bloggang.com mainmenu search
ก่อนจะสนุกไปกับพิกซาร์เรื่องใหม่..ขอเชิญไปร่วมทวนความจำกับการอารัมภบทความสนุกครั้งก่อนที่เคยมีมาจากหนังค่ายเดียวกันใน...
"Pixar" ... ชื่อนี้ มีแต่ของอร่อย!!!




จากความคิดที่เคยประมาทว่า คงไม่มีผลงานอนิเมชั่นจากบ้าน “Pixar” เรื่องไหนอีกแล้วที่จะสามารถมาขโมยตำแหน่งขวัญใจผม ซึ่งมันเคยอยู่ในอ้อมกอดของ “Toy Story” มาได้ยาวนานนับเป็นสิบปีได้ถึงขนาดนี้

ซึ่งถ้าเพียงมีหนังสักเรื่องจะทำได้ นั่นต้องเรียกให้สมเกียรติ ยิ่งกว่า “ยักษ์ใหญ่ ล้ม ยักษ์เล็ก” เสียซะเลย เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก โดยเฉพาะถ้าหนังเรื่องนั้นยังขึ้นชื่อว่าเป็นงานคลาสสิคอีกเรื่อง เป็นจุดเริ่มต้นจริงๆจังๆของการทำหนังการ์ตูนอนิเมชั่นที่ผมชอบชม อีกยังจะเป็นความประทับใจแต่แรกพบที่ติดตรึงของผมอีกต่างหาก

แม้จะพูดกันถึง มาตรฐาน แล้ว ..พิกซาร์ มักจะไม่เคยพลาดในการรักษาระดับคุณภาพเอาไว้อยู่ในระดับดี ถึงยอดเยี่ยม มาโดยตลอด ...แต่ถ้าเอามาวัดกันในเรื่องของการสนองตอบต่อคนดูที่มีกับหนังแล้ว ระดับความชอบ กลับแตกต่างออกไป

เอากระทั่งว่าปีก่อน "Wall-E" จะสามารถเข้าไปครองใจของแฟนพิกซาร์ได้หลายต่อหลายคน ..แถมยังเป็นที่รักของนักวิจารณ์จนใจจะขาด อยากให้ชิงออสการ์หนังยอดเยี่ยมเลยด้วยซ้ำ (ให้เป็นคู่แข่งที่สมเนื้อกับ สลัมด็อก ด้วยล่ะนั่น) ...แต่ผมก็ไม่ยักตกหลุมรักอย่างรุนแรง แม้จะไม่ปฏิเสธที่ว่านี่คือหนังที่ยอดเยี่ยมอีกเรื่องของปีก่อนก็ตามที

ด้วยเหตุฉะนี้ ผมจึงไม่เคยตั้งความหวัง ว่า ทุกครั้งที่พิกซาร์ ออกงานใหม่มา จะต้องทำให้ผมตกหลุมรักมันได้ทั้งหมด ..แต่อย่างไรก็ตาม ก็เชื่อมั่นเสมอว่า พิกซาร์ ทำอะไร ก็ไม่มีให้ผิดหวังเป็นแน่แท้

และนั่นก็เป็นจุดสำคัญที่ทำให้ผมยังไม่เคยสิ้นศรัทธากับ พิกซาร์ ..อีกยังเมื่อมีงานใหม่ๆออกมาทีไร ความเป็นแฟนเหนียวแน่น ก็ล้วนจะส่งให้ผมเข้าโรงไปโดยไม่ต้องตัดสินใจ ห่วงหน้าพะวงหลังใดๆ ...เพราะมั่นใจว่าออกจากโรงหนังแล้ว เราก็จะได้เก็บลิสต์เรื่องเหล่านี้เอาไว้ในคลังหนังดีอีกเรื่องหนึ่งโดยแน่



ซึ่งนอกเหนือจากหนังยาวทั้ง 9 เรื่องที่ผ่านมา (หากไม่รวมกับหนังสั้นอีกนับสิบ) ในรอบ 10กว่าปี ..ก็ยังจะต้องรวมเรื่องที่ 10 อย่าง “Up” เข้าไปในลิสต์นี้ด้วย อย่างไม่มีพลาด ...ขนาดที่ยังไม่ได้ดู ก็มั่นใจได้ ด้วยเสียงวิจารณ์จากแดนฮอลลีวู้ดที่รักและคลั่งไคล้หนังเรื่องใหม่เรื่องนี้เอาอย่างมาก

