bloggang.com mainmenu search
หมายเหตุ : รีวิวนี้ ลงเฉพาะใน Blog เท่านั้น

เวลานี้ ถ้าจะบอกว่าโลกทั้งใบหมุนได้เพราะ "อเมริกา" ..ก็คงไม่ถือว่าเป็นอะไรที่เกินเลย (แม้มันจะเป็นคำพูดที่ฟังแล้วควรจะหมั่นไส้ให้เหลือเกิน)

เพราะเรื่องที่เราต้องยอมรับในวันนี้ให้ได้ก็คือ ..ความเป็นไปในทุกสิ่งทุกอย่างที่มีผลต่อโลกทั้งใบ ล้วนมีผลส่วนหนึ่งมาจากการกระทำของประเทศที่ริตั้งชื่อตัวเองว่าเป็น มหาอำนาจ เบอร์ 1 คอยบ่งชี้ให้มันต้องเกิด

เราอาจดูได้จากเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในเวลานี้ ซึ่งจำแนกออกมาได้ 2 เหตุ ..และทั้ง 2 ก็ล้วนแต่กระทบกับโลกของเราทั้งใบ ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม

ทางตรง..กับ ภาวะเศรษฐกิจล่ม ที่เขาแค่เจ๊งเพียงประเทศเดียว แต่ก็บังอาจเอาชาติอื่นมาเอี่ยว จนมีเสียวไปทั้งระบบเศรษฐกิจทั่วทั้งโลก ...เรียกได้ว่า อยู่ดีไม่ว่าจะให้ดี ก็พาลากคนอื่นมาเจอเรื่องไม่ดีกับเขาด้วยสิ

หรือจะทางอ้อม..กับ การเลือกตั้งประธานาธิบดี ที่ตอนนี้ เหมือนว่าการขับเคี่ยว จะเข้มข้นลดน้อยถอยลงไป และคล้ายว่าคนมะกันอาจจะได้ปธน.คนใหม่ที่เป็นคนแรกในหมู่มวลของชาวผิวสี ..ซึ่งถ้าได้คนนั้นจริงๆ ก็คงจะดีต่อโลกใบนี้ ที่เรื่องของความวุ่นวายจะได้ลดลงไปบ้าง (อาจไม่หายขาด ..แต่ก็น่าจะมีหวัง)

ซึ่งไม่ว่าจะด้วยทางไหนสักทาง หรือเป็นทั้งสองทาง (และอีกหลายๆทางที่ไม่ได้ยกตัวอย่าง เพราะสำคัญไม่เท่า) ..มันก็ไม่อาจจะละสายตาทำเป็นไม่สนใจ ..ต่อให้ไม่ใช่เรื่องของเรา และเราไม่ใช่ประชากรของเขา แต่เราก็ต้องจับตามอง อยู่ห่างๆ อย่างเป็นห่วง เพราะโลกทั้งใบจะหมุนเร็ว หรือหมุนช้า มันล้วนแต่เกี่ยวเนื่องกับความเป็นไปของคนที่เรียกตัวเองว่า มหาอำนาจ เบอร์ 1 อย่างเลี่ยงไม่ได้จริงๆ

และก็เนื่องด้วยความที่เป็น มหาอำนาจ เบอร์ 1 ของโลกใบนี้้ด้วยนี่แหละหนา ..ที่ทำให้บางสิ่งบางอย่าง ต่อให้เราคิดว่าจะรู้ทันแล้ว มันก็ยังไม่ทันเท่าที่เขารู้จากใครต่อใครอีกนับล้านๆคน โดยไม่สนว่าคนๆนั้นจะเป็นคนของ(ประเทศ)เขาด้วยหรือไม่

บางสิ่งบางอย่างที่ผมพูดถึง แบ่งแยกออกมาได้เป็น 2 กรณี คือ 'สายลับ' และ 'เทคโนโลยี'

เรื่องของ 'สายลับ' ..อาจจะดูไม่แปลกเท่าไหร่ เพราะประเทศไหนๆเขาก็มีเป็นของตัวเขาเองแทบทั้งนั้น ...แต่สำหรับในกรณีของประเทศที่เรียกตัวเองว่าเป็น มหาอำนาจ เบอร์ 1 อย่างอเมริกาแล้ว ...มันออกจะแตกต่าง จากชาวบ้านชาวช่องเขาอยู่หลายช่วงตัว ในเรื่องที่เกี่ยวกับ การสอดแนม

สอดแนมในที่นี้ ไม่ได้หมายเพียงแต่ การสอดส่องมองหาจุดอ่อนที่ประเทศใดๆ จะมีการเผยไต๋ออกมาอย่างไม่ทันระวังตัว.. แต่ยังจะหมายถึง การทำสิ่งใดที่เรียกว่า ส.ใส่เกือก เพียงเพื่อเฝ้าระวังดูใครจะมาแสดงพฤติกรรมอันไม่สมควร หรือกระทั่งจะนินทาว่าร้าย ประเทศตัวเอง แล้วจึงทำการเดือดประทุระอุกลับ เอาให้มันเจ็บแสบ เสียยิ่งกว่าเอาแผลสดล้างด้วยแอลกอฮอล์ความเข้มข้นสูง ...หรือจะพูดง่ายๆในจุดนี้ ก็คือ "อย่าริมาจุ้น เดี๋ยวพ่อจะบึ้มให้ดู"

