bloggang.com mainmenu search
ประกาศ...ประกาศ!!

ผมมี Twitter เป็นของตัวเองแล้วนะครับ.. ใครสนใจจะ follow ผม ก็ขอชวน follow เข้ามากันที่.. //twitter.com/once_upon_a_man

มีอะไรไวว่อง อยากจะบอก อยากจะพูด จะรีบมาอัพเดทที่ทวีตทันทีทันใดเลยนะครับ ..ขอขอบคุณที่รับผมเป็นเพื่อนครับ






น่าดีใจแทนค่ายหนังดี ศรีประเทศไทย อย่าง GTH เสียจริงๆ ที่แค่ภายในปีนี้ปีเดียวก็มีหนังร้อยล้านเป็นของตัวเอง ได้ถึง 2 เรื่อง เลยทีเดียว ..ขณะที่เรื่องหนึ่งอาจจะอาศัยบุญเก่า มาช่วยสงเคราะห์กันบ้างตามสมควร ส่วนเรื่องล่าสุด ถ้าจะอาศัยบารมีใดๆแล้ว คงไม่พ้นจะต้องยกชื่อของ ชายหนุ่มที่สาว(ทุกประเภท)กรี๊ดกร๊าดชื่นชมมากที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทย มากล่าวอ้าง

แต่อย่าไปว่า ว่าหนังขายได้แค่เฉพาะ ความหล่อของพระเอกเท่ห์ตัวพ่อ(ของแม่หน่อย และน้องคุณ) “เคน-ธีรเดช” เลยเชียวล่ะ ..เพราะเอาเข้าจริง “รถไฟฟ้ามาหานะเธอ” ก็ยังต้องการความน่าสนใจจากสิ่งรอบข้างตัวพระเอกประกอบกันด้วย ตัวอย่าง อาทิเช่น ความน่าดูจากพลอตเรื่อง ความน่ารักของตัวนางเอก และความน่าประทับใจเพียงเสี้ยวสั้นๆจากตัวอย่างแบบแซมเปิลๆ

ซึ่งให้พอดีที่ว่า ประการหลัง มันเข้าทาง มือตัดต่อตัวอย่างชั้นเซียนของ GTH อยู่แล้ว ..จึงไม่น่าตกใจเท่าไหร่ ที่เมื่อมันได้โผล่ออกมา จะพบว่าใครต่อใครรอบกายผม ต่างก็มีอาการหลงเคลิ้ม อยากดูอยากชม หนังฟีลกู้ดเรื่องใหม่เรื่องนี้ กันเป็นแถบ

ผมไม่นึกสงสัยอะไรหรอก ที่ได้รับรู้ว่ามีปฏิกิริยาจากผู้คนที่ผมรู้จักมากมาย ต่างสรรเสริญเยินยอในหนังเรื่องนี้ ..ยิ่งใกล้เข้าวันฉาย กระแสเสียงชักชวน ก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ถึงจนเมื่อหนังเข้าแต่วันแรกแล้ว ผมก็มิอาจทนเสียงรบเร้าของเพื่อนฝูงได้ไหวอีกต่อไป ...ทั้งๆที่ใจจริง ก็วางแผนว่าจะไปดูกับคนรู้ใจในอีกสองสามวันให้หลัง (แล้วมันก็ผิดแผนจนกู่ไม่กลับ ถึงขั้นคนรู้ใจหนีไปดูเอง ด้วยประการฉะนี้ )



แต่ถึงกระนั้นเอง ก่อนหน้าที่ผมจะได้ดู รถไฟฟ้าฯ ..ผมไม่ได้นึกคาดหวังอะไรกับหนังเรื่องนี้เอาไว้มากมายเลย เพราะเชื่อว่าตัวเอง คงมีภูมิคุ้มกันความฟีลกู้ดของหนังค่ายนี้ อยู่เยอะพอ ที่จะไม่รู้สึกได้ถึงความแปลกใหม่อะไรที่ชวนให้ประทับใจได้อีกแล้ว ..หากจะขออย่างมาก แค่รู้สึกดีแบบเพลินๆ ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่หนังมันควรจะทำหน้าที่ได้ดีที่สุด

