bloggang.com mainmenu search
นอกจากติดตามตัวผมในบล็อกนี้แล้ว ก็ขอชวนไปสนุกกันในอีกช่องทางกับ "Facebook" และ "Twitter" ด้วยครับ

Like Me @ //www.facebook.com/Onc3.UPoN.a.MaN

และ Follow Me @ //twitter.com/once_upon_a_man




รีวิวนี้ ถูกเผยแพร่ไปแล้วก่อนหน้า ทาง //www.chicministry.com ลิงค์





หลังจากเพิ่งสั่งสมบารมีได้ในขั้นสูงสุด ไปกับ “The Dark Knight” (ที่คู่ควรกับการเป็น หนังในตระกูลซูเปอร์ฮีโร่ที่ดีที่สุดที่ในโลกนี่ เท่าที่เคยมีคนทำขึ้นมา) ..นับจากนั้น เป็นต้นมา “Christopher Nolan” ก็กลายมา เป็นคนทำหนัง(เพียงไม่กี่คน) ที่อยู่เหนือกว่า คนสร้างหนัง ทุกๆ คนบนโลกใบนี้ ...และยังจะมั่นใจได้ว่า ต่อแต่นี้ ไม่ว่าหนังที่เขาทำจะใช้เงินทุนสร้างสูงมโหฬารบานตะไทเสียขนาดไหน ใครที่มีเงินมากพอก็ล้วนแล้วอยากจะประเคนให้ด้วยใจที่ยินดีปรีดา

เพราะทำไม ถึงมั่นใจได้หรือ? ..เหตุผลนั้น มันก็มีคำตอบในตัวของมันเอง ดังที่เราจะได้เห็นคำตอบนั้นออกมาเป็นรูปธรรม กับในหนังเรื่องล่าสุดอย่าง “Inception”



Inception มาพร้อมกับคอนเซปต์เรื่องราวที่ล้ำจินตนาการ และอยู่เหนือความคาดคิด ..เมื่อ โนแลน ได้นำโลกที่เราอยู่จริงๆ มาทำการซ้อนทับ แต่งแต้มลงไปด้วย โลกของความฝัน อันเป็น โลกที่เรารู้สึกว่า เราได้ทำอะไรที่เหนือไปกว่า กำลัง และสมอง ของเราจะทำได้ในโลกความเป็นจริง ...แล้วคิดเหรอว่า ระดับขั้นเมพ (เหนือกว่าเทพ) อย่าง โนแลน จะวางทับให้มันเป็นขนมชั้น ที่หน้าตาดูดี ก็เท่านั้น มันไม่มีทาง!

เพราะสิ่งที่ โนแลน จะทำให้เราเห็น และรู้สึก ก็คือ การเขย่า เรื่องราวของหนังที่มาด้วยหลากพลอตหลายประเด็น ไปพร้อมๆกับ การเขย่า คนดูให้เตลิดไปกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นบนจอหนังขณะนั้น ...เรียกได้ว่า ถ้าเกาะเก้าอี้ที่นั่งไม่แน่นพอ อาจจะหลุดวงโคจร ความเข้าใจในหนังเรื่องนี้ไปโดยปริยายเลย

จากย่อหน้าข้างบนที่เอ่ยไป ก็แค่ต้องการจะบอกว่า.. ห้ามลุกจากที่นั่ง ระหว่างดูหนังเรื่องนี้ เป็นเท่านั้น

แต่จากย่อหน้านี้ต่อไป ผมจะขอบอกว่า Inception นี้ มีดีอะไรบ้าง ที่ทำให้คุณๆ ผู้เป็นคนรักหนัง ควรจะได้ดูมัน (เป็นรอบแรก) ในโรงหนังเท่านั้น