บ้างก็บอกว่า เป็นหนังของพิกซาร์ ขายฮา ที่ทำก๊ากได้บ่อยมากที่สุด (ณ จุดนี้ ผมสนใจมากที่สุด ..เพราะรอคอยอยู่เหมือนกันว่า เมื่อไหร่หนอ ดรีมเวิร์คส จะได้คู่แข่งขายขำที่น่ากลัวพอๆกันสักที) ..บ้างก็บอกว่า เป็นหนังของพิกซาร์ ที่มาพร้อมกับหมัดฮุคที่เล่นหนักจนจุกได้หลายลูก ..อีกบ้างก็บอกว่า นี่เป็นหนังของพิกซาร์ ที่กัดกินใจมากที่สุด ...ซึ่งอันสุดท้ายนี้ ผมก็ไม่อยากจะแน่ใจ ว่าผมจะได้รับรู้มัน ด้วยตัวของผมเอง ถึงต่อให้ผมได้ดูหนัง จนออกมาแล้วเฉยๆ ก็ยังมีเปอร์เซ็นต์สูงไม่ใช่เล่น

เพราะฉะนั้น การพิสูจน์ด้วยตาของตัวเอง กับระบบดิจิตอล 3D ที่ค่ายหนังโปรโมตเสียดิบดี ว่าล้ำอย่างนั้น เจ๋งอย่างนี้ จึงเป็นสิ่งที่ผมอยากจะทำ ..แม้ความเสี่ยงที่จะมีมึนๆอึนๆ ก็ไม่ใช่เปอร์เซ็นต์ค่าน้อยๆด้วยล่ะนั่น (เอาอย่าง “Monsters VS Aliens” ที่ทำมาเพื่อสามมิติโดยเฉพาะเลยเป็นไร..ก็ยังดูไป ตื้อๆที่สมองไปก็เท่านั้น)



Up ... มาพร้อมกับพลอตเรื่องที่จัดว่าแปลก และดูแหวกจากสารบบของพิกซาร์ที่ผ่านๆมา โดยเฉพาะในเมื่อหนังหลายๆเรื่องที่ผ่านมา ล้วนจะเน้นย้ำหรือโฟกัสไปยังที่ตัวคาแรกเตอร์ใดๆที่ไม่ใช่คน (อาทิเช่น ของเล่น, รถยนต์, สัตว์ประหลาด ,หนู ,หุ่นยนต์) ขณะตัวละครที่เป็นคนจริงๆ ถ้าจะเด่นได้ ก็ต้องเด่นแบบตัวประกอบเสียมากกว่า.. แต่ในพิกซาร์เรื่องล่าสุดนี้ คนได้เด่นจนเป็นตัวเอก จริงๆจังๆเสียที

แต่ก็อาจเพราะกลัวว่า มันจะยังแปลกไม่พอละมั้ง ..คนเขียนบทเลยทำบรรเจิด บวกอายุตัวละครเอกไปมากๆให้กลายร่างมาเป็น คุณปู่แก่ๆวัย 80 คนนึง ผู้ผ่านโลกมาโชกโชน และยังจะสร้างคู่หูต่างวัย เป็นเด็กสมบูรณ์ วัยละอ่อน ที่ยังไม่รู้ปู่สีปู่สาอะไร (คล้ายๆตาสีตาสา นั่นแหละ ) แต่ก็ต้องมาผจญภัยไปด้วยกัน จนกลายเป็นเรื่องเป็นราวเป็น Up ที่เราได้ดูอยู่นี่แล



Up เปิดเรื่องมาด้วย การปูย้อนเวลากลับไปเล่าเรื่องยังตอนที่ “คาร์ล เฟรดเดอริกเซ่น” ยังเป็นเด็กชายคนหนึ่งที่มีไอดอลในดวงใจเป็นยอดนักล่าสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วอย่าง “ชาร์ล มันสช์” ผู้เป็นต้นแบบ ที่ทำให้เขาอยากเติบโตไปเป็นอย่างนั้น ..และต่อมา คาร์ล ก็ยังได้ไปประสบพบเจอ และรู้จักเข้าให้กับอีกหนึ่งที่เป็นสาวกของชาร์ลเหมือนๆกัน ...เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่มีชื่อว่า “เอลลี่” ผู้มีจิตใจเข้มแข็งเกินกว่าหญิงใด และยังจะดูแกร่งกว่าในทุกๆทางเมื่อเทียบกับ คาร์ล ที่ดูจะอ่อนแอต่อหลายสิ่งหลายอย่าง ทั้งๆที่เขาก็เป็นผู้ชายทั้งร้อย