เรื่องของ 'เทคโนโลยี' ..นี่ถือเป็นเรื่องหนึ่งที่เราคงต้องยอมให้เขาอย่างดุษฎี (เราในที่นี้ คือ ประเทศไทย เนี่ยแหละ) ...เพราะเมื่อขึ้นชื่อว่าได้เป็น มหาอำนาจ ..ย่อมแน่นอนที่เขาต้องเบ่งอำนาจบารมีที่ตัวเองมีอย่างเข้มข้น ด้วยการมีอุปกรณ์ข้าวของที่เรียกว่า เทพ เป็นของตัวเอง ..บางประเทศอาจจะมี นิวเคลียร์ ไว้สะสมแลกแต้ม(พื้นที่แผ่นดินของประเทศที่ตัวเองหมั่นไส้) ..บางประเทศอาจจะเก็บ เครื่องบินขับเคลื่อนด้วยสมองกล เป็นของเล่นเมื่อยามเซ็งๆ ...แต่กับประเทศอเมริกา ของๆเขา ที่มีอยู่ยังอาจจะดูเจ๋งกว่า ระเบิดหรือสมองกลอันใดๆ ..หากมันคือ สิ่งเดียวที่สามารถจะครอบครองโลกทั้งใบให้เป็นของตัวเองได้อย่างเสร็จสรรพ

ในหนัง 2 เรื่องที่กำลังเข้าฉายในบ้านเราอยู่ขณะนี้ อย่าง "Body of Lies" และ "Eagle Eye" ..ต่างก็ได้พูดถึง 2 สิ่งที่เรียกว่า ล้วนแต่ก็เป็นความภาคภูมิใจของชาติมะกัน เขาทั้งนั้น ไม่ว่าจะกรณีไหน ก็กล้าเบ่งกับใครๆว่าของเขาทั้งดีและเจ๋งจริง




ใน "Body of Lies" ..ได้พูดถึง 'สายลับ' กับการส่งคนหนึ่งคน ไปแลกชีวิตหนึ่งชีวิต เพียงเพื่อสงครามเล็กๆกับการเอาชนะศัตรูที่ถึงจะไม่ได้ย่างกรายแผ่นดินของตัวเอง ..ก็มิวายจะไปทำตนเป็นตำรวจโลก จัดการแทนเจ้าของประเทศอื่นกันซะอย่างงั้น



ใน "Eagle Eyes" ..ได้พูดถึง 'เทคโนโลยี' กับอีกหนึ่งความก้าวหน้าขนานสำคัญ ที่หมายจะย่อโลกทั้งใบให้ตกอยู่ในอำนาจ ภายใต้เครื่องมือซึ่งเรียกชื่อว่า "ตาอินทรี" ..มีเครื่องนี้ เพียงแค่เครื่องนี้เครื่องเดียวก็สามารถจะล่วงรู้เป็นพหูสูตรได้ในทุกทาง ทั้งจะพยากรณ์ได้ในทุกเหตุการณ์ว่า จะดำเนินไปอย่างไรได้ดีที่สุด คิดโดยเสร็จสรรพสะระตะ ทั้งยังประเมินความเป็นไปได้ ว่องไวไปกว่าการรวมสมองคนที่เรียกว่า อัจฉริยะ สักร้อยสักพันคน มาประเมินแข่งขันกัน

ในภาษาของหนังทั้ง 2 เรื่องที่ได้กล่าวไป ..อาจจะถือเป็นการหยิบเอาสาระความจริงที่เป็นสิ่งพื้นฐานมาพูดเอาไว้ ในมุมมองของการเล่าเรื่องให้ดูน่าเชื่อถือ ถึงความที่อเมริกาก็มีและเป็นอยู่ได้ทั้งนั้น ...แต่หากนั่นมันก็ถือเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของการแสดงออก ที่ยังคงแปดเปื้อนไปด้วยสิ่งละอันพันละน้อย ที่เรียกว่า ความบันเทิง ในมุมมองของหนังฮอลลีวู้ดที่ชอบจะเน้นย้ำถึงความมีเกียรติและศักดิ์ศรีของชาติตัวเอง ให้กลายเป็นเรื่องชวนขัดหูขัดตาของเหล่าผองมิตร(และศัตรู)ประเทศอื่นที่มีไม่เท่า