Inception มีเนื้อเรื่องคร่าวๆ เกี่ยวกับ.. คนกลุ่มหนึ่งที่ตั้งตนขึ้นมาทำงานรับจ้าง เพื่อการฉกฉวยเอาความคิดอันเป็นประโยชน์ของคนอื่น กลายมาเป็นสิ่งที่รู้เช่นเห็นชาติสำหรับใครก็ตามที่ริจะเป็นคู่ แข่งของคนๆ นั้น ...ซึ่งวิธีการที่คนกลุ่มนี้ บุกเข้าไปเอามาได้นั้น ไม่ต้องใช้กำลังในโลกความเป็นจริง แต่กลับจะใช้เพียง ‘ความฝัน’ กลายมาเป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพที่สุด ในการเข้าจู่โจมโดยตรง

เมื่อเป้าหมายได้ฤกษ์นอนหลับ และคนวางเป้า สามารถนำพาตัวเองเข้าไปอยู่ในความฝันของเขาได้ ..เมื่อนั้น เกมก็จะตกมาเป็นต่อของ คนวางเป้า ในทันที ...ซึ่งคนวางเป้า ที่ให้ความวางใจได้เลยว่า งานทุกชิ้นที่เขาทำสำเร็จผลเป็นแน่ ก็คือพระเอกของเรื่องนี้ “Dom Cobb”

แต่เกมล่าสุด ที่จะกลายมาเป็นเกมสุดท้ายของ ดอม มันกลับไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย ..เมื่อเขาได้รับความท้าทายจากคนๆ หนึ่ง ที่ต้องการให้เขารับงานนี้ ไม่ใช่ในฐานะของ Reception (คนที่ฉกความคิด แล้วรับมันเข้ามา) แต่เป็นในฐานะของ Inception คือ เอาความคิดของคนอื่น ไปใส่ให้กับเป้าหมาย ให้ตื่นมาแล้วต้องรู้สึกอย่างนั้นไปกับเขาด้วย ...โดยงานนี้ ไม่ใช่แค่งานที่ทำเล่นๆ เพื่อท้าทายตัวเอง แต่มีเดิมพันขั้นสูงที่จะสามารถช่วยปลดเปลื้องเขาให้หลุดพ้นจากพันธนาการของโลกความจริง ที่ตั้งแง่มองว่าเขาคือ อาชญากร ระดับพระกาฬ ที่โลกต้องลงทัณฑ์

นี่คือ เรื่องราวคร่าวๆ ที่รู้ได้ จากเรื่องย่อของ Inception ..แต่ถ้าเป็นไปได้แล้ว หากจะไม่รู้อะไรเลย (หยวนๆ เอาอย่างน้อยๆ ก็รู้เท่าที่ตัวอย่าง โปสเตอร์ หรือโฆษณา มันบอกก็พอ) ยังคงจะดีเสียกว่า





เพราะการเข้าโรงหนังไปด้วยหัวที่ว่างเปล่า กับความรู้จักที่มีต่อหนัง แล้วหมายไปรับเรื่องราวต่างๆ ผ่านจากหน้าจอโดยตรง แบบเต็มๆ ..มันก็จะยิ่งเป็นต่อกับการดู Inception ให้สนุกได้อย่างเต็มที่มากกว่า คนที่รู้เรื่อง (หรือพยายามตีความไปเองต่างนานา) ว่าหนังเรื่องนี้ต้องการจะพูดถึงอะไร

ซึ่งแม้จะเข้าใจได้ว่าเป็นหนังของ โนแลน แล้ว มันต้องมีสาระสำคัญที่น่าคิดน่าค้นถูกเอ่ยถึงขึ้นมาอย่างแน่นอน ...แต่มันจะไปสำคัญอะไรได้อีกเล่า หากเราพยายามเข้าใจในเรื่องราวของมัน และตัดสินกันไปเอง ก่อนจะได้ดูของจริงเสียอีก (ดีไม่ดี บางคนดูจบ แล้วสงสัยทำไมไม่พูดถึงเรื่องนี้ เรื่องนั้น อย่างที่เราคิดไว้ ..ก็จะพาลออกจากโรงมาด้วยความผิดหวังไปเสียเปล่าๆ)

