bloggang.com mainmenu search


จากแต่แรกที่ได้ยินข่าวแต่แรก มาจนถึงเวลาที่หนังได้ออกฉายให้เป็นประจักษ์พยานกับสายตาแล้ว ..ผมก็ยังคงรู้สึกอึ้งๆ ถึงความจริงที่เป็นอยู่ของ โครงการหนัง "องค์บาก" ภาคต่อ ที่กว่าจะเป็นรูปเป็นร่าง ก็ได้ผ่านอะไรต่อมิอะไรมาเยอะ ให้เคยยืด และเยื้อ มาจนถึงบัดนี้

ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของพี่ "จา-พนม ยีรัมย์" ที่ทำหน้าที่เป็นพระเอกก็ว่าสบายดีอยู่แล้ว ..ยังสู้อุตส่าห์หาญกล้าก้าวขึ้นแท่นผู้กำกับหนังด้วยตัวเอง เพียงแค่กับงานเรื่องที่ 3 ของเขา และเมื่อบวกกับประสบการณ์บนโลกภาพยนตร์ที่มีไม่นานกี่ชั่วปี ก็ทำเอาผมอยากจะมีส่วนช่วยหักห้ามให้พี่ท่านลองคิดตรึกตรองอีกสักที ว่าแน่ใจหรือ ที่จะทำอย่างนี้

หรือจะเป็น เรื่องของความคิดเห็นของคอหนังบู๊สายเลือดไทยหลายๆคนที่เคยทัดทานว่า อย่าสร้าง องค์บากภาคต่อเลย ..เพราะถ้าอยากจะให้ชื่อ จา พนม กับ องค์บาก เป็นสัญลักษณ์คู่กายกันจริงๆ ก็ขอให้จบลง ณ ตรงนั้น และเปลี่ยนไปสร้างเรื่องราวใหม่ๆ ที่น่าสนุก และมีพัฒนาการกว่านั้นจะดีกว่า (และณ ความหวังดีนั้นมันก็ได้ออกมาเป็น "ต้มยำกุ้ง" ...ที่รสชาติไม่เป็นต้มยำ ..จะว่าต้มจืดก็ใกล้เคียงกว่า)

แล้วก็ยังไม่จบแค่ปัญหาสองเรื่องข้างต้นกันแต่อย่างใด ..หากจะมีงอกตามออกมาอีกเป็นดอกเห็ด กับประเด็นความลับลมคมในของการสร้างหนัง ที่ทำเอาเป็นข่าวเป็นคาวใหญ่โต ออกสื่อกันฟรีๆ โปรโมตความแรงของหนังกันไปล่วงหน้า ร่วมๆเกือบเดือน ...และที่ทำเอาหลายคนคงสงสัย รวมถึงผมก็ใช่คนนั้น คือ อยากจะรู้ข้อสรุปว่า พี่จา พนม ของเรา ...แกเพี้ยนไปแล้วจริงๆหรือ???



แต่ถึงสุดท้ายจะเพี้ยนจริง หรือเป็นข่าวโคมลอย ..ถึงอย่างไรก็ตามแต่ ขอแค่ให้พี่ท่าน กลับมาทำหนังให้เสร็จทีเถอะนะ เพราะถ้า องค์บาก ไม่มี จา พนม แล้วหนังเรื่องนี้จะจำต้องเกิดขึ้นมาอีกทำไมกัน

ซึ่งถ้าที่บ้าน(สหมงคล)จะให้อภัยแบบจำใจทำ(หรือเปล่าครับ? ..เสี่ย) ..แต่ก็ขอให้คอหนังไทยเห็นใจผู้กำกับครั้งแรกคนนี้ด้วยเถอะ อย่าให้สังคมมองผิด ลงโทษด่าว่าเขาให้โหดร้ายกับจิตใจเลย

ซึ่งจะว่าไป ก็ขอให้ย้อนกลับไปอ่านบรรทัดที่สองอีกครั้ง ..และจะเห็นว่า ผมเตือนพี่แล้วววววว!!!

