bloggang.com mainmenu search


แม้ว่าหมู่นี้ ฮอลลีวู้ดเริ่มจะพยายามสร้างสูตรสำเร็จใหม่ๆขึ้นมาเพิ่มอีกแขนงหนึ่งด้วยการ พยายามจะมีโครงการสานต่อหนังที่เคยได้รับการสร้างมาแล้ว หรือที่เราเรียกมันสั้นๆว่า “รีเมค” ..และก็เป็นแผนการที่หวังเป้าสำคัญไว้ก็คือ การทำเงิน เหนือสิ่งอื่นใด เพราะเข้าใจว่าของเก่าที่เคยว่าดี ว่ามีคลาส(สิค) ก็ต้องติดอยู่ในใจใครต่อใคร หรือจะสร้างแฟนกลุ่มใหม่ที่เคยได้ยินชื่อกันมา ก็ว่ากันไป

แต่ในแนวทางหนึ่งที่มีกรอบคำว่า รีเมค กำหนดตั้งต้นเอาไว้ อย่างเช่น... โครงการนำหนังเก่า มาตีความเล่าใหม่ คือ หนึ่งในแนวทางที่กำลังมา และกำลังโดน ...เพราะไม่ใช่แค่จะเป็นการชุบชีวิตให้กับหนังที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับความสำเร็จอย่างสูงสุด ก่อนจะร่วงลงมาด้วยเวลาที่ร่วงโรย หรือ(ส่วนมาก)จะเพราะความพยายามสานต่อเรื่องราวใหม่ๆลงไปเป็นภาคๆ จนหาทางจะไปต่อไม่ได้ (หรือหากบอกว่า ออกทะเล ทะลวงมหาสมุทร ก็คงจะถูก!) แต่มันยังเป็นวีธีการหาเงินอันชาญฉลาด ที่ถ้าทำได้ดีๆ ก็มีสิทธิ์ขายความสดใหม่ ได้อีกยาวนาน เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในกรณีนี้ กับหนังชุดมนุษย์ค้างคาว ที่ยิ่งเข็นภาคใหม่ออกมาเมื่อไหร่ ก็ยิ่งจะมีแต่ถูกจับตามองในแง่ดีมากยิ่งขึ้น

ฉะนั้นแล้ว ไม่ต้องแปลกใจใดๆทั้งสิ้น ถ้าเวลาแถวๆนี้ เราจะเห็นหนังใหม่ ในหน้าตาเคยคุ้นคลอดตามออกมาเป็นกองทัพใหญ่ๆ (โดยที่นี้ ยังไม่รวมกับพวกหนังภาคต่ออีกบานตะไท) ...เพราะ สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเพราะคนสร้างเป็นประการแรกหรอก แต่เป็นคนดูเราๆนี่เอง ที่ตัดสินใจให้มันเป็นไปอย่างนั้นเอง เหอๆๆๆๆ

และในกรณีเดียวกันนี้ ..มันก็กำลังจะก่อให้เกิด ตำนานบทใหม่ ในโลกภาพยนตร์ อีกแล้ว!!! ...ซึ่งคงเป็นตำนานที่หลายๆคนคงเคยคุ้น และอีกหลายๆคน ย่อมไม่เคยรู้จัก ...แต่จากนี้ต่อไป โลกทั้งใบ จะเกิดความใส่ใจต่อตำนานบทนี้ อย่างถอนตัวไม่ขึ้น



ตำนานที่ว่านี้ มันมีการให้ชื่อไว้สั้นๆว่า “Star Trek” ...ตำนานแห่งพรมแดนด่านสุดท้าย ที่ไม่มีวันตาย ..และจะอยู่เป็นอมตะได้ ยืนยาวและรุ่งเรือง...