และสิ่งที่ดูจะสำคัญ ยิ่งกว่าสาระที่หนังเรื่องนี้ต้องการจะเอ่ย ..ก็คือ ความบันเทิง กับการเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่ถูกจัดโปรแกรมขึ้นมาให้ได้ฉายในช่วงเวลาแห่งการกอบโกย (เงิน) ของฮอลลีวู้ด (ที่อาจหมายรวมทั่วโลกก็ได้ แม้จะไม่ได้เป็นซัมเมอร์ เหมือนๆ กันหมด) ... Inception ก็ย่อมถือว่า มาถูกเวลา ถูกฤดู และถูกเป้าหมาย ตามรอย The Dark Knight ไปเต็มๆ

แถมผมยังจะกล้าพูดได้เลยว่า Inception คือ หนังที่ดูง่าย และขายความบันเทิง ได้มากที่สุดแล้ว เท่าที่ โนแลน เคยทำมา ..มันยังออกจะมากกว่า The Dark Knight (หรือก่อนหน้ากับ “Batman Begins”) ที่มีรูปลักษณ์เป็นหนังแอ๊คชั่นพันธุ์แท้ เสียด้วยซ้ำ



ถึงดูทีท่าแต่แรกว่าบทที่เอาความจริง กับความฝัน มาเขย่ากัน มันคงดูให้รู้เรื่อง ต้องยากเอาการ (ให้นึกถึง “Eternal Sunshine of the Spotless Mind”) ..แต่กับ Inception ไม่ใช่อย่างที่คิดไว้เลย มันได้ผ่านกระบวนการย่อยความคิดอันซับซ้อนจากมันสมองระดับอัจฉริยะของ โนแลน ให้กลั่นกรองเหลือมาเป็นเนื้อๆ ของเรื่องราว ที่แล้งน้ำ (ไม่ดูเวิ่นเว้อ เกินๆ ล้นๆ แน่แท้) ..อีกทั้งรูปแบบของการเล่า ก็เล่นด้วยท่าทีตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม พยายามบอกทุกสิ่งทุกอย่างที่เราจำเป็นต้องรู้ ผ่านการสนทนาของตัวละคร ที่หากคนดูฟังทัน อ่านซับทัน ติดตามได้ทันเสมอ ไม่มีทางที่จะดูไม่รู้เรื่อง (ย้อนกลับไปสนับสนุน เหตุผลที่ห้ามลุกจากที่นั่ง ขณะดูหนังเรื่องนี้)

ไม่ใช่แค่ตัวบทจะเอาคนดูได้อยู่หมัดเท่านั้น ..โนแลน ยังคงเอาอยู่ กับการกำกับเหล่านักแสดงดาวดังคุณภาพคับจอที่มารวมตัวปรากฏร่างในหนังเรื่องเดียวกัน ...แม้คราวนี้จะไม่มีใครโดดเด่นอย่างอาจหาญ เกินหน้าเกินตาแบบเดียวกับ “Heath Ledger” แต่ทุกๆ คน ไม่ว่าจะตัวหลักหรือตัวรอง ล้วนมีบทบาทความสำคัญต่อหนัง เป็นดังตัวแปรที่ขาดไปไม่ได้เลย เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น สูตรสมการที่ออกมาให้ผลลัพธ์อันสำเร็จ คงไม่ลงตัวอย่างที่เป็นอยู่

จะยกตัวอย่าง เช่น ตัวพระเอก “Leonardo DiCaprio” ..ที่แม้ครั้งนี้ เขาจะไม่ได้แสดงให้น่าอึ้งในระดับเดียวกับที่ควรให้ชิงออสการ์ใน “The Aviator” แต่ความเข้าใจในบทบาท และความเข้าถึงในตัวละคร ผมรู้สึกและมองว่าเขาได้สอบผ่านในระดับยอดเยี่ยมเป็นครั้งแรก ..หลังจากที่ผ่านๆ มา ก็คิดว่า ดี แต่ยังไม่ใช่ ยอดเยี่ยม สักที

