"รักแห่งสยาม" ... เรียนรู้ที่จะรัก แล้วจงรักที่จะเรียนรู้
เตือนล่วงหน้า : บทความรีวิวนี้ จะมีความยาวมากกกกกกกกกกเป็นพิเศษ ...ยาวกว่าที่ผมเคยเขียนรีวิวหนังเรื่องใดเรื่องหนึ่งมาก่อนหน้า มิเช่นนั้นแล้ว ต้องขออภัยถ้าจะทำให้คุณรู้สึกใช้เวลากับมันนานจนเกินไปนะครับ... ถ้าคุณไม่อยากอ่านจะปิดกระทู้นี้ไปเลยก็ได้ ไม่่ว่ากันจ้ะ
เรียนรู้ที่จะรัก...การที่ในทุกวันนี้เรายังมีชีวิต และยังมีความสุขกับการได้ทำในสิ่งที่เราทำอยู่...
'การเรียนรู้' ก็คือ สิ่งสำคัญที่สุดเหนืออื่นใด ทำให้เรายังคงเป็นเราอยู่จนถึงวันนี้ที่ยังหายใจ
และก็อาจด้วยเพราะชีวิตของคนเรานั้น มันต้องเคลื่อนไหว และเราต้องเดินหน้าไปไม่มีวันจะให้หันหลังกลับ ...ฉะนั้นแล้ว การเรียนรู้ คือ สิ่งเดียวที่จะทำให้เราได้เติบโต และพัฒนาไปสู่อีกขั้นหนึ่ง ที่สูงยิ่งกว่าเดิมไปเรื่อยๆ ไม่หยุดยั้ง
การเรียนรู้ สามารถนำมาแบ่งแยกออกมาเป็นบทเรียนต่างๆได้หลายหลากร้อยพันบริบท มีรูปแบบที่จะทำให้รู้ได้เป็นพันเป็นหมื่นวิธี ซึ่งในท้ายที่สุดก็จะมีอีกหมื่นแสนผลลัพธ์ที่รอคอยเราอยู่ที่สุดทางของการเรียนรู้
อย่างเรื่องของ
'ความรัก' ก็เป็นหนึ่งในบทเรียนภาคบังคับตัวสำคัญ ที่มนุษย์ทุกๆคนจำเป็นจะต้องผ่านและได้รู้จักกับมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แล้วถ้าสมมติว่าเราไม่เคยได้ผ่าน และไม่ยอมคิดจะทำความรู้จักกับมันเลยล่ะ ...เราจะยังคงสามารถมีชีวิตอยู่มาจนถึงวันนี้ได้หรือเปล่า ?
ผลลัพธ์ที่จะเป็นคำตอบของคำถามนี้ก็คือ... ไม่มีทาง
ก็เฉกเช่นเดียวกัน กับที่ผมได้เรียนรู้มาจากหนังเรื่องหนึ่ง ซึ่งคนคิดเรื่องได้ตั้งคำถามกับความรัก ที่ชวนให้น่าค้นหาคำตอบ ว่า...
"คนเราอาจสามารถจะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินข้าว แล้วความรักล่ะ มันจำเป็นกับการมีชีวิตของเราด้วยหรือไม่ ?"ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ได้นำคำถามโลกแตกที่ดูจะค้างคาใจของเขามาตลอด ต่อยอดให้กลายเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่เขามีความคิดอยากจะทำให้มันเป็นความจริงมากที่สุด ...เรื่องราวจากคำถามคาใจ ได้กลายเป็นมาหนัง
"รักแห่งสยาม" เรื่องราวของความรักที่มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ หัวใจของแต่ละตัวละครที่ต่างใจก็ต่างซึ่งรูปแบบกัน
ใจของ
"มิว" ...อ้างว้าง โดดเดี่ยว และอยู่กับความเหงามาเนิ่นนาน ตั้งแต่ที่เขาสูญเสียอาม่าอันเป็นที่รักที่สุดของเขาไป
ใจของ
"โต้ง" ...สับสน ว้าวุ่น และอยู่อย่างกล้ำกลืน ด้วยสภาพแวดล้อมที่ครอบครัวและผู้หญิงคนรัก ไม่มีใครเข้าใจเขา
ใจของ
"สุนีย์" ...เหนื่อยอ่อน และปวกเปียก แต่ก็ยังคงจำใจแข็งขืน และหนักแน่น เพื่อต้องเป็นเสาหลักของครอบครัวแทนพ่อที่เสียผู้เสียคน
ใจของ
"กร" ...แห้งเหี่ยว หมดเรี่ยวแรง สามารถประคองชีวิตไปวันๆ ได้เพียงแค่การดื่ม ดื่ม และดื่มสุรา ไปจนกว่าจะถึงวันที่ชีวิตนั้นหาไม่
ใจของ
"จูน" ...แจ่มใส ร่าเริง ในเปลือกนอก แต่ภายในกลับบอบช้ำไปด้วยความผิดบางอย่างที่เธออยากจะแก้ไข แต่มันก็สายเกินจะแก้ได้เสียแล้ว
ใจของ
"หญิง" ...แอบซ่อน ปกปิด และไม่กล้าจะเปิดเผยว่าเธอหลงรักเด็กผู้ชายข้างบ้าน ตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอ
ใจของ
"โดนัท" ...เย่อหยิ่ง ถือทนง และไม่เคยจะยอมใครตราบใดที่ใครคนนั้นจะยอมเธอก่อน
ใจของตัวละครทั้ง 7 ...ถูกโยงใยให้ต้องมาข้องเกี่ยวกันด้วย ภายใต้สภาพสังคมที่แวดล้อมไปด้วยความวุ่นวาย และวกวนของชีวิตอีกนับแสนล้านคน... ที่ทุกหนแห่ง ทุกซอกมุมมี ความรัก เป็นอากาศให้ได้หายใจ
คุณมะเดี่ยว เป็นอีกหนึ่งในผู้กำกับหนังไทย ที่ผมไว้ใจและเชื่อมือ โดยยังไม่ต้องไปพิจารณาว่า ตัวหนังจริงๆจะเป็นเช่นไร... เพราะถึงจะยังคงคาดหวังทุกๆครั้งว่าหนังเขาต้องดี แต่กระนั้นมันก็เชื่อใจในมาตรฐานที่เขาตั้งเอาไว้สูงในทุกงานที่เขาจับ ...ไม่ว่าจะ
"คน ผี ปิศาจ" "12 (เกมสยาม)" "13 เกมสยอง" ที่เขากำกับ จนกระทั่งล่าสุดกับบทหนังสุดล้ำลึกของ
"บอดี้ ศพ #19" ทุกๆเรื่องก็ล้วนแต่รับการกล่าวขวัญในทางที่ดี อีกทั้งยังสามารถเอามาเป็นต้นแบบให้กับหนังเรื่องใหม่ๆ ที่จะมีออกมา ภายใต้สไตล์เรื่องที่ใหม่ ยังไม่มีใครคิดจะแหวกขนบทำ
แล้วกับงานชิ้นล่าที่ริจะพลิกรูปแบบ และการทำหนังที่ว่าด้วยเรื่องของความรักเป็นหลักใหญ่เช่นนี้ ...มันก็ยิ่งทำให้ผมกล้าจะรู้สึกว่า เขาต้องมีของอะไรสักอย่างเป็นแน่แท้ ที่ทำให้เขาแน่ใจจะทำหนังที่แตกต่างจากแนวทางเดิมๆที่เราคุ้นเคย
ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเลยกับ ทุกฉากที่ได้เห็นจาก รักแห่งสยาม ในเวลา 2 ชั่วโมงกับอีกราวๆ 30 นาที ...ทุกๆภาพ ล้่วนเป็นผลิตผลแห่งความประทับใจ และมันก็ตราตรึงเสียยิ่งกว่า หนังไทยเรื่องอื่นใดในรอบปีนี้ที่ผมได้ดูมา
ตัวหนังและเรื่องราว เดินหน้าอย่างเอื่อยๆ ไปเรื่อยๆ ไม่รีบไม่ร้อน... การให้รายละเอียดในตัวเรื่อง มียิบย่อยให้ต้องขยันตามเก็บไปในทุกๆฉาก รวมกับการวางเหตุ และให้ผลของแต่ละพลอต ก็ยังมีความต่อเนื่องทอดสะพานไปถึงกันและกัน ในแบบที่เราแทบไม่เห็นรอยต่อที่ขัดแย้งกันเลย ...คุณมะเดี่ยว ยังคงยอดเยี่ยมกับบทบาทของนักเขียนบท ที่เพลิดเพลินในความคิด จับใส่สัญลักษณ์ อะไรต่อมิอะไรไปหลายอันให้คนดูต้องคอยสังเกตสังกากันอย่างสนุก ...แล้วกับในส่วนที่เขียนขึ้นเพื่อเป็นความบันเทิงหรรษา ก็ล้วนกลายเป็นแง่มุมอันน่ารักที่สร้างความสดใสให้เราเจริญใจ ...และเป็นกลวิธีการประโลมใจอันชาญฉลาดที่ทำให้เราตกอยู่ภวังค์แห่งความเพ้อฝัน ก่อนจะได้ตบหน้าเราให้ตื่น ด้วยภาพแรงๆ ดรามาเจ็บๆ ที่จะโถมซัดเข้ามาแบบไม่ทันให้เราได้ตั้งตัว
บทหนังของ รักแห่งสยาม ตีกรอบสร้างประเด็นที่สะท้อนสังคมในยุคนี้เอาไว้ด้วยแง่มุมอันหม่นหมอง แข็งกร้าว และหนักหน่วง ที่สอดคล้องกับ ความรัก ของคนเราที่มีให้แก่กันและกันในวันนี้ที่โลกเรายิ่งหมุนก็ยิ่งน่าเวียนหัวมากกว่าเดิม ...แนวคิดของเรื่องอาจจะดูมีความคล้ายคลึงกับ
Love Actually อยู่ แต่มันก็ต่างซึ่งรูปแบบที่เจาะลงลึกยิ่งไปกว่า เรื่องหลังที่ยังจำเป็นแตะต้องอย่างพอดี วางน้ำหนักเรื่องให้สมดุลพอๆไปด้วยกัน ...แล้วกับ รักแห่งสยาม ก็ได้เวลาที่ยาวนานช่วยเอื้อให้หนังได้แตกปลายแง่มุม ตกผลึกความคิด คุณมะเดี่ยวแตกพลอตหลักทั้งสองส่วน ให้ประกอบกับพลอตย่อยอีกหลายๆส่วน แล้วจึงจัดการถ่ายโอนงานให้เราคนดูเป็นผู้มีหน้าที่ที่รวมเอาชิ้นส่วนทุกชิ้นมาหลอมกลายเป็นเนื้อเดียวกัน พร้อมกันกับการเข้าใจควบคู่ไปกับเรื่องราวอันเป็นชิ้นส่วนต่างๆของพลอตหลัก
ใครบางคนอาจจะมองว่า คุณมะเดี่ยว เป็นเจ้าของความคิดที่หลอกลวงคนดูให้หลงเข้าใจว่าเป็นหนังรักใสๆหัวใจกิ๊กกั๊กเฉกเช่นเดียว
Seasons Change หากความเป็นจริงกับซ่อนแอบอะไรเอาไว้ในนั้นด้วยซะงั้น ...ทั้งหมดนี้ ขอให้โทษไป กับวิธีการโปรโมตของ พีอาร์ค่าย จะดีเสียกว่า แล้วอีกอย่าง ตัวอย่างหนัง ก็เหมือนจะแทงกั๊กอะไรบางอย่างเอาไว้ กับฉากบางฉากที่ดูเพียงฉาบฉวยก็พอรู้ว่ามันต้องมีอะไรที่หนุนนำให้เรื่องมันต้องแรงกว่าที่รู้สึกแน่นอน (เช่น ฉากที่โต้งกอดรัดเชิงขืนใจหญิง) เห็นแค่นั้น ผมก็ตัดสินได้ว่า มันย่อมไม่ใช่หนัง Feel Good อย่างเช่น Seasons Change เป็นแน่แท้
แม้มันจะไม่ใช่ Seasons Change แห่งปีนี้ ก็ตามทีเถอะ... แต่กระนั้นก็ยังไม่สำคัญเท่ากับที่ รักแห่งสยาม ได้กลายมาเป็น หนังไทยอันดับ 1 แห่งปีนี้ของผมคนนี้ (ในตัวเลขที่ๆเคยเป็นอันดับของ หนัง GTH เรื่องนั้นในปีก่อนนั่นเอง) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ได้รู้ในสิ่งที่รัก...ตั้งแต่บรรทัดนี้เป็นต้นไปจะมีการ SPOILER เนื้อหาสำคัญของหนัง ...สำหรับใครที่ยังไม่ได้ดูและไม่อยากรู้เรื่องที่ผู้กำกับแอบๆเอาไว้ ก็ขอให้อย่าเพิ่งอ่าน แล้วข้ามไปที่ "จงรักที่จะเรียนรู้" เลยครับ ...
(แต่จะว่าไปไอ้ที่ว่าแอบๆ เขาก็คงรู้กันหมดแล้วมั้ง อิอิ)
ถึงมนุษย์เราอาจจะสามารถมีชีวิตอยู่อย่างสบายได้ด้วยการกินข้่าว การหาอะไรเข้าท้องให้เกิดกระบวนการสร้างพลังงานแก่อวัยวะในร่างกาย ...หากแต่ เราก็คงจะไม่มีทางอยู่รอดได้ ตราบใดที่อวัยวะส่วนสำคัญ ที่เรียกว่า หัวใจ ไม่มีความรักเป็นอาหารที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันแก่ชีวิตที่หายใจได้
และก็เพราะ ความรัก คือ ยาใจที่ช่วยชูกำลังให้คนที่ได้กินอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป และความรัก ก็ยังคือ วิตามินที่ช่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับทุกชีวิตที่ได้เสพติดมัน ...มิเช่นนั้นแล้ว มนุษย์ทุกคนจึงจำเป็นต้องมีความรัก เพื่อไว้คอยยึดเหนี่ยวหัวใจให้คงอยู่กับเราตลอดไปทั้งชีวิตนี้ที่ยังเหลืออยู่
สิ่งที่ผมคิดออกไปนั้น ไม่ได้อยากจะให้เกินเลยไปด้วยคำที่สวยหรูเหวินเว่อร์ เพราะถึงมันยังจะเป็นสิ่งที่ผมประดิษฐ์ฺประดอยขึ้นมาอย่างเจตนา แต่กับความตั้งใจที่จะพูด มันก็เป็นเฉกเช่นที่ รักแห่งสยาม ได้บอกกับเราเอาไว้ ในทุกๆเรื่องราว ทุกๆแง่มุม ที่หนังเสนอเอาไว้ตั้งแต่้ต้นจนจบเรื่อง...