หากเพียงตราบใด ความยืนยาวและรุ่งเรืองที่ว่า อยู่ในมือของคนที่สามารถทำได้มากกว่า แค่การแยกนิ้วชี้และกลาง ออกจาก นางและก้อย ..หรือจะให้อย่างน้อยๆก็รู้ดีว่า เสน่ห์ของ Star Trek มันมีมากกว่า แค่ให้เห็นสัญลักษณ์การทำมือที่แปลกประหลาดอันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของตำนานบทนี้เรื่อยมาเพียงเท่านั้น

การเลือก “เจ.เจ. อับรามส์” มารีบิวด์ (Rebuild) และทรีบิวต์ (Tribute) อย่างเสร็จสรรพ ให้กับตำนานหนังไซไฟเรื่องหนึ่งที่เหมือนว่า อนาคตแห่งการกลับมาจะได้ดับวูบเหลือเพียงแสงสลัวจางๆที่ปลายอุโมงค์มาก่อนแล้ว เช่นนี้ ...ต้องถือเป็นการเลือกที่ชาญฉลาดอย่างถึงแก่น เพราะในเวลานี้ ถ้าให้ถามถึงชื่อของนักสร้างหนังรุ่นใหม่ ที่ไฟแรงสูง และยังดูน่าไว้ใจได้ในการทำอะไรก็ตามที่เล็กหรือใหญ่ แต่ได้คุณภาพ ..ชื่อๆนั้น ก็ควรจะต้องมี อับรามส์ อยู่ในลิสต์ตัวแดงนั้นด้วยอย่างเบ็ดเสร็จ

ยิ่งได้มากอปรกับการที่ เขายังคือ เพชรน้ำหนึ่ง คนหนึ่งแห่งวงการทีวีซี่รี่ส์ฮอลลีวู้ด ด้วยอีกประการในที่นี้ ...ก็ยิ่งฉายแววให้เราเห็นภาพของการสร้างตำนานชุดนี้ออกมาแบบซี่รี่ส์ ..ที่แม้จะมีเรื่องเกิดและจบในตอนแบบหนังโรงทั่วไป แต่เอาเข้าจริง มันก็คงต้องมีปลายเปิด เหลือเผื่อเอาไว้ให้กับ การกลับมาในครั้งต่อๆไป หากผลที่ภาคก่อนหน้าทำมา มันสัมฤทธิ์ได้อย่างเป็นที่ถูกใจของมหาชน

และนั่นก็คือ เรื่องที่ต้องทำใจยอมรับให้ได้ สำหรับคนดูหนังอย่างเราๆด้วยกัน ..ที่จะต้องเตรียมเผื่อใจไว้พร้อมพบกับ ตำนานบทนี้อีกครั้ง อีกครั้ง และอีกหลายๆครั้ง ...หากที่ทุกครั้ง มันล้วนแต่สำเร็จอย่างงดงาม ไม่ว่าจะลดน้อย มากขึ้น หรือเทียบเท่ากันกับที่ “Star Trek” ฉบับ Begin เรื่องนี้กำลังเป็นอยู่



“Star Trek” ณ Begin ..เริ่มต้นจากการฉายภาพเหตุการณ์เมื่ออดีต ของชายหนึ่งคนที่กล้าหาญ กล้าชน และกล้าแลก ..แม้ทว่าเขาจะเพิ่งได้รับการแต่งตั้งในฐานะผู้นำ เพียงระยะเวลา 12 นาที ..แต่สิ่งที่เขาทำใน 12 นาทีนั้น ล้วนแต่ช่วยชีวิตคนได้นับพัน นับหมื่น และเป็นการช่วยที่ไม่หวังผลตอบแทน หากยอมแลกชีวิตตัวเอง เพียงเพื่อจะได้รู้แค่ว่า เขาคงจะต้องกลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้ลูกชายที่เพิ่งจะแรกคลอด ได้รับรู้สิ่งที่เขาทำไว้ครั้งนี้ เท่านั้นเอง