Body of Lies ...กล่าวถึง "โรเจอร์ เฟอร์ริส" เจ้าหน้าที่หน่วยงาน CIA เชี่ยวชาญทางภาคสนาม ผู้มีหน้าที่ภารกิจปกป้องอารยธรรมแห่งชาติจากน้ำมือของผู้ไม่ประสงค์ดี ให้รอดพ้น และไปจบลงที่ผู้ท้าชิง(ชัง)เป็นฝ่ายต้องแพ้ในทุกครา ..ซึ่งในภารกิจล่าสุดเขาได้รับมอบหมายจากเบื้องบน ให้ตามเสาะสืบหาและไล่ล่าตัวผู้ก่อการร้าย ที่ทำการลอบวางระเบิดในประเทศแถบยุโรป เพื่อหวังจะลองดีกับประเทศมหาอำนาจให้ลุกฮือ ซึ่งนั่นก็เท่ากับเข้าทางพี่มะกันเสียเต็มประดา และต้องขอทำทุกวิถีทางเพื่อยื่นมือเข้าไปช่วยขจัดคนชั่ว โดยไม่หวังให้ใครมาตอบแทน (นั่นคือ คำพูดที่เปลือกหน้า แต่เบื้องหลังที่แท้จริง ก็มีประโยชน์มาเอื้ออย่างลับๆละเว้ย)



เฟอร์ริส ได้รับการคุมเชิงจาก เจ้าหน้าที่อาวุโสผู้นั่งโต๊ะ และสนทนาผ่านทางโทรศัพท์(สบายใจเฉิบ..ที่ไม่ต้องวิ่งให้เหนื่อย และหนักพุง) "เอ็ด ฮอฟฟ์แมน" ให้เดินตามเกมที่เขาคิดวางแผนไว้ไม่ให้ผิดไปซึ่งจุดประสงค์ ..แต่ก็ด้วยความที่ เฟอร์ริส เป็นคนดื้อรั้น หัวแข็ง และแทบจะต้องทนอยู่อย่างโดดเดี่ยวอ้างว้าง โดยที่แวดล้อมไปด้วยความกดดันแข็งขืนจากคนร้อยพ่อพันแม่รอบข้าง จึงทำให้งานของเขาไม่ใช่การโยนกล้วยเข้าปากช้าง หากน่าจะเรียกว่าเป็นการขี่ช้างจับนก (ขั้นสูงกว่าตั้กแตนไปอีก) มากกว่า

เมื่องานที่เขาทำได้ดีที่สุด เริ่มจะออกนอกลู่นอกทางไปจากที่คิดว่าควรจะเป็นไป ...แล้ว เฟอร์ริส จะทำยังไงกับชีวิตที่ไร้สมดุล และกำลังจะพบกับอันตรายถึงขีดสุด เมื่อคำพูดที่น่าไว้ใจจากคนรอบข้าง ไม่อาจจะหลงเชื่อได้หมดทุกคำอีกต่อไป

ธีมที่ Body of Lies ต้องการนำเสนอออกมาให้เป็นเรื่องของความจริงบนความบันเทิงในกรณีนี้ ..เป็นไปดั่งชื่อของหนังที่มีความหมายแปลว่า "ตัวตนที่โกหก".. ซึ่งอาจจะระบุบ่งชี้ว่าเป็นตัวละครตัวใดตัวหนึ่งที่ถูกพระเอก(รวมหัวกับเจ้านาย)กุเรื่องให้เป็นผู้โกหกโดยเจตนา (คนที่ดูหนังมาแล้ว น่าจะพอเข้าใจในความหมายของผม) ..หรืออาจจะเหมารวมไปถึงตัวละครรอบข้างของเฟอร์ริส ที่เหมือนจะรู้หน้า แต่จริงๆก็ไม่อาจรู้ใจไปโดยถ้วนทั่ว

ถ้าเป็นกรณีแรก อาจจะถือเป็นเรื่องของสีสันการสร้างความสนุกให้กับเรื่องราวในหนัง (ที่ก็ไม่แน่..ว่าอาจจะแต่งเรื่องขึ้นมาตั้งแต่สมัยเป็นนิยาย ความจริงแท้อาจไม่มีรูปธรรมก็เป็นได้) ..หากแต่ถ้าเป็นกรณีหลัง มันก็คือ สิ่งจริงแท้ ที่โลกใบนี้กำลังมีอยู่ เมื่อคนเราในวันนี้ มักจะพยายามสวมหน้ากากปกปิดตัวตนข้างในที่แท้จริง และเลือกจะเสนอให้คนอื่นรับรู้เพียงแค่เปลือกที่ดีงามก็เท่านั้น



ยกตัวอย่างกับตัวละคร เอ็ด ฮอฟฟ์แมน ..ผู้อาจจะเปรียบเสมือนเป็นได้ทั้งนาย และคู่หู ตามความเข้าใจที่ โรเจอร์ เฟอร์ริส มี ...แต่เมื่อเราได้ลงลึกไปถึงดีเทล รายละเอียดของผู้ชายคนนี้แล้ว กลับจะพบว่า เอ็ด เป็นได้ทั้งคนดี และไม่ดีในร่างเดียวกัน