กับประเด็นหลักทั้ง 2 ส่วน ที่หนังดำเนินเรื่องราวให้ตีคู่เคียงขนานกันไปตลอดเวลาที่เรากำลังเอาสายตาจับที่จอหนัง ...มันต่างก็ล้วนเป็นประเด็นที่กำลังเป็นปัญหากับความรักของคนในสังคมปัจจุบัน แบบที่เรื่องบางเรื่องอาจจะมองดูเฟคเหมือนละครน้ำเน่า แต่มันก็คือความจริง และมันก็ไม่ใช่ละครที่ถูกจัดฉากเสียด้วย
รักของวัยรุ่น...ใน รักแห่งสยาม
'โต้ง' และ
'โดนัท' ...ฉากรักของคนคู่นี้ อยู่ในช่วงที่กำลังเกิดภาวะสั่นคลอนในความเชื่อมั่น ...มันอาจจะเป็นไปด้วยเหตุผลง่ายๆที่คนทั้งสองไม่เข้าใจกันก็หนึ่ง แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นอีกหนึ่ง คือ การที่โต้งและโดนัทกำลังค้นหาตัวเอง และต่างค้นหาว่าความรักที่แท้จริงของเขาและเธอ มันเป็นอย่างไร
ฝ่ายชาย ...คือ คนที่เงียบๆ ไม่ชอบทำตัวโอเว่อร์ และไม่มีความต้องการจะคอยประคบประหงม เอาอกเอาใจแฟนอะไรมากนัก ...เพราะเขาเชื่อมั่นว่า เขารักในแบบที่ตัวเขาเป็น คือวิธีการที่ดีที่สุดแล้วอันต่างกันกับฝ่ายหญิง ...ที่เธอไม่ชอบทำตัวเงียบๆ ออกจะแคร์กับการพรีเซนต์ตัวเองเหนือสิ่งอื่นใด (แคร์ไม่แคร์ วัดกันจากการได้รับตำแหน่ง สวยเลือกได้ ประจำโรงเรียน) แล้วที่สำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ก็ยังจะต้องการความแคร์จากผู้ชายที่เธอคบหาอยู่ด้วยทุกคน โดยไม่สนว่าเขาคนนั้นจะใช้คำว่า แฟน ด้วยหรือไม่ก็ตามที ...ด้วยคุณลักษณะของคุณหนูไฮโซที่ยึดมั่นถือมั่นกับความเห็นแก่ตัวเองยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ทำให้เธอรับไม่ได้กับวิธีการแสดงออกของโต้ง ที่ไม่เหมือนชายคนอื่นๆที่เธอแอบกิ๊กกั๊กด้วย
'ความแตกต่าง' ของคนคู่นี้ ทำให้เราได้รู้ว่า...
'การปรับตัวปรับใจเข้าหากันเป็นสิ่งที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดในความรัก' เราคงเคยได้พบได้เห็นชีวิตคู่ของคนหลายต่อหลายคนต้องล่มสลายลง เพียงเพราะความไม่เข้าใจในกันและกัน เมื่อมีปัญหากันเมื่อไหร่ ก็ทำได้แต่โทษอีกฝ่าย ว่าเป็นผู้ผิด ไม่ได้ย้อนคิดถึงความเป็นจริงว่าคนผู้ว่ากล่าวนั้นเองก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดความผิดขึ้นมา จนเมื่อสุดท้ายที่ความรักของทั้งสองคนไม่มีทางได้เคลียร์กันให้จบ เรื่องราวทุกอย่างที่ผ่านพ้นจึงจบความเข้าใจกันลงไปตรงที่การเลิกรา ...และนั่นจึงเป็นเรื่องของความแตกต่าง ที่หนักหนาสาหัสมากกว่าเรื่องอื่นใดในสารบบปัญหาความรัก
ถึงผมจะรู้สึกรำคาญ และไม่ชอบอุปนิสัยอันดื้อดึงของโดนัท เฉกเช่นเดียวกับโต้ง ก็จริงเถอะ...แต่กระนั้น มันก็ถือว่าน่าเห็นใจเธออยู่้เช่นกัน ที่สิ่งที่เธอเป็น ไม่สามารถเข้ากันได้กับ สิ่้งที่โต้งเป็น หากเพียงถ้าเธอรู้จักจะปรับตัวปรับใจแก้ไขอะไรที่เธอเป็นให้มาจูนกันกับโต้งได้ ความรักของคนทั้งสองก็คงไม่จำเป็นต้องจบลงที่คำพูดอันชวนน่าหมั่นไส้ของโดนัทเช่นนั้นหรอก
'มิว' และ
'หญิง' ...ฉากรักของคนคู่นี้ ไม่ได้มีฉากที่ลึกซึ้งของคำว่า 'แฟน' จำกัดความเอาไว้ เฉกเช่นโต้ง กับ โดนัท ...แต่กระนั้นนี่ก็คืออีกแง่มุมของความรัก ที่คนหนึ่งต้องพยายามปกปิด ด้วยคำว่า 'แอบชอบ' ส่วนอีกคนก็คือผู้ที่โดนปกปิดไม่ให้รู้ว่า มีคนอีกคนที่แสดงออกด้วยคำว่า 'ห่วงใย' คอยเฝ้าจับตาดูอยู่อย่างชิดใกล้
ฝ่ายชาย ...คือ คนที่มีชีวิตอยู่เพียงตัวคนเดียว และชอบการอยู่กับตัวเองมาตลอดนับแต่วันที่เหลือเขาเป็นคนสุดท้ายในบ้านหลังที่เขาไม่เคยได้ย้ายจากไปไหน ...ตอนนั้นเขาก็คือเด็กผู้เดียวที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวในละแวกบ้านที่ไม่มีเด็กวัยเดียวกับเขาอาศัยอยู่ (ตอนนั้นคือตอนที่โต้งย้ายบ้านออกไปแล้ว) และเขาก็ไม่เคยคิดบากบั่นจะไปหาใครคนอื่นมาเป็นเพื่อนของเขาอีกเลย (นอกเหนือไปจากโต้งเพียงคนเดียวเท่านั้น) แต่ในที่สุดแล้ว การเข้ามาสู่ละแวกบ้านเดียวกันแห่งนี้ของเด็กผู้หญิงที่รักการจะมีเพื่อน ก็ได้ทำการเปิดประตูต้อนรับให้เขาได้รู้จักกับการมีเพื่อนอีกครั้งหนึ่ง หากแต่ในความรักแบบเด็กร่วมหมู่บ้านของหญิง ก็มีความนัยซ่อนอยู่ ...นัยที่ว่าเธอรักเขาคนนี้มากกว่าคำว่า 'เพื่อน' โดยที่ มิว ก็ยังไม่เคยจะรู้ได้ว่า เขาคือคนที่หญิงห่วงใยยิ่งไปกว่าใครต่อใครที่เป็นเพื่อนเธอทั้งหมด
แต่จนเมื่อเรื่องราวมันเดินหน้ามาจนถึงจุดที่ มิว ได้รู้จักความรักที่แท้จริงแล้ว ...เขาก็ได้พบความจริงที่แอบซ่อนไว้ และสิ่งที่ใจเขาปรารถนาอยู่นั้น ก็ย่อมไม่ใช่เด็กผู้หญิงคนแถวบ้าน ผู้ที่ปรารถนาเขามาตลอด คนนี้เป็นแน่แท้ ...และเพราะ มิว ก็ยังคงเห็นแก่คำว่า 'เพื่อน' มากกว่าคำอื่นใด เขาจึงได้มอบนิยามของคำว่า 'เข้ากันไม่ได้' เป็นเหมือนของรางวัลปลอบใจ แด่เพื่อนสาวที่ดีที่สุดเพียงคนเดียวของเขาผู้นี้
'ความเข้ากันไม่ได้' ของคนคู่นี้ ทำให้เราได้รู้ว่า...
