bloggang.com mainmenu search
ก่อนจะว่ากันด้วยเรื่อง "เทวา กับ ซาตาน" ..ขอเกริ่นนำกันด้วย รีวิวจากภาคที่แล้ว... "The Da Vinci Code" ... ความระทึกที่หาไม่ได้จาก "หนังโรง"



เมื่อต้องพูดถึงหนังที่สร้างจากหนังสือ ขึ้นมาทีไรแล้ว ...ผมมักจะต้องขอวางเงื่อนไขกับตัวเองเอาไว้ก่อนเลย ในการจะดูหนังเรื่องนั้นๆ โดยเฉพาะกับกรณีที่ตัวเองได้อ่านหนังสือมาก่อนหน้าเป็นอันเรียบร้อยแล้ว ยิ่งต้องเคร่งครัดเป็นพิเศษ

เงื่อนไขที่ว่านั้น มันก็ล้วนแต่คือ เรื่องของความรู้สึกที่เราได้รับระหว่างการดูหนัง ...ผมต้องพยายามที่จะตัดอกตัดใจออกไปเท่าที่จะอำนวยเสียทุกหน ถ้าเกิดว่าเราได้รู้มาแล้วว่าหนังที่สร้างหนังสือเรื่องนี้ มีเนื้อหาเป็นอย่างไร การดำเนินเรื่องต่างๆไปทางไหน จนกระทั่งจุดจบ ที่อาจจะมีหรือไม่มีหักมุมก็แล้วแต่ ...เราต้องไม่มีคิดหวังว่ามันจะต้องเป็นไปอย่างที่หนังสือมันเคยเป็นทุกอย่าง

และต้องพึงระลึกไว้เสมอว่า ...การดูหนัง 2 ชั่วโมงกว่าๆ ย่อมไม่สามารถให้อรรถรสได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเท่าการอ่านหนังสือ ที่เราสามารถใช้เวลาได้ยาวนานเป็นวัน เป็นอาทิตย์ เป็นเดือน ตามอ่านตามเก็บตามจำรายละเอียดทุกอย่าง ได้หลวมๆกระทั่งแน่นเอี้ยด เป็นไปตามความพึงใจ

แต่ก็แน่นอนล่ะ ..ที่เรื่องรสนิยมของส่วนตัวผม ย่อมไม่ได้หมายความว่า มันจะสามารถตัดสินความคิดทุกอย่างได้อย่างเป็นธรรม ...กระทั่งเงื่อนไขที่ผมวางไว้นี้ ก็เป็นเพียงหลักการ ที่ไม่ใช่กฎเกณฑ์ กติกาใดๆ ให้คนทุกคนต้องยอมปฏิบัติตามโดยพร้อมเพรียงกัน

ฉะนั้นแล้ว มันไม่มีใครถูกใครผิดในเรื่องความคิด ความรู้สึก หากล้วนแต่ขึ้นอยู่กับความชอบ หรือไม่ชอบ ที่แต่ละคนมีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

เพราะเช่นนี้นี่เอง ...จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใดๆ ที่แทบทุกครั้งที่มีหนังจากหนังสือเกิดขึ้น ..ต่างล้วนแทบจะมีความเห็นเกิดขึ้นมาสองทางแทบทั้งนั้น

และแม้บางเรื่องจะเห็นความดีความชอบไปในทางบวกก็ย่อมมี ..แต่เอาเข้าจริง ทางลบก็ยังเคียงคู่ มีผู้ไม่เห็นด้วยในอีกทางหนึ่ง คอยกันท่าไว้เสมอ



และกับกรณีของหนังสือนวนิยายที่ขายดีติดอันดับ 1 เกือบทั่วทั้งโลก ของนักประพันธ์ที่ได้รับการกล่าวขานว่า เป็นเจ้าพ่อผู้คลั่งไคล้การสั่นคลอนประวัติศาสตร์โลก นามว่า “แดน บราวน์” ...เมื่อมันได้รับการสร้างเป็นหนัง ก็ย่อมต้องแบกไว้ซึ่งความคาดหวังอันยิ่งใหญ่จากผู้คนนักอ่าน

เพราะไม่ใช่เพียงแค่ เมื่อครั้งมันยังเป็นหนังสือ จะสามารถเขย่าขวัญ สั่นจิต คนอ่านให้ระทึก ได้มีลุ้นทุกย่างหน้า ทั้งยังเกิดจินตนาการบรรเจิดเสียมากมาย ..แต่เมื่อมันมาเป็นหนัง ก็ย่อมต้องการการเคารพต้นฉบับอย่างเคร่งครัด ก็เพราะว่าตัวหนังสือจากปลายปากกาของ แดน บราวน์ นั้น มันก็คือ บทหนังดีๆ ที่สามารถนำไปสร้างเป็นเรื่องเป็นราวเลยทันที โดยไม่ต้องกลั่นกรองอะไรก็ยังได้

เพียงแต่เอาเข้าจริง ..ถ้าเลือกจะไม่ได้กลั่นกรองอะไรเลย แม้เพียงตะกอนก็ยังเก็บไว้ เราก็คงจะต้องเห็นมันผ่านจอทีวีเล็กๆ เป็นหนังซี่รี่ส์ ได้เพียงเท่านั้น

อันด้วยความที่ “The Da Vinci Code” เคยทำให้ผมต้องแบกความคาดหวังเอาไว้เต็มบ่า กับการคาดหมายว่าจะได้ดูหนังดัดที่สนุกเท่าๆกับหนังสือ โดยเลือกจะมองข้ามไปด้วยข้อจำกัดต่างๆนานา ...ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเพราะด้วยเหตุผลว่าตอนนั้น ผมหลงใหลได้ปลื้มกับตัวหนังสือเป็นยิ่งๆ หรือกระทั่งความเชื่อ(แบบมักง่าย)ที่ได้เห็น ทีมงานคุณภาพระดับออสการ์ มารวมตัวอยู่ในหนังเรื่องเดียวกัน แล้วต้องออกมาดีแน่ๆ ...ทั้งนี้ทั้งนั้น มันก็ได้ให้ผลพิสูจน์ออกมาในทางลบ กับความรู้สึก ที่ไม่คลิกกับสิ่งที่หนังเรื่องนี้ได้เป็นไป

ฉะนั้นแล้วการจะวางความหวังว่า นิยาย ของ แดน บราวน์ ต้องเป็นหนังที่สนุกได้เสมอ เหมือนตัวหนังสือที่เขาทำได้อย่างมีมาตรฐาน ..จึงไม่ควรวางเอาไว้แบบเต็มๆ หากยังต้องแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งเอาไว้ให้เฉพาะกับคนที่เข้ามามีส่วนร่วมจัดการดัดแปลง ได้ทำการบ้านอีกด้วย

ซึ่งนั่นมันก็ขึ้นอยู่กับความสามารถเฉพาะตัวและหัว(สมอง)ของใครของมันแล้ว ว่าจะมีระดับไอคิวที่ทันกัน ทั้งใกล้เคียงกับเจ้าของเรื่องราวตัวจริงเสียงจริง เสียขนาดไหน ...นี่แหละ ที่มันจะเอื้อต่อความสนุกที่เกิดขึ้นบนจอของหนัง ..ซึ่งไม่จำเป็นเลยด้วยซ้ำ ที่จะต้องออกมาประมาณเดียวกับหนังสือเป๊ะๆ ขอเพียงแค่มันได้ความรู้สึกที่ดีออกจากโรงเป็นพอ



และด้วยประการฉะนี้ ...“Angels & Demons” ในห้วงความคิดของผม เมื่อมันได้กลายเป็นหนัง ..ก่อนที่ผมจะดู จึงได้ลดปริมาณความอยากเห็นในแทบทุกสิ่งอย่างลงมา และใส่ที่ว่างที่เหลือด้วยความรู้สึกของคนดูหนังคนหนึ่งที่จะพึงนิยมความบันเทิงอันเกิดขึ้นด้วยเนื้องานของมันจะพาไปเอง

และด้วยความคิดต้องการเช่นนี้นี่เอง ..ที่ทำให้ผมรู้สึกสนุก เพลิดเพลินกับหนังดัดของ เทวา กับ ซาตาน เรื่องนี้ มากกว่าครั้งที่ รหัสลับดาวินชี ให้ผมได้จับผิดนู้นนี่ จนแทบไม่เป็นอันเพลิน

หากแต่ขณะเดียวกัน ก็ยังต้องยอมรับที่ได้เห็นดีเห็นชอบ จากเนื้องาน อันจัดว่า ..นี่ถือเป็นการแก้มือของทีมงานคุณภาพระดับออสการ์ ...ที่ล้างมลทินให้ตัวเองจากสิ่งที่เคยทำพลาดไว้ในภาคแรก (ตามความหมายของตัวหนังดัด)ได้สำเร็จ



แม้งานหนังคุณภาพท้าชิงรางวัล จะค่อนข้างอยู่ตัว อีกยังปีล่าสุดก็เพิ่งจะส่ง “Frost/Nixon” ร่วมลงชิงชัย (แม้จะชวดกลับบ้านไปมือเปล่าก็ตามเถอะ) ..แต่เมื่อให้ “รอน ฮาวเวิร์ด” ทำหนังประเภทเน้นบันเทิงท้าทำเงินเป็นหลักใหญ่ ที่ขายง่าย กลับกลายเป็นของที่ทำไม่ขึ้นของเขา

ดังจากตัวอย่างที่เคยทำไว้ใน รหัสลับดาวินชี ..ที่อย่าว่าแต่ตัวหนังจะสนุกไม่มากพอเลย กับการกำกับของผู้กำกับฝีมือระดับออสการ์เป็นประกันคนนี้ ก็ยังไม่อาจจัดเป็นข้อดีได้

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะแก้ตัวไม่ได้อะไรเลย ...หากเพียงแต่ก็คาดว่า มันคงจะดีกว่าเดิมในการกลับมากับ เทวา กับซาตาน ..ไม่ว่าจะด้วยการปรับปรุงอะไรต่อมิอะไรด้วยตัวเอง หรือจะด้วยความกดดันที่ฉบับหนังสือเป็นที่ถูกใจแฟนๆ มากที่สุด มากกว่าหนังสือเล่มใดๆที่เป็นของ แดน บราวน์ ด้วยกันแล้ว

แล้วมันก็เป็นไปได้ และเป็นไปอย่างดี ...ที่เรียกว่า ดีในระดับที่สามารถมองข้ามจุดบกพร่องสิ่งละอันพันละน้อย ที่ยังคงมีเป็นหย่อมๆ แล้วตัวหนังเองก็สามารถจะดึงเอาส่วนดีที่เห็นชัด มาช่วยแก้กลบพรางเอาไว้ได้อีกชั้นหนึ่ง



ซึ่งถ้าหากใช้ความเป็นแฟนหนังสือมาชี้วัดในตัวเนื้องานของหนังจริงๆ ก็คงจะรู้สึกไม่ต่างจากคนอื่น ที่มันยังไม่สามารถรักษามนต์เสน่ห์หลายๆอย่าง ที่เคยเป็นดังเช่นในระดับที่หนังสือเคยทำไว้ ...ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเข้มข้นของปมตัวละครที่ทำให้เกิดจุดหักมุมที่รุนแรงขึ้นมา การตัดขาดซึ่งตัวละครอีกนับสิบที่จัดเป็นสีสันออกไป อีกรวมถึงการแก้ปริศนาที่เป็นไปได้เร็ว จนคนดูคิดตามแทบไม่ทัน

แต่เมื่อผมวางตัวเองเอาไว้ในฐานะของคนดูหนัง คนหนึ่ง และตัดปัจจัยความจริง ที่เคยได้เห็นทุกอย่างกระทั่งจุดจบของเรื่องราวออกไปจากความคิด (ที่ยังคงต้องยอมรับแหละว่า มันก็ยังมีแวบๆวูบๆในบางขณะ) ...ผมกลับรู้สึกว่า สิ่งที่เห็นเป็นหนัง มันก็ดี มีเสน่ห์ในตัวของมัน แบบที่เป็นหนังทริลเลอร์ ซึ่งเดินหน้าได้ด้วยฉากแอ๊คชั่น และควบไปพร้อมกับความกระชั้นทางเวลา ที่สร้างความเข้มข้นได้ด้วยตัวมันเอง



บทหนังใน เทวา กับ ซาตาน เขียนเล่าเรื่องได้ลื่นไหลมากขึ้นกว่าเมื่อครั้ง รหัสลับดาวินชี ..หากขณะเดียวกันก็ดูว่าเป็นการดัดแปลงที่เหมาะจะเล่าเป็นหนังได้สะดวกใจคนเคยอ่าน เพราะสามารถเก็บโครงเรื่องเดิมเอาไว้ได้อยู่ แต่เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่จะมีทั้งความขัดใจบางอย่างของคนเคยอ่าน (โดยเฉพาะ ฉากโดดไร้ร่มของศ.แลงดอน ...ที่ถึงวันนี้ ผมก็ไม่อยากเชื่อว่ามันจะเป็นไปได้จริง) หรือว่าการขัดศรัทธาของคนทั้งโลกที่มีต่อศาสนาคริสต์ ...อันเป็นปมประเด็นที่เคยทำให้ภาคแรก ฉาวได้แบนมาแล้ว

แม้ช่วงแรกๆ ของหนังภาคใหม่ จะยังเห็นได้ถึงความมักง่าย ในการชักนำตัวละครหลักๆมาเจอกัน แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย... แต่นั่นก็เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ผมรู้สึกผิดหวังกับตัวหนัง เพราะเมื่อเรื่องเริ่มเดินด้วยการไล่ล่า เป็นต้นมา ผมก็แทบไม่เห็นจุดบอดใดๆที่ชัดเจนได้อีก



และคนที่เคยเป็นจุดบอดใหญ่ๆ จุดหนึ่งของหนังภาคแรกอย่าง “ทอม แฮงค์ส” ..ในภาคนี้ เขาก็ทำให้ผมเชื่อได้ แบบไม่ขัดใจ ว่าเขา คือ “โรเบิร์ต แลงดอน” ...และก็ดีใจที่ทรงผมของพี่ท่านในครานี้ ดูแล้วค่อยเหมาะเจาะจะเป็นศาสตราจารย์ มหาวิทยาลัยระดับโลกได้ขึ้นมาหน่อย

คาแรกเตอร์นางเอกขาลุย “วิตโดเรีย เวตรา” ของสาว “อายาเรต ซูเลอร์” ...อาจจะยังให้ภาพความสวยดุจนางฟ้าไม่เท่ากับที่เราเคยจินตนาการไว้ในหนังสือ ..แต่ถ้าเอากันที่เสน่ห์บนจออย่างเดียว ก็นับว่าเธอสอบผ่านได้อยู่ แม้จะได้คะแนนไม่สูงก็ตาม ด้วยข้อจำกัดของปมตัวละครมันบังคับเอาไว้

แต่กับการแสดงของอีกหนึ่งหนุ่ม ที่อาจทำเอาใครหลายคนเดาได้ออกว่าเขาเป็นใครกันแน่ ในภาพลักษณ์ของ “อีวาน แม็คเกรเกอร์” ..โดยส่วนตัวของผมแล้ว ผมชอบใจ และจัดว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำไว้ดีมากๆของหนังภาคนี้

ซึ่งนี่ถือเป็นตัวอย่างที่ดีได้อีกหนึ่งคาแรกเตอร์ได้เลย ..ว่านักแสดงที่เก่ง ควรจะเล่นอย่างไรให้คนเชื่อถือที่ภาพลักษณ์ การแสดงออกทางกิริยาวาจา ได้อย่างน่าเลื่อมใสสุดๆ หากเอาเข้าจริง กลับเป็นตัวละครที่แอบซ่อนความนัยอันลึกลับไว้ได้อย่างมิดชิดจนถึงที่สุดเช่นนี้



นี่ถ้าไม่ติดว่าผมเคยอ่านหนังสือมาแล้ว ...ผมคงเชื่อในภาพพระเอ้ก..พระเอกของ “คาเมอร์แลงโก้” คนที่เสียสละอย่างสุดซึ้ง คนนั้น หมดใจ ..โดยไม่คิดระแวงสงสัยว่าทำไมบทนี้ถึงต้องพยายามทำให้เด่นจัดๆ จนต้องมอบให้ อีวาน แม็คเกรเกอร์คนนี้เล่นด้วยหนอ

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ที่อาจจะมีหลายสิ่งหลายอย่างทำออกมาได้ดีกว่าเดิม (ซึ่งมันก็แค่ในระดับที่ดี แต่ไม่ได้เข้าขั้นประทับใจ) ..เทวา กับซาตาน ก็อาจจะไม่ได้รู้สึกสนุก เพลิดเพลินได้อย่างที่เป็นอยู่ หากขาดไปซึ่ง ดนตรีประกอบ ที่น่าประทับใจยิ่งยวดของ “ฮานส์ ซิมเมอร์” ...มันได้จัดเป็นงานเพลงในหนังแอ๊คชั่น ทริลเลอร์ ที่เต็มไปด้วยการสร้างความกดดัน คละเคล้าตื่นเต้นอยู่ในที พร้อมสรรพไปด้วยการสร้างความยิ่งใหญ่ ให้สมกับที่เนื้อหาของหนัง คือการเดินทางแก้ปริศนาที่เก็บงำเอาไว้ให้เป็นความลับระดับโลก

นี่เป็นการทำสกอร์ประกอบที่รับใช้ตัวหนังได้อย่างเต็มที่ และเต็มอิ่ม ...จนถ้ามันไม่ได้เสน่ห์ตรงนี้ช่วยไว้อีกทาง หนังก็คงไม่แคล้วจะขาดความเข้มข้น ละคนไปด้วยอารมณ์แกนๆ ที่ไม่อยากแกรนด์ไปตามเรื่องตามราวที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้

สุดท้ายนี้ ถ้าให้ถามผมว่า หนังสือ กับหนังดัด ...อะไร สิ่งไหน ที่ควรค่าจะเป็น เทวา ? หรือ เป็นซาตาน ? ...ผมก็ขอตอบคำถามโดยแบ่งเป็น 2 กรณี

กรณีแรก.. หากคุณเคยอ่านหนังสือมาแล้ว และคิดหวังว่ามันควรจะเป็นไปตามหนังสือเด๊ะๆ ...หนังสือ ย่อมต้องเป็นเทวา และมีซาตาน คือ หนังดัด ที่น่าผิดหวังอย่างแรง

แต่ถ้าเป็นกรณีที่สอง ..ที่คุณบางคน อาจยังไม่เคยอ่านหนังสือ (หรือรู้ดีว่าไม่ควรอ่านก่อน เช่นสมัย รหัสลับดาวินชี) ...หนังดัด ก็คือ เทวา และเป็นสวรรค์ของคนที่ชอบหนัง ล่าพลิกโลก แก้ปมปริศนา ดีๆนี่เอง

เพียงแต่ในกรณีนี้ ผมก็จะไม่พูดเป็นอันขาดว่า หนังสือ คือ ซาตาน ...หากที่เหลือจากดูหนังจบ ก็คงเป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องตัดสินใจกันเองว่าจะอ่านดีมั้ย ?

เพราะผมเกรงว่า ถ้ามีใครเผลอหลวมตัวอ่านเข้าไป ...มันก็จะกลายกลับเป็นการตกนรกทั้งเป็น!!

และคงเป็นการตกนรกที่น่าจะเหนื่อยมากที่สุด ..ในการอ่านหนังสือสักเล่มมา ในชีวิตของคุณก็ย่อมได้

ลองให้ถามคนที่เคยอ่านมาแล้ว ก็คงรู้ดีว่า การตกนรกครั้งนี้ มันเป็นอะไรที่สนุกมากกกกกกกก!... จริงมั้ย??



ขอแนะนำ...ครับ

เกรด A- ... {}




ส่วนที่เป็นฟอนท์สี เขียว-แดง เพิ่มเข้ามา... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี(เขียว)-ดูด้อย(แดง) ของหนังแต่ละเรื่องครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมทำไฮไลท์ไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกัน

ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน...
1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ


ผมยินดีเสมอในมิตรภาพของทุกท่าน และบล็อคของผมก็ต้อนรับเสมอในความน่ารักของทุกคน
ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ
Create Date :21 พฤษภาคม 2552 Last Update :21 พฤษภาคม 2552 0:03:48 น. Counter : Pageviews. Comments :6