แต่ก็เอาเถอะ.. ในเมื่อพี่จา จะเลือกเดินทางนี้กันจริงๆ ..ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่เราจะให้โอกาสได้ลองพิสูจน์ เพราะถ้างานนี้มันไม่เวิร์คขึ้นมา หรือแป้กไม่เป็นท่า ...เราก็คงจะยังได้เห็นหน้าพี่จา กันต่อไปอยู่ดี ในมาดของพระเอกเลือดอีสาน ผู้ที่พูดน้อย เน้นต่อยหนัก อย่างคุ้นๆ ...ส่วนงานกำกับอันเคยๆ ก็ถือซะว่า มันไม่ใช่เท่านั้นเอง



หากแล้ว การให้โอกาสลองพิสูจน์กันสักครั้ง ก็ได้เปิดทางสว่างกระจ่างใจขึ้นมาในบัดดล เมื่อหนังตัวอย่างถูกนำมาฉายให้เห็นเต็มสองตา.. สิ่งที่ผมคิดได้ในระหว่างนั้น "หรือว่าเราควรจะมีความหวังไว้บ้าง ก็น่าจะดี.." เป็นความรู้สึกที่บ่งบอกว่า ถ้าหนังเต็มๆทำได้ถึง และมันส์กว่าในหนังตัวอย่างได้อีก ..คงจะเป็นการลองงานที่คุ้มค่าของพี่จาเป็นแน่

และความหวังเล็กๆ ที่ผมคาดไว้ ก็ได้เป็นรูปเป็นร่างจริงๆขึ้นมาอย่างชวนให้อึ้ง ..เมื่อเสียงวิจารณ์ของคนที่ได้ดูมาก่อนผม ค่อนข้างจะไปทางเดียวกัน ...คือ ทางที่เซ็งแซ่บ่งบอกว่ามันเป็น หนังดี เรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

อันนี้อาจจะเหมือนว่าเชื่อได้ ในเมื่อคำวิจารณ์ก็อาจมีส่วนทำให้ผมรู้สึกกับหนังเรื่องนั้นในทางไหนน่าจะดีกว่า ...แต่ตราบใดที่ยังไม่เห็นกับตา ก็ยังไม่อาจให้ใจเชื่อได้เต็มที่



หากถ้าขึ้นชื่อว่าดีกันจริงๆ .."องค์บาก 2" ก็คงไม่แคล้วจะเป็นหนังแอ๊คชั่นไทยทำ ที่ผมชอบและภูมิใจ เพราะที่ผ่านตามาหลายปี ก็ยังนึกไม่ออกถึงนิยามหนังแอ๊คชั่นไทยทำที่ดี ..ที่นอกจากจะมีความสนุกบนความบันเทิงเป็นพื้นฐาน ก็ควรต้องมีอะไรที่น่าให้จำ ให้คิดถึงได้อีกด้วย

อย่างที่ผ่านมา กับหนังจากทีมงานเดียวกัน (ที่นำทีมมาโดย ..ผกก. "ปรัชญา ปิ่นแก้ว") องค์บาก ภาคแรก สำหรับผม.. ก็ยังเป็นแค่หนังแอ๊คชั่นที่เก๋ไก๋ในแง่ของคิวบู๊ หากเรื่องของความจำ ก็ทำได้เด่นเพียงแต่ภาพเก๋ไก๋เหล่านั้น แต่ส่วนตัวเรื่องราวยังบ่มีไก๋ไปเสียงั้น

หรือจะเป็น ต้มยำกุ้ง หม้อใหญ่มูลค่า 200 ล้านบาท.. อันนอกจากจะบ่มีไก๋หนักข้อกว่า ก็ยังน่าผิดหวังกับคิวบู๊ที่เน้นอัดๆ แบบอึดๆ แทบไร้ซึ่งความเก๋ใดๆให้น่าประทับใจอย่างใน องค์บาก (หากถ้าไม่ได้ ฉากไฮไลท์ 4 นาทีลองเทค ..งานนี้ พี่จา ก็คงไม่เหลือเดิมพันอะไรให้น่าตื่นเต้นได้เลย)

แล้วถ้ารวมไปถึงล่าสุด กับการปั้นดาราเด็กสาวหน้าใหม่หน้าตาดี มาประดับวงการบู๊เคียงบ่าพี่ชายหน้า(ดั้ง)แหมบ... "ช็อกโกแลต" ก็ยังจะดีกว่าเพียงเล็กๆน้อยๆ ด้วยบทที่มีพื้นฐานทางอารมณ์มารองรับอยู่บ้าง ..แต่เมื่อเจาะจงฉากบู๊รวมๆกัน ก็ยังไม่เร้าใจเท่าที่น่าจะเป็น และเห็นว่า มันมีเข้ามาเพื่อเป็นความบันเทิงม้วน(รอบ)เดียวจบเพียงเท่านั้น