'ความเป็นแฟน ย่อมไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิตที่อยากจะมีความรัก' มันก็อาจจริงอยู่ที่ว่า การที่มีคนที่เรารักและรักเรา เป็นสิ่งที่ดีที่สุัดที่ชีวิตเราควรจะหามาได้ แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของการได้เกิดมาเป็นคน ที่ยังมีสิ่งอื่นให้เห็นว่าจำเป็นกว่ากันอีกมากมาย... อย่าลืมไปว่า บนโลกกลมๆใบนี้ก็ยังมีผู้คนอีกนับหลายแสนหลายล้าน ที่เขียนสถานะความเป็นโสดห้อยคอเอาไว้ให้เราได้เห็นกันไปทั่ว และผู้คนเหล่านั้นที่เป็นหนึ่งในนั้น ก็มีมากมายที่ไม่ได้เห็นสถานะความเป็นแฟน จะคือ สิ่งสุดท้ายที่ในชีวิตเขาจะต้องมีกันให้ได้
แน่นอนที่ผมเอง(ผู้มีประสบการณ์ในด้านนี้มาก่อนค่อนข้างโชกโชน) ย่อมต้องรู้สึกเจ็บปวดกระเทือนใจแทนตัวหญิง ในสิ่งที่เธอได้รับคืนมาเป็นรางวัลปลอบใจอยู่ ...แต่กระนั้น นั่นก็คือวิธีการสั่งสอนเตือนใจที่ดีที่สุดที่ผมเห็นควรด้วย นอกไปเสียจากมันจะทำให้เธอได้เติบโตขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว ที่สำคัญกว่าอื่นใด ก็คือ นี่คือความรักครั้งแรกที่จะช่วยสอนสั่งเพาะบ่มความเป็นคนให้เข้มแข็งขึ้นในครั้งต่อๆไปที่เธอ(หญิง) หรือเรา(คนดูเอง)มีความรัก
'โต้ง' และ
'มิว' ...ฉากรักของคนคู่นี้ มีจุดเริ่มต้นมาจากความเป็นเพื่อน ...หนึ่ง คือ เพื่อนบ้าน , สอง คือ เพื่อนร่วมโรงเรียน
ในวัยเด็กของพวกเขาทั้งสอง ...ความรักที่เขาและเขามีให้ต่อกัน ยังสามารถเรียกคำว่า เพื่อนสนิท ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ...เพื่อนสนิทที่คอยให้การช่วยเหลือกันและกัน ในเวลาที่อีกคนกำลังเดือดร้อน ...เพื่อนสนิทที่มีเวลาว่างเมื่อไหร่ ก็ต้องมานั่งขลุกมาเล่นสนุกตามประสาของเด็กผู้ชายที่ลิงโลด ...เพื่อนสนิทที่ไปไหนมาไหนด้วยกัน เพื่อนที่มีใครทำอะไร อีกคนก็ยินดีจะยอมทำตามโดยไม่อิดออด (ตัวอย่างในหนัง ก็คือ การแสดงละครเวที ...ที่มิว มีบทเด่น แต่กับ โต้ง เป็นแค่ตัวประกอบฉากซะงั้น)
แต่เมื่อถึงวันที่พวกเขาได้เติบโตขึ้นมาเจอกับโลกใบที่ใหญ่และกว้างกว่าเคยมองเห็นในวัยเด็ก ...ความรักที่เขาและเขามีให้ต่อกัน ก็เหมือนจะมีเจตนาอะไรบางอย่างที่ทำให้คำว่า เพื่อนสนิท อาจจะมีคุณค่าน้อยเกินไปเสียแล้ว
ถ้าจะไปกล่าวโทษถือผิดให้เป็นภาระของโลกใบนี้ที่นับวันก็ยิ่งทวีมีกลุ่มมีก้อนของคนสีม่วงมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ Non-sense มากกว่าจะ Make-sense ...แล้วกับ นิยามของความรักในวันนี้ มันก็ไม่ได้มีกฎเกณฑ์อะไรที่ตายตัวเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป ความรักที่คนสองคนมีให้ต่อกัน ไม่ได้มีข้อบังคับใดๆบีบให้ต้องเป็น ชาย กับ หญิง เพียงเท่านั้น
ความรักของ โต้ง กับ มิว ยังนับว่าเป็นความรักที่บริสุทธิ์ และดูสดใสมากไปกว่า คำพูดของคนอื่นคนนอกที่ยัดเยียดว่า So-mom ...เมื่อลองได้หยิบเอากรณีของคนคู่นี้ไปเปรียบเทียบกับความเป็นจริงของสังคมสีม่วงในวันนี้แล้ว ก็จะยิ่งเห็นได้เด่นชัดที่ โต้ง กับ มิว ก็ยังคงห่างไกลซึ่งคำว่า So-mom อีกยาวไกล
แต่ถึงมันจะยังคงความบริสุทธิ์ใสๆเช่นรักในวัยรุ่นใสๆ เอาไว้เช่นไรก็ตามที กับสุดท้ายแล้วในสายตาของคนอื่น(โดยส่วนใหญ่)ก็ยังคงเลือกจะมองความรักวิปริตเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ทุเรศ เป็นการกระทำที่สิ้นคิด และยุว่าส่งเสริมการทำลายล้างวัฒนธรรมความเป็นคนให้เหลวแหลกขึ้นกว่าเดิม
เพราะฉะนั้นแล้ว โต้ง กับ มิว ก็จึงไม่มีทางอาจหนีไปจากความเป็นจริงของสังคมที่ยัดเยียดให้เขาและเขาต้องจบลง ด้วยความเป็นเพื่อนสนิทเช่นที่เคยเป็นกันมา ได้เพียงเท่านั้น
'ความรักที่ไม่สมหวัง' ของคนคู่นี้ ทำให้เราได้รู้ว่า...
'สังคมวันนี้ยังคงต้องการความรักที่บริสุทธิ์แบบชายหนุ่มและหญิงสาว มากกว่าจะยอมยินดีเปิดช่องทางให้คนเพศเดียวกันชอบพอและเบี่ยงเบนกันเองได้'แม้ผมจะเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่เคยมีความคิดจะมีความรักแบบนี้เลย (อาจจะมีบ้างก็เฉพาะตอนที่หยอกล้อขำๆกับเพื่อนฝูงบ้าง ฮาๆกันไป) แต่กระนั้นผมก็ไม่เคยจะมีความคิดต่อต้านโดยใดๆ ...และถึงผมจะมีความยินดีเห็นดีเห็นงามด้วยแล้ว ก็คงมิอาจไปมีกำลังโต้เถียงขอความเรียกร้องใดๆ ให้คนทุกคนบนโลกเห็นดีเห็นงามในรักแบบนี้ดูบ้าง ...เพราะเรื่องแบบนี้ มันยังคงละเอียดอ่อน และเต็มไปความหวั่นไหว ที่ยิ่งพูดก็ยิ่งจะกลายเป็นการสร้างเครื่องหมายลบในใจมากกว่าเดิมเท่านั้น
มิฉะนั้้นแล้ว ...เรื่องของวันเวลา จึงเป็นเรื่องที่ดีที่สุด ที่จะช่วยพิสูจน์ให้ใครต่อใครผู้นั้นได้เห็นกับ เรื่องบางเรื่อง มันก็ควรจะมองข้ามระบบระเบียบกันได้ ...ถ้าตราบใดที่ความรักแบบนี้ ไม่ได้ไปทำให้โลกใบนี้ต้องมีปัญหา (เฉกเช่นที่คนบางคนอาจกำลังทำอยู่ในวันนี้)
รักของผู้ใหญ่...ใน รักแห่งสยาม
'สุนีย์' ...ฉากรักของเธอคนนี้ เต็มไปด้วยความผิดที่เธอยินยอมปล่อยผ่านให้มันเกิดขึ้นมา... การหายตัวไปของ
'แตง' ลูกสาวคนโตของเธอ ทำให้ครอบครัวที่เคยอบอุ่น กลายเป๊นอีกหนึ่งครอบครัวที่จำทนอมเศร้าเพียงกับความทรงจำอันเลวร้ายของอดีต... สุนีย์ต้องแบกรับกับความรู้สึกที่ย่ำแย่ของสมาชิกแต่ละคนที่ต่อกันไม่ติด ทั้งๆที่อยู่บ้านหลังเดียวกัน ก็เหมือนไม่ใช่คนที่อยู่ในครอบครัวเดียวกัน
สุนีย์ ->