ความเป็นคนดีของ เอ็ด ..อาจจะเกี่ยวกับเรื่องของความรับผิดชอบทางครอบครัวที่มีอยู่สูง และไม่สั่นคลอนไปถึงหน้าที่การงาน (เพราะโดยส่วนตัวเขา ก็มักจะชอบเอางานมาทำกับที่บ้านอยู่แล้ว) ..เรียกได้ว่าเป็น Family Man ที่ดูน่ารักในสายตา ภรรยา และลูกๆ

แต่ในด้านที่ไม่ดีของ เอ็ด ก็คือสิ่งที่ในหนังได้ถ่วงดุลน้ำหนัก ให้เราได้เห็นเอาไว้อย่างชัดเจน ..กับภาพของผู้ชายคนหนึ่งที่รักชาติ หากในขณะเดียวกันก็สามารถที่จะสละชีวิตใครก็ได้ ที่เข้ามาอยู่ในเกมของเขา โดยไม่ใส่ใจว่าผู้นั้นจะมีบรรดาศักดิ์ที่สูง หรือต่ำ จะชาติเดียวกัน หรือต่างชาติ จะเป็นคนของตัวเอง หรือชาวบ้านที่ไม่รู้อิโหน่ิอิเหน่ หรืออย่างใด เพราะสิ่งที่ต้องเจาะลึกกันจริงๆ คือประเด็นของความมั่นคง ที่อเมริกาประสบสิ่งนั้นให้ปวดขมับได้ในทุกเมื่อเชื่อวัน จนกลายเป็นความโรคจิต ขี้หวาดระแวงไปถึงเส้นเลือดดำในหัวสมองซะแล้ว



ในมุมมองของ Body of Lies ..นอกไปจากภาพที่เราได้เห็น อเมริกา นับเป็นชาติที่ยิ่งยงในเรื่องของการสงครามเหนือใคร ..หากแต่ในสิ่งเดียวกันนั้นเอง เราก็ยังได้พบเห็น ภาพของคนที่ตั้งตนเป็นตำรวจโลก ผู้ที่สามารถจะกระทำการได้ทุกอย่างที่เรียกว่า ความรุนแรง หากนั่นคือ การสำแดงเดช ให้ใครต่อใครทั่วโลกจะรู้สึกขยาดกลัวในชื่อของ อเมริกา

ถึงจะโดนต่อว่าในเรื่องไร้มนุษยธรรม ไม่มีจิตสำนึกจะรักโลก หรือจะเผาพริกเผาเกลือสาปแช่งแต่อย่างใด ..ก็ไม่อาจหยุดยั้งใจรักสงคราม ที่อเมริกาพร้อมจะก่อเหตุสร้างผลให้โลกใบนี้ ไร้ซึ่งสันติได้อยู่เรื่อยๆ

ตราบใดที่โลกของเรา ..ยังมีคนอย่าง เอ็ด ฮอฟฟ์แมน เพิ่มพูน ถือกำเนิดขึ้นมาอีกเรื่อยๆกันอีกเท่าไหร่ ...ผลกรรมที่ร้อยตัวเป็นบ่วงบาศก์ ก็คงไม่วายจะครอบและบีบรัด คนอย่าง โรเจอร์ เฟอร์ริส ให้หายใจลำบากมากขึ้น รวยรินมากขึ้น และสุดท้ายก็ตายลงไปพร้อมกับศักดิ์ศรีของความเป็นคนที่สูญเสียไปให้กับ การรักชาติอย่างผิดๆ ที่คนผิดๆพยายามบอกเล่าว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกที่สุดแล้ว



เมื่อผมได้ลองย้อนนึกไปยังสมัยที่ อเมริกา ริจะทำสงครามกับตะวันออกกลางในช่วงแรกๆ (ซึ่งมีต้นตอมาจากเหตุการณ์ 9/11) ..ก็ต้องนึกตลกให้กับกลวิธีการเรียกชายหนุ่มวัยเอ๊าะเข้ามาเกณฑ์ทหาร (ฉากจากหนังสารคดี "Fahrenheit 9/11") โดยใช้คติธรรมของความรักชาติมาเป็นตัวตั้งตัวตีในทุกๆเรื่อง ...ไม่ว่าวิธีนั้นมันจะเป็นมาจากการขอความสมัครใจ การดักเหยื่อวัยรุ่นตามแหล่งเที่ยวต่างๆ แล้วพูดถึงข้อดีของการเป็นทหารกันซึ่งๆหน้า หรือกระทั่งการใช้เกมส์คอมพิวเตอร์เป็นตัวล่อแบบสิ้นคิด (มีชื่อว่า "American's Army") ...แต่ทั้งหมดทั้งมวล ที่ต่างมีจุดประสงค์วางไว้ ก็ล้วนแต่การหวังผลไปถึงอนาคตที่ประเทศของตน จะได้รับในสิ่งที่เรียกมันว่า อำนาจ อย่างที่ไม่มีชาติอื่นใดคิดได้ (และถึงคิดได้.. ก็คงไม่กล้าทำอย่างที่พี่มะกันเขาบอกว่าตัวเองแน่หรอก)

