bloggang.com mainmenu search


เมื่อพูดถึงคนชื่อ "โจวซิงฉือ" ...สิ่งแรกที่คนบ้านเราจะคิดถึงก็คือ "คนเล็ก" และอีกสิ่งที่จะมีตามมาอย่างแน่นอนคือ 'ความฮา'

ในเวลา ช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ ...คำว่า "คนเล็ก" ได้กลายเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ เข้าขั้นมีมาตรฐานที่สามารถสร้างความไว้วางใจให้กับบรรดาคนดูหนังตาดำๆอย่างได้ผล

และการที่คำว่า "คนเล็ก" ยังไม่เคยสิ้นมนต์ขลัง กับกาลเวลาวันนี้ที่คำว่า "ฟัด" เริ่มฝืด หรือ "คนเหล็ก" ปลดระวางไปแล้ว... ก็เป็นเพราะ โจวซิงฉือ ได้ชื่อว่าเป็นคนที่ยึดเอาคุณภาพในการทำหนังของเขาเป็นหลักใหญ่ใจสำคัญ มากไปกว่าการสร้างความบันเทิงแบบผิวเผิน สร้างเอาให้จบก็เป็นจบกัน

ในกรณีนั้น เราพิสูจน์ได้จาก สองงานล่าสุดเน้นฮาตามถนัดของเขา ที่เข้าขั้นคลาสสิคไปแล้วในวันนี้ อย่าง "นักเตะเสี้ยวลิ้มยี่ (Shaolin Soccer)" และ "คนเล็กหมัดเทวดา (Kung Fu Hustle)"



ถ้าจะมองว่า หนังสองเรื่องนั้นเป็นหนังที่จัดอยู่ในประเภท ดูแบบไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ ก็ยังอาจถือว่าเข้าแก๊บได้อยู่... แต่กระนั้นแล้ว ผมก็ยังมองเห็นและคิดถึงในแง่มุมบางอย่างที่หนังทั้งสองแอบแฝงเอาไว้ได้อย่างมีความหมาย ...มุมที่เรียกได้ว่าเป็นสาระ เป็นอะไรที่จับต้องได้ และเราสามารถเข้าใจกับเรื่องราวของมันได้เป็นอย่างดี

Shaolin Soccer ...ว่ากันด้วยเรื่องของคนกลุ่มหนึ่งที่มารวมตัวกันได้เพราะมีดีแต่เรื่องพ่ายแพ้ ...แต่แล้วด้วยพลังแห่งความสามัคคี มิตรไมตรีอันแน่นแฟ้น อีกทั้งเมื่อคนแต่ละคนต่างก็ล้วนมีจิตใจที่ยิ่งใหญ่เหนือการชักจูงของเงินตรา จึงสามารถที่จะรวมทีมเอาชนะอุปสรรคอันยากใหญ่ได้อย่างสวยงาม และน่าประทับใจ

Kung Fu Hustle ...ว่ากันด้วยเรื่องของผู้ชายคนหนึ่งผู้มีจิตใจฝักใฝ่ดี แต่ด้วยปูมหลังที่เคยเป็นไอ้ขี้แพ้ ก็ทำให้ตัวเองอยากจะทำตัวร้ายๆเมื่อโตขึ้น ...จนเมื่อเขาคนนี้ได้มารู้จักกับความสมัครสมานอันใฝ่แต่ความดีของเหล่าคนประหลาดในหมู่บ้านแห่งหนึ่งเข้าให้แล้ว จึงเข้าใจว่า คนดีๆที่ได้ดีก็ยังมีอยู่ในโลกนี้เสมอ

แม้หนังสองเรื่องที่ว่า จะเรียกได้ว่า เป็นงานขายบันเทิงดูเอาบั่นทอนความเครียดกันเน้นๆโดยแท้จริง ...หากแต่เมื่อพิจารณาในเนื้องาน ต้องบอกว่า คุณภาพความเป็นหนังดี จากมือของเฮียโจว แกแน่นปึ้กจริงๆ

