bloggang.com mainmenu search
นอกจากติดตามตัวผมในบล็อกนี้แล้ว ก็ขอชวนไปสนุกกันในอีกช่องทางกับ "Facebook" และ "Twitter" ด้วยครับ

Like Me @ //www.facebook.com/pages/OncE-UPoN-a-MaN/362974106204

และ Follow Me @ //twitter.com/once_upon_a_man




รีวิวนี้ ถูกเผยแพร่ไปแล้วก่อนหน้า ทาง //www.chicministry.com ลิงค์





ถ้าใครคนไหนเป็นนักเล่นเกมตัวยง...เชื่อว่าหลายคนคงรู้จัก “Prince of Persia” และคนที่รู้จักก็คงรู้กันดีว่า เกมๆ นี้พระเอกของเกม ช่างเก่งเหลือเกินกับการกระโดดโลดเต้น ...แถมยังอุตส่าห์เทพถึงขนาดกระโดดแล้ววิ่งไต่กำแพง ทำเหมือนกับว่าที่เหยียบอยู่คือ พื้นโลก ยังไงยังงั้นแหละ

แต่ความสนุกชองเกมๆ นี้ก็ไม่ได้อยู่ที่เราเกิดมาเก่งการกระโดดอย่างเอาเป็นเอาตายซะทีเดียว (ถึงจะเป็นท่าหลักๆ ที่ใช้บ่อย) ...หากว่ากันด้วยเรื่องของการผจญภัย เกมๆ นี้ก็ถือว่าเด่นในส่วนของเนื้อเรื่อง ที่มันสามารถทำการดัดแปลงมาเล่าเป็นหนังยาวๆ ได้ และจะไม่แปลกใจเลยหากสักวัน ฮอลลีวู้ดจะหยิบวัตถุดิบชั้นดีนี้มาใช้ ซึ่งก็คิดไว้ไม่ผิดที่ มันต้องมาถึงวันนั้นแน่ๆ ..แต่ในวันเดียวกันที่หนังเรื่องนี้มีผู้อำนวยการสร้างเป็นระดับเจ้าพ่อ (หนังทุนสูง) อีกคนของโลก อย่าง “Jerry Bruckheimer” บวกด้วยการมีผู้กำกับชั้นดีอย่าง “Mike Newell” แห่ง “Four Weddings and a Funeral” และ “Harry Potter and the Goblet of Fire” มาคุมบังเหียนให้แล้ว...หลังจากวันนั้น “Prince of Persia : The Sands of Time” ก็กลายมาเป็นหนังที่สร้างจากเกมเพียงไม่กี่เรื่องที่น่าฝากความหวังก่อนดูเอาไว้ได้ล่วงหน้า




The Sands of Time (ที่เชื่อว่าผู้สร้างคงหมายมั่นให้เป็นภาคแรก..หวังให้หนังมีภาคต่อ) ว่าด้วยเรื่องราวของ Prince of Persia คนหนึ่งที่ไม่ได้มีสายเลือด สืบเชื้อมาจากกษัตริย์แต่อย่างใด... แต่สำหรับ “แดสตัน” ที่มีชีวิตเมื่ออดีตเป็นเด็กกำพร้าแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องพะวง หากสิ่งที่เขาควรพะวงมันกลับกลายเป็น ความขัดแย้งของคนที่เป็นสายเลือดด้วยกัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อเขาโดยตรง เพราะ แดสตัน ดันถูกใส่ร้ายจากผู้ร้ายว่า เขาคือคนที่วางยาพิษใส่พ่อเลี้ยงตัวเอง (กษัตริย์แห่งเปอร์เซีย) เพื่อหวังจะให้ตัวเองได้ขึ้นครองเป็นกษัตริย์เสียแทน (เป็นวิธีเดียวที่คนไม่ได้มีเชื้อสายเดียวกันจะทำได้) ..แล้วในเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็น พระเอกทั้งที มีหรือที่เขาจะไม่หนี เพื่อได้หาหนทางมาพิสูจน์ตัวเองว่า บริสุทธิ์




เมื่อหนังใกล้ถึงตอนจบอีกทีหนึ่ง เนื้อเรื่องของหนัง ไม่ได้แปลกใหม่อย่างใดแน่นอน ..และเป็นอะไรที่คาดเดาได้ง่ายว่า ตอนจบ จะต้องออกมาเป็นเช่นไร ...แต่ประเด็นของ Prince of Persia ที่ผมสนใจย่อมต้องมองข้ามเรื่องราวไปได้เลย เพราะสิ่งที่น่าดึงดูดมากกว่าก็คือ ความอยากรู้ว่าหนังจากเกม เรื่องนี้ มันจะไปได้ไกลสักขนาดไหนกันเชียว หากลงท้ายว่ามีเครดิตของ บรั้คไฮเมอร์ คอยคุ้มกันให้อยู่ ซึ่งก็ถือว่าไม่น่าผิดหวังแต่อย่างใดเลยหากมองว่านี่เป็นหนังแบบบรั้คไฮเมอร์ที่เรื่องของการลงทุนลงแรงย่อมเป็นปราการสำคัญที่ทำให้หนังดูมีมูลค่าสูง ..ยิ่งกับโดยปกติที่เรามักเห็นหนังจากเกม เลือกจะสร้างออกมาในรูปแบบโปรดักชั่นราคาถูก พอได้มาดูอาหารตาระดับภัตตาคารอย่าง Prince of Persia แล้ว ชัดเจนเลยว่าเราคงเห็นหนังแนวนี้ เรื่องก่อนๆ หน้ากลายเป็นข้าวราดแกงริมทางไปเลย และอีกอย่างที่จัดว่ารสชาติของ Prince of Persia ยังดีกว่าข้าวราดแกงริมทางที่เคยกินมานานปี.. ก็คือ ความใส่ใจในเรื่องของ บท ที่ไม่ได้เล่าออกมาแบบดูถูกคนดูจนเกินไป ...แอบมีชั้นเชิงหลอกล่อเล็กๆ พาคนดูหลงติดกับ พาลเนียนให้มองไปว่า คนที่คิดเอาไว้แต่แรก (ก่อนเข้าโรง) กลับไม่ใช่ผู้ร้าย




ในส่วนของความสัมพันธ์ตัวละคร ก็เป็นอีกหนึ่งข้อดีที่หนังจากเกมเรื่องนี้มี.. ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่า มันจะออกมาดราม่าซาบซึ้งตราตรีงใจ แต่ถ้าลองเปรียบเทียบกับหนังแนวๆ นี้ ที่คนดูมักจะขาดความผูกพันกับตัวละครใดๆ ในเรื่องแล้ว อย่างน้อยๆ กับ Prince of Persia คนดูก็รู้สึกได้ว่า เราไม่รู้จักเขาแบบหละหลวมจนเกินไป และเราก็ยังลุ้นให้พวกเขาทำภารกิจให้สำเร็จ โดยในความรู้สึกอันหลังก็คงต้องยก ความดีความชอบอีกอย่างให้กับตัวนักแสดงด้วยเช่นกัน ที่เล่นได้อย่างเข้าขา... ไม่ว่าจะเป็น “Jake Gyllenhaal” ที่ไปรอดกับการเป็นแอ๊คชั่นฮีโร่ “Gemma Arterton” ที่แสบ แอบซ่าส์ แต่ดูเอาภาพน่ารักก็ยังได้ หรือกระทั่งที่มาเพื่อขโมยซีนถ้วนๆ อย่าง “Alfred Molina”


ฉะนั้นแล้ว หากให้ผมลองเทียบ Prince of Persia กับข้าวแกงรสชาติจืดบ้าง (แบบ “Resident Evil”) ฝืดบ้าง (แบบ “Tomb Raider”) ซึ่งไม่รื่นคอสักเท่าไหร่ ..สำหรับ The Sands of Time แล้วย่อมกลายเป็นของอร่อยขึ้นมาในบัดดล เพียงแต่ความอร่อยในที่นี้ ก็ยังขาดความกลมกล่อมที่ทำให้คล่องคอไปอีกพอสมควร ..โดยหากเรานำเอามันไปเทียบกับหนังแนวผจญภัย ในจำพวกเดียวกับ “Indiana Jones” (ของที่มีสิ่งเดียวในโลกถูกหมายปอง ตัวเอกต้องคุ้มครองแต่โดนผู้ร้ายไล่ล่า และมีอารมณ์พ่อแง่แม่งอนของพระนาง) เจ้าเก่าที่มาก่อน และออกจะลงตัว เลยยังมีความดีที่ทิ้งห่างไปมากกว่ากันอยู่ดี ซึ่งก็คงเป็นปัญหาที่ผมมองว่าผู้กำกับดูจะปล่อยของออกมาไม่สุดสักทาง ..มันมีอะไรที่ยังกั้กๆ แล้วพาลให้น่าเสียดายที่หนังยังคิดไปไม่ถึงจุด ที่เราคิดว่า ถ้ามี ก็น่าจะทำให้หนังสนุกได้มากกว่านี้




คือหากดูเอาเพลินๆ ไม่คิดมาก “Prince of Persia : The Sands of Time” ก็ถือว่าคุ้มค่ากับการจ่ายค่าตั๋วเพื่อหาความสุขชั่วครู่ได้อยู่ ...แต่ถ้าดูเอามันส์ ถือว่าไม่อิ่ม และถึงจะให้กินจานต่อไปยังได้ ก็ไม่อาจมีความประทับใจให้คืนมา

หรือถ้าทำให้เห็นภาพเป็นเกมๆ หนึ่ง(แบบ ที่มันควรเป็น) แล้วกัน ก็ถือว่ามันมาใกล้ถึงจุดจบของด่านสุดท้าย แต่ แดสตัน ยังไม่อาจเก่งพอจะชนะบอสใหญ่ได้อยู่ดี



เกรด B+ ... {}





ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน...
1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ


ผมยินดีเสมอในมิตรภาพของทุกท่าน และบล็อคของผมก็ต้อนรับเสมอในความน่ารักของทุกคน
ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ

Create Date :05 กรกฎาคม 2553 Last Update :5 กรกฎาคม 2553 8:03:44 น. Counter : Pageviews. Comments :1