คนอย่าง เอ็ด ฮอฟฟ์แมน อาจจะว่ามีจุดประสงค์เพื่อช่วยชาติเป็นใจความใหญ่ อันพอจะให้มีพื้นที่ชื่นชมกันเล็กๆน้อยๆ... แต่กับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นประธานาธิบดีของประเทศนี้แล้ว กลับคิดถึงจุดประสงค์ที่อยากจะเอาชนะสงครามหนนี้ ก็หวังแต่การได้กอบโกยซึ่งความยิ่งใหญ่เป็นที่สุด และขอทำให้เหนือกว่าใครๆในโลกใบนี้จะทำได้ถึงก็เท่านั้นเอง



Eagle Eye ...กล่าวถึง "เจอร์รี่ ชอว์" ชายหนุ่มคนธรรมดาบ้านๆคนหนึ่งซึ่งชีวิตวันๆไม่เป็นอันทำอะไรได้นอกจาก งานถ่ายเอกสารง่ายๆ ทั้งยังได้ฝากฝังเงินส่่วนหนึ่งเอาไว้กับการพนันขันต่อในเกมไพ่ ..และ "ราเชล ฮอลโลมาน" แม่ม่ายสาวของลูก(ชาย)หนึ่ง ซึ่งกำลังจะได้รับโอกาสสุดพิเศษไปเล่นดนตรีให้ประธานาธิบดีให้ฟังต่อหน้ากันสดๆ

ถึงตรงนี้ อาจจะดูเหมือนว่าคนทั้งสองไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางสายใย หรือน่าจะมีสัมพันธ์ทางใดเลยให้รู้แน่เห็นประวัติ.. แต่นั่นมันไม่ใช่เพียงความบังเอิญที่คนทั้งสองจะต้องเจอะกัน หากมันคือชะตาลิขิตที่มีสิ่งๆหนึ่งได้กำหนดในสิ่งที่จะต้องเป็นไปเอาไว้แล้ว



ถ้าจะให้ลองนึกคิดว่า Eagle Eye ที่เป็นชื่อของหนังเรื่องนี้ ต้องการจะสื่อถึงความหมายเป็นอย่างใดแล้วละก็ ..นอกเหนือไปจากการเรียกเป็นชื่ออุปกรณ์ของสิ่งที่กำหนดความเป็นไปในหนังไว้แล้วอย่างหนึ่ง ...อีกอย่างที่ดูจะแน่ใจว่าหนังคงต้องการจะให้คิดถึง ก็คือ การเล่นคำ 'ตาอินทรี' ที่บ่งบอกไปถึงความเฉียบคมในการมองเห็นของสัตว์ชนิดหนึ่งที่ถูกแทนเป็นสรรพนามของประเทศอเมริกา

ตาอินทรี คือ เทคโนโลยีขั้นล้ำใหม่สุด ที่กองทัพทหาร(ในหนัง)ประดิษฐ์ขึ้นมา เพื่อเป็นการศึกษาถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์ทั้งโลกใบนี้ ..โดยไม่มีการจำกัดกรอบของข้อมูลประวัติ ทุกๆอย่างสามารถดึงออกมาจากคอมพิวเตอร์
แล้วประเมินผลให้กลายเป็นเรื่องที่น่าเชื่อใจได้ เพราะมันกลั่นกรองอย่างรอบคอบ และให้ความมั่นใจหรือไม่ควรมั่นใจในความเป็นไปได้เสียดิบดี

เพียงถ้าเราลองมีเครื่องนี้อยู่ในอาณัติของเราดูเสีย ..ก็เห็นทีว่า โลกทั้งใบ คงจะต้องตกมาอยู่ในมือของเราผู้เดียว และเราคนนี้เพียงคนเดียวนี่เอง ก็สามารถจะใช้ ตาอินทรี เพื่อเปลี่ยนโลกทั้งใบ ให้เป็นไปตามคติที่เราตั้งมั่นไว้ได้โดยไม่ยากเย็น



แต่ของทุกอย่างบนโลกนี้ เมื่อมีคุณ(ประโยชน์)อย่างล้นประมาณ ก็ต้องมีโทษเป็นบริวารอยู่ด้วยเหมือนๆกันเสียหมด ..เราไม่อาจหลีกเลี่ยงกฎของธรรมชาติโลกที่กำหนดเอาไว้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องมี สองด้าน(ขึ้นไป) คอยแบ่งแยก และเราก็ยังไม่สามารถที่จะเปลี่ยนโลกทั้งใบได้โดยสมบูรณ์ หากจะมีสิ่งที่เรียกว่า อคติ ได้หล่อหลอมใจให้เราอาจมองเห็นบางสิ่งที่เป็นรูปดอกบัวที่สวยงาม ให้แปรผันมาเป็นกงจักรอันแหลมคม