มิเช่นนั้นแล้วกับเรื่องล่าสุดที่เฮียแก(เคยบอกก่อนทำ)ว่า "จะจริงจังมากขึ้น" และ "ตลกน้อยหน่อย ดรามามากหน่อย" ...จึงกลายเป็นที่คาดหวังของผม และลดความต้องการในแง่อารมณ์ขัน คอมเมดี้ที่คาดแบรนด์คุณภาพว่า 'คนเล็ก' ลง ก็เพื่อหวังว่ามันจะเป็นหนังไซไฟสไตล์ E.T. ในแบบฉบับของเฮียโจวที่น่าประทับใจอย่างที่เขาก็หวัง



"CJ7" ...ว่าด้วยเรื่องของสองพ่อลูกคู่ทุกข์คู่ยาก(จน) "อาเทีย" และ "เสี่ยวตี้" ...อาเทีย เป็นพ่อซึ่งมีอาชีพเป็นกรรมกรกิ๊กก๊อกที่ถึงจะหนักเอาเบาสู้แต่ก็เป็นเป้าสายตาที่ดูถูกจากนายจ้างอยู่เสมอๆ ...เสี่ยวตี้ ลูกชายคนเดียว คนรักคนเดียวที่อาเทียเหลืออยู่ในชีวิต และด้วยความคาดหวังจะให้โตมาสุขสบายไม่เหมือนกับที่ตัวเองได้เป็นอยู่นี้ อาเทียจึงยอมส่งเสียลูกเข้าไปเรียนในโรงเรียนลูกผู้ดีลากมากไป กับความเข้าใจที่คิดว่ามันจะให้ความรู้ที่ดีได้มากกว่าโรงเรียนชนบททั่วๆไป



แต่ก็ด้วยความที่ เสี่ยวตี้ ก็ยังเป็นเพียงเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่มีความต้องการจะเป็นที่สนใจในหมู่เพื่อนฝูง เหมือนคนรอบข้างเขาเป็นกัน เสี่ยวตี้ จึงพยายามคะยั้นคะยอให้ อาเทีย ซื้อหุ่นยนต์สุนัข CJ1 ที่กำลังเป็นที่ฮิตในหมู่เด็กมีกะตังค์ให้ ...ซึ่งถึงจะรักลูกมากและอยากตามใจ แต่เงินตราก็ไม่สามารถให้ความอบอุ่้นห่วงใยได้ดังที่ใจลูกหวังซะอย่างงั้น ...จนกระทั่ง เหมือนจะมีอะไรที่อยู่บนฟ้าได้เล่นตลกกับโชคชะตาของคู่พ่อลูกนี้... เกิดการดลบัลดาลให้มีวัตถุึประหลาดลึกลับอย่างหนึ่งตกลงมาแน่นิ่งตรงหน้าของ อาเทีย เข้า... เขาจึงพลิกโอกาสให้เป็นโอกาสอีกที ด้วยการพามันกลับบ้าน และหลอกลูกว่า นี่คือของเล่นที่เจ๋งยิ่งกว่า CJ1 เสียอีก

แล้วมันก็เจ๋งจริงๆ ...และก็เจ๋งมากพอจะสามารถสร้างความสนุกให้กับคนดู ควบคู่ไปกับบทเรียนสอนใจที่ทำให้พ่อลูกคนนี้ต้องระลึกถึงไปจนวันตายจาก ...มันมีชื่อว่า 'CJ7'