แล้วสิ่งที่ผมเคยคิดเอาไว้ก่อนดู มันก็ได้กลายเป็นความพลาดผิดขึ้นมาในทันที ระหว่างที่ได้ดูหนัง ..ผมได้พบแล้วกับการเป็นหนังไทยอีกเรื่องในรอบปีนี้ ที่พูดได้เต็มปากเลยว่า เป็นหนังดี และพร้อมๆกันนั้น ยังเป็นหนังที่ทำออกมาได้น่าประทับใจ เกินจากที่คาดเอาไว้เยอะเลย




หลังจากผลงานชิ้นก่อนหน้า “หมากเตะ” ได้ทำแป้กสนั่นลั่นประเทศ แถมยังมีบางเสี้ยวล่อแหลมหวุดหวิดจะก่อปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กะเพื่อนบ้านอีกต่างหาก ..การกลับมาครั้งใหม่ของผู้กำกับ “ปิ๊ง-อดิสรณ์” เลือกที่จะลดความเสี่ยงให้กับตัวเอง ด้วยการทำหนังรอมคอมสบายๆ ตามสไตล์ถนัดเข้าทาง GTH ที่งานนี้ ไม่เน้นขายวัยรุ่นตอนต้น หรือตอนปลายกันโต้งๆ เหมือนเรื่องที่ผ่านๆมา แต่คิดการใหญ่หวังเจาะตลาดคนผู้ใหญ่วัยทำงาน และโดยเฉพาะกับใครที่ยังโสดสนิท เตรียมจองที่ไปสิงสู่หมู่บ้านคานทองนิเวศน์ ..ครานี้ คงโดนความฟีลกู้ดเล่นงานกันเต็มๆ



เรื่องราวของ รถไฟฟ้าฯ ก็ไม่ได้มีอะไรมากมายนักหรอก มิหนำซ้ำยังออกจะคล้ายๆคลึงๆกับพลอตของหนังเกาหลีอะไรเทือกนั้น ที่นางเอกจะเป็นคนที่ไม่เข้าตาใครเขา ทำอะไรก็ดูตลกๆ ไม่เข้าท่าไปหมด ..หากกระนั้นแล้ว คนที่ดูท่าน่าจะเป็นโสดไปตลอดชีวิตอย่างเธอ ก็ยังอุตส่าห์มีผู้ชายบางคนมาตกหลุมรักได้ลง ถึงต่อให้เขาคนนั้นจะ Perfect, Handsome & Smart แม้น..แมน เสียขนาดไหนก็ตามเถอะ

แต่ก็ใช่ว่า เราจะลอกพลอตเขามาแล้วไม่ทำการดัดแปลงอะไรหรอกนะ ..เพราะถ้าว่ากันด้วยรสชาติของหนังไทยสักเรื่องแล้ว (โดยเฉพาะกับหนังไทยในแบบ GTH ด้วยกัน) รถไฟฟ้าฯ ยังคงแอบใส่เสน่ห์ของสังคมไทยลงไปได้อย่างน่ารักน่าหยิก อีกบางฉากก็กัดๆขบๆให้มันส์ปากใช่เล่น ..และจะอินมากๆ สำหรับใครก็ตามที่ใช้ชีวิตดีๆ ที่ลงตัว(จริงหรือ?) อยู่อาศัยในกรุงเทพมหานคร เมืองฟ้าอมรแห่งนี้ด้วยแล้ว

รถไฟฟ้ามาหานะเธอ ได้ยกบทให้ กรุงเทพ เป็นดังตัวประกอบตัวหนึ่งของเรื่องราวในหนัง ..และกรุงเทพ ในรถไฟฟ้ามาหานะเธอ ก็ยังคงเป็นสถานที่เดิมๆ ที่เราคุ้นเคยจนชาชิน มาแต่ไหนแต่ไรอยู่ร่ำไป

แต่ในครานี้ สิ่งที่เรารู้จักในหนังเรื่องนี้ ได้รับโอกาสปรับปรุงวิสัยทัศน์ของตัวเองเสียใหม่ (เมืองเดิมๆ ดูขึ้นกล้อง ชวนให้น่าอยู่ซะงั้น ) ..และขณะเดียวกันในหนังเรื่องเดียวกัน ก็ยังเป็นโอกาส ทำให้ใครบางคนที่ดูหนังเรื่องนี้ ได้รู้จัก และปรับปรุง วิธีคิดในเรื่องของความรักของตัวเองเสียใหม่