แม้ทว่า ตาอินทรี ในหนังเรื่องนี้จะได้รับการประดิษฐ์ขึ้นมาจากปัญญาของมนุษย์ และมีการควบคุมโดยใช้มนุษย์เป็นตัวสั่งการ ..แต่สิ่งที่หล่อหลอมให้ ตาอินทรี มีพัฒนาการขึ้นมาอย่างที่มนุษย์ไม่อาจคาดคิด ก็คือ การประดิษฐ์แนวความคิดที่เรียกว่า อคติ ฝังในหัว ให้สมองกลตัวนี้ เกิดมีจิตใจที่รักและใฝ่ในความยุติธรรม...จนเกินเลยไปมาก

เหตุและผลในหนัง อาจจะมีบางสิ่งที่เอื้อให้เรานึกคิดเป็นแบบแผนอย่างเดียวกับกลวิธีที่ ตาอินทรี ได้มองไว้อยู่ก็จริง.. แต่ถ้าการตัดสินเช่นนั้น มันได้เกิดขึ้นซึ่งมหกรรมการนองเลือดครั้งประวัติศาสตร์ด้วยแล้ว ..มันก็คงไม่สวยงาม และน่าอเน็จอนาถมากกว่าจะสงสาร และเห็นใจ

ความน่าอเน็จอนาถ ในตอนจบที่สุดจะโปรอเมริกา อาจเป็นเรื่องที่ดูแล้วไม่ควรจะให้ชอบใจอย่างง่ายดาย และผมก็แสนจะรู้สึกเลี่ยนกับความ Feel Good ที่หนังจับยัดอย่างไม่จำเป็นด้วยอีก ..แต่กระนั้นก็ไม่ใช่ประเด็น และจะช่างประไร หาก



เรามามองในมุมของการบอกเล่าความจริงผ่านเนื้อหาที่ขายความบันเทิง ซึ่ง ณ จุดนี้ Eagle Eye ก็ทำให้ผมได้คิดออกมาอยู่หลายข้อ

ข้อแรก ..คือ เรื่องของความน่ากลัวทางเทคโนโลยี ที่นับวันๆ จะฉลาดล้ำคนเข้าไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้จักเหนื่อย และไม่ยอมหยุดพัก ...เราคิดว่าเราอาจจะก้าวตามเทรนด์ได้ทันแล้วในวันนี้ แต่อีกไม่กี่วันต่อมา (อาจจะเป็นพรุ่งนี้เลยก็ได้) เราก็จะพบว่า เราล้าหลังมันไปอีกหลายสเตปเสียแล้ว ..ถึงต่อจะให้วิ่งตาม ก็วายจะอยู่ทันได้ไม่นาน และสุดท้ายเราก็คงจะได้แต่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้พวกมันอยู่ดี กับการแข่งขันที่ไม่มีเส้นช้ยปักหลักอยู่กับที่กันเช่นนี้

ข้อสอง ..คือ เรื่องของพัฒนาการทางเทคโนโลยี ในยุคที่อีกไม่ใกล้ไม่ไกล เราจะได้ใช้หุ่นยนต์แทนคนรับใช้แล้ว ..ณ วันนี้ เราอาจจะไม่เป็นกังวลกับเรื่องนี้เท่าไหร่ (เพราะยังอยู่ในการพัฒนาโดยใช้สมองของมนุษย์เป็นสำคัญ) หากเมื่ออีกสัก 10 ปีข้างหน้า เราได้ก้าวเข้าสู่ช่วงเวลานั้นจริงๆ แล้วเราจะรู้สึกเช่นไร กับการที่เราไม่สามารถจะพัฒนาตัวเองให้เก่งได้เทียบเท่ากับเทคโนโลยีสมองกล ที่อาจจะเรียนรู้ได้โดยไม่จำเป็นต้องใส่คำสั่ง ยัดเมมความจำ ..สิ่งที่กลั่นกรองออกมาเป็นไปโดยธรรมชาติ เปรียบประหนึ่งเป็นมนุษย์ที่คิดเองไป ทำเองไป และไม่ต้องขอคำปรึกษาจากใครทั้งสิ้น

และข้อสาม ..ที่อาจจะเป็นได้ทั้ง ธีม และแนวคิดหลักๆ ที่หนังต้องการนำเสนอ คือ เรื่องของการยอมให้เทคโนโลยีสมองกล สามารถที่จะตัดสินทุกสิ่งทุกอย่างได้โดยปราศจากความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ถ้าไม่นับรวมเรื่องของความยุติธรรม ที่ดูว่าเป็นเหตุและผลอันสมควรที่หุ่นยนต์จะลงทัณฑ์ในความผิดของมนุษย์ผู้ที่ไร้ซึ่งการไตร่ตรอง ขาดสติ จริยธรรมอันดี ระหว่างนาทีเป็นนาทีตายของเหยื่อที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่.. ถึงอย่างไรก็ตามแล้ว การตัดสินที่แลกด้วยชีวิตของคนที่เป็นผู้กระทำกลับคืนเช่นกัน ก็ไม่ได้ส่งผลดีใดๆต่อโลกให้ดีขึ้น และตราบใดตราบนั้น สงครามก็จะยังไม่จบลงโดยง่ายดาย หากการแก้แค้น ไม่ว่าจะใช้ตัวตายหรือตัวแทนแล้ว ล้วนแต่ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ความผิดชอบชั่วดี ฝังอยู่ในหัวสมอง หรือว่าฮาร์ดไดรฟ์เก็บความจำอยู่เลย