จากความชื่นชอบหลงรักที่มีต่องานสุดอมตะของพ่อมดฮอลลีวู้ด สตีเว่น สปืลเบิร์ก ...มาสู่เสี้ยวความฝันครั้งหนึ่งที่จะเคยได้ชื่อว่าทำหนังดรามาขายความประทับใจ ชนิดที่คนรู้จัก โจวซิงฉือ อาจมีทึ่ง ...และผมก็เป็นคนหนึ่งที่จัดเข้ากลุ่มที่ ทึ่ง สมดั่งใจเฮียเขาหวังเลยทีเดียว ...หากแต่ถามว่า ทึ่งจนถึงขั้นประทับใจหรือยัง คำตอบก็คงสั้นๆห้วนๆว่า ไม่

แน่นอน ที่เนื้อหาที่ว่าด้วยเรื่องของพ่อลูก ยังจะต้องเป็นของตายที่ใช้เรียกความซึ้ง ทึ้งความรันทดได้ดีไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไป ...แต่ในแง่ที่หนังเรื่องนี้ก็ยังมีความเป็นเฮียโจวขายฮา แอบแฝงปะปนมาด้วยเป็นเสมือนเงื่อนไขตายตัว จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ตรงนั้น จะทำให้เส้นของหนังเสียหลักไปพอสมควร



ถึงจะมองว่าตรงส่วนนั้น จะทำหน้าที่สร้างความสนุกควบคู่กับเรียกเสียงฮาออกมาได้ดี สมแบรนด์เฮียโจว (ซึ่งนั่นก็ต้องบวกกับเครดิตของทีมพากย์ พันธมิตร ที่ถนัดในงานนี้ยิ่งนัก) ...แต่ถ้ามองในการกลืน กลมลงไปในหนังเรื่องเดียวกัน ผมรู้สึกว่ามันจะให้อารมณ์ที่โดดออกมาอย่างเห็นได้ชัด มันไม่ได้รู้สึกตามไปด้วยกันเท่าไหร่ เมื่อเอามาเปรียบกับหนังเรื่องก่อนทั้งสอง ที่ถึงจะนำด้วยตลกมา แต่ก็ยังผสมรวมดรามาอ่อนๆได้เข้ารูปเข้ารอยได้ดีกว่า



ยกตัวอย่าง ในฉากที่เสี่ยวตี้ใช้ CJ7 เป็นเครื่องมือในการเอาชนะอุปสรรคทุกอย่างของเขา ...อาจมองว่าเป็นฉากหนึ่งที่ถือว่ามีวิธีการในการสานต่อไปสู่เรื่องราวที่แตกต่างในฉากถัดไปได้อย่างมีลูกเล่น ...แต่เมื่อหนังพยายามประเคนทุกอย่างให้ดูตลกเข้าว่า และทำแต่ละอย่างให้หลุดจากโลกของความเป็นจริงออกไปจนเกินขอบเขตที่ตีเส้นล้อมเอาไว้ไป ...แม้ทว่ากับทุกอย่างที่่ว่าในสุดท้ายจะไม่ใช่อย่างที่มันเป็นไปในความคิด(ของเสี่ยวตี้) แต่ความคิดผมก็คาดตราไว้แล้วว่า มันไม่น่าจะมี ...หรือถ้าจะมีก็ควรจะย่นรายละเอียดให้มีเพียงสั้นๆ ...ถ้าไม่พยายามยัดมุขให้ดูฟุ่มเฟือย แล้วมุ่งไปสู่ฉากที่เป็นความจริงเลย ก็คงจะทำให้ผมอินกับประเด็นที่หนังต้องการสื่อสารได้ดียิ่งกว่า

แต่ถึงจะอาจไม่เป็นดังคาดเสียซะหมดก็ตาม ...อย่างน้อยๆ ที่ไม่ถูกใจก็พอจะมองข้ามได้ด้วย คุณค่าของตัวหนัง ที่รังสรรค์จากฝีมือที่จับอะไรก็มีคุณภาพ ของ เฮียโจว ...แม้กระทั่งกับหนังดรามาที่จริงจังเนื้อหาหนักๆอย่างนี้ จะยังไม่เคยได้ทำความรู้จักอย่างเป็นทางการ จากงานของผู้กำกับ นักแสดงคนนี้ มาก่อนเลยก็ตามที



เรื่องราวของ CJ7 ในมุมมองของผม ...เป็นเสมือนกับการหยิบเอาแนวทางของ E.T. มาประยุกต์รับใช้กับพลอตเรื่องที่แทบจะถอดแบบ "โดเรมอน" มาใช้อย่างเนียนๆ กันเลยทีเดียว ...หากแต่กับ ประเด็นหลักๆแล้ว หนังกลับเลือกจะสนใจเน้นย้ำ ความสัมพันธ์ของ พ่อและลูก มากไปกว่า การสร้างความผูกพันระหว่าง คนกับสัตว์(หุ่นยนต์)ต่างดาว

แม้ทว่า ตัวหนังเองก็อาจจะมีการปูเรื่องของความผูกพันของ เสี่ยวตี้ และ CJ7 เอาไว้อย่างแน่นหนา ถือว่ามีเหตุผลที่สนับสนุนความซึ้งของความรักนี้ไว้พอสมควรก็ตามที ...แต่ในแง่มุมที่เป็นเรื่องของพ่อกับลูก กลับรู้สึกเป็นสิ่งที่กินใจผมได้มากกว่าอย่างชัดเจน



ความกินใจนี้ ล้วนมีที่มาจากความเพียรพยายามของบทหนัง(ซึ่งก็เป็นฝีมือของเฮียโจวรับเหมาอีกเช่นกัน) ซึ่งใส่แง่มุมความพันผูกเอาไว้ในสารพัดวิธี มีรูปแบบที่ทั้งเป็นการกระทำน่ารัก ขำขำ ไปจนกระทั่ง คำพูดดีดี ซึ้งซึ้ง ที่ตัวละครพ่อ พยายามบอกย้ำๆ ซ้ำๆ กับลูก ...ซึ่งกับการกระทำทางวาจานี้เอง ที่นับเป็นจุดเน้นสำคัญ ที่คล้ายจะต้องการให้ทุกๆคนได้มีจุดร่วมๆที่เหมือนกันในความรู้สึก ...กับความรู้สึกที่ว่าเราก็เคยเป็นเด็กคนหนึ่ง ที่เบื่อหน่ายกับคำพูดย้ำๆ ซ้ำๆของพ่อ(หรือแม่)ซึ่งพร่ำบอกทุกวี่ทุกวัน เฉกเช่นเดียวกับ เสี่ยวตี้ ที่ทำฟังหูทวนลมทุกที กับประโยคสอนศีลธรรมของคนไม่มีจะกิน...

ในก่อนหน้า เราอาจจะไม่ได้คิดอะไรมากเลย กับประโยคขายประโยคเดียวที่ อาเทีย พูดพร่ำอยู่ ...หากเมื่อแล้วจนกระทั่ง ที่ตัวหนังได้ดำเนินเรื่องราวมาสู่จุดหักอารมณ์สำคัญนั่นเอง ประโยคสอนศีลธรรมนั้นก็ได้ทีย้อนกลับมาทำร้ายความรู้สึกของ เสี่ยวตี้ และคนดู อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ...ทั้งความใจหาย ทั้งความสลด บวกกับความรู้สึกที่คุ้นเคย หลังจากฉากที่ได้รับรู้เรื่องนั้น (คนดูหนังแล้วคงจะรู้ว่าผมหมายถึงอะไร) จบลง บ่อน้ำตาก็แตกกระจาย กลายเป็นการร้องไห้มาราธอน ที่กว่าจะถึงเส้นชัย(ซึ่งความจริงก็แน่ใจว่ามันจะจบลงในแนวทางนี้กันอย่างแน่นอน)ก็เล่นเอาบั่นทอนกำลังใจไปใช้ได้



