bloggang.com mainmenu search
นอกจากติดตามตัวผมในบล็อกนี้แล้ว ก็ขอชวนไปสนุกกันในอีกช่องทางกับ "Facebook" และ "Twitter" ด้วยครับ

Like Me @ //www.facebook.com/Onc3.UPoN.a.MaN

และ Follow Me @ //twitter.com/once_upon_a_man




รีวิวนี้ ถูกเผยแพร่ไปแล้วก่อนหน้า ทาง //www.chicministry.com ลิงค์





ตลอด 11 ปีที่ผ่านมา เราไม่เคยหยุดโต ..แม้ลำตัวจะหยุดการเจริญเพราะเป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์ แต่ใจ และสมองของเรา มันก็ยังคงเติบโตอยู่เสมอ ด้วยการพบเจอประสบการณ์ใหม่ๆ กับตัวของเราเอง มีเรื่องราวที่น่าตื่นเต้น ท้าทาย และบทเรียนที่ทั้งสำคัญและไม่สำคัญให้เราได้เรียนรู้

แต่เมื่อมานึกย้อนถึง 11 ปีที่แล้วดู ..หลายๆคนคงจะยังจำความกันได้ว่า ตอนนั้นเราคงไม่ใช่แบบเดียวกับที่ตัวเราเป็นในตอนนี้ ...หากสิ่งที่เราคิดและทำในวันนี้ มันอาจเป็นสิ่งที่เราไม่เคยกล้าที่จะคิดและทำมาก่อนเลย เพียงเพราะตอนนั้น เรายังรู้สึกว่าเราเป็นแค่เด็ก

ตอนนั้น เรายังคงเพลิดเพลินไปกับการมีชีวิตที่ผู้ใหญ่สรรหามาให้สนุก ตื่นเต้นอย่างง่ายดายไปกับสิ่งที่ไม่เคยพบไม่เคยเห็นมาก่อน แถมยังแอบรู้สึกว่า การเรียนรู้ มันดูเป็นอะไรที่น่าเบื่อจัง! ..เรารู้สึกแบบนั้นได้ เพราะเรายังเป็นเด็ก

ซึ่งหนึ่งในนั้นที่คงจะเป็นหนึ่งในภาพความทรงจำอันสวยงามยามเมื่อเยาว์วัยของหลายๆ คน ซึ่งก็น่าจะต้องรวม ภาพความสดใส เปี่ยมล้นด้วยสีสันของหนังการ์ตูนเรื่องหนึ่ง ที่ใช้ชื่อว่า “Toy Story” เข้ามาบวกเอาไว้ด้วยแน่ๆ

หลังจาก 11 ปีที่แล้ว ภาคสองของ Toy Story ได้จบสิ้นลงไป โดยมีสองสมาชิกใหม่ร่วมเข้ามาแจมในครอบครัวใหญ่แสนอบอุ่นของตัวละครเด็ก (มนุษย์) ที่ชื่อว่า “Andy” ..หลายคนก็คงจะรู้สึกคล้ายๆ กันว่าแค่นั้นมันยังจบไม่ดีพอ เพราะชีวิตของ แอนดี้ ยังต้องมีวันเติบใหญ่ และคงต้องมีสักวันที่ของเล่นจะกลายเป็นสิ่งละอันพันละน้อย ที่ไม่ได้จำเป็นกับชีวิตวัยรุ่นอีกต่อไป ...และแล้ววันนั้นที่เราเคยคิดถึง มันก็ได้โอกาสอันประจวบเหมาะ เดินทางมาถึงกันเสียที!





“Toy Story 3” ... สานต่อเรื่องราวยามเติบใหญ่ของ แอนดี้ เมื่ออีกไม่กี่อึดใจ เขาจะได้ก้าวเข้าไปใช้ชีวิตที่หลุดพ้นจากอ้อมกอดของแม่ และกลายเป็นหนุ่มมหาลัยหน้าตาดูดี ที่คงจะมีของเล่นใหม่ๆ ดาหน้าเข้ามาทักทาย เป็นหญิงสาวสวยๆ ที่คู่ควร ..ส่วนของเล่นเก่าๆ ที่ยังคงรอคอยใจจดจ่อ ขอให้เขากลับมาเล่นในสักวัน สำหรับวันนี้ มันได้หมดซึ่งความหมายไปเสียแล้ว ดังนั้น อาการนอยด์ ของพลพรรคของเล่น จึงได้บังเกิดอีกครั้งหนึ่ง ..เมื่อ แอนดี้ เลือกที่จะปล่อยทุกคนไปจากอ้อมกอด และเก็บความทรงจำที่ดีที่สุดของเขาไว้แค่ ตุ๊กตาคาวบอยตัวเก่ง “Woody” เพียงตัวเดียวเท่านั้น