ซึ่งใครคนที่ว่านั้น ก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล แต่เป็นคนเขียนรีวิวคนนี้ ที่เพิ่งจะได้รู้ว่า ..การมี “แฟน” ไม่ได้มีไว้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา แต่มีไว้ให้รู้ว่ายังมีใครสักคนที่รักเรา






แต่เดิม ผมเคยคิดว่า การมีแฟนสักคนนั้น มันคือการทำให้เราได้พบกับความสุข ..เป็นสุขที่ได้เห็นหน้าค่าตากัน ได้ไปไหนต่อไหนด้วยกัน ได้แบ่งปันเรื่องราวต่างๆที่ได้พบเจอในแต่ละวัน พูดคุยกัน จับมือกัน หรือกระทั่งได้โบกมือบ๊ายบายกัน ทุกครั้งที่ต้องจากลา ..ผมว่า สิ่งเหล่านี้ คือเรื่องที่ต้องทำ สำหรับคนเป็นแฟนกัน

และผมก็ไม่เชื่อด้วยว่า การเป็นแฟนกัน แล้วไม่เจอหน้ากันเลย จะเป็นความรักที่ยั่งยืนในภายภาคหน้า ..ผมมั่นใจว่าเป็นเช่นนั้น ในเมื่อผมก็มีเพื่อนของผมคนหนึ่งที่เคยเป็นแฟนกับรุ่นน้องที่ได้เจอกันในอินเตอร์เน็ต แล้วต่อมาไม่นาน ทั้งสองก็ต้องเลิกรา ด้วยความไม่เข้าใจกันอย่างหนึ่ง และอีกอย่างก็คือ ปัญหาของการสื่อสาร ..ที่ถึงต่อจะมีโทรศัพท์ไว้คอยช่วยย่นระยะให้ แต่ด้วยความที่ไกล และห่างจากกันหลายร้อยกิโล จึงไม่แปลกที่การไม่เคยเจอตัวจริงกันเลยสักครั้ง จะไม่สามารถให้ความไว้ใจกันได้เต็มที่

ขณะที่เพื่อนผม ก็ซื่อสัตย์ในความรักกับสาวเจ้า แต่รุ่นน้องคนที่ว่า ก็ยังแอบไปกิ๊กกั๊กกับคนอื่นในเวลาเดียวกัน ...ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะด้วยเหตุผลที่เบื่อกับการต้องทนรอจะมีโอกาสได้เจอหน้าสักที หรือว่าเบื่อกับการต้องคุยผ่านทางโทรศัพท์ทุกวี่ทุกวันจนกลายเป็นการสิ้นเปลือง โดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายแสดงความจริงใจ(เวลาไม่เห็นหน้า)ได้มากขนาดไหน ..แต่ถึงยังไงผมก็แน่ใจ(คุยกับเพื่อนไปตรงๆ)ว่า ความรักแบบนี้ มันไม่มีทางเป็นรักแท้ได้แน่นอน

ซึ่งแม้ในที่สุดแล้ว เพื่อนผมจะยังไม่เข็ดหลาบ และยังอาจอยากมีรักแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ด้วยความคิดในเชิงอุดมคติของมันเอง ..แต่ผมก็ขอแค่เก็บเรื่องนี้ เอาไว้เป็นประสบการณ์ ที่สอนให้รู้ว่า ความรักที่จริงแท้ คือ การได้มองสบตา และเผยความในใจ อย่างไม่ซ่อนเร้นอารมณ์ใดๆบนใบหน้า ..นี่สิ ที่จะสามารถพัฒนาคำว่า แฟน ให้กลายเป็น คู่ชีวิต ได้ในที่สุด

แต่จนแล้วจนรอด เมื่อผมได้มาพานประสบพบ ประสบการณ์ความรักแบบจัดฉาก ใน รถไฟฟ้ามาหานะเธอ เรื่องนี้ เข้าให้อย่างจัง ..ผมก็เพิ่งจะมาคิดออกว่า ผมได้เผลอสบประมาทความรักในอุดมคติของคุณเพื่อนไปแล้วเรียบร้อย