แต่ก็อาจจะด้วยเหตุผลที่ต่างคน ก็ต่างมีสถานะความแกร่งที่อยู่ตรงข้ามกัน นี่แหละมั้ง? ..เลยจัดเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ความสนิทของหนุ่มสาวคู่นี้ เมื่อเติบโต จึงได้งอกงามเป็นความรัก เปลี่ยนจากเพื่อน เป็นแฟน เปลี่ยนจากแฟนเป็นสามี-ภรรยา และสุดท้ายก็กลายมาเป็นคู่ชีวิต...ที่อยู่เป็นกำลังใจให้กันจนถึงวันสุดท้ายที่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจากไปในที่สุด

นั่นคือช่วงเวลานับร่วมๆ 10 นาที ที่เสียไป พร้อมกับการเปิดเรื่องมาด้วยปมประเด็นที่จะส่งผลให้ตัวละคร ปู่คาร์ล กลายมาเป็นคนแก่ขี้เบื่อขาวีน อีกนานนับร่วมจนเกือบจบเรื่องนั่นแล .. ที่จัดมาเป็นหมัดฮุคหนักหน่วงลูกแรก ที่ล่อใครต่อใครให้จุกโดยถ้วนหน้า และกับผมก็ไม่เว้นเหมือนกัน แถมยังจะเป็นหมัดที่ออกมาตรงจนน่ากลัว จนเมื่อแยบโดนจังๆ ก็แทบจะสอยผมให้ต้องหมอบศิโรราบกับหนังอย่างจำยอม

ขนาดที่ว่า ช่วงครึ่งแรก ที่เงียบงันเหมือนๆกันของ Wall-E ที่เคยว่าแน่มาก่อน ..พอมาเจอฉากอะไรต่อมิอะไรที่เล่าความสำคัญครือกัน แต่ใช้เวลาน้อยกว่า และปูอย่างกะทัดรัดเช่นนี้ ...มีหรือจะไม่จุกจนเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา



ไม่รู้ใครจะว่ากับมันอย่างไรนะ ...แต่ผมว่า ความหวานชื่นดูดดื่มระหว่างคู่ปู่กับย่า ใน Up ยังจะทำคะแนนข้อสอบความอินของผมได้สูงกว่า การกระเซ้าเย้าแหย่ของหุ่นกับหุ่นเสียอีก

ถ้าเอาเท่านี้ นั่นก็เท่ากับว่า Up ได้ข่มความยอดเยี่ยมของ Wall-E ไว้ได้อยู่หมัดเสียเรียบร้อย ..โดยที่ยังไม่ทันจะได้ดูจนจบเรื่อง แต่ผมก็เริ่มๆรู้สึก ว่าหนังเรื่องนี้ ต้องมีอะไรเด็ดๆ รอคอยผมข้างหน้าอีกแน่นอน

แล้วก็ไม่เป็นอันผิดที่คาดไว้จริงๆ ...เมื่ออีกนับ 80 กว่านาทีที่เหลือ ที่ว่ากันด้วยการผจญภัย คือส่วนที่สร้างความสนุกให้กับผมเสียอย่างมากมาย ..จนแทบจะลืมนึกไปเลยว่า เรื่องบางเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น มันยังดูไม่ make sense อย่างหนักถึงเพียงใด



บ้างก็คงจะผิดหวังกับ Up ในเรื่องของความสมจริง ..เพราะเอาแค่การสร้างเหตุผลให้บ้านลอยฟ้าได้ เพียงแต่ตอนแรกก็มีรูโหว่น่าสงสัยเสียมากมายแล้ว ที่คุณปู่วัย 80 จะสามารถสูบลูกโป่งนับหมื่นนับแสนได้เพียงใช้เวลาแค่คืนเดียว (ถึงต่อให้มีเครื่องมือช่วยเหลือก็ตามทีเถอะ)

บ้างก็มีปัญหากับ Up ในส่วนของการเล่าเรื่อง ..ที่หลายครั้งหลายครา หนังเลือกจะกระโดดข้ามตอน ทำให้ขาดรายละเอียดที่น่าจะเล่าได้อีกไปหลายส่วน ...มิหนำซ้ำ ยังจะกลายเป็นปัญหาว่า หนังมันสั้นเกินไป ขาดความเร้าใจในฉากผจญภัย ทำให้ลุ้นได้ไม่สุด

แต่ความผิดหวัง และปัญหาเหล่านี้ กับตัวผม แทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลดทอนความสนุกที่หนังมีให้เอาเสียเลย ..ทั้งๆที่ปกติผมก็มักจะสะดุดใจกับอะไรที่ไม่เต็ม แต่ Up กลับใช้เวลา 90 กว่านาที พาผมจมดิ่งไปกับเรื่องราว เหตุการณ์ และความประทับใจต่างๆนานา ได้เต็มที่อย่างสมศักดิ์ศรีแห่ง พิกซาร์



ด้วยเงื่อนไขในการเล่าเรื่องแบบหนัง Road Trip ที่ครอบคลุมอรรถรสในความเป็นหนังตลกเอาไว้ด้วย ...นั่นถือเป็นการสร้างจุดร่วมที่น่าสนใจสำหรับคนดู ผู้พอใจอยากจะบันเทิง อันทำให้เราๆยอมที่จะตกอยู่ในอาณัติที่อยากจะติดตามตัวหนังไป ..ยิ่งหนังมาพร้อมกับมุขที่ Work ผ่านกระบวนการคิดที่คมคาย ร้ายลึก ก็ยิ่งจะส่งผลให้คนดูพร้อมใจจะเพลิดเพลินไปกับมัน

ซึ่งแม้เรื่องของความตลกนี้ จะยังเป็นสิ่งหนึ่งที่ พิกซาร์ อาจจะไม่ได้จัดเจน เข้มข้นเท่ากับอนิเมชั่นจากอีกค่ายที่ขายขำเป็นหลักใหญ่ แต่ถ้าเอารวมๆกับที่พิกซาร์เคยทำมา ผมจัดให้ Up เป็นที่หนึ่ง แห่งหนังคอมเมดี้ จากค่ายนี้ได้เลย

คิดดูละกัน ..กะอีแค่คำสั้นๆว่า “กระรอก” ก็ยังบังอาจเล่นหนักกับผมให้ฮารั่วจนหายใจแทบไม่ทันได้เลย

นอกเหนือจากความขำ จะทำดีกว่าก่อนๆ ..ก็ยังมีอีกสิ่งที่ผมมองว่า ครั้งนี้ พิกซาร์ มีพัฒนาการ คือ การขยายพลอตรอง ให้มีคุณค่ามากกว่า การแค่ซับพอร์ตให้มีบางสิ่งบางอย่างขึ้นมารองรับ



หลายๆเรื่องที่ผ่านมา ดูเหมือนว่า พิกซาร์ จะยังไม่สามารถหลุดกรอบการขยายพลอตเล็กพลอตน้อยให้มีความโดดเด่นขึ้นมาได้ ...และก็แทบทุกครั้งนั่นแหละ ที่ทำให้เกิดความเสียดายขึ้นมา ที่น่าจะใช้ความเล็กน้อยของมันให้ดูว่ามีของดีเพิ่มขึ้นมาอีกสักหน่อย

ยกตัวอย่างดังเช่น “Toy Story 2” ที่มีซับพลอต คือ การไล่ล่าระหว่าง จักรพรรดิเซิร์ก และ บัซ ไลท์เยียร์ ...มันน่าเสียดายที่ตัวหนังก็อุตส่าห์เล่าเรื่องมันไปอย่างควบคู่กับพลอตหลัก ..แต่เมื่อมาถึงตอน(ต้อง)จบของซับพลอตนี้ มันกลับไม่ส่งผลต่อทิศทางของตัวหนังโดยรวมเอาเสียเลย โดยเฉพาะกับการเล่นอารมณ์หักมุมที่ดูจะมีไว้แค่การหยอกล้อ หนังมหากาพย์สงครามอวกาศเรื่องอมตะก็เท่านั้นเอง

หรือจะเอาใกล้ตัวกว่า อย่าง “Wall-E” ที่มีซับพลอต เป็นการหยอกล้อ มนุษย์ ในยุคที่เครื่องจักรครอบงำร่างกายโดยสมบูรณ์ ...แต่ไปๆมาๆ นั่นก็มีเพียงแค่ต้องการจะเสียดสีให้เรารู้สึก มากไปกว่าการจะสร้างสำนึกที่อยากจะเอาชนะเครื่องจักรเป็นที่สุด (แม้ตัวละครกัปตันอ้วน จะทำให้เห็นว่าเราต้องชนะจนได้ ..แต่นั่นมันก็ไม่รุนแรงเท่าไหร่ในความรู้สึกของผม)