ในเมื่อต่างก็หมดความหมายจะยื้อยุดเพื่ออยู่รอเพราะอาลัยกันต่อไป.. มนุษย์อวกาศ “Buzz Lightyear” และพรรคพวกที่ยังเหลือรอดทั้งหมด จึงเลือกจะตายเอาดาบหน้า ขอเดินทางเข้าสู่ สถานรับเลี้ยงเด็ก ให้เปี่ยมด้วยใจที่เบิกบาน ..เพราะอย่างน้อยๆ พวกเขาก็รู้ว่าที่แห่งนั้น ยังมีเด็กๆอีกหลายคน รอคอยจะเล่นกับพวกเขาอยู่ เพียงแต่พวกเขาไม่รู้ตัวซะแล้วว่าที่แห่งเดียวกันนั้น มันมีอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลรอคอยเขาอยู่เช่นกัน ..และ วู้ดดี้ ผู้เก่งกาจ ก็ย่อมเป็นผู้เดียวเท่านั้น ที่จะสามารถเข้ามากอบกู้เอกราช ช่วยเหลือให้เพื่อนๆ ที่รัก กลับมารวมตัวอย่างลงตัวได้อีกครั้งหนึ่ง

นี่คือพลอตหลักๆ ของภาคสาม ที่หลายคนอ่านแล้ว อาจจะรู้สึกไม่แปลกใจเท่าไหร่ และพาลคุ้นเคยกับที่เราเคยเห็นเคยดูจากสองภาคที่แล้ว ซึ่งก็ยังเดินเรื่องด้วยโครงที่คล้ายๆ กัน อาจจะแตกต่างไปบ้างก็แค่ในแง่รายละเอียด

แต่จะให้ความสนใจไปไยเล่า หากเรายังคงเข้าใจว่า แท้จริงแล้วความสนุกของ Toy Story ทุกๆ ภาค ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการเล่าเรื่องที่แตกต่างออกไปโดยไม่ซ้ำแบบกับใครเขา เรารู้โดยทั่วกันว่าเราหลงรัก Toy Story เพราะ Toy Story คือหนังที่นำเสนอเรื่องของ ‘เรา’ จริงๆ ผ่าน ‘เขา’ คนอื่นที่เป็นเพียงแค่ของเล่น!





สองภาคที่แล้ว เราอาจจะยังเป็นเด็ก ผู้ไม่รู้ประสีประสาอะไรนัก เล่นกับของเล่นไป ก็แค่จะได้มีช่วงเวลาพาความคิดเตลิด นึกจินตนาการที่สร้างขึ้นมากันไปเพลินๆ เพียงเท่านั้น ...แต่เมื่อมาถึงในภาคสาม เมื่อเราได้เดินทางมาสู่ช่วงเวลาที่ชีวิต จะทำอะไรก็เป็นไปได้ ด้วยความคิดที่มีสติ ..ในเวลานี้ เราย่อมรู้สึกเหมือนๆ กันว่า ชีวิตไม่ใช่ของเล่น อีกต่อไป เพราะฉะนั้น ถ้าภาคสาม ภาคนี้ เลือกจะไม่ให้ แอนดี้ เติบโตก็ย่อมทำได้ ..แต่คนที่จะผูกพันกับแอนดี้ ยามเด็ก และของเล่นของเขา คงจะเหลือเพียงแค่ คนดูหนังรุ่นเยาว์ รุ่นใหม่ๆ ที่อาจไม่ใช่เราๆ ที่เก่า และแก่ อีกต่อไป

แต่ Pixar ก็ขอเลือกที่จะไม่ทำเช่นนั้น ..และอยากจะขอจบตำนานที่ตัวเองสร้างมากับมือ (บวกด้วยมันสมองสุดสร้างสรรค์) ให้เติบโตไปพร้อมๆ กับเรา เพื่อจะให้รู้สึกนึกคล้อยตามว่า Toy Story 3 มันคือเรื่องราวของเราจริงๆ โดยส่วนตัวที่เคยรักในภาคแรกอย่างรุนแรง (จนถึงขั้นเคยยกให้เป็นอนิเมชั่นที่ดีที่สุดในดวงใจ กระทั่ง Pixar เจ้าเดียวกัน ได้บังอาจสร้างหนังเรื่อง “Up” มาแย่งชิงตำแหน่งนั้นไปในวันนี้) และคงความประทับใจในภาคสองไว้พอสมควร ก็ย่อมต้องรู้สึกคาดหวังกับหนังภาคสามเอาไว้สูงชะลูด ชวนให้รู้สึกว่ามันต้องไม่ทำให้เราผิดหวังอย่างแน่นอน

ซึ่งในแง่ของนักดูหนังแล้ว การคาดหวังกับหนังสักเรื่องหนึ่ง คือ การสร้างความเสี่ยงดีๆ นี่เอง แต่เมื่อได้ดูให้เห็นกับตา ได้มาเสี่ยงกับอะไรที่ไว้ใจได้อีกครั้งหนึ่ง ..Toy Story 3 ก็ไม่ทำให้ผมต้องผิดหวังแต่ประการใดเลย ...แล้วที่อยากจะให้มีอยู่ครบ หนังภาค (ที่เชื่อว่า) สุดท้าย ก็ยังอุตส่าห์ให้เราได้กลับมายิ่งกว่าครบ!