ถึงประโยคเด็ดเพียงประโยคเดียวที่สาวโอปอล์(มาขโมยซีนเป็น เพื่อนนางเอก ในงวดนี้) เอื้อนเอ่ยออกไป ว่า “แฟนไม่ได้มีไว้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา แต่มีไว้ให้รู้ว่ายังมีใครสักคนที่รักเรา” คงจะไม่ใช่สิ่งที่เป็นบทสรุปของชีวิตคู่ได้เลย ..แต่หากมองว่ามันเป็นคาถาบทหนึ่งแล้ว นี่ก็คงเป็นคาถาดีๆที่จะช่วยประคับประคองความรักของคนสองคนให้คงอยู่ได้อย่างยั่งยืน หากเลือกจะปฏิบัติมัน อย่างมีเหตุมีผล

เหตุผลของมัน ไม่ได้อยู่ตรงที่ เราจะสามารถใช้ชีวิตอยู่คนเดียวได้เป็นปกติ โดยไม่จำเป็นต้องแคร์ว่าแฟนจะเป็นอะไร อย่างไรเลย ..แต่มันควรจะเป็นที่ เราต้องแคร์ความรู้สึกของแฟนเป็นใหญ่ กระทั่งสามารถเข้าใจในสถานะที่แตกต่างของคนสองคน ระหว่างเวลาๆหนึ่งที่จำเป็นต้องไกลห่างให้จนได้

และที่สำคัญ เมื่อเราเข้าใจมัน เราก็ต้องอยู่กับมันให้ได้ด้วย ...ต้องยอมรับในสถานะขณะนั้น ที่ทำให้เราต้องมีสภาพในแบบที่ใครๆ(คนนอก)เขามองว่า เราไม่มีใครเคียงคู่



ระหว่างที่ผมดูหนังเรื่องนี้ไป ผมก็ได้คิดถึงเพลงๆหนึ่งขึ้นมาในขณะนั้น ..มันเป็นเพลงที่ผมกำลังชอบมากๆอยู่ในตอนนี้ และเมื่อนึกๆไปเรื่อย มันก็แอบตลก(ร้าย)ในใจ ตรงที่ เนื้อหาของเพลง กับจุดประสงค์ของเพลง มันช่างดูขัดแย้ง แตกต่างกันเหลือเกิน หากเอามันมาเทียบกับเรื่องราวในหนัง

เพราะในขณะที่ตัวเนื้อหากับหนัง มันช่างมีความคล้ายคลึงกัน ..แต่จุดประสงค์ที่เพลงอยากจะนำเสนอจริงๆ กลับพูดถึง คนๆหนึ่งที่อยู่ห่างไกลกันลิบลับอย่างคนละโลกกับคนที่ตัวเองรัก (ผู้ชายยังอยู่ในโลกของคนเป็น ..ส่วนผู้หญิงคล้ายก้ำกึ่งจะอยู่ในโลกของคนตายไปแล้ว)

เพลงที่ผมว่านี้ คือ เพลง “คนไม่มีเวลา” ของ “ว่าน-ธนกฤต”




พลอตๆหนึ่งใน รถไฟฟ้ามาหานะเธอ ที่นึกชอบใจ และโดนมากๆ สำหรับผม ขอยกให้เรื่องประเด็นของ เวลา กับ ความรัก ..ที่หนังนำเสนอออกมาผ่าน การสร้างคาแรกเตอร์สองตัวละครพระนาง ที่ต่างก็เป็น คนที่ไม่มีเวลา ด้วยกันทั้งคู่



ขณะที่ตัวพระเอก “ลุง” เป็นคนกลางคืน ที่มีชีวิตชีวาได้สุดๆ ไปกับการทำงาน วิศวกรช่างเจียรางรถไฟฟ้า และเข้านอนอย่างแตกต่าง ในเวลาที่ชาวบ้านชาวช่องส่วนมาก กำลังบ้าคลั่งวีนเหวี่ยงไปกับชีวิตในเมืองใหญ่ ดังเช่น ตัวอย่างหนึ่ง ก็คือ ตัวนางของเรื่อง “เหมยลี่” นั่นเอง