ฉะนั้นแล้ว การมาของ องค์บาก 2 ที่อาจเคยเป็นแค่ความหวังเดิมๆ สำหรับใครต่อใครที่มองว่าคงไม่ดีไปกว่าเดิม ..จึงอาจจะทำให้ใครคนนั้นรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง ถ้าได้เห็นเต็มตาว่างานนี้ พี่จา แกตั้งใจ และเตรียมตัวพร้อมจะปล่อยของเท่าที่มี ตามแต่ประสบการณ์ให้เอื้ออำนวย จนออกมาเป็นหนังเรื่องแรกที่ได้ชื่อว่ามีเขาเป็นเจ้าของมันทั้งหมดอย่างน่าภาคภูมิ

ความเป็นมาเป็นไปหลักๆ ของ องค์บาก 2 ..นอกเหนือจากการย้อนยุคห้วงเวลากลับไปยังสมัยอโยธยา เพื่อเล่าเรื่องความเป็นไปเป็นมาขององค์พระพุทธรูปหน้าบาก ที่เคยเป็นตัวแปรของครั้งภาคแรกแล้ว (ที่ตอนแรก.. ไม่บอกก็ไม่เคยรู้ เพราะมัวแต่หลงเข้าใจว่า เสี่ยต้องการขายชื่อ องค์บาก เพียงเท่านั้นซะละมั้ง) ..คงอาจจะต้องรวมไปถึง การคิดค้นท่วงท่าการต่อสู้ใหม่ๆ ในแบบฉบับของพี่จา ที่ยังคงต้องการทั้งความสด+น่าตื่นเต้น ชวนให้คนดูไม่ว่าจะไทยหรือต่างชาติ เห็นแล้วได้ตื่นตา ตื่นใจ

งานนี้ของพี่จา อาจยังเล่นไม่ยากเท่าไหร่ เมื่อการต่อสู้ที่ได้เห็นในภาคนี้ กลับล้วนแล้วแต่เป็นการจำเขามาประยุกต์อีกที ..แต่ก็คงไม่ผิดอะไรนัก ในเมื่องานที่สำคัญกว่านั้น คือ การแบกรับไว้ซึ่งหน้าที่ของผู้กำกับหนัง ที่มีศักดิ์และสิทธิ์ชี้เป็นชี้ตาย ว่าจะให้หนังเรื่องนั้นเป็นอย่างไรในใจของเขา



และแม้ว่า จาจะไม่ได้ลุยเดี่ยวไปตลอดกับงานใหญ่ที่สุดที่เคยทำมา หากยังมี "พันนา ฤทธิไกร" ผู้เป็นทั้งอาจารย์ และพี่ชาย มาร่วมวงไพบูลย์เพื่อการช่วยเหลือหลายๆอย่าง ..แต่ถึงกระนั้น เมื่อต้องโปรโมตสู่สายตาคนดู ก็คงไม่วายที่จะขายชื่อเขาเป็นหลักใหญ่ และนั่นจึงเหมือนว่าเขาต้องรับไว้ซึ่งทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นคำชม หรือคำติ เพียงผู้เดียว

แต่ในเมื่อการพิสูจน์ตัวเองของพี่จา กลับกลายออกมาเป็นส่วนของคำชม ที่มีมากกว่าคำติ ให้เกินความคาดหมายกันเช่นนี้... มันเลยแปรเปลี่ยนความกดดัน มาเป็นกำลังใจสำหรับผู้กำกับครั้งแรก พร้อมๆกับที่คนดูได้เห็นผลงานอันน่าพอใจ ที่ถึงไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่ามันเกิดจาก คนๆหนึ่งที่เคยเป็นที่ตลกขบขันเอาอย่างมาก กับคำพูดสุดฮิตติดตัวว่า "ช้างกูอยู่ไหน?" ..และมันก็แทบทำให้ใครหลายๆคนมองเขาในแง่ไม่ดีมาตลอด 2-3 ปีที่เขาหายหน้าจากจอหนังไป

ฉะนั้นแล้ว จึงไม่ผิดหรอกที่ใครหลายๆคนที่เคยตัดพ้อต่อว่า จะแอบอึ้งให้ ..และผมก็คือคนหนึ่ง ที่ไม่ใช่แค่อึ้ง หากยังจะทึ่งให้กับ ความสนุกที่ค่อนข้างจะลื่นไหลกว่าหนังเรื่องใดๆในนาม จา-พนม ยังรวมไปถึงหนังแอ๊คชั่นสายเลือดไทยฟอร์มใหญ่อีกหลายๆ ที่เคยแต่ได้ สะดุดจนไปติดลบความสนุก ไม่เป็นอันเพลินกับหนังแนวๆนี้มามาก



การตัดต่อที่เล่าเนื่องกันมาได้ไม่สะดุด ถือเป็นจุดเด่นหนึ่งที่ องค์บาก 2 ทำออกมาได้เหนือกว่า... และแม้จะว่าไป ตัวหนังก็ยังไม่ได้โดดเด่นในเรื่องของบท แต่การเล่าที่แทบเป็นเนื้อเดียวกันเช่นนี้ ก็ส่งผลดี ให้เราแทบไม่มีปัญหากับตรรกะ หรือเหตุผลบางอย่างที่มาบางเกินไป เพราะเราเพลินกับภาพบนจอของมัน จนลืมใส่ใจในส่วนที่เว้นว่างไว้ ซึ่งจะมาคิดถึงอีกที ก็ตอนที่หนังมันได้จบลงไปแล้ว

ยิ่งเมื่อรวม ไปกับส่วนของตากล้องที่ใส่ใจในการถ่ายภาพออกมาได้อย่างมีมิติ และดูสวยชวนให้มอง ไปพร้อมๆกับดนตรีประกอบหนัง ที่ดัดและแปลง ดนตรีออร์เคสตร้า มาวางบนพื้นของเพลงมันส์เร้าอารมณ์ออกมาได้น่าฟัง ...รวมอีกทั้งที่สำคัญที่สุด ก็คือ background ที่ได้รับการดูแลจาก "เอก เอี่ยมชื่น" มือหนึ่งดีไซเนอร์แห่งการออกแบบโปรดักชั่นในหนังไทย ด้วยแล้ว ..เลยส่งให้การเล่าเรื่อง มีรสชาติที่น่าให้ลิ้ม หากจะกินไปแล้วเพียงแค่ลอง ก็อยากจะกินต่อได้อีก ซึ่งถ้ายังรู้สึกไม่อิ่มในอารมณ์ถึงที่สุด



แน่นอนที่นอกจากโปรดักชั่นที่ทำออกมาได้ดีเกินมาตรฐานหนังบู๊พันธุ์ไทย จะช่วยให้คนดูเพลินกับหนังได้อย่างถึงจุดสนุก โดยไม่สะดุดแล้ว ..คนที่อยู่เหนือกว่าทีมงานโปรดักชั่นไปอีกขั้น อย่างผู้กำกับ ก็ควรจะได้รับอานิสงส์เหมือนกัน ในฐานะที่เขายังสามารถควบคุมสิ่งเหล่านี้ ให้มันออกมาได้ลงตัว ..ซึ่งแม้ในบางจุดจะมีความลงตัวในประมาณหนึ่ง ไม่ถึงเต็มที่ แต่เอาเท่าที่เป็นอยู่ใน องค์บาก 2 ก็เพียงพอจะไม่ก่อปัญหาให้คนดูหลุดจากหนังได้อยู่



โดยเฉพาะในส่วนของการออกแบบฉากแอ๊คชั่น ซึ่งถือเป็นเรื่องหนึ่งที่ทำออกมาได้ลงตัวกว่าหนังพี่จาแสดงที่ผ่านๆมาแล้ว.. มันไม่ใช่แค่ขายความดุเดือดเลือดพล่านกว่าเก่า ซาดิสม์เข้าขั้นกว่าเดิม หรือเน้นท่าเน้นทางที่สวย แต่อันตราย เจาะเอาเชิงมวยและวิทยายุทธ์หลายๆอย่างมาผสมเคล้ากันไปเรื่อย ...หากครั้งนี้ยังมีมุมบางอย่างที่เจาะจงให้แต่ละฉากเลือกนำไม้ตายมาใช้ได้เหมาะสมกว่าสมัย องค์บาก หรือว่า ต้มยำกุ้ง ..มีส่วนทำให้รายละเอียดของการต่อสู้ที่แฝงเรื่องของศิลปะไว้ในความหมายของพี่จา ค่อนข้างน่าสนใจ แม้จะเสียดายที่ไม่ขับเน้นให้เด่นชัดจนน่าจับตามองก็ตาม

นอกเหนือไปจากส่วนประเด็นของศิลปะ จะยังแสดงออกมาได้ไม่ถึงจุดคุ้มได้ใจ ..อีกอย่างที่น่าเสียดายมากกว่าในองค์บากภาคนี้ ก็คงจะเลี่ยงเป็นอื่น ไปจากเรื่องของบทหนัง ที่เป็นไปตามมาตรฐานหนังบู๊ทั่วๆไป ไม่ได้อยู่แล้ว



แม้จะต้องยอมรับว่า บทหนังของคุณ เอก เอี่ยมชื่น (ที่แทบไม่เคยเห็นการรับงานในด้านนี้มาก่อนหน้า) จะจัดการในเรื่องของการปูพิ้นฐานตัวละคร และประกอบเหตุและผล ให้เกิดที่มาที่ไปในเหตุการณ์ของหนัง อย่างที่เราจะยอมรับได้ในขั้นหนึ่ง อันเป็นขั้นที่เหนือกว่าหนังบู๊พันธุ์ไทยทั่วๆไป ..แต่โดยส่วนตัว ก็ยังรู้สึกว่า การสร้างอารมณ์ร่วมค่อนข้างจะไม่ลึก และเมคได้ไม่เต็มที่ ทั้งๆที่อาจจะได้การแสดงของดาราชั้นคุณภาพมารองรับในความเข้าถึงคาแรกเตอร์ ไว้ด้วยก็ตามที แต่มันจะดีกว่านี้ ถ้าหนังถักใยสายสัมพันธ์ของผู้คนเหล่านี้ ให้แน่นหนา พร้อมทั้งเพิ่มรายละเอียดที่ดูว่าหนังยังกั้กไว้บางส่วน กับตัวละครบางตัว.. เพราะในเมื่อหนังจะปล่อยให้นักแสดงมีชื่อทุกคนได้มีส่วนร่วมกับภาคนี้ด้วยแล้ว แต่ถ้ามาเพื่อเป็นไม้ประดับอย่างเดียว มันก็ดูท่าว่าไม่น่าจะมียังดีเสียกว่า



แต่ถึงจะอย่างไรก็ตาม องค์บาก 2 ก็ยังคงดีกว่า "ปืนใหญ่จอมสลัด" ..ที่สามารถทำให้ทุกตัวละครมีความหมาย ในเวลาที่ออกฉาก ...ถึงการเฉลี่ยจะไม่เท่าเทียมเหมือนกัน แต่อย่างน้อยก็ไม่สักแต่ใส่มาโดดๆ เพียงแค่ให้คนดูรู้ว่ามีเขามาแสดงอยู่ในหนังเรื่องนี้ด้วย (อันเป็นปัญหาของ ปืนใหญ่ ที่ทำให้ผมและคนอื่นๆ เห็นว่า.. พี่ติ๊ก มาเข้าฉากก็แค่สำนึกบุญคุณพี่อุ๋ยที่ช่วยแจ้งเกิดให้เขาดังมาถึงวันนี้ เพียงเท่านั้น)

นอกเหนือจากการลองลิ้มงานกำกับที่เป็นหนแรกในชีวิตแล้ว ..อีกสิ่งที่ผม(และทุกคน)อยากจะเห็นว่ามันเป็นพัฒนาการที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนของ พี่จา ก็ต้องเน้น ไปยังเรื่องของแอ๊คติ้ง อันหวังจะได้เห็นพี่ท่านพูดมากกว่าประโยคที่เป็นการทวงอะไรต่อมิอะไร