ผู้กำกับ “Lee Unkrich” ที่เคยร่วมกำกับในภาคสอง คือคนที่เดินหน้าเข้ามารับผิดชอบอย่างเต็มตัวในภาคใหม่ (ส่วน “John Lassetter” แห่งภาคแรกและภาคสอง ก็ถอยออกมาเพื่อจะอำนวยการสร้างเน้นๆ) ..ซึ่ง อันคริช ก็ไม่ทำให้ Pixar ต้องผิดหวัง ไปพร้อมๆ กับทำให้คนดูยังคงรู้สึกคุ้มค่าที่จะสนุกไปกับหนัง ได้สมแก่การรอคอยอย่างเนิ่นนาน

และถึงจะเล่าเรื่องคล้ายๆ เดิม แต่กับภาคสามที่ได้ “Michael Arndt” (ที่เคยทำให้หลายๆ คนประทับใจไปกับการเดินทางโรดทริปของนางงามตัวน้อย ใน “Little Miss Sunshine”) มา Rewrite บทให้ ก็เชี่ยวชาญมากพอที่จะหลบเลี่ยง หลีกหนี เพื่อหาทางที่จะทำให้ ภาคสาม ออกมา Refresh กลายเป็น Toy Story ที่ ใหม่ สด เสมอ ได้อีกครั้ง ...แต่กระนั้นก็ยังครบถ้วนด้วยสิ่งที่ทำให้เราตกหลุมรักหนังชุดนี้ไม่แตกต่าง ความเฮฮา ที่เรียกรอยยิ้มกับเสียงหัวเราะ ยังคงมีให้เราอยู่ไม่หนีหาย ..อีกทั้งความเพลิดเพลินไปกับการหาทางกลับบ้านของเหล่าพลพรรคของเล่น ก็ยังคงเป็นมนต์เสน่ห์ ชวนให้รัก ชวนให้ลุ้น แต่ต้นจนจบ ถึงแม้จะรู้ว่า ในที่สุดภารกิจนี้ย่อมต้องสำเร็จลุล่วงอย่างแฮปปี้อยู่ดี

เหล่านี้คือสิ่งที่ Toy Story อันห้อยท้ายด้วยเลข 3 ยังให้เราได้ครบ เพียงแต่สิ่งที่ได้กลับมายิ่งกว่าครบ ซึ่งยังอุตส่าห์ติดสร้อยห้อยตามพ่วงกับเลข 3 มาด้วยในตอนจบก็คือ คราบน้ำตา



ผมกล้ารับประกันได้เลยว่า สำหรับใครที่มีจิตพันผูกอย่างเหนียวแน่นกับ Toy Story มาตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านพ้น ..ถึงจะดูภาคนี้ในช่วงแรกๆ แล้วแอบจะมีไม่เชื่อในตรรกะบางอย่าง ที่ไร้แรงบันดาลจะจินตนาการถึง (ยกตัวอย่าง ผม ..ที่รู้สึกได้ถึงความแก่!) แต่เมื่อเราจมไปกับภาพที่ผูกพัน อุดมไปด้วยความรู้สึกที่คุ้นเคย เหมือนมันผ่านมาไม่นานเท่าไหร่ที่เราได้รู้จักกัน Toy Story 3 ก็พร้อมจะพาเราไปสู่จุดจบของเรื่องราวทุกอย่าง ที่จะทำให้เรามีน้ำใสๆ มาคลออยู่ในเบ้าตาทั้งสองข้าง แบบไม่ต้องพยายามบีบคั้น ..เพราะมันจะมาของมันเองโดยเป็นธรรมชาติ!

ฉะนั้นแล้ว อย่าได้ถามผมว่า คนเป็นแฟนกันมาอย่างยาวนาน ควรจะไปดูเป็นการอำลา ดีมั้ย? ..แต่อยากให้ถามมากกว่า ว่า นี่คือ การอำลา ที่ดีพอ หรือยัง? เพราะถ้าถามอย่างนั้น ก็ตอบได้เลยว่า ‘ดีเกินพอ!’





ขอแนะนำเป็นอย่างยิ่ง...ครับ

เกรด A ... {}





ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน...
1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ


ผมยินดีเสมอในมิตรภาพของทุกท่าน และบล็อคของผมก็ต้อนรับเสมอในความน่ารักของทุกคน
ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ
Create Date :23 สิงหาคม 2553 Last Update :23 สิงหาคม 2553 9:09:57 น. Counter : Pageviews. Comments :3