แล้วหนังก็ตัดฉับ...มาสู่การเล่าเรื่องราวชีวิตของสองตัวละครเอก แต่ครั้งเยาว์วัย จนไซร้เติบโตขึ้นมาเป็น หนึ่งหนุ่มเลือดร้อน และอีกหนึ่งหนุ่มเลือดเย็น ...และคนสองคนนี้ ในอีกไม่ถึง 2 ชั่วโมง(ของหนัง) เขาก็ต้องยอมจับมือมาเป็นมิตรกัน เพื่อจะช่วยให้ผ่านพ้นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต(ตั้งแต่เกิดมา)ของพวกเขาไปจนได้



เขาสองคนนี้ มีนามว่า “เจมส์ ที เคิร์ก” และ “สป๊อค” ..อันเป็นตัวละครที่เคยเป็นที่จดจำที่สุดของสาวก Star Trek (ที่เรียกขานว่า Trekky) มาแต่เมื่อครั้งยังเป็นเพียงหนังชุดทางทีวี ...และครั้งนี้เขาก็กลับมาอย่างเป็นหนุ่มแน่นๆ และถูกขายในภาพลักษณ์ที่หล่อเหลาเอาสาวสลบไสลกันไปเลยทั้งบาง

แต่นี่ไม่ได้หมายความว่า หน้าตาของพระเอกคู่นี้ จะเป็นจุดขายสำคัญของหนัง ..เพราะเอาเข้าจริง ความหล่อก็กินกันแทบไม่ได้หรอก (โดยเฉพาะคนที่หน้าตาดีอยู่แล้วอย่างผม เห็นเป็นเฉยๆ ) ...แต่ความสนุกของการพบกันแบบแรกเป็นคู่ปรับ ของพวกเขานี่สิ คือ สิ่งที่น่าสนใจ

เพราะ จากแรกเริ่มเดิมทีเมื่อครั้งเป็นหนังชุดในทีวี ..ชาว Trekkie ย่อมรู้ดี ว่าสองคนนี้ เขาซี้ย่ำปึ้กกันขนาดไหน...เรียกว่ามองตาก็รู้ใจ มองตับไตก็เห็นรักแท้ (เย้ย! เพลงของน้ำชา มาเกี่ยวอะไรด้วย?? )

แต่เมื่อหนังที่เป็นการรีบิวด์เช่นนี้ ..เลือกที่จะสร้างอุปสรรคความซี้ เอาแต่แรกเจอกันจั๋งซี้ คนดูอย่างเราๆจั๋งซี้มันก็เลยต้องถอน (เอาเข้าไป ปอยฝ้ายก็มากับเขาด้วย )

แต่นั่นก็คงจะถือเป็นนิมิตรหมายอันดีอย่างหนึ่งของหนังตระกูลเทรคชุดนี้ ..ที่แต่แรก ก็เคยเป็นที่เข้าใจว่ามันคือหนังทริลเลอร์ ที่เน้นการพูดๆคุยๆ พร้อมกับขุดคุ้ยความจริงในเรื่องที่สั่นคลอนจักรวาล แต่เมื่อคุ้ยไปจนถึงต้นตอของมัน ก็แค่เกิดการต่อสู้กันเล็กน้อย และใครตั้งต้นเป็นศัตรูเห็นต้องยับย่อย เสร็จแล้วก็ปิดจ๊อบลงไปทีละเรื่องๆ แบบหนังสือตอนเดียวจบอยู่ร่ำไป

เพราะฉะนั้นแล้ว การกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง จึงถือเป็นสิ่งสำคัญอันน่ายกย่องของหนังภาคเริ่มต้นภาคนี้ ..ที่กล้าจะหักไม้แก่ อันแข็งโป๊ก และเป็นเสาหลักที่ยึดมั่นของบรรดาสาวก Trekkie เรื่อยมา ...เพราะในเมื่อมันดัดไม่ได้ แล้ว การใช้เลื่อยไฟฟ้าอันทันสมัยจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ ..หากคาดหวังว่าจะขายหนังเรื่องนี้ ในเวลาที่ผู้คนกำลังอึนๆ เอื่อยๆ กับหนังตะลุยจักรวาลเช่นนี้เป็นอย่างยิ่งๆ แล้วโดยเฉพาะกับความศรัทธาที่ต่ำเตี้ยของชาวเทรคกี้ ด้วยกันเองอีก (อันเคยหมดไปจากหนังภาคต่อที่ยิ่งทำ ..ก็ยิ่งถอย) ที่ต้องเรียกคืนมาให้ได้ ถ้าต้องการจะต่อลมหายใจให้กับตำนานบทนี้อย่างจริงจัง