เอาแค่เวลาทำงานที่ทั้งคู่มีอยู่ ไม่ตรงกัน ก็ถือเป็นประเด็นหนึ่งที่ดูจะเข้ากันไม่ติดแล้ว ..หากยังหนักไปกว่านั้นได้อีก เมื่อดันเกิดเรื่องที่ว่า คนๆหนึ่ง จะต้องแยกจากลาไป เพื่อจะไปควานหาสิ่งที่ดีกว่าให้กับชีวิต และอนาคตอันมั่นคงของตัวเอง

แม้จะต้องมองว่า สิ่งที่คนๆนั้นทำลงไป ก็เพื่อจะยกระดับให้ตัวเองได้มีคุณค่ามากกว่าที่เป็นอยู่ และมิหนำซ้ำ คนใกล้ตัว ก็ย่อมจะได้รับผลพวงที่ดีด้วย ไม่ว่าทางตรงก็ต้องเป็นทางอ้อมในสักสิ่งอย่าง ..แต่เอาเข้าจริง มันก็ยากจะทำใจได้เสียจริงๆ ที่จะต้องยอมเข้าใจในผลลัพธ์ของการไกลห่าง ที่จะทำให้ความรักของคนคู่หนึ่ง ต้องอยู่ในสภาวะสุญญากาศ ที่อาจจะเป็นทั้ง หลุดลอยไปไหนต่อไหนเสียไกลจนกู่ไม่กลับ หรือว่าอาจมีสนามแม่เหล็กคอยดึงดูดให้มันยังใกล้เพียงเอื้อมก็ย่อมได้เช่นกัน

โดยทั้งหมดนี้ มันไม่ได้เป็นทางเลือกที่พระเอกจะต้องเลือก (ถึงอย่างไร เขาก็ต้องทำ ..เพราะมีคน(ออกทุน)บังคับให้ต้องทำ) มีเพียงนางเอกผู้เดียวเท่านั้น ที่ถูกกำหนดให้ต้องตัดสินชะตากรรมความรักครั้งแรก ด้วยตัวของเธอเอง






ซึ่งมันก็น่าเห็นใจอยู่หรอก หากมองว่า แต่เริ่มเรื่องหนังเป็นต้นมา เราจะเคยพบว่า เหมยลี่ เป็นผู้หญิงที่น่าสงสารเสียขนาดไหน ..ไม่ว่าจะด้วยความเป็นลูกคนจีน ที่พ่อแม่(มีลูกสาวคนเดียว)หวังจะคุมถุงชน ขอให้ได้ลูกเขยจากบ้านของสหายที่สนิทชิดเชื้อมาเชยชม หรือว่าการถูกตัดสินจากตัวแม่ ที่มองว่า การบ้าผู้ชาย(ในอุดมคติ)ของลูกสาว เป็นอะไรที่เข้าขั้นหายนะ เสียจริตหญิงอย่างมากมาย ..แล้วเมื่อนับรวมไปถึง เรื่องเพื่อนที่คบหากันอยู่แต่ละคน ต่างพากันทอดทิ้งความโสด ไปทอดกายให้ความรัก จนหมดแก๊งค์ การเหลือตัวคนเดียวที่ยังโสดสำหรับ เหมยลี่ จึงต้องเป็นอะไรที่น่าทรมานสิ้นดี

และก็ด้วยเหตุผลฉะนี้แล้ว.. เพราะฉะนั้น เวลานี้ ไม่ว่าผู้ชายคนไหนที่ได้มีแวบเข้ามา จะเป็นเพอร์เฟกต์แมนสมใจหรือไม่ ก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญแล้ว ...ทั้งหมดมันสำคัญตรงที่ คนอย่างเหมยลี่ แทบไม่เหลือเวลา จะมาพะว้าพะวงอะไรได้อีกต่อไป หากยังอยากขึ้นรถไฟหนีให้ไกลจากหมู่บ้านคานทอง ก็ต้องยอมเลือกเป็นฝ่ายรุกตามรังควาน มากกว่าจะรอให้ใครมาจีบแล้วค่อยเลือกเช่น ผู้หญิงเจิดๆทั่วไปเขาจะพึงกระทำ

เพียงแต่ ถ้าบังