bloggang.com mainmenu search
ประกาศ...ประกาศ!!

ผมมี Twitter เป็นของตัวเองแล้วนะครับ.. ใครสนใจจะ follow ผม ก็ขอชวน follow เข้ามากันที่.. //twitter.com/once_upon_a_man

มีอะไรไวว่อง อยากจะบอก อยากจะพูด จะรีบมาอัพเดทที่ทวีตทันทีทันใดเลยนะครับ ..ขอขอบคุณที่รับผมเป็นเพื่อนครับ




พักนี้ หนังรัก คอมเมดี้ หาดูได้ไม่บ่อยนัก และพอมีมาทีแล้วลองดู ผมก็มักจะมีความรู้สึกไม่อิน ไม่เคลิ้ม ไม่ค่อยเชื่อกับเรื่องราวของมัน ..ทั้งๆที่การนำเสนอของหนังแนวนี้ มันก็มีเสน่ห์เฉพาะตัว มีการสร้างรอยยิ้มไปได้ง่ายๆ แต่ทำไมหนอ ช่วงนี้ ผมถึงดูหนังแนวนี้แล้วออกจะตายด้านเป็นเรื่องปกติ

เมื่อลองมานึกเหตุผลแล้ว อย่างหนึ่งที่แน่ใจได้เลยว่า หนังเหล่านั้นจะทำให้ผมตายด้านได้เสมอๆ ก็คือ ตัวเรื่องราวพลอตหนัง ที่ถึงจะเริ่มเรื่องมาด้วยเนื้อความอย่างหนึ่งที่แตกต่างกันไปตามใจความของหนังแต่ละเรื่องคิดค้น แต่เมื่อต้องมาถึงบทสรุปลงเอยในตอนจบ แทบจะร้อยทั้งร้อยที่เดิมๆ ไม่น่าแปลกใจ ..อีกบางครั้งถ้าบททำไม่เชื่อในความรักของพระนางมาแต่ต้นแล้ว ก็จบเห่ เหลือแต่ความเรื่อยๆเฉื่อยๆ ที่ทำเอาอารมณ์อินพาลหมดไปจนสิ้น

เพราะฉะนั้นนอกเหนือจากเรื่องเดิมๆแล้ว ..อีกอย่างที่สำคัญมากๆ สำหรับหนังรอมคอมเรื่องหนึ่ง ก็คือ การทำให้เราต้องเชื่อให้ได้ว่า สองคนที่เราเห็นบนจออยู่นั้น(หรืออาจมีมากกว่าหนึ่งคู่) ...แม้บนโลกความเป็นจริง อาจจะเกลียดขี้หน้าอย่างกะอะไรดี แต่เมื่อเขาต้องอยู่ในบทบาทคู่รักกันแล้ว บทหนังเรื่องนั้นต้องสามารถทำภาพจอมปลอมเหล่านี้ ให้ดูใกล้เคียงกับโลกความเป็นจริงให้ได้มากที่สุด ..ต่อให้บทจะค่อยๆปู ค่อยๆเล้าโลม หรือจะเลือกให้ลงโครมเดียวแล้วตกหลุมรักกันไปเลยในฉากเดียวก็ตามที หนังเรื่องนั้นต้องทำให้เรารู้สึกได้ว่า คนคู่นั้นเขารักกันจริงๆ ไม่อิงนิยาย

แต่ถึงกระนั้นแล้ว ต่อให้บทจะเขียนออกมาดี ชวนให้น่าเชื่อถือเสียมากมายได้เลยก็ตาม ก็ย่อมไม่ได้หมายความว่า หนังเรื่องนั้นจะประสบความสำเร็จได้อย่างไม่ยากเย็น ..อีกประการหนึ่งที่ต้องประกอบไปพร้อมกับการทำให้เราเชื่อในความรักของพระนาง ก็คือ การขายเสน่ห์ของคนที่รับบทบาทคู่นี้ ที่ต่างคนต้องทำออกมาได้ถึงกับที่บทวางเอาไว้ หรือจะยิ่งดีกว่านั้นๆมาก ถ้าได้มากกว่าที่บทเคยวางไว้ให้เสียเอง

พอยิ่งได้เวลาต้องมาประกบในฉากเดียวกันด้วยแล้ว.. เสน่ห์ของทั้งคู่ยิ่งจำเป็นต้องเปล่งประกายออกมาอย่างชัดเจน ในเวลานั้นๆ เพื่อจะทำให้คนดูรู้สึกว่า สองคนนี้ เขาเข้ากันได้ดี มีความลงตัว และนั่นจะช่วยส่งเสริมให้คนดูเชื่อในความรักที่พวกเขามีให้กันในท้ายที่สุด






หลังจากที่ผมได้ห่างหายจากการดูหนังรอมคอมที่น่าให้อิ่มเอมใจมาเสียเนิ่นนานพอควร (ยิ่งหลังจากที่ผมได้มีโอกาสดู “Pretty Woman” หนังรอมคอมในดวงใจใครหลายคนจากยุค 90 แล้ว ..ผมก็เข้าใจเลยว่า สมัยเวลานี้หาหนังแนวนี้ที่จะทำออกมาได้อิ่มเอมอย่างยากจริงๆ) ผมก็เพิ่งจะได้พบกับหนังรักปนตลก ที่ทำให้ผมรู้สึกได้ใกล้เคียงกับความอิ่มเอมใจ อย่าง “The Proposal” ..แม้ถ้าว่ากันตามจริง จะไม่ถึงกับชอบอย่างเต็มร้อยเลยทีเดียว และออกจะเอียนๆกับจุดจบที่เลี่ยนๆ เพราะหลีกเลี่ยงการง้องอน ตามสูตรรักน้ำเน่าไม่ได้อยู่ดี แต่ถึงอย่างไรก็ตามที หนังเรื่องนี้ต้องถือเป็นตัวอย่างที่ดี ของการขายเสน่ห์พระนาง ที่สามารถทำได้ถึง และควบคู่กับการสร้างสูตรเคมีในความรักได้อย่างลงตัวเป็นที่สุด

การกลับมาของ “แซนดร้า บูลล็อค” กับตำแหน่ง เจ้าแม่หนังรักเบอร์รอง(จากเจ๊ปากกว้าง “จูเลีย โรเบิร์ตส”) ในครานี้ ย่อมถือเป็นการกลับมาแจ้งเกิดอีกสักทีได้อย่างสง่างาม ...หลังจากที่หลายปีมานี้ ตกเป็นเบี้ยล่างให้กับหนัง(ดูออกจะ)เกรดบีมาเสียนาน ก็เพิ่งจะได้เป็นนางเอกร้อยล้าน(ดอลลาร์)กับเขาอีกหน ซึ่งถึงจะได้ผลพวงจากความถนัดส่วนตัว ที่คุ้นเคยกับหนังแนวนี้มานาน มาเป็นตัวช่วย ..แต่กระนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับ การบริหารเสน่ห์ของเธอมาประกอบด้วย ...หลังได้แห้งเหี่ยวหดหายไปอย่างมากในระยะหลัง(มาจาก “Miss Congenaility”) ก็เพิ่งจะมี The Proposal ที่ทำให้ผมรู้สึกว่า เธอเล่นดี เล่นได้น่าเชื่อ และที่สำคัญ คือ น่ารัก นี่แหละหนา



แม้บทของเจ้านายจอมเฮี้ยบ ที่ตั้งตนอยู่เหนือลูกน้อง และเป็นจอมบงการตัวแม่ จะทำให้ใครต่อใครหลายคนรู้สึกคิดถึงการแสดงของ “เมอรีล สตรีพส์” ใน “The Devil Wears Prada” ที่แสดงออกมาได้น่าเกรงใจมากกว่ากันเยอะเลย.. แต่เมื่อมองว่าตัวนางเอก ต้องทำให้มีใครสักคนหลงรักอย่างถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว ขอบเขตความน่าเกรงใจที่มีอยู่น้อยของ เจ๊แสงดาว กลับกลายเป็นเสน่ห์ที่ทำให้เราเข้าถึงหัวจิตหัวใจของตัวละครสาวโสดวัยเปลี่ยว ที่ถึงจะสวยเฉี่ยว(แอบเหี่ยว..ตามวัยที่เริ่มต้องอัดคอลลาเจนใส่หน้า ) แต่ก็น่าให้เชื่อว่า คนอย่างเธอจะมีแฟนสักคน มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ




ยิ่งได้มาประกบบทกับดาราหนุ่มหุ่นล่ำกำยำแมน แถมดวงจะดังกำลังพุ่งทะยานขึ้นสูง อย่าง “ไรอัน เรย์โนลด์ส” ที่ต้องถือว่า มาแรงแบบรอบจัดทั้งในทางหนังโชว์แมนแบบบู๊ๆ และโชว์หล่อให้วูแมนใจละลายในหนังรัก ..ก็ยิ่งเป็นกำไรให้เจ๊แสงดาวได้แทะโลมเด็ก เอ้ย!! ได้กลับมาทะเยอทะยานกับการแสดงที่เธอเก่งที่สุด อย่างเชี่ยวชาญอีกครั้งหนึ่ง

เพราะความสำคัญที่จะทำให้ The Proposal สนุก ..มันย่อมไม่ได้เกิดแต่เฉพาะปัจจัยในความเด่นของตัวเจ๊แสงดาวผู้(เคย)โด่งดัง แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นหรอก หากแต่ยังต้องพึ่งพากับการเข้าคู่กันกับตัวพระเอกหนุ่ม ผู้พร้อมจะพลีกายเป็นทาสรักให้เจ้านายสุดเลิฟ อย่างน่าให้เชื่อว่า ความรักครั้งนี้มันเกิดขึ้นได้จริงและดูเนียน ไม่ได้เป็นเพียงแค่พลอตน้ำเน่า ที่เล่าใหม่ไปเรื่อย และหลอกขายมาจนเปื่อย ถึงฉากจบ



เสน่ห์ของ เรย์โนลด์ส ในครานี้ ..ถ้าให้ผมเอามาเปรียบเทียบกับหนังรอมคอมเรื่องก่อนที่เขาเคยเล่นมาใน “Definitely, Maybe” (หนังรักดีๆ ที่ไม่ดัง และไม่ได้ฉายโรงบ้านเราตามระเบียบ ..ผมขอแนะนำให้ลองหาแผ่นมาดู) ผมว่า มีเท่าเดิม ..แต่ใน The Proposal ที่ต้องการเสน่ห์ตัวพระรองลงมาจากตัวนาง ได้กลับกลายเป็นผลดีให้ เรย์โนลด์ส แจ้งเกิดกับหนังรอมคอมอย่างเต็มตัวเสียนี่

เพราะการจะเกิดในหนังรอมคอมสักเรื่องได้ มันย่อมจำเป็นที่จะต้องใช้การประคับประคองกันส่งบท ระหว่างตัวพระและตัวนางไปด้วยกัน ..หากหนังเลือกจะเทน้ำหนักให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเด่นกว่า ก็จะต้องทำให้คนดูรู้สึกได้ด้วยว่า ฝ่ายเพศตรงข้ามที่เข้าคู่กัน ไม่ได้มาทำหน้าที่เป็นแค่ทางผ่าน หรือ ก้อนหิน/ดอกไม้ริมทาง แต่เขาหรือเธอต้องคือรักแท้ของตัวละครตัวนั้นๆ

ซึ่งความได้เปรียบของ เรย์โนลด์ส ใน The Proposal ก็คือการที่เราได้เห็นว่า เขามีนางเอกแต่เพียงผู้เดียวที่เหมาะสมกับเขา เราเข้าใจได้ง่ายดาย ...แต่กับ Definitely, Maybe ยังดูเสียเปรียบไปหน่อยที่เราต้องตัดแบ่งความอินออกมาเป็นส่วนๆ เพื่อจะเข้าใจในความรักที่เขามีต่อตัวละครหญิงถึง 3 คน และแต่ละคนก็มีเบื้องหลังที่ไม่ชัดเจน เพราะเหมือนบทจะส่งมาให้พวกเธอเป็นได้มากที่สุดก็แค่ ทางเลือก สำหรับทางผ่านของผู้ชายหลายใจ(แต่ยังดี ที่รักใครแล้ว ก็รักจริง)

แม้จะว่ากันตามตรงแล้ว โดยตัวหนัง ผมยังชอบและประทับใจ Definitely, Maybe มากกว่า ตรงที่ มันเป็นหนังรอมคอมที่มีการหลอกล่อ ท้าทายความคิด ความอินกับคนดูอย่างสนุก ซึ่งเป็นสิ่งที่รอมคอมส่วนใหญ่มักไม่มีใครเป็น (ผมถึงได้อยากแนะนำให้ลองหาแผ่นมาดูไง ..เพราะมันมีความแปลกใหม่) ...แต่การแสดงของ เรย์โนลด์ส ใน The Proposal ก็คู่ควรกับการแจ้งเกิดในฐานะพระเอกไฟแรงสูงอย่างเต็มตัวเสียจริงๆ ..และการได้ดังไปพร้อมๆกับ การกลับมาอย่างน่าชื่นใจของ เจ้าแม่หนังรักเบอร์รอง ก็คือ สิ่งที่พิสูจน์ได้ว่า ความลงตัวทางเคมีระหว่างพระนาง มันคือความจำเป็นที่สุด ที่จะทำให้หนังรอมคอมเรื่องหนึ่ง...ฮิต!!!

ต่อให้หนังเรื่องนั้นจะตลกมาก มีฉากโรแมนติกที่น่าประทับจิต ชวนเร้าให้ดูดดื่ม เคลิบเคลิ้ม มากมายขนาดไหน ก็ตามแต่ ..หากขาดความเข้ากันได้ดีของพระนางไป เพียงแค่สิ่งเดียว ..นั่นก็มีส่วนมากพอจะทำให้หนังเรื่องนั้น...ดับ!!!



ซึ่งเมื่อ The Proposal มาประจวบเหมาะกับการเป็นหนังที่ดูเอาตลก ก็ได้อย่างคุ้ม (โดยเฉพาะช่วงเวลาที่พระนางอยู่ที่บ้านพระเอก ..ซึ่งรวมรวบพลพรรคคนบ๊องไว้เพียบเชียว!) ดูเอาหวาน ก็พอจะเรียกระดมพลชาวมดออกมาทำงานเก็บน้ำตาลในโรงหนังไปได้บ้าง อีกทั้งยังจะสำคัญตรง ที่มีพระนางเป็นคู่ควรที่เหมาะสมด้วยประการฉะนี้แล้ว ..มันก็เลยไม่น่าแปลกที่หนังจะ เกิด เกิด เกิด!!! ได้ใจคนดูไปพอหอมปากหอมคอกันอย่างนี้นี่เอง






และก็โชคดีที่ปีนี้ มันไม่ได้มีเพียงแค่ The Proposal จะมาตอบสนองคอหนังรอมคอมให้อิ่มเอมใจเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น หากยังต้องรวมไปถึงอีกเรื่องหนึ่ง ที่เพิ่งเข้าฉายบ้านเราไป อย่าง “The Ugly Truth”

แม้เรื่องหลัง อาจจะทำให้บางคนรู้สึกว่าผิดในรสนิยมไปสักหน่อย ตรงที่มันเป็นหนัง เรต R เต็มขั้น เน้นขายเรื่องบนเตียง กันอย่างโจ๋งครึ้ม โจ๊ะพรึมๆ อีกยังอุดมไปด้วยการส่อเสียดทางเพศของฝ่ายชายและฝ่ายหญิงอย่างคึกคะนอง ..แต่นั่นมันก็ไม่ใช่เรื่องหนักจนน่ายี้ (แต่ผู้ที่มีมือถือสาก ปากถือศีล ..ก็ควรห้ามปรามตัวเองว่า อย่าดูหนังเรื่องนี้เลยจะดีกว่า ) หากหนังจะเล่ามุมมองเหล่านั้นอย่างน่ารักน่าชัง ผ่านตัวละครคู่พระนางที่กัดกันไปกัดกันมา และสุดท้ายก็ลงเอย ด้วยการตกหลุมรักกันเองอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

ถึงตัวหนังจะยังมาพร้อมสูตรสำเร็จเดิมๆ ที่เราคุ้นเคยแต่ใดมา ไปกับการสร้างความสัมพันธ์ของพระนาง ที่แทบจะชินตา เหมือนกับการดูละครไทยของเราๆนี่แล ..แต่กับ The Ugly Truth ที่เปิดอกถกเรื่องเพศสัมพันธ์อย่างไม่ถนอมน้ำใจผู้หญิงหรือผู้ชายหน้าไหน ก็ยังอุตส่าห์สามารถกระเทาะเปลือก(ความเดิมๆ) ให้คนดูได้เห็นถึงเนื้อในของมันที่แสบซ่าน สนุกสนาน และในหลายๆลีลา ก็ดูเข้าทีเข้าท่า โดยเฉพาะกับความแพรวพราวของคู่พระนาง ที่ตามท้องเรื่อง อาจไม่ยอมลงให้กันง่ายๆ แต่เมื่ออยู่บนจอร่วมกันแล้ว พวกเขากลับดูเหมาะสม และลงตัว






“เจอราร์ด บัตเลอร์” ที่เราเคยคุ้น อาจจะเป็นภาพของยอดผู้นำศึกสงคราม ที่สามารถยืนหยัดตั้งป้อมสู้ ด้วยทหารเพียง 300 นาย ต่อต้านกองกำลังเปอร์เซีย นับหมื่นแสน ให้กลายเป็นยักษ์ล้มได้โดยพลัน ..มันแน่นอนว่า เขาแมนมากๆ จนยากที่จะทำให้สาวแท้สาวเทียมคนไหนๆก็อดใจไม่รักในซิกซ์แพ็คงามๆนั้นได้ไหว

แต่ก็คงไม่มีใครจะกล้าคิดว่า ผู้ชายที่มีภาพที่ดุดัน พลุ่งพล่าน บ้าเลือด เหล่านั้น จะมามีโอกาสได้เล่นหนังรอมคอมกุ๊กกิ๊กกับนางเอกหนังรักตัวแม่ ณ กาลเวลาปัจจุบัน อย่าง “แคเทอรีน ไฮก์” ..แล้วเมื่อต้องลดดีกรีความดุจริงๆ เขาก็กลับกลายมาเป็นแมวตัวยักษ์ ที่แสนเชื่อง ชวนให้เชื่อว่าเป็นผู้ชายที่ดูอบอุ่นได้จริงๆ เสียอย่างงั้น

บัตเลอร์ สามารถนำเสนอความดิบเถื่อนของผู้ชายธรรมดาๆคนหนึ่ง ที่คิดว่า ตัวเองเป็นใหญ่เหนือผู้หญิงทั้งปวง ออกมาในมุมของคาสโนว่า ที่ไม่ตั้งตนเป็นศัตรูกับใครที่ไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะกับหญิงสาวผู้มีตำแหน่งเหนือกว่าเขา อย่างนางเอก ..แทนที่เขาจะเป็นจอมต่อล้อต่อเถียงหัวชนฝาไม่สนบารมีใคร ตัวละครของเขากลับเลือกจะเข้าไปตีสนิทในมุมที่เป็นผู้ช่วยเสกสรรปั้นรักให้นางเอก สมหวังกะผู้ชายในฝันซะนี่



และด้วยเหตุนี้ ที่เขามีความแมนเต็มร้อย แต่ไม่ใช้มันเพื่อข่มหญิงอย่างไร้เหตุผลนี่แหละ ที่ทำให้ตัวละครของ บัตเลอร์ ดูมีเสน่ห์ ..และเมื่อมาประกอบกับตัวคนเล่นอย่างบัตเลอร์เอง ก็ลื่นก็ไหลไปกับบทได้อย่างน่าเชื่อด้วยแล้ว มันก็ให้ผลลัพธ์เป็นพระเอกหนังรอมคอมคนหนึ่งที่บริหารเสน่ห์ของตัวเองออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ...จนไม่น่าแปลกใจเลยที่หนังรอมคอมในยุคนี้ อาจจะต้องมีเขาเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างเลี่ยงไม่ได้




แต่ถึงที่สุดแล้ว ถ้าถามว่าผมชอบอะไรมากที่สุดใน The Ugly Truth แล้วละก็ ..คำตอบของผม คงไม่ใช่ ความเป็นหนังรอมคอมที่ห่ามในขอบเขตเรต R กำลังดี หรือว่าหลงใหลได้ปลื้มในความเป็นพ่อปลาไหลของ บัตเลอร์ (ลองถ้าอันหลัง มันเป็นว่าใช่ขึ้นมา ..ผมคงต้องพิจารณาเพศที่แท้จริงของผมใหม่ อย่างใหญ่หลวง ) แต่โฟกัสทั้งหมดของผม ไปตกอยู่ที่ตัวของสาวไฮก์ ซึ่งทำหน้าที่นางเอกได้อย่างควรค่าให้ถูกรัก สมกับฐานะเจ้าแม่โรแมนติกคนล่าสุดเสียจริงๆ



แม้ตัวตนในเรื่องของเธอ จะเป็นพวกกดขี่ข่มเหงเพศผู้ แม้กระทั่งกับชายที่หวังจะให้มาเป็นแฟนของตัวเองก็ไม่วางเว้น ..แต่สิ่งที่เธอเล่นในหนังเรื่องนี้ มันดูจริง แต่น่ารัก ความวี้ดว้ายกระตู้วู้ในฉากที่โชว์เปิ่นหลายๆฉาก เป็นภาพที่น่าจำของเธอ และบางครั้งที่ตัวละครนี้ มีความอ่อนหวาน ถ้าผมเป็นพระเอก ผมก็คงคิดเหมือนบัตเลอร์ ว่าเธอดูสวยกว่าที่คาดคิด(และมองจากเปลือกนอก)ไว้เยอะเลย

หากว่ากันด้วยมุมที่น่าประทับใจในความรักแล้ว ผมยังอาจจะเทน้ำหนักความอิ่มเอมให้กับเรื่องรักตลกที่มาก่อนอย่าง The Proposal มากกว่า ..แต่ The Ugly Truth ก็จัดว่า ทำให้ผมอินในความรักของพระนางได้เช่นเดียวกัน ซึ่งอาจจะมีบางเสี้ยวที่รู้สึกว่าง่ายดาย (โดยเฉพาะฉากจบ ..ที่หาทางออกให้กับความคาราคาซังกันง่ายๆ) หากกระนั้น มันก็เป็นความจริง ที่อาจไม่น่าปวดใจนัก เมื่อรู้ว่าเรื่องรัก บางครั้ง มันก็ไม่มีเหตุผลมาทำให้เราต้องอยากเจ็บปวดปางตายซะอย่างงั้น

ผมว่าเรื่องรักใน The Ugly Truth ดูจะความน่าเป็นไปได้ จริงกว่า The Proposal เสียด้วยซ้ำ




ท้ายที่สุดนี้ ถ้าใครเป็นคอหนังรอมคอม แล้วคิดอยากดูหนังที่สนุกละก็ ..ผมขอเสนอสองเรื่องนี้ ให้พิจารณากันดู เรื่องแรก อาจต้องรอแผ่น ส่วนเรื่องสอง ยังเหลือรอบฉายในโรงอยู่บ้าง แต่กระนั้นไม่ว่าจะดูเรื่องไหนก็ได้รับความอิ่มเอมในความรักได้เช่นเดียวกัน ..ส่วนสุดท้าย เรื่องไหนน้ำหนักในความอิ่ม จะมีให้มากกว่ากันก็ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองเน้อ

“The Proposal” -> เกรด A- ... {} -> ขอแนะนำ...ครับ
“The Ugly Truth” -> เกรด B+ ... {}







ปล. อีกหนึ่งหนัง เจอราร์ด บัตเลอร์ ที่เข้าฉายบ้านเรา ตามหลัง The Ugly Truth มาติดๆ อย่าง “Law Abiding Citizen” (ขอพูดถึงสักหน่อย ในฐานะที่ บัตเลอร์ กำลังขายดีในบ้านเราแบบต่อเนื่อง..หรือเปล่า?) แต่ว่าผมได้ดูเรื่องหลังก่อนเรื่องแรกนะ ..เป็นการกลับมาแมน แรง และเถื่อน เต็มขั้นของ บัตเลอร์ ที่ไม่น่าประทับใจซะเท่าไหร่ ...แม้ในหนังเรื่องนี้จะทำให้เห็นว่า บัตเลอร์ เป็นคนหนึ่งที่เก่งกาจในการใช้สายตา และน้ำเสียงในการพูด ที่ดูโหดเหี้ยม แต่บทจะโรคจิต ก็ทำให้ตัวละครที่น่าสงสารในครึ่งแรกของเรื่อง กลับกลายเป็นคนที่น่าเวทนา ให้สวดอุทิศส่งกุศลผลบุญไปเกิดใหม่ ในครึ่งหลังเสียจริงๆ ..ความโอเวอร์ของบท ทำให้เขาดูเป็นคนบ้า มากกว่าจะทำให้เชื่อว่าเป็นคนดีที่ต้องการเรียกร้องความยุติธรรมให้กับสังคม

แม้ถ้าว่ากันที่เรื่องของบท เช่นเดียวกันแล้ว ..หนังก็ให้น้ำหนักกับการชำแหละตัวบทกฎหมายได้อย่างน่าคิด และน่าฉงนให้กับความเป็นจริงที่น่าเจ็บปวด แต่เมื่อว่าบทมันแหม่งๆในการกระทำบางอย่างของตัวพระเอก ที่บางเรื่อง เหตุผลก็ไม่มีให้ชี้ทางอันน่าเป็นไปได้ ...ผมก็รู้สึกเลยว่าหนังเรื่องนี้ มีความพยายามมากจนเกินไป ที่จะทำให้คนดูต้องเลือกข้างในท้ายที่สุด

(ตัวอักษรสีเหลือง นับต่อไปนี้ แอบ SPOILER ..ยังไม่ได้ดู และอยากดู อย่าอ่านจะดีกว่า) และดูเหมือนว่าหนังจะเทน้ำหนักให้ ฝั่งผู้ผดุงกฎหมาย จะเป็นผู้ชนะซะด้วยสิ

ทั้งๆที่ถ้าปล่อยให้คนดูคิดเอง แบบค้างคาไปเลย มันก็คงจะดีกว่าที่เป็นอยู่ ..เพราะในเมื่อหนังวางตัวเองต่อต้านช่องโหว่ของกฎหมายมาแต่ต้น ก็น่าจะทำให้คนดูกลับไปคิดต่อยอดด้วยฉากที่ไม่ชี้เป็นชี้ตายว่าฝั่งไหนที่ถูกต้อง มากกว่าจะให้คนดูพบเห็นความสุขของตัวละครตัวใดตัวหนึ่ง ในฉากจบอย่างนี้

ต่อให้ผมกลับมาคิดว่า ตอนต้น พระเอกมีความสุขกับการได้อยู่กับครอบครัว และหนังก็เลือกปิดท้ายกับการได้เห็นว่า ตัวทนายความ (เจมี่ ฟ็อกซ์) มีความสุขกับครอบครัวได้เหมือนกัน ..คือการเปิดและปิด ที่ดูมีความหมายที่ดีและสวยในทางเทคนิคหนัง ...แต่ผมมองว่าการหักดิบ คือสิ่งที่ Law Abiding Citizen ควรจะทำมากกว่า เช่นเดียวกับที่ก่อนหน้านี้ ก็เคยมีทำมาแล้วกับหนังทริลเลอร์ชั้นดี ที่ว่าด้วยเรื่องความถูกและผิด กับมาตรฐานความคิดของคนในสังคม อย่าง “Gone Baby Gone”

ถึงจะดูเอาสนุก ก็พอให้ได้ความเข้มข้นอยู่บ้างกับการเชือดเฉือนกันของ บัตเลอร์ และฟ็อกซ์ (คนหลังก็ตามมาตรฐานที่เคยๆเห็น มากกว่าจะเป็นการแสดงชิ้นคุณภาพในฐานะผู้เคยได้ออสการ์) อีกอารมณ์ลุ้นๆ ผสมการพลิกผัน ก็มีให้จับต้องได้ ...แต่ถ้าว่ากันด้วยความน่าจดจำ ในหนังที่ว่าด้วยการประชดประชันกฎหมายเรื่องนี้ จัดว่า Law Abiding Citizen ยังสอบไม่ผ่านเกณฑ์

เกรด B+ ... {}



ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน...
1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ


ผมยินดีเสมอในมิตรภาพของทุกท่าน และบล็อคของผมก็ต้อนรับเสมอในความน่ารักของทุกคน
ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ

Create Date :23 ตุลาคม 2552 Last Update :23 ตุลาคม 2552 16:54:38 น. Counter : Pageviews. Comments :2