แน่นอนที่ใครบางคนที่เคยเป็นแฟน อาจจะรู้สึกมึนๆกันบ้าง ที่แรกเริ่มของตัวหนังภาคใหม่ มาแนวแบบว่าขัดๆในความเข้าใจของตัวเองที่มีต่อ พระเอกทั้งสอง ..ประหนึ่งว่าพวกเขา แค่ยืมชื่อตัวละครที่เป็นที่จดจำเหล่านี้มา หากใส่คาแรกเตอร์ใหม่ลงไปให้เห็นเป็นเช่นวัยรุ่นยุคใหม่สมัยปัจจุบันก็เท่านั้น ...เพียงแต่เมื่อมันมาถึงจุดๆหนึ่งที่หนังเรื่องนี้ดำเนินมาเข้าให้ ความรู้สึกเก่าๆที่ เทรคกี้ คงเคยคุ้น ก็ได้คืนกลับมาสนองตอบความพอใจของพวกเขาได้
และมันก็กลายเป็นความลงตัวระหว่างปัจจุบัน(หนังโรง) กับอดีต(หนังชุดทีวี) ที่มารวมร่วมกันได้อย่างแนบเนียน

ซึ่งไม่ว่าจะให้ถือว่านี่เป็น การทรีบิวต์ ให้ความเคารพต้นฉบับที่เคยเป็นมา หรือว่ากำลังเกิดความพยายามจะขยายฐานแฟนๆให้มีพื้นที่ใหญ่โตมากขึ้น ...ทั้งสองทาง ก็ล้วนแต่ให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่า เพราะมันสามารถตอบสนองความต้องการ ของคนทั้งรุ่นเก่า และใหม่ ได้อย่างไม่ขัดขืน ..แถมยังจะจูนเอาคนทั้งสองรุ่น ให้เข้ามาสนุกกับหนังเรื่องเดียวกัน พร้อมๆกันได้ อันเป็นสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆของการทำหนังอยู่แล้ว

หากแต่สำหรับระดับ เจเจ ผู้เคยสร้างความตกตะลึงให้กับวงการทีวี ด้วยซีรี่ส์หนังชุดที่หักหาญทุกทฤษฎีการเล่าเรื่องของหนังบนโลก อย่าง “Lost” มาก่อน ..ก็กลายเป็นเรื่องที่ไม่ถือว่าเกินความสามารถของเขาเท่าไหร่ เพราะนอกเหนือจากการเก่งที่จะเล่าเรื่องอย่างชวนติดตามลามไปถึงติดใจได้สนุก กับสิ่งที่เป็นโคตรของการหักมุม มันก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วในผลงานที่ผ่านๆมาของเขา

เพราะฉะนั้น สิ่งที่เกิดใน Star Trek จึงไม่ใช่ความแปลกใหม่อะไรสำหรับเขา ...หากกับคนดูที่ไม่เคยรู้จัก เจเจ มาก่อน ก็คงจะแอบอึ้งเข้าให้ไม่มากก็น้อย



แต่แม้ ถึงจะได้มือดี ชั้นเซียน มานั่งแท่นเป็นผู้กำกับ อย่างชวนให้น่าสบายใจเสียกระไรแล้ว ..ก็คงจะทำให้สนุกยิ่งๆอย่างนี้ไม่ได้ หากขาด มือเขียนบท ที่เข้าใจและเข้าถึง ทั้งจิตวิญญาณของ Star Trek และความเป็นหนังขายซัมเมอร์ที่บันเทิงอย่างถึงที่สุดเข้าให้