งานนี้ก็อาจจะยังคงเป็นที่ผิดหวังได้อยู่ หากคาดว่าเราจะได้เห็นพี่ท่านพูดจาเสวนาในทุกฉากที่อยู่บนจอ.. แต่กระนั้นก็ไม่ได้ถือว่าหนักหนาอะไรเท่าหนเก่า เพราะการแสดงออกทางอารมณ์ก็ค่อนข้างจะดีขึ้นมาในระดับหนึ่ง ..ซึ่งอาจจะไม่ถึงขั้นว่า อิน แต่ก็ไม่ได้แข็งกระด้าง จนสักได้แต่โหวกเหวกโวยวายข่มไปเรื่อย ..ซึ่งเมื่อบทของตัวละคร "เทียน" ในภาคนี้ ยังจำต้องตกอยู่ในห้วงของอารมณ์แค้นฝังอก ปนๆกับการอยู่ในด้านมืด ที่หมดเวลาไปกับการใช้การต่อสู้เพื่อเข่นฆ่ากวาดล้าง ...การที่พี่จา เน้นจะนิ่งเงียบ และแสดงออกถึงเชิงมวย ไปพร้อมอารมณ์โกรธที่ประทุผ่านตาและท่าทางเข้าไว้ จึงถือเป็นพัฒนาการอย่างหนึ่งที่ชัดเจนว่าพี่ท่านตั้งใจจะแสดงหนังให้ดีกว่าเดิมจริงๆ

แต่ถึงสุดท้ายนี้ ..หากถามว่า จา พนม ในบทบาทของนักแสดง หรือว่าผู้กำกับหนัง ..หน้าที่ใดต่อไปนี้ ที่สามารถสอบผ่านได้คะแนนในเกณฑ์ดี ...ผมก็คงจะตอบอย่างไม่ลังเลใจว่า ผู้กำกับ เข้าทางพี่ท่านมากกว่าซะอย่างงั้น

แต่เอาเถอะ นี่มันก็แค่จุดๆหนึ่งของชีวิตนักสู้นาม พนม ยีรัมย์ ...หากตราบใดที่กำลังใจของพี่จา ยังเปี่ยมพร้อมจะดิ้นรนอยู่ต่อไป ...ภาคสาม อันเป็นบทสรุปขององค์บากในปีหน้า อาจจะมีอะไรที่ดีไปกว่านี้ ให้เราสนุกได้อีกก็เป็นไปได้ ..แม้จะไม่หวังเอาไว้ให้สูงส่ง แต่ถึงยังไง ก็ไม่น่าจะต่ำเตี้ยเรี่ยดินเสียซะหรอก



"องค์บาก 2" ... เกินกว่าที่คิด ให้มากกว่าที่คาด กับหนังเรื่องแรกที่ชื่อของ จา-พนม ถูกประดับเครดิตเอาไว้ในฐานะผู้กำกับ ..แม้จะมีบางอย่างที่ยังต้องการให้ดีกว่านี้ได้อีก แต่น้อยๆแล้วก็ทำให้เกิดความหวังว่า ภาคปิดท้าย คงไม่น่าจะมีปัญหาใดๆ มาขวางกั้นให้ผมไม่เชื่อในผู้กำกับมือใหม่คนนี้ได้อีกต่อไป

คอหนังบู๊ คงชอบ และไม่น่าพลาด ..ส่วนใครที่รักหนังไทยกันจริง นี่ถือเป็นโปรแกรมที่ได้ตีตราคำว่า ดี สมควรแก่การอุดหนุน และผมก็ขอสนับสนุนด้วยอีกคน

เชื่อเหอะว่า ถ้าหนังได้โกอินเตอร์เมื่อไหร่ และสมมติว่าผมเป็นชาวต่างชาติที่ตื่นเต้นกับผลงานของ พี่จา และ Asien Martial Arts ..ผมคงจะถึงกับปลาบปลิ้ม แสดงออกมาด้วยคำพูด "โอ้ว! มาย จา ..ยู แอนด์ ยัวร์ มูฟวี่ อาร์ กู๊ด ..แวร์ อาร์ เดอะ เติร์ด??? ...เฮอรี่ พลีซ!!!"


เกรด B+ ... {}

"สามารถติดตามบทสรุป การให้คะแนน และบทวิจารณ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้เพิ่มเติม หรือบทวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ พร้อมความเห็นของเพื่อนร่วมบล็อคที่รักการดูหนังได้ที่ //vreview.yarisme.com"



ส่วนที่เป็นฟอนท์สี เขียว-แดง เพิ่มเข้ามา... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี(เขียว)-ดูด้อย(แดง) ของหนังแต่ละเรื่องครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมทำไฮไลท์ไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกัน

ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน...
1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ


ผมยินดีเสมอในมิตรภาพของทุกท่าน และบล็อคของผมก็ต้อนรับเสมอในความน่ารักของทุกคน
ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ
Create Date :11 ธันวาคม 2551 Last Update :11 ธันวาคม 2551 3:16:41 น. Counter : Pageviews. Comments :11