กร : พยายามทุกวิธีการที่จะทำให้กรเลิกเจ็บปวดกับความจริงอันเลวร้ายที่ตัวเขาก่อ เธอทำได้โดยไม่เคยสนว่าวิธีนั้น จะทำได้จริงหรือไม่ ...ทั้งๆที่จริงแล้ว เธอเองก็เลือกจะสนแต่การหลอกลวงตัวเองไปวันๆ กับการพร่ำบอกว่า แตง ทำตัวของตัวเองให้ต้องจากพวกเขาไป
'กร' ...ฉากรักของเขาคนนี้ เต็มไปด้วยความผิดที่เขาเป็นผู้เริ่มก่อโดยมิรู้ตัว... การหายตัวไปของ
'แตง' ลูกสาวคนโตของเขา ทำให้ความสุขที่เคยอบอวลในวันก่อน กลายเป็นวันแห่งความทุกข์ที่ไม่มีวันหยุดนักขัตฤกษ์... กรยังคงเจ็บปวดกับความคิดและการกระทำของเขา ที่มีส่วนทำให้สมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวต้องลาลับ ไม่รู้จะกลับเมื่อไหร่ ...นอกเหนือไปจากความผิดติดตัว สิ่งที่เขาเหลืออยู่ในชีวิตนี้ก็มีเพียง 2 สิ่ง คือ เหล้า และอดีต
เขาเลือกเหล้ามากกว่าเมีย และเลือกจะจมกับอดีตมากกว่าการอยู่กับปัจจุบันที่ วันนี้มันควรจะดีกว่าวันนั้น
กร ->
จูน : ความรู้สึกดีๆกลับคืนมา เมื่อเขาได้เจอหน้าลูกสาวที่เขารักและรู้ว่ายังมีชีวิตอยู่ ...หากแต่ในความจริงแท้ จูน ก็คือ คนอื่นที่ได้รับการว่าจ้างจากสุนีย์และคำขอร้องจากโต้ง ให้มาช่วยบั่นทอนความรู้สึกเศร้าของกรให้ลดน้อยถอยลงไป
'จูน' ...ฉากรักของเธอคนนี้ เต็มไปด้วยความผิดที่เธอไม่ได้ตั้งใจจะก่อ หากแต่เธอก็ล่วงเกินทำมันมานาน จนสุดท้ายก็กลายเป็นสิ่งที่สายเกินแก้ ...เธอเลือกจะเดินจากครอบครัวออกมา เพื่อเผชิญหน้ากับชีวิตอันน่าจะสุขสบายในเมืองใหญ่ จูนคาดหวังที่จะทำงาน งาน และงาน เพียงเพื่อหวังจะได้ส่งเสียเงินทองไปยังพ่อแม่ที่รอคอยการกลับไปของเธอ ...แต่เมื่อถึงวันนั้นจริงๆ จูนก็พบว่าไม่ได้มีใครต้องการจะรอคอยเธออีกต่อไปแล้ว และในวันนั้นก็คือ วันที่ทำให้วันนี้ เธอเลือกจะรักตัวเอง มากไปกว่าจะรักใครคนอื่นให้เท่าเทียมคนที่เธอเคยรัก
จูน ->
สุนีย์ : ถูกดึงเข้ามาเพื่อต้องการให้เปลี่ยนแปลงชีวิตของครอบครัวสุนีย์ให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ...หากแต่ในทางกลับกันแล้ว จูนกลับเป็นคนที่พยายามดึง สุนีย์ กร และโต้ง ให้กลับมามีความเป็นครอบครัวเดียวกันอีกครั้ง ...ซึ่งนั่นก็คงจะเป็นเพราะ ความผิดที่เธอเคยทำให้ครอบครัวตัวเองล่มสลายละมั้ง มันจึงเป็นเหมือนการได้รับโอกาสที่ดีที่จะช่วยแก้ให้ครอบครัวของคนอื่น กลับมาเป็นครอบครัวที่น่ารักเป็นที่สุดอย่างที่เธอพยายามพร่ำบอก
เรื่องราวความรักที่เกี่ยวเนื่องกันของ คนทั้งสาม ทำให้เราได้รู้ว่า ...
'ความผิด มันอาจจะได้ชื่อว่าเลวร้าย แต่กระนั้นมันก็ยังจะมีแง่มุมดีๆอยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน หากแค่เราสามารถดึงเอาแง่มุมนั้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์'ทุกๆอย่างบนโลกใบนี้ มันล้วนแต่มี 2 มุมด้วยกันทั้งนั้น ...ซึ่งในบางสิ่งที่คนมองว่าดี ก็อาจจะกลับกลายเป็นร้ายได้ถ้าเราใช้มันแบบผิดๆ และทางกลับกันกับบางสิ่งที่มันดูแย่ ก็ใช่ว่าจะแย่ไปซะหมด ตราบใดถ้าเราเอาสิ่งที่แย่เหล่านั้น มาแปรรูปให้มันเป็นสิ่งดีๆที่จะช่วยให้ชีวิตเจริญเติบโตขึ้นกว่าเดิม
ยกตัวอย่างเช่น... สิ่้งที่สุนีย์ทำให้กร มันก็ยังอาจจะดูเป็นวิธีการที่เหมือนแก้ไขที่ปลายเหตุอยู่ แต่กระนั้นถ้ามันจะช่วยประคับประคองให้คนรักยังคงจะทนมีชีวิตอยู่ต่อไป มันก็ย่อมดีซะกว่าไม่ยอมทำอะไรเลย
...หรือกับสิ่งที่กรทำให้จูน ก็คือ การสร้างความรู้สึกดีๆที่ช่วยทดแทนความผิดครั้งอดีตที่เธอเคยทำให้พ่อแม่ต้องเจ็บช้ำ กับการได้อยู่ช่วยดูแลรักษา(ที่แลกด้วยอามิตสินจ้าง) นอกไปจากจะทำให้ กร มีชีวิตที่ดีขึ้น (และยังทันเวลาที่จะไม่ทำตัวเองให้ต้องตาย) จูนก็ยังได้ประโยชน์ที่ช่วยลบล้างที่เธอไม่ทันไปดูใจคนที่เธอรักที่สุดได้ทันเวลาเช่นกัน
...หรือกับสิ่งที่จูนทำให้สุนีย์ ที่เหมือนจะเป็นการก้าวก่ายคนอื่นก็เถอะ แต่ถ้าเธอก้าวก่ายแล้วทำให้ครอบครัวของคนอื่นกลับมาปรองดอง รักมั่น เช่นที่เคยเป็นได้ ก็คงจะดียิ่งซะกว่าการยุ่มย่ามแล้วสักแต่มาเอาประโยชน์เพื่อตัวเงินหรือตัวเองเพียงอย่างเดียว เฉกเช่นเดียวกับที่คนบางคนในสังคมนี้คิดอยู่
รักของทุกคน... ใน รักแห่งสยาม เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ มีคุณค่า และช่วยเหลือเพาะบ่มความเป็นคนให้มันเติบโต เปลี่ยนแปลง ทำให้คนหนึ่งคนได้เรียนรู้อะไรต่อมิอะไร ได้เปิดใจที่จะยอมรับในสิ่งที่มันต้องเกิดขึ้น ...ความเป็นไปทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นใน รักแห่งสยาม จึงเป็นเรื่องที่จริงซะยิ่งกว่าจริงในแบบที่มีหนังเพียงน้อยเรื่องที่จะจริงจังและจริงใจกับคนดูได้มากเท่าเวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง ที่ได้เห็นได้ชมอยู่นี้
จงรักที่จะเรียนรู้...บทหนังที่ร่ายกันมาจากข้างบนนั้น อาจจะว่ายอดเยี่ยมในเนื้อหาและการนำเสนอแล้ว ...แต่กับส่วนอื่นๆ ที่รวมเป็นหนังทั้งเรื่อง ก็ไม่ต่่างอะไรกันไปเลย แถมจะส่งเสริมให้หนังที่จริงจัง และจริงใจ เข้มข้น และสนุกน่าติดตาม โดยไม่มีช่วงเวลาใดใน สองชั่วโมงครึ่งอันยาวนาน ที่น่าเบื่อเลย
งานกำกับของคุณมะเดี่ยว ก็เช่นกันกับบท ...นำพาอารมณ์คนดูให้คล้อยไปตามภาพโดยไม่มีอะไรให้ต้องรู้สึกสะดุดตา สะดุดใจ กับจังหวะเรื่องที่เนิบนาบ ก็ไม่ชวนให้อยากหลับ
การแสดงของนักแสดงรุ่นใหม่... ดูใช่ในคาแรกเตอร์ ดูเหมาะกับภาพจำที่ทำให้เราเชื่อในตัวละครที่เขา/เธอเป็น และการแสดงที่เขา/เธอทำ ...