ดังนั้น งานบทชั้นดีระดับเยี่ยมของคู่หูที่งานเข้าอย่างจังในปีนี้ (เพราะยังจะมี Transformers ภาคใหม่..รอท่าอยู่อีกไม่กี่อีดใจ) อย่าง “โรเบิร์ต ออร์ซี” และ “อเล็กซ์ เคิรชแมน” จึงเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม ในระดับชั้นที่ไม่ต่างไปจากผู้กำกับหนังบันเทิงตัวพ่อ อย่าง เจเจ เลย



ความกล้าเปลี่ยน ที่เหนือชั้นซ้อนเหนือชั้น อันมาพร้อม การรักษาขนบเดิมๆอย่างซื่อสัตย์ ไปกันด้วยควบคู่ ..ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ยากจะบาลานซ์ความสำคัญ ให้มันพอดิบพอดีด้วยกัน ...แต่กับการเปิดเทรคครั้งใหม่ ณ จุดเริ่มต้น ครานี้ ย่อมน่าจะถูกยกเป็นตัวอย่างที่ดีมากๆ ให้กับหนังรีบิวด์เรื่องต่อๆไป ให้จำ และควรดัดไปใช้ในแนวทางของหนังแต่ละเรื่องได้อย่างเหมาะสม

เพราะถ้าเอาแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง ..หากไม่เปลี่ยน ก็รักษา ...มันก็คงจะได้เพียงแค่คนดูวัยเก๋าอยากรำเลิกรำลึก หรือไม่ก็ต้องล้วนเป็นเด็กรุ่นแรงๆ มาอุดหนุนให้ก็เท่านั้น

นอกเหนือไปจากผู้กำกับ และคู่หูเขียนบท ที่เยี่ยมยอด และลงตัว ..อีกอย่างสองอย่างที่ถือเป็นเสน่ห์อันเอกอุ ของหนังภาคนี้ ก็คงจะหลีกเลี่ยงไปจาก ส่วนการแสดง และงานดนตรี เห็นเป็นไม่ได้



เพราะความแจ่มที่แหล่มมาก ของการปะทะกันระหว่างกลุ่มนักแสดง รุ่นใหม่วัยสด และ รุ่นเก่าหน้าแก่ คือ สิ่งที่ขัดแย้งเป็นรูปธรรม แต่เข้าพกเข้าพวก ล้วนรับและส่งได้อย่างกลมกลืน ..ซึ่งพอมาบวกกับงานที่ อยู่เบื้องหลังการแสดง อันเห็นเป็นภาพได้ชัดว่า ละเอียด อีกยังพร้อมพรั่งไปด้วยงานเสียงที่คุ้มค่าแก่การรับฟังมากในโรงหนัง ที่มีลำโพง เหนือ ใต้ ออก ตก ระห่ำดังอย่างบ้าคลั่ง

มันจึงเป็นความรู้สึกที่เต็มอิ่มจริงจัง สำหรับใครๆที่คาดหวังจะดูหนังบันเทิงจังๆสักเรื่องจะพึงใจ ...เพราะหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นในห้วงเวลา 2 ชั่วโมงกว่าๆ มันล้วนสามารถให้ความสนุกที่น่าจดจำเอาไว้ได้

แต่ในอีกสิ่งที่ผมเชื่อว่ามันจะกลายเป็นความคลาสสิคได้เลย ในห้วงเวลาอนาคต ไม่ใกล้ก็ไกล ..ก็ขอให้มั่นใจว่างานดนตรี ที่ “ไมเคิล จิแอกชิโน” ได้ทำไว้ในหนังเรื่องนี้ ...คือสิ่งที่สุดยอดมาก จนน่าจะจำขึ้นใจ สำหรับคนที่พอใจชื่นชอบในเรื่องของสกอร์ประกอบหนังเป็นยิ่งๆ