เฮีย "โจวซิงฉือ" ทำเอาไว้ได้ดีในบทของ อาเทีย ...กับคาแรกเตอร์ของคุณพ่อต้นแบบ ที่อาจไม่ดีเพอร์เฟกต์ แต่ก็ดีเพียงพอจะเป็นที่รักของคนดู , "ซูเจียว" เด็กผู้หญิงหนื่งเดียวที่ถูกชิ่งมาเป็นผู้ชายซะงั้น ...จากการที่ต้องคัดเลือกอย่างทรหด กับจำนวนเด็กเป็นร้อยเป็นพันที่อยากมีบทบาท ก็ได้ผลลัพธ์ที่ดี ออกมาได้ควรให้หายเหนื่อยเป็นยิ่งๆ ...เอาแค่น้องหนูคนนี้ ต้องเล่นเนียนเป็นผู้ชายมันทั้งเรื่อง แล้วทำให้เราหลงเชื่อได้ ก็นับว่าเป็นก้าวแรกที่ประสบความสำเร็จอย่างสวยงามแล้ว , "จาง อวี่ ฉี" ครูสาวคนสวย ย้วย...ยยยยย ที่ไม่จำเป็นต้องเล่นอะไรพูดอะไรให้มาก แค่ออกฉากก็ทำเอาใจละลายไปได้หลายเหยือก (แต่โดยส่วนตัว ยังปลื้ม สาวอมยิ้ม ใน คนเล็กหมัดเทวดา มากกว่า...อิจฉา เฮียโจว โว้ยยย)


และ "CJ7" ...น่ารัก น่าเลิฟ สุดกู่ ...แอ๊บแบ๊ว แอ๊บแจ๋ว สุดฤทธิ์ ...และ ในฉากสำคัญอีกหนึ่งฉากของหนัง มันก็ทำให้ผมซึ้งกับความพยายามของมัน อย่างสุดใจเชียร์ขาดดิ้น ...เป็นทั้งฉากที่ผมชอบที่สุด และสามารถทำให้ผมเข้าใจว่า ทำไมหนังเรื่องนี้จึงต้องใช้ชื่อสั้นๆแค่ CJ7 ก็เพียงพอแล้ว ...เพราะพระเอกตัวจริงของหนังก็คือ มันผู้เดียว นี่เอง



"CJ7" ... หนังดีๆที่สามารถถือเป็นอีกหนึ่งเครดิตที่น่าภูมิใจของคนเล็ก(แต่ฝีมือไม่เล็ก)นาม "โจวซิงฉือ" ได้ แม้อาจไม่ใช่ขั้นมาสเตอร์พีซ แต่คุณภาพเกินคาดของมันก็ทำให้ทึ่งได้ยิ่งๆ ...สำหรับคนที่คาดหวังว่าคงเป็นหนังตลกสไตล์เดิมของเฮียโจว ก็จงเตรียมใจจะไม่ได้ฮาดาวดิ้นแบบที่ต้องการกันได้เลย (ถึงจะมีตลกบ้าง แต่ก็ออกจะเป็นอะไรที่ไม่อาจหัวเราะเต็มปากเต็มคำซะมากกว่า) ...ส่วนกับคนที่อยากดูหนังอารมณ์ดรามาที่มีเรื่องราวกินใจ และสามารถให้ความรู้สึกดีๆ ออกจากโรงมาได้โดยไม่ต้องเขินใครที่ร้องไห้แล้ว หนังเรื่องนี้ก็เหมาะสมที่จะยกคนทั้งครอบครัวไปดูโดยพร้อมเพรียงกันเลยทีเดียวล่ะ

เกรด B+ ... {}

ส่วนที่เป็นฟอนท์สี เขียว-แดง เพิ่มเข้ามา... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี(เขียว)-ดูด้อย(แดง) ของหนังแต่ละเรื่องครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมทำไฮไลท์ไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกัน

ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน...
1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ
Create Date :13 กุมภาพันธ์ 2551 Last Update :13 กุมภาพันธ์ 2551 2:34:50 น. Counter : Pageviews. Comments :9