"พิช-วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงศ์กุล" เป็น มิว ได้น่ารัก หน่อมแน้มได้ใจ แล้วกับฉากที่เป็นดรามาจริงจัง เขาก็เอาได้อยู่ ที่สำคัญ ร้องเพลงเพราะจนอากู๋น่าจะชวนไปทำอัลบั้ม ,
"มาริโอ เมาเร่อ" เหมือนจะดูแข็งๆ แต่เปลือกนอกที่เห็นก็ทำได้ดูจริง สอดคล้องบทบาท แล้วก็เด็ดขาดกับการใช้สายตา ที่มองมาทีไรก็บริหารหัวใจให้คนดูสาวๆได้ขยับเต้นๆตุ๊บตั๊บ พอๆกันกับหนุ่มๆ(แต๋วแตก) ที่กรี๊ดกร๊าดกันจนน่าหมั่นไส้ (เฮ้อ! ก็ตูมันไม่หล่อเท่าเขาเองนี่) ,
"ตาล-กัญญา รัตนเพชร์" น่ารักน่าเลิฟมากกับความแก่นๆใสๆของเธอ แต่ที่มากไปกว่าความสวย ก็คือ ฝีไม้ลายมือความอินที่ไม่ด้อยไปกว่าหน้าตาเลยทีเดียว ,
"เบสท์-อธิชา พงศ์ศิลป์พิพัฒน์" เป็นคนเดียวของหนังที่ทำได้น่าผิดหวัง ทั้งในแง่ของลักษณะตัวละครที่ต้องว่า สวยเลือกได้ แต่กลับดูธรรมดามากๆที่จะให้หนุ่มๆต้องเหลียวตามอง อยากรักอยากจีบ แล้วกับการแสดงก็ดูจะแข็ง เสียจนชวนหมั่นไส้ในความร้ายกาจที่มีอยู่มิติเดียวของโดนัท
การแสดงของนักแสดงรุ่นใหญ่... ใส่กันเต็มสตรีม อินกันเต็มพิกัด กับบทบาทที่เฉือนกันได้คม เข้มข้นด้วยความเป็นดรามาเรียกน้ำตา ...
"นก-สินจัย" แค่หวังจะมาดูพี่เธออย่างเดียว ก็คุ้มค่าเป็นยิ่งๆแล้ว กับคุณภาพตัวแม่ที่เธอยังคงทำให้ประจักษ์ความสุดยอดเหมือนเคย ฉากที่เธอต้องมีน้ำตา ก็ยังกระชากน้ำตาผมได้เช่นกัน ,
"กบ-ทรงสิทธิ์" อมความทุกข์ไว้ภายในสีหน้าและแววตาได้จริงจัง น่าสงสารและเห็นใจ ,
"พลอย-เฌอมาลย์" อาจยังไม่ถึงขั้นชั้นเยี่ยมเฉกเช่นสองคนหน้า แต่ความเป็นตัวเธอ ก็สร้างเสน่ห์ และดึงใจคนดูให้มาอยู่กับเธอ ในทุกครั้งที่กล้องจับภาพจูน
เพลงประกอบหนัง (Soundtrack) จากฝีมือเขียนของคุณมะเดี่ยว (ด้วยประสบการณ์ที่เคยเขียนเพลงมาก่อนหน้าจะเขียนหนัง) ก็ล้วนแต่เพราะหมดทุกเพลง แถมยังเหมาะเจาะกับการเอามาใช้ในแต่ละฉากอย่างลงตัว ...กับการถ่ายภาพก็ออกมาดูสวย มีมิติและมุมมองที่แฝงอารมณ์ของฉากนั้นๆให้จับต้องได้ ยิ่งกับฉากต่างๆที่เกิดเหตุในสยามสแควร์ ก็ช่างช่วยยกระดับให้ดูน่าเที่ยวมากกว่าภาพที่เป็นอยู่จริงๆเสียอย่างมากมาย
คนหลายๆคนอาจจะนึกสงสัยว่า ทำไมหนอ ผกก. มะเดี่ยว ถึงต้องตั้งชื่อหนังว่า "รักแห่งสยาม" ทั้งที่ความเป็นจริง หนังมีฉากที่เกี่ยวกับที่นี่ เพียงนานไม่กี่เปอร์เซ็นต์ ...?
สำหรับมุมมองของผม ผมมองว่า มันเป็นชื่อที่เหมาะที่สุดที่จะเอามาตั้งแล้ว ...เมื่อพิจารณาในแง่ที่ว่าที่นี่ เป็นศูนย์รวมแห่งการเรียนรู้
การเรียนรู้ในที่นี่ ไม่ได้หมายถึงเฉพาะ การมีมหาวิทยาลัยชื่อดังที่สุดของประเทศตั้งอยู่ข้างๆ ,การมีโรงเรียนที่รวบรวมเด็กหัวกระทิระดับประเทศเกาะอยู่เคียงๆกัน หรือกระทั่งการมีสถาบันกวดวิชามากมายหลายสิบเจ้า มาเปิดหวังพึ่งใบบุญของแหล่งรวมวัยรุ่น ...แต่ผมจะหมายถึงว่าที่นี่ยังเป็น สถานที่ที่มีเรื่องราวความรักมากมายให้เราได้ศึกษาเรียนรู้
คนหนุ่มคนสาว หลายต่อหลายรายมาพบรักกันที่นี่ ...คนหลายคน เชื่อว่าการมาบอกรักกันในบรรยากาศแบบนี้ จะเป็นใจให้อีกฝ่ายยินดีพร้อมรับ ...และกับคนอีกบางคู่ ก็เลือกจะมาทะเลาะ มาตบหน้า หรือกระทั่งขอเลิก ในสถานที่อันแสนวุ่นวายแห่งนี้มาไม่น้อยอยู่เหมือนกัน ...ฉะนั้นแล้ว สยามสแควร์ จึงถือเป็นสถานที่ที่มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับความรักมากมายที่น่าได้มารู้ได้มาลองมอง ก็จะได้เห็นความเป็นจริงของคนในสังคมอันกว้างใหญ่ที่มีต่อมุมมองของคำว่า 'ความรัก'
แต่ถ้าเกิดไม่ใช่ที่นี่แล้ว มันก็ยังจะมีที่อื่นอีกเช่นเดียวกัน ที่จะมีอะไรแบบนี้ให้เราได้เรียนรู้ ให้เราได้สัมผัส ...ซึ่งที่อื่นที่ว่า มันก็คือ ทุกๆที่ทุกๆแห่งที่อยู่บนโลกกลมๆเบี้ยวๆของเราใบนี้ นี่เอง
และเราพร้อมจะเรียนรู้กับมันได้อยู่เสมอ ในทุกๆที่ ทุกๆเวลา ...ในตราบใดก็ตามที่เรารักที่จะเรียนรู้ เรารักที่จะอยากรู้จักกับมัน ...เรารักใน ความรัก ที่ทำให้เราทุกคนได้เกิดมาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ประเสริฐที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด ...สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า 'มนุษย์'
"รักแห่งสยาม" ... หนังรักที่จบลงด้วยความสมบูรณ์แบบของทุกองค์ประกอบ แต่อารมณ์ความรู้สึกของผมและคนดูหลายต่อหลายคนไม่สิ้นสุดลงแค่ตรงนี้ ...และมันจะยังคงรัก ที่จะพูดถึง ที่จะกลับเอามาคิดถึงไปได้อีกเนิ่นนาน ตราบใดก็ตามที่ผมยังรักที่จะเรียนรู้ เรื่องราวของความรัก ที่โลกใบนี้จะสอนให้เราได้รู้อย่างไม่ที่สิ้นสุดขอแนะนำเป็นอย่างยิ่ง...ครับ
เกรด A ... {
}
ส่วนที่เป็นฟอนท์สี เขียว-แดง เพิ่มเข้ามา... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี(เขียว)-ดูด้อย(แดง) ของหนังแต่ละเรื่องครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมทำไฮไลท์ไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกัน
กันและกัน - Flure ..."กันและกัน" โดย "คิว-สุวีระ บุญรอด (วง Flure)"เพลงโปรโมตที่ทำเอาคนมีความรัก เคลิ้มกันและกันไปทั่วแล้วขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน...