มันได้ให้เสน่ห์ที่ทำให้นึกถึงงานของมือเก๋ารุ่นปู่อย่าง “จอห์น วิลเลี่ยมส์” ขึ้นมาตะหงิดๆ ..แต่มันก็ยังมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่บ่งบอกว่าเขาคือใครคนหนึ่งที่ไม่ใช่คนอื่นอย่างเด่นชัด

เอาเป็นว่า แค่ได้เข้ามานั่งฟังเพลงที่ให้ความรู้สึกแกรนด์ๆเช่นนี้แล้ว... ผมก็ว่ามันคุ้มค่าตั๋วโคตรๆ สำหรับคนที่ชอบฟังเพลงจริงจัง

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ...ตัวหนังมันก็สนุกมากกกกกกกกกกกกกก จนยากจะไม่ใส่ใจ ...และต้องถือเป็นความบันเทิงที่น่าประทับใจอีกเรื่องหนึ่งของปีนี้ ที่ยังหาหนังดูเพลินๆสุด แต่แฝงเนื้อในที่เยี่ยมได้น้อยนัก (อีกเรื่องที่อยู่ในความทรงจำก็มีแค่ เศรษฐีหมาสลัม เพียงเท่านั้นจริงๆ)

นี่ถ้าไม่ติดขัดใจอยู่หน่อยๆ ในตัวเรื่องที่ก้าวกระโดดไปไกล ในห้วงชีวิตยามเด็กแก่นซ่าส์ จนเติบโตมาเป็นวัยรุ่นเลือดร้อน ของ เจมส์ ที เคิร์ก ..ซึ่งทำให้กึ่งๆไม่เชื่อว่าเขาจะสามารถพอเป็นกัปตันของ ยานเอ็นเตอร์ไพรส์ อันเป็นตำนานได้

ก็เมื่ออุตส่าห์ว่าต้นเรื่อง ตัวพ่อของเขา เคยทำให้เราเชื่อได้ และคาดหวังให้ตกทอดมาที่ตัวพระเอกอย่างเต็มๆ เพียงแต่หนังก็ไม่ให้โอกาสเชื่อเช่นนั้นเท่าที่ควร (ถ้าไม่ได้วีรกรรม ในฉากไคลแมกซ์ เป็นตัวตัดสินได้ ..ก็จบเห่เลย) ...ถ้าหนังเลือกจะเพิ่มตรงนี้ให้อีกสักเล็กน้อย ผมคงจะให้คะแนนกับมัน เต็มสิบให้ สิบ เต็มร้อยให้ ร้อยไปแล้ว

แต่กระนั้นแล้ว ที่ขัดใจมาก ในตอนนี้ ...ก็คือ ยังไม่เข้าใจว่าทำไม ถึงได้เลือกเอา พี่วูฟเวอรีน มาเป็นตัวเปิดซัมเมอร์ที่ไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย ...ในปีที่หนังซัมเมอร์ส่วนมาก คาดหวังได้ในระดับท๊อปๆ เป็นสิบเรื่อง!!!



ขอแนะนำเป็นอย่างยิ่ง...ครับ

เกรด A ... {}


ปล. กลัวไม่เห็นภาพไอ้ที่ว่า นิ้วชี้ นิ้วกลาง แยกจาก นิ้วนาง นิ้วก้อย ..เลยขอโชว์ให้เห็นว่าเป็นจั๋งซี้ (คนในรูปก็คือ "สป็อค" รุ่นดึก ...ที่ในภาคใหม่ เขาก็มีบทบาท....จริงๆนะ!!! )



Live Long and Prosper



ส่วนที่เป็นฟอนท์สี เขียว-แดง เพิ่มเข้ามา... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี(เขียว)-ดูด้อย(แดง) ของหนังแต่ละเรื่องครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมทำไฮไลท์ไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกัน

ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน...
1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ


ผมยินดีเสมอในมิตรภาพของทุกท่าน และบล็อคของผมก็ต้อนรับเสมอในความน่ารักของทุกคน
ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ

Create Date :18 พฤษภาคม 2552 Last Update :18 พฤษภาคม 2552 2:07:52 น. Counter : Pageviews. Comments :5