นอกเหนือไปจากหนังตัวอย่างของ Up ที่บอกให้เรารู้ว่า มีคุณปู่คนหนึ่ง ที่อยากจะนำบ้านลอยขึ้นฟ้า เพื่อท่องเที่ยวไปยังสถานที่ลับแล ที่ไม่เคยมีใครไปถึง นั่นคือ พลอตโดยหลักๆ ..การเพิ่มภารกิจ “หลานปู่กู้อีก๋อย” ขึ้นมาให้เป็นดังพลอตรอง ก็คือ อีกสิ่งที่หนังเต็มๆเลือกจะพูดออกมาเพื่อเติมเต็ม ...ซึ่งก็ดูเหมือนว่า ครานี้มันมีเพื่อทำให้เต็มได้จริงๆ ไม่ได้เหมือนเช่นเรื่องที่ผ่านๆมาของพิกซาร์ ที่แม้จะไม่เบาโหวงซะทีเดียว แต่มันก็ไม่ได้หนักแน่นอย่างเพียงพอ จนน่าจำอะไรเป็นจริงเป็นจังมาตลอด



แม้พลอตรองจะยังมีหน้าที่บังคับข่มขู่ไว้ ว่าห้ามข่มพลอตหลักจนไม่ได้เกิด ..และ Up ก็ซื่อสัตย์ที่จะส่งพลอตรองมาซับพอร์ตโดยหลัก เพียงแต่มันก็ดูโดดเด่น และยังจะสอดคล้องกับพลอตหลัก จนกลายเป็นเนื้อเป็นหนังผืนเดียวกัน มากกว่าจะเป็นเพียงชั้นผิวคนละชั้น ที่มีหน้าที่แตกต่างอย่างชัดเจน

ผมชอบใจที่หนังนำเรื่องราวของ หลานปู่กู้อีก๋อย มาพัฒนาให้กลายเป็นการผจญภัยที่ให้ทั้งความสนุก แบบน่ารักน่าลุ้น ที่สามารถจะสร้างความผูกพันให้กับคนดูได้ด้วยการฉาบหน้าดรามา เข้ามาในช่วงเวลาที่มันจะนำตรงไปสู่การเปลี่ยนแปลงของคาแรกเตอร์ ที่ส่งผลสะท้อนไปยังพลอตหลักให้เกิดการสะเทือนได้ด้วย

ซึ่งพอสถานะของหนังประคองอยู่ระหว่างภาคความตลก ไปพร้อมๆกับการค่อยๆปูพรมให้ตัวละครได้เรียนรู้ในสิ่งต่างๆ จนมาถึงจุดพีคที่จะต้องปฏิบัติ (ประหนึ่งก็คือ หนัง Coming-of-Age นั่นแล) ..การโยนอารมณ์กลับไปหา ส่วนดรามา อีกครา โดยสร้างทางเลือกให้ปู่คาร์ล ต้องเลือกระหว่างพลอตหลัก และพลอตรอง ...คือ การสร้างเงื่อนไขที่น่าสนใจเอาอย่างมากของบทหนัง ที่สามารถโยงใยเรื่องหลัก และเรื่องรอง ให้มาอยู่จุดเดียวกันได้อย่างแนบเนียน

เพียงแค่นับมาถึงจุดนี้... พิกซาร์ ก็สามารถเอาชนะข้อจำกัดที่ตัวเองเคยทำไม่ได้มาโดยตลอด เสียที

แล้วพอเกินจากจุดนี้ไปแล้ว... ผมต้องยอมรับเลยว่า งานนี้ พิกซาร์ เล่นกับทุกเงื่อนไขอย่างเอาเป็นเอาตาย เสียจริงๆ

ถ้าเอากันแต่พลอตหลัก ..มันก็พีคจัดๆ จนน้ำตาล้นเอ่อ โดยความสุข อันถือเป็นไม้ตายที่พิกซาร์ทำได้ดีเด่นเสมอมา

แต่ถ้าจับจดกันในพลอตรอง ..มันก็ทำให้เกิดฉากไคลแม๊กซ์แสนสนุกในตอนท้าย ที่ซัดกันเต็มคราบทั้งความจริง และจินตนาการ ปนด้วยความตื่นเต้น โลดโผน ก่อเกิดเป็นรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ ที่ส่งให้หนังดูสดใส จี๊ดจ๊าด อย่างถึงที่สุด อีกยังจะแอบทอดต่อไปก่อความซึ้งอีกสักครั้ง ให้กับเจ้าหมูไปรษณีย์ “รัสเซลล์” ที่เคยเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของพลอตรอง ..แต่ในสุดท้าย ก็กลายมาเป็นเสี้ยวใหญ่ๆในความทรงจำของปู่คาร์ล และความประทับใจของเราๆคนดูก็ด้วย

ซึ่งนั่นก็ตอบสนองให้เราเข้าใจเลยว่า การจะได้มาซึ่งคำว่า “คู่หูต่างวัย” อย่างสมบูรณ์แบบ ...ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เช่นหนังเรื่องอื่นๆ ที่มาแนวๆนี้ครือกัน

มาถึงจุดนี้ ผมคงจะชื่นชมอย่างออกนอกหน้า จนหนังจะลอยทะลุจักรวาลได้เลยแล้วล่ะมั้ง ? ...แต่มันก็ไม่ได้จบลงแค่นี้จริงๆ



เพราะนอกเหนือจากการมีบทที่ดีเยี่ยมยอดในมือ พร้อมๆกับการพัฒนามาตรฐานบางอย่างให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น ...งานด้านภาพชั้นเทพ ก็คือ สิ่งที่ยอดเยี่ยมอีกอย่างที่ อาจไม่จำเป็นต้องบอก แต่ก็ต้องพูดถึงทุกทีที่เป็นหนังพิกซาร์

แม้โดยส่วนตัวที่ได้ดูแบบฉบับ 3D Digital จะรู้สึกไม่สมดังหวัง อันเนื่องว่า ตัวหนังที่มีมิติด้วยตัวมันเองไม่ได้จำเป็นต้องรองรับเทคโนโลยีอย่างที่เป็นอยู่ หรือเอาที่มีอยู่ก็รีดศักยภาพได้ไม่คุ้มค่า (หากหวังจะดูอะไรที่โผล่ๆผลุบๆ ก็ยิ่งจะผิดหวังเข้าไปใหญ่)

แต่ถ้าดูกันที่ความสมจริงสมจัง ก็ต้องยอมรับว่า ภาพที่ออกมาใน Up ยังจะพัฒนาได้อีก ..โดยเฉพาะกับการเน้นสร้างรายละเอียดให้กับวิวทิวทัศน์ป่าเขาลำเนาไพร หรือกระทั่ง แบ๊คกราวนด์กว้างๆของดินแดนที่หายสาบสูญ ซึ่งสวยงามราวกับภาพวาด ล้วนให้ความรู้สึกเสมือนว่าเราได้อยู่ที่นั่นกับตัวละครในเวลานั้นจริงๆ

ยิ่งพอได้เห็นภาพสถานที่จริงซึ่งเป็นต้นแบบ ..ก็ยากจะปฏิเสธในสิ่งที่เห็นจากหนังว่า มันไม่จริง!

พอมารวมภาพทั้งหมดกับส่วนอื่นๆ ที่เป็นการเล่าด้วยเสียง (ไม่ว่าจะจากการพากย์ที่มีเสน่ห์ การทำเสียงประกอบที่ดูธรรมชาติ หรือว่าดนตรีที่ทำเอาเคลิ้ม) แล้วละก็ ..นับว่า มันดู สมบูรณ์แบบ ทั้งหมดทั้งปวง เลยทีเดียว



แต่ที่ผมว่าชม มาเหล่านี้ก็จัดเป็นส่วนได้เปรียบที่เกิดขึ้นมาจากภาษาหนังเสียมาก ...เพราะถ้าว่ากันด้วยภาษาใจเป็นหลักแล้ว คงต้องยกผลประโยชน์ให้กับการออกแบบคาแรกเตอร์ตัวละครต่างๆในเรื่อง ที่ถือว่าครั้งนี้ให้ความใส่ใจอย่างเนี้ยบในทุกๆตัว ...ไม่ว่าใครจะออกมากออกน้อย แทบทุกคนก็ถือว่ามีบทบาท สร้างสีสัน และส่งผลโดยรวมต่อเรื่องราวของหนังก็ยังได้

ซึ่งแม้ว่าโดยปกติแล้ว พิกซาร์จะเป็นเอกทางด้านการสร้างภาพน่ารักเสริมนิสัยน่าชังของบรรดาเหล่าตัวละครในอาณัติของเขามาตลอดกันอยู่แล้ว ...แต่ในแง่ของการทำให้ทุกคนมีความโดดเด่นไม่แพ้กัน แต่ก็ยังแบ่งได้เกิดในซีนเฉพาะ เป็นเรื่องที่ดูยังไม่ค่อยจะมีเรื่องไหนทำได้ถึงสุดๆสักที

โดยกับใน Up ที่ดูเหมือนจะเป็นงานเชิงทดลองอีกครั้งหนึ่งของพิกซาร์ (หลังจากปล่อยมาลองเชิงกับ “Ratatouille” และเริ่มท้าทายจริงๆจังๆใน Wall-E) ..ที่พยายามจะเปลี่ยนภาพหนังการ์ตูนของเด็กๆให้กลายมาเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ที่ซีเรียสจริงๆจังๆ ..ก็ยังคงพยายามรักษาภาพลักษณ์บางประการของความเป็นพิกซาร์เอาไว้ได้ภายใต้คาแรกเตอร์ตัวการ์ตูนที่คุณหนูๆจับต้องได้

แต่เมื่องานนี้ ตัวละครเอกดันเป็น คุณปู่ ใส่แว่นกรอบแก่ โชว์หน้าเหลี่ยมและตัวเหี่ยว เสียอย่างนั้น ..แล้วมันจะทำอย่างไรให้คนดูที่เป็นเด็ก ตกหลุมรัก คุณปู่ผู้ดูท่าว่าจะเคร่งเครียดสุดชีวิต คนนี้ได้ล่ะ?

นั่นมันก็เลยเป็นการบ้านของพิกซาร์ที่ดูเหมือนจะเคร่งเครียดสุดชีวิตอีกครั้งหนึ่ง ..ซึ่งต้องสามารถทำให้เรื่องที่ดูผู้ใหญ่มากๆใน Up กลายมาเป็นของเคี้ยวได้สำหรับลูกเล็กเด็กแดง



และนั่นก็เป็นที่มาให้เกิดมี เจ้าหนูรัสเซลล์ นกอีก๋อย หมาพูดได้ และผู้ร้ายตัวเอ้ ..เข้ามาอยู่ในการเดินทางสุดแสนมหัศจรรย์ของปู่คาร์ล ...ซึ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสูตรสำเร็จที่ขายง่าย ได้คล่องมาตลอด สำหรับพิกซาร์ ที่ชื่นชอบจะครีเอทตัวละครแปลกๆในโลกอุดมคติที่หนังสร้างอยู่เสมอๆ

ซึ่งทุกตัวละครประกอบเหล่านี้ล้วนแต่ได้เกิดกันหมด ..แม้กระทั่งกับแก๊งค์ผู้ร้ายที่ดูจะมีมิติเดียวน้อยกว่าใคร ก็ยังทำให้เราเกิดอาวรณ์ผูกพันในอารมณ์สมเพศปนตลกร้ายได้เสียแสบสันต์

แต่เมื่อพิจารณามาถึงตรงนี้ ก็น่าแปลกใจ ที่ความแปลกในโลกอุดมคติของพิกซาร์เช่นที่เป็นใน Up นี้ ..มันดูล้วนแต่น่าเชื่อถือไปเสียหมด ในสายตาผม ทั้งๆที่นั่นที่นี่ มันก็คืออะไรที่เหนือกว่าความเป็นไปได้ ..หรือบ่งชี้ชัดๆว่ามันเป็นหนังการ์ตูนทั้งเพ

เพราะถึงแม้ว่าผมจะเคยเข้าใจว่า การดูการ์ตูนจากพิกซาร์ คือ การทำให้เรายังรู้สึกว่าเราอาศัยอยู่บนโลกนี้ อยู่ในมิติเดียวกันกับการเรื่องราวต่างๆนานาได้ ..ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ ดรีมเวิร์คส หรือคู่แข่งเจ้าอื่นๆ ยังไม่สามารถทำให้เราเชื่อได้เท่า

แต่ครั้งนี้คงต้องถือเป็นข้อยกเว้นให้ เพราะแค่หนังเลือกจะมาพร้อมกับพลอตที่แปลกประหลาดชวนฝันมาตั้งแต่ต้น ...ผมก็เห็นว่าผมแทบจะไม่ควรใส่ใจในเหตุผลที่เป็นไปได้ ใดๆอีกแล้ว ...นี่เป็นเรื่องที่ผมยกผลประโยชน์ให้ Up ไปเต็มๆ

เพราะฉะนั้นแล้วที่ผมเห็นทุกๆอย่างเป็น ความเพลิน ความสนุก ความประทับใจ และความติดตรึงในเรื่องราวของ Up ..ส่วนหนึ่งของมันก็ล้วนเป็นเพราะผมรู้สึกว่าเหมือนได้จับต้อง สัมผัส และกลายเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของครอบครัวลุงคาร์ล เหมือนเป็นความฝัน

ผมรู้สึกว่าผมอยากยกใจให้ปู่คาร์ลเป็นฮีโร่ ..ก็เพราะผมไม่เคยมีฝันใดให้นึกถึงคุณปู่ผู้เป็นฮีโร่ของครอบครัวในชีวิตจริง (เกิดมาท่านก็ตายจากไปเสียแล้ว)

ผมรู้สึกใจสลายยามที่ย่าแอลลี่จาก ...เหมือนกับที่เมื่อนานมาแล้ว ผมเคยฝันร้ายได้สูญเสียอาม่าไปให้กับโรคชราไป

ผมรู้สึกเห็นใจในหนูรัสเซลล์ ...ก็ดังเช่นที่ ผมเคยฝันเห็นตัวของผมอยู่ในสายตาอ้อดออน เว้าวอนคู่นั้น ..ที่อยากจะมีครอบครัวที่ดี เป็นแรงบันดาลใจให้รู้สึกว่าชีวิตของผมมีคุณค่า

ผมรู้สึกว่าชีวิตนี้ ..ผมอยากจะมีโอกาสได้ทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ อย่างเช่นที่ คุณปู่และคุณย่าในเรื่องนี้เคยฝันจะทำด้วยกัน ...แม้จะรู้ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำ แต่ถ้าเพียงมีอย่างน้อยสักครั้ง ก่อนตาย ผมก็อยากได้ไปเที่ยวที่ไหนสักที่ ที่จะกลายเป็นสวรรค์ในฝันตลอดไป ..ยิ่งถ้ามีคนรักเดินทางเคียงคู่ไปด้วย มันก็คงยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด

และที่สำคัญที่สุด ที่ผมว่าผมรู้สึกได้รับยิ่งกว่าการแค่ได้ฝันลอยๆ ..ผมพบว่า ผมได้ตื่น Up ขึ้นมา เจอหนังของพิกซาร์ในฝันที่ผมรอคอยอยู่มาตั้งนานเสียที

แม้ฝันที่ว่า มันจะไม่ถึงขั้นว่าต้องได้ยิ่งใหญ่กว่าใครจน มาเป็นอันดับ 1 ในใจ อย่างเช่นที่กำลังเป็นอยู่ก็ตามทีเถอะ



ขอแนะนำเป็นอย่างยิ่ง...ครับ

เกรด A ... {}




ปล. หนังสั้นปะหน้า "Partly Cloudy" ...เล่ากระทัดรัด ทำสนุก มีสาระดีมากๆ และที่สำคัญ ..ผมก็ชอบมันสุดๆ จากบรรดาหนังสั้นของพิกซาร์ด้วยกันอีกต่างหาก

ปล.2 ใครสงสัยว่า ชื่อภาษาไทยของหนังที่ความว่า "ปู่ซ่าบ้าพลัง" มันตั้งขึ้นมาเพื่อการค้า ขอให้มั่นใจว่าคุณคิดถูก ...แต่เมื่อได้ดูจนจบจริงๆ ก็ต้องยอมรับและซูฮกเลยว่า คนคิดชื่อหนังเรื่องนี้ ตีโจทย์ได้แตกละเอียดจริงๆ


ส่วนที่เป็นฟอนท์สี เขียว-แดง เพิ่มเข้ามา... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี(เขียว)-ดูด้อย(แดง) ของหนังแต่ละเรื่องครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมทำไฮไลท์ไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกัน

ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน...
1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ


ผมยินดีเสมอในมิตรภาพของทุกท่าน และบล็อคของผมก็ต้อนรับเสมอในความน่ารักของทุกคน
ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ

Create Date :23 มิถุนายน 2552 Last Update :23 มิถุนายน 2552 0:07:15 น. Counter : Pageviews. Comments :7