เขาสามารถทำให้คนดูรู้สึกว่า เขาสำคัญ ได้พร้อมๆ กับ ทำให้คนดูรู้สึกเห็นใจในชะตากรรมที่เขาต้องเผชิญ ..และเขาก็ยังคือ คนที่ปรับสมดุลของตัวเองให้เข้าหาตัวละครรอบข้าง มามีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันจนเป็นการแสดงที่ดูลงตัว ลงล็อคไปกับเรื่องราวที่มีคนที่สำคัญที่สุดอย่างเขาเป็นตัวเดินเรื่องนั่นเอง





ในแง่ของงานเทคนิค คงไม่ต้องพูดอะไรมาก ..เป็นระดับมาตรฐานสำหรับหนังฟอร์มยักษ์สักเรื่องหนึ่ง ...ฉะนั้น การมาดูเอาภาพและเสียง ในโรงหนัง มันจึงคุ้มค่าตั๋วด้วยประการฉะนี้ เป็นเรื่องปกติ

แถมถ้าเป็น Inception ที่ทั้งสนุกยิ่งๆ (เป็นยิ่งกว่าหนังซัมเมอร์ทุกเรื่องของปีนี้ที่ดูมา) และเข้มข้นด้วยคุณภาพสุดๆ (ที่ผมมั่นใจเลยว่า ติด 1 ใน 10 หนังชิงออสการ์ปีหน้าแน่นอน) อย่างนี้ ต่อให้ตีตั๋วนั่งเก้าอี้โซฟา ที่นอนดูได้ ก็ไม่คิดเสียดายเงินเป็นแน่แท้

แล้วแม้ที่สุด ใครจะเถียงว่าที่บ้านมีระบบโฮมเธียเตอร์ที่ดีที่สุดในโลก ..ผมก็จะยืนยันอีกครั้งว่า การดูหนังเรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์ระบบสมบูรณ์แบบมันคุ้มค่ากว่ากันมากนัก ...ซึ่งมันก็เป็นเพราะ เราได้ดูไปพร้อมๆกับคนอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะในโรงเดียวกัน หรือคนละโรง หรืออยู่คนละที่ คนละประเทศ ก็ว่ากันไป ที่เมื่อได้ดูจนจบ แล้วออกมาถกความคิด ความเห็น ในหนังเรื่องเดียวกัน ด้วยมุมมองที่แตกต่าง มันจะทำให้การดูหนังเรื่องหนึ่ง เป็นความสนุกที่ไม่ได้จบลง แค่ประตูทางออกของโรงหนังปิดท้ายไล่หลัง




เช่นเดียวกับเวลานี้ ที่ผมกำลังเกิดสนุกคิดอะไรบ้าๆ บอๆ ด้วยเริ่มจะสงสัยตัวเองแล้วว่า.. ขณะนี้ เรายืนอยู่บนโลกความจริง หรือที่จริง เราก็แค่ฝันไป เรียกว่าหนังจบอารมณ์ (เพ้อๆ) ไม่จบ ก็ว่าได้!!?





ขอแนะนำเป็นอย่างยิ่ง...ครับ

เกรด A ... {}



อย่าคิดนะว่า ผมจะจบการพูดถึง Inception ไว้เท่านี้...

เพราะแค่ รีวิว เพื่อชวนคุณไปดู มันยังไม่พอ!

แล้วอีกไม่ช้านาน ผมจะชวนคุณ(คนใดที่ได้ดูแล้ว)กลับไปฝันถึงหนังเรื่องนี้อีกครั้ง

กับการวิเคราะห์ มุมมองของผมที่มีต่อ Inception

ผมคิดว่า ผมรู้ว่า 'ตอนจบ' มันควรจะเป็นเช่นไร???

พบกันแน่ ในไม่กี่อึดใจ ..แค่คุณหลับตา!!!





ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน...
1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ


ผมยินดีเสมอในมิตรภาพของทุกท่าน และบล็อคของผมก็ต้อนรับเสมอในความน่ารักของทุกคน
ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ

Create Date :29 กรกฎาคม 2553 Last Update :29 กรกฎาคม 2553 1:09:04 น. Counter : Pageviews. Comments :4