1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ
รอข้าพเจ้าเขียนเต็มๆก็แล้วกัน
ไม่ใช่วันนี้หรอก
เพราะวันนี้โดนดูดวิญญาณออกจากร่างไปแล้ว
ด้วยภาพบาดตาบาดใจ T T
โดย: nanoguy 30 พฤศจิกายน 2550 0:04:32 น.
ครั้งแรกที่ไปดูหนังเรื่องนี้สืบเนื่องจากเพลงประกอบที่ฟังแค่เพียงครั้งเดียวแต่เนื้อหาและทำนองมันช่างกินใจเสียเหลือเกิน แต่พอได้ดูเป็นรอบที่หนึ่ง มันทำให้ผมอึ้งกับความรักอันบริสุทธิ์ที่ได้พบในหลายๆ ฉากของหนังเรื่องนี้
ผมเห็นด้วยกับคุณ OncE UPoN'-'a MaN ในหลายๆ เรื่องที่ได้เขียนไว้ และชื่นชมกับภาษาที่ใช้มากๆ โดยเฉพาะคำว่า
เรียนรู้ที่จะรัก... และ จงรักที่จะเรียนรู้...
เป็นหนังในใจตลอดกาลของผมไปแล้วครับ
ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ
ปล หลังดูรอบที่สอง ผมรู้สึกได้ถึงความเหงาอย่างสุดขีดที่เกิดขึ้นกับตัวเอง และโหยหาที่จะมีรักที่แท้จริงกับเค้าบ้าง
โดย: Kuraki IP: 203.146.124.166 30 พฤศจิกายน 2550 0:48:13 น.
ทำให้หนังเรื่องนี้จะเป็นหนังเรื่องแรกที่จะต้องหามาดูให้ได้หลังจากกลับไปเมืองไทย
ขอบคุณทุกๆรีวิวที่ทำให้เรารู้ถึงคุณค่าของความรักครับ
โดย: Ange de Suisse IP: 62.202.95.10 30 พฤศจิกายน 2550 3:55:19 น.
มีความรักอยู่มากมายรอบตัวเรา อยู่เพียงแค่ว่าเราจะจัดการกับความรัก และมีความเข้าใจในรักได้มากขนาดไหน
ยิ่งดู ยิ่งซึมลึก โดยเฉพาะความรักของสุนีย์ และการแสดงที่ทรงพลังของคุณสินจัย
สุดยอดครับ
enjoy your day
โดย: Holden Caulfield 30 พฤศจิกายน 2550 12:35:32 น.
+ หนังเรื่องนี้จัดว่า 'ทรงพลัง' และส่งอารมณ์ตกค้างในหัวคนดู จนรู้สึกว่าถึงแม้หนังจะจบไปแล้ว แต่คาแรคเตอร์ในหนังก็ยังโลดแล่นในหัวคนดู (อย่างพี่) ต่อไป ... เหมือนหนังมันมีชีวิตว่างั้นเหอะ
+ การแคสติ้ง ก็เห็นด้วยอย่างที่นัตเขียนไว้ ... แต่เหมือนนัตจะลืมเขียนถึงคนสำคัญในหนังไปคนนึงก็คือ อาม่า (คุณพิมพ์พรรณ บูรณพิมพ์ - ซึ่งรู้สึกจะเป็นขาประจำของคุณมะเดี่ยวด้วย) เพราะถ้าไม่มีความอบอุ่นตอนเด็กๆ จากเธอ มิวก็คงไม่สามารถเติบโต จนเป็นอย่างที่เห็นในหนังได้, ส่วนรุ่นเล็ก พี่ชอบการแสดงของน้องพิช (มิว) มากที่สุดครับ ดูเป็นธรรมชาติทั้งแววตา, สีหน้า, อารมณ์ ได้หมด
+ สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณ ...
... คุณมะเดี่ยว ที่ ' ช่างกล้า' ทำหนังเรื่องนี้ออกมา
... เสี่ยงเจียง ที่กล้าอนุมัติและออกตังค์ให้สร้าง
... นักแสดงทุกคน กับการแสดงระดับเทพ จนทำให้คนดูอินกันได้ขนาดนี้
... นัต ที่เขียนบทความดีๆ เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้เพิ่มขึ้นมาอีก 1 ชิ้น (จากที่มีเขียนกันก่อนหน้านี้แล้วหลายท่าน)
... และขอบคุณโลกใบนี้ ที่มีสิ่งที่เรียกว่า ความรัก
โดย: บลูยอชท์ 30 พฤศจิกายน 2550 17:36:02 น.
ผมก็ชอบการแสดงของป้าเขาเช่นกันครับ... โดยเฉพาะในฉากที่เล่นเปียโน เนี่ย ก็แอบอึ้งนิดนึงว่า ป้าเขาเล่นได้ดูเพราะอย่างเนียน นิ้วเนิวอะไรดูพริ้วไปหมด แล้วก็น่ารักที่เรียกมิวว่า เพื่อน อ่ะ... ฟังแล้วอบอุ๊นอบอุ่นหัวใจดีจัง
แต่ก็เสียดายนิดนึงนะ ที่เขาไม่ค่อยมีใครพูดถึง เพราะบทบาทก็มีอยู่น้อย จนเหมือนจะเป็นดารารับเชิญก็ไม่ปาน
(ผมก็คงเป็นหนึ่งในนั้นที่ลืมด้วย ...ถ้าพี่วินไม่เตือนก็นึกไม่ออกเลยนะเนี่ย ว่าขาดหายอะไรไป) แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็สำคัญมากๆ ถ้าไม่มีบทนี้ มิวก็คงไม่สามารถอยู่เพื่อเรียนรู้อะไรกับความรักได้เลย
โดย: OncE UPoN'-'a MaN 30 พฤศจิกายน 2550 17:56:44 น.
ความรู้สึกผมหลังดู ก้ทำคล้ายๆคุณบลูยอชท์ครับ
เรียกว่าตกอยู่ในภวังค์ของ รักแห่งสยามเข้าอย่างจัง
ดู,อ่านมันทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง
กำลังจะไปดูรอบสองแล้วครับ ทนไม่ไหวแล้ว
ปล. จขบ.เขียนได้ยาวและดีจังครับ
โดย: winter love song 30 พฤศจิกายน 2550 23:01:20 น.
สงสารมิวตอนเด็กอ่ะ
ที่อาม่าถามว่า
"เพื่อน ได้ข่าวว่าตอนอาม่าไม่อยู่ เพื่อนเกเรเหรอ"
แล้วมิวก็จับมืออาม่า ช่วงนั้นทำเอาร้องไห้เลยค่ะ เหมือนกับคนที่มิวรักที่สุดจะไม่อยู่กับเค้าแล้ว
สงสารมิวอ่ะ
โดย: kimi ni aitai IP: 58.9.232.55 1 ธันวาคม 2550 20:15:16 น.
โดย: *omega* IP: 58.136.61.16 1 ธันวาคม 2550 21:29:11 น.
โดย: taeuy IP: 124.122.210.35 2 ธันวาคม 2550 0:15:34 น.
โดย: takky de KL IP: 218.111.19.157 2 ธันวาคม 2550 10:03:19 น.
โดย: blueboyhub IP: 58.10.102.10 2 ธันวาคม 2550 15:47:50 น.
โดย: absent-minded IP: 221.237.127.210 3 ธันวาคม 2550 14:33:57 น.
