโดนถ่าย ...และด้วยเหตุฉะนี้นี่เอง ถ้ายังมีใครสักคนไม่ตกหลุมรัก พาลไม่ชอบ ดรีมทีม ทีมนี้ละก็ คงได้ชื่อว่าเป็นผู้ใหญ่ที่ใจร้ายมากๆเลยทีเดียว



ส่วนพลพรรครุ่นใหญ่ ที่เข้ามามีบทบาทครึ่งๆ พร้อมประเด็นความขัดแย้งที่ส่งผลให้เด็กๆต้องแข่งขันกันเองอย่างเลี่ยงไม่ได้นั้น ...ก็ถูกแสดงออกได้เห็นภาพ ซึ่งความคิดและการกระทำ ที่มันเป็นความจริงสำหรับสังคมไทยในวันนี้ ...สังคมที่ขึ้นชื่อว่า การแข่งขัน คือ การเอาชนะ ...หนังพยายามตะล่อมคนดูให้รู้สึกว่า ความหวังแห่งการชนะ เป็นสิ่งที่สวยงาม และเป็นจุดมุ่งหมาย ที่ไม่ว่าใครก็ต้องอยากได้ ผ่านความคิดแบบเด็กๆ ที่ถูกผู้ใหญ่ยัดเยียด... แล้วเมื่อถึงวันแข่งขันจริงก็ถูกสถานการณ์รอบข้างบีบ จนทำให้เห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป เมื่อความสวยงามนั้นมันต้องแลกมาด้วยความเหนื่อยยาก โดยไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นผู้แข่งขันได้ลงสนาม ก็เหนื่อยแทนที่จะลุ้นในสิ่งที่เด็กไม่อาจเข้าใจ อย่างที่พวกเขาเข้าใจอยู่ ...บรรดาพ่อๆแม่ๆ หน้าเคยคุ้น จาก เมล์นรกฯ (บวก อ่ำ-อัมรินทร์ และ เมย์-ภัทรวรินทร์) เข้ามามีเอี่ยวอย่างน่าติดตาม แม้จะไม่แสดงฝีมืออะไรที่ล้ำลึก แต่ก็มีมุมที่ทำให้เราเชื่อพวกเขาได้



"ซูโม่กิ๊ก" ดูสบายๆชิลๆในบท โค้ชเบิร์ด ที่ยังแฝงความกวนอารมณ์ในสไตล์ของเขา ถึงจะไม่ใช่บทบาทที่น่าจดจำเมื่อเทียบกับ เมล์นรกฯ แต่เวลาออกจอพร้อมเด็กๆ ก็ไม่ถูกกลืนหายในกลุ่มก้อนความใสไปขุ่นๆ ...และ "โฟร์-ศกลรัตน์" ในบทบาทเล่นหนังเป็นครั้งแรก ก็ทำได้น่าพอใจมากๆ กับการเลิกทำตัวเป็นเด็กมีปัญหา ห๊า หา ผันเปลี่ยนมารับบท ครูหนูเล็ก ผู้ใหญ่นักสู้ปัญหา ที่สามารถแย่งซีนเด่น และเอาชนะใจคนดูได้ไม่แพ้ เหล่าน้องๆดรีมทีมเลย

[[บรรทัดนี้ แอบ SPOILER..อ่านนก็ได้ ไม่อ่านเลยย่อมดีกว่า]] แม้ตัวหนังจะสามารถจบเรื่องราวได้อย่างมีเหตุมีผลที่มากพอจะทำให้เราเชียร์เราอิน และได้รับข้อคิดดีๆจากสารที่สื่อออกมา แต่ก็น่าเสียดายอยู่อย่างหนึ่งอย่างเดียว ที่หนังได้หาทางออกที่ทำให้เราได้ Feel Good มากไปหน่อย... เพียงถ้าหนังทำให้เด็กๆเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ย่อมจะทำให้สารแรงมากกว่าที่จะสื่อได้ถึงพร้อมซึ่งคุณค่า ...ผมอาจชอบฉากจบที่เป็นอยู่ ในแง่ที่มันสื่อถึงการจิกกัดแบบเล็กๆในสังคมไทย (คนกลาง คือ กรรมการ โดนคนข้างซ้าย และข้างขวา ชักชวนนำพาวอกแวกให้เสียความเป็นกลาง...ไม่รู้ว่าจงใจสื่อถึง ความยุติธรรมในบ้านเรา หรือเปล่า) แต่มันไม่โดนเท่าไหร่ ถ้ามองในแง่คุณค่าอย่างที่ว่า



"ดรีมทีม" ...ในบรรดาหนังของพี่เรียวทั้งหมดที่ผมเคยดู(มาตั้งแต่ พรางชมพู) เรื่องนี้คือ ที่สุดแห่งความชอบแล้ว ...แต่สำหรับคนอื่นๆ นี่ก็คือ หนังที่เหมาะกับทุกๆคน ทุกๆวัย ผู้อยากดูอยากสนุกไปกับหนังง่ายๆ สบายๆ ที่ไม่จำเป็นต้องซีเรียสในความจริงจังของมันจนเกินไป ...ขอเพียงแค่เวลาชั่วโมงกว่าๆ ได้เข้าโรงหนังมาปลดปล่อยความเครียดในชีวิตได้เสียหมด ก็ต้องถือว่าน่าพอใจ และย่อมจะคุ้มค่าที่ได้ดูแล้วเป็นแน่แท้

ผมคนนี้ ขอเป็นหน้าม้าชวนมาเชิญไปชม กับ กล้วยทอดไร้น้ำมัน!!! ...ที่ทำได้อร่อยเพลินจนมันส์ปาก ไม่ฝืดคอ อีกทั้งยังได้อิ่มอย่างมีคุณค่าทางโภชนาการ(ข้อคิดในหนัง ทั้งของเด็กและผู้ใหญ่)อีกต่างหาก ...ใครไม่เชื่อที่ ผมเชียร์ เดี๋ยวป้าดเหนี่ยว เยย

ขอแนะนำเป็นอย่างยิ่ง...ครับ

เกรด A ... {}

ปล. อ่า ย้อเย่นน่า ไม่กล้าเหนี่ยวคุณผู้อ่านหยอกคร้าบบบ (ทำเสียงแบบ อ่าง เถิดเทิง จะได้ฟีล) ...แต่ที่เชียร์นั้นเป็นเรื่องจริง จริงๆนะ

"สามารถติดตามบทสรุป การให้คะแนน และบทวิจารณ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้เพิ่มเติม หรือบทวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ พร้อมความเห็นของเพื่อนร่วมบล็อคที่รักการดูหนังได้ที่ //vreview.yarisme.com พร้อมลุ้นรับบัตร Major M Cash มูลค่า 500 บาท จำนวน 8 ใบ ทุกเดือน"



ส่วนที่เป็นฟอนท์สี เขียว-แดง เพิ่มเข้ามา... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี(เขียว)-ดูด้อย(แดง) ของหนังแต่ละเรื่องครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมทำไฮไลท์ไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกัน

ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน...
1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ
Create Date :08 เมษายน 2551 Last Update :8 เมษายน 2551 0:50:40 น. Counter : Pageviews. Comments :18