อเมริกา อาจจะขึ้นชื่อว่าเป็น ประเทศที่ไร้ซึ่งความรับผิดชอบชั่วดีมากที่สุดในโลก ก็พอจะมีข้อโต้แย้งให้กล่าวหาได้ ..และหากแม้ ประเทศมหาอำนาจ เบอร์ 1 แห่งนี้ จะมีความนิยมชมชอบในการเหยียบหัวคนอื่นให้ไปอยู่ในที่สูงกว่าใครๆ แต่สิ่งที่เราได้เห็นผ่าน Eagle Eye คือ ภาพของผู้ชายคนหนึ่งที่พยายามจะเอาชนะการไร้ความรับผิดชอบใดๆมาก่อนหน้า ด้วยการอดกลั้น อดทน และต่อสู้ ไม่ให้มีเกิดการสูญเสียของประเทศอเมริกา ในตอนจบ

แม้มันจะเหมือนกับฮีโร่ในหนังแอ๊คชั่นทั่วๆไปสักคน ที่จบเรื่องมาได้ก็จะพบกับความสุขสบายใจในฉากสุดท้ายแล้ว ..แต่สิ่งที่ เจอร์รี่ ชอว์ ได้รับในตอนจบที่แท้จริงก็คือ ผลลัพธ์ของการเป็นคนดี ..ที่แม้จะโดนกดดันด้วยสถานการณ์บีบรัด ไม่เป็นอันมีสติ หากเขาก็ยังมีกะใจจะรู้ผิดชอบชั่วดี ไปถึงชีวิตคนอีกนับร้อยๆ ซึ่งสิงสถิตอยู่ในสถานที่ๆพร้อมจะระเบิดเป็นจุณในไม่กี่อึดใจ

มันช่างแตกต่างกับภาพของ ประธานาธิบดี ผู้เป็นเจ้าของประเทศตัวจริง เสียเหลือเกิน ..ที่นอกจากจะทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน สติเหมือนจะไม่สมประกอบ หากก็ยังจะปราศจากความรับผิดชอบชั่วดี ที่มีต่อโลกทั้งใบ เพียงเพราะสายตาที่มองคนทั้งโลกเป็นศัตรูได้หมด

สุดท้ายนี้ หากนำภาพของหนังทั้ง 2 เรื่องมาซ้อนทับ และหลอมรวมเป็นหนังเรื่องหนึ่ง ...พลอตเรื่องที่สำคัญมากกว่าใครทั้งปวง ก็คงต้องยกยอดให้ประธานาธิบดีเป็นพระเอก(ตัวร้าย)ของหนังเรื่องนี้กันไปเลยทีเดียวเชียว

และถึงตรงนี้ ก็ได้แต่หวัง(อีกสักที)ว่า ประธานาธิบดีคนใหม่(ผู้มีผิวสี) จะเก่งและ(มีนิสัยที่)ดีกว่าคนเก่า ..เพราะถึงแม้เขาจะไม่ได้เป็นนายของเรา ที่้ต้องน้อมรับคำสั่งทุกอย่าง แต่ยังไงเราก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า เขาคือนายของโลกใบนี้ อย่างแท้จริง



รีวิวเล็กๆ

Body of Lies : เกรด B

เมื่อต้นปี ผมมองว่า "American Gangster" ..เป็นหนังของ "ริดลีย์ สก็อตต์" ที่ดี มีคุณภาพเปี่ยมล้น ..แต่เรื่องของความสนุกยังไม่เต็มที่ ความน่าติดตามยังไม่สุด และความประทับใจก็ยังมีเพียงครึ่งๆกลางๆ

แต่ก็ไม่คาดว่าในปีเดียวกัน กับงานอีกเรื่องอย่าง "Body of Lies" จะได้เป็นหนังดี อีกเรื่อง ..ที่ความสนุกยังด้อยกว่าได้อีกทั้งยังเป็นงานของ ริดลีย์ ที่พูดได้เลยว่าผิดฟอร์มอย่างเห็นได้ชัด

แม้ว่า หนังเรื่องนี้จะได้การแสดงที่ดีและเด่นเกินใครของ หนุ่มลีโอ มาประดับบารมี ..ได้บทหนังซับซ้อน ยอกย้อน ที่แม้จะงงบ้าง ตามไม่ทันบ้าง ก็ยังเล่าออกมาสนุกด้วยบทสนทนาโต้ตอบของตัวละครที่ซัดกันอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ ..และการสร้างเรื่องราวให้แวดล้อมไปด้วย การโกหก ที่เสริมสร้างบรรยากาศไม่น่าไว้ใจได้ชัดเจน

แต่หนังก็ยังดูน่าผิดหวัง และลดทอนความสนุกไปได้ประมาณใหญ่ เนื่องด้วยการกำกับที่จับเรื่องของอารมณ์ร่วมมาผูกมัดกับคนดูได้ไม่สำเร็จ ..อีกทั้งความเข้มข้นก็ไม่คลั่กมากพอ จะทำให้อยากตามติดไปกับตัวหนังได้ตลอดทั้งเรื่่อง โดยเฉพาะช่วงแรก ไปถึงกลาง ที่แวดล้อมไปด้วยความน่าเบื่อชวนง่วงอยู่หลายที ...กว่าจะมาอยากเกาะติดได้ ก็ต้องอาศัยความรู้สึกที่กดดันบนความอ้างว้าง ไม่น่าวางใจ ที่ตัวละครของหนุ่มลีโอ ต้องประสบอย่างน่าเห็นใจ ในช่วงท้ายถึงไคลแมกซ์ที่พระเอกกลืนไม่เข้า คายไม่ออก จะขอความช่วยเหลือจากใครก็ไม่ได้

แม้ผมจะไม่ได้คาดหวังว่าจะได้หนังแอ๊คชั่นที่มันส์สะเด็ด ประมาณเดียวกับ "Black Hawk Down" ..แต่นี่ก็เป็นหนัง ฝีมือริดลีย์ ที่ยังมีคุณภาพเปี่ยมล้น แต่อารมณ์ชวนมันส์ก็ยังจะมีอยู่อ่อนกว่า American Gangster ที่ว่าสนุกบนความธรรมดาแล้วเสียอีก

Eagle Eye : เกรด B+

ตาอินทรี เรื่องนี้ เป็นหนังที่ดูสนุกมากๆ ในระดับที่สามารถเอาไปฉายในช่วงซัมเมอร์ของฮอลลีวู้ดได้อย่างไม่ต้องเขินอาย.. เพราะถ้าวัดในระดับความตื่นเต้น ลุ้นระทึก ก็เรียกได้ว่าน้องๆ คนอืด "Die Hard 4.0" หรือกระทั่งเว่อร์อย่างยอมรับได้ตามแบบฉบับ(หนังที่อำนวยการสร้างโดย)ลุงพ่อมด "สตีเว่น สปีลเบิร์ก" แหงซะ

แต่นั่นก็คือช่วงเวลาเกือบทั้งเรื่องที่ทำหน้าที่ของมันได้ดี (โดยที่คนดูจะต้องยอมรับในสิ่งที่ได้รับรู้แต่กลางเรื่องเป็นต้นมาอีกด้วย) ...หากถ้าหนังไม่มาจบลงด้วยความเป็นฮอลลีวู้ด ที่ทุกอย่างจะต้องงดงามในท้ายที่สุด ซึ่งอันนั้นมันก็มากเกินไป หากความตั้งใจจะต้องการสะท้อนให้คนดูได้รู้ว่า เทคโนโลยีในวันนี้ มันน่ากลัวเสียขนาดไหนแล้ว

แต่ถึงกระนั้นการเลือกจบของมันก็ยังไม่เลวร้าย เท่ากับอีกหนึ่งหนังแอ๊กชั่นพลอตสุดเก๋เล่าได้เท่ห์ในปีนี้ (อาจจะพูดอย่างนั้นได้ ถ้า..) "Vantage Point" ซึ่งนอกจากจะฮอลลีวู้ดจ๋าแล้ว ก็ยังมิวายโปรชาติตัวเองสุดขั้ว เอาจนคนดูจะอาเจียนให้ในความเก่งของพี่มะกันเขาจริงๆ

ก็เรียกได้ว่า ตาอินทรี เป็นหนังที่ขึ้นสุด แล้วก็ลงสุดได้ในเรื่องเดียวกัน ..ถึงพลอตจะดี ผู้กำกับจะเก่ง กระทั่งนักแสดงก็เล่นอย่างอิน หากสุดท้ายความเป็นฮอลลีวู้ด ไม่ทำร้ายตัวเอง ก็คงจะเป็นหนังอีกเรื่องที่เสียงวิจารณ์ออกมาว่าดี โดยไม่มีความรู้สึกกระดากปาก กันเช่นนี้แน่นอน

"สามารถติดตามบทสรุป การให้คะแนน และบทวิจารณ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้เพิ่มเติม หรือบทวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ พร้อมความเห็นของเพื่อนร่วมบล็อคที่รักการดูหนังได้ที่ //vreview.yarisme.com"



ส่วนที่เป็นฟอนท์สี เขียว-แดง เพิ่มเข้ามา... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี(เขียว)-ดูด้อย(แดง) ของหนังแต่ละเรื่องครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมทำไฮไลท์ไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกัน

ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน...
1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ


ผมยินดีเสมอในมิตรภาพของทุกท่าน และบล็อคของผมก็ต้อนรับเสมอในความน่ารักของทุกคน
ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ
Create Date :20 ตุลาคม 2551 Last Update :20 ตุลาคม 2551 5:13:09 น. Counter : Pageviews. Comments :3