เขียนได้ดีครับ
เพิ่งไปดูหนังมา เพราะเพื่อนรักสองคนบอกว่า
ถ้าไม่ดูแล้วจะเสียดาย ก็สงสัยว่าจะมีอะไรดี ๆ อยู่หรือไงหนอ
เราก็เลยวัยรุ่นมามากแล้ว (ไม่บอกว่ามากเท่าไร อิ อิ) และก็ไม่ได้อินกับสยาม ซึ่งพอจะรับทราบมาเลา ๆ ว่า
เป็นสยามแสควร์ ก็เลยไม่สนใจ จนกระทั่งเพื่อนบอก
สรุปว่าตอนนี้ก็กลายเป็นสาวก "รักแห่งสยาม" เข้าไปแล้ว
เลยได้มาเจอ blog นี้ไง
class='iconemo' src=../emo/emo26.gif>
ดีใจที่มีหลายคนรักหนังเรื่องนี้
และดีใจที่ได้อ่าน comment นี้ครับ
โดย: KM IP: 221.128.84.234 3 ธันวาคม 2550 17:30:55 น.
ดีใจที่คนไทยกล้าทำหนังอย่างนี้
และของคุณเจ้าของ blog ที่เขียนได้ตรงใจผมอย่างยิ่งครับ
โดย: ต้น IP: 58.64.91.1 3 ธันวาคม 2550 20:24:17 น.
ปล ส่วนพวกที่มันบอกว่าเป็นหนังเกย์ พวกนี้คงต้องไปเรียนรู้ในการพัฒนาสมองและจิตใจให้มาก แค่มีเกย์เป็นส่วนประกอบแค่นี้ บอกว่าเป็นหนังเกย์ อยากถามพวกนี้เหมือนกันแล้วที่ละครที่มีพวกตุ๊ดกะเทยวี๊ดว๊ายหาผู้ชายกัน แบบนี้ไม่เรียกละครเกย์บ้างหรือไง ทุกวันนี้ก้อมีมันทุกเรื่องทุกช่อง
โดย: เอ IP: 202.7.166.182 3 ธันวาคม 2550 22:54:33 น.
(แวะไปเยี่ยมเยียนกันบ้างนะครับ)
โดย: คนสวน (land_scape_man ) 5 ธันวาคม 2550 20:41:54 น.
ขอบคุณที่เขียนบทความดีๆ ที่ทำให้ผมกลับมาเก็บเกี่ยว
เนื้อหาบางส่วนที่ การดูหนัง 2 รอบของผม ทำตกหล่นไป
ขอบคุณครับ
โดย: KaPPa! IP: 124.121.112.12 5 ธันวาคม 2550 21:24:10 น.
พอมาดูเรื่องนี้ไม่ผิดหวังเลย (ตอนแรกจะรอดูแผ่น)
คงเสียดายแย่
ดูแล้วรู้สึกดี ไม่อยากให้ผู้กำกับสัมภาษณ์ หรือนักแสดง
สัมภาษณ์ อะไรต่อไปอีกเลย
ทิ้งให้คนดูได้ขบคิดกันอย่างนั้น
ถึงแม้ว่าโต้งและมิว จะไม่ได้เป็นแฟนกัน แต่ก็คิดว่า
คนที่รักกันสองคน รู้ว่าอีกคนก็รัก จะห้ามใจไม่ให้เจอกันได้หรือ
คิดว่าคงเป็นความรักแบบหลบๆซ่อนๆ
อาจเป็นเพื่อนใจ เพื่อนให้คำปรึกษา และเป็นมากกว่าแฟน
เพราะผู้กำกับทิ้งสัญลักษณ์ต่างๆในเรื่องมากเหลือเกิน
อาจจะขัดใจแฟนภาพยนตร์หลายๆท่านก็ตาม ที่ให้จบแบบเศร้าๆ ทั้งๆที่เอาใจช่วยตัวละครที่เป็นมิว อุตสาห์บอกเลิกกับโดนัท ดูท่ายังเกรงใจเธออยู่ไม่น้อย(คงไม่เคยหักอกใคร) และวิ่งไปหามิว แล้วก็ตีหัวคนดูตอนจบซะงั้น
โดย: กะปิหวาน IP: 124.120.16.62 5 ธันวาคม 2550 22:32:51 น.
ตอนแรกก็แค่จะไปดูเพราะกระแสแรงดี
ไม่เกลียดไปเลยก็ชอบมากๆ
ส่วนตัวดูแล้วตกหลุมรักเข้าเต็มเปา
ดูแล้วเบลอๆ
เหมือนมีอะไรติดอยู่ในใจก็ไม่รู้
เหงา..เศร้า..ซึ้ง...
และคิดถึงแม่มากๆ
โดย: KookaiAjaAja!!! IP: 124.121.247.172 6 ธันวาคม 2550 1:09:47 น.
โดย: ิboyi IP: 61.91.157.130 6 ธันวาคม 2550 17:08:51 น.
โดย: ชอบจริง IP: 203.146.85.150 6 ธันวาคม 2550 20:06:58 น.
จริงๆ ได้อ่านบล็อกนี้ ตั้งแต่ได้ดูหนังใหม่ๆ แล้วฮะ
ประมาณว่า ไล่อ่านทุกอย่างที่เกี่ยวกับ "รักแห่งสยาม"
ตอนนี้อยู่ในช่วงอินกับเพลง
ฟังมันทุกวันเลย
โดย: ก๊อบ-แก๊บ (raindrops keep falling ) 12 ธันวาคม 2550 22:51:23 น.
ซึมลึก
โดย: onioncrush IP: 61.7.137.88 15 ธันวาคม 2550 0:54:32 น.
จริงๆก็ดูหนังมาตั้ง3อาทิตย์แล้วล่ะคะ
แต่ก้ยังอินไม่หาย
อย่างที่มีคนเคยเขียนไว้ว่า...
"รักแห่งสยาม" -- เป็นอีกเรื่องที่หนังจบแต่ความรู้สึกของเราจะไม่จบตาม...
รู้สึกดีจริงๆเลยคะ
ที่มีคนดูหนังแล้วเข้าใจได้ลึกซึ้งขนาดนี้
นับว่าเป็นการลงทุนสร้างหนังที่คุ้มค่ามากเลยทีเดียว
น่าดีใจแทนผกก. + นักแสดงจริงๆเลย
ขอบคุณที่มารีวิวหนังให้ขนาดนี้นะคะ
เขียนได้ยอดเยี่ยมมากๆ
โดย: P!nK_PuNK_Pr!NC3s$ IP: 58.8.140.198 27 ธันวาคม 2550 1:22:11 น.
โดย: ขุนเขาแห่งแม่น้ำแควน้อย IP: 124.121.11.209 31 ธันวาคม 2550 21:18:52 น.
เขียนละเอียดมากๆ แต่เน้นเชิงวิเคราะห์ตีความเนาะ
อ่านแล้วก็พยักหน้าหงึกๆ ไปด้วย
นิดหนึ่งจิ
อ่า..โต้งกับมิว ไม่ใช่เพื่อนร่วมโรงเรียนกันหนิ เรียนคนละโรงเรียนนา (มิวชายล้วนน่ะ)
โดย: สาวไกด์ใจซื่อ 17 มีนาคม 2551 12:14:38 น.
seo
laptop battery
โดย: wow gold IP: 123.148.30.237 26 มีนาคม 2551 9:38:43 น.
เรื่องของความรัก....อยากที่จะมีใครเข้าใจ
นอกจากคน 2 คนเนอะ
โดย: ใบหลิว IP: 202.91.19.204 8 เมษายน 2551 20:35:59 น.
โดย: ขุนเขาแห่งแม่น้ำแควน้อย IP: 124.121.11.102 23 เมษายน 2551 22:08:25 น.
laptop keyboard
pa3383u-1brs
pa3395u-1brs
pa2487u
โดย: sunvalley IP: 220.231.201.36 3 พฤษภาคม 2551 15:03:15 น.
โดย: Tukta21 8 กันยายน 2551 4:45:56 น.
โดย: สวย IP: 125.26.215.219 5 ตุลาคม 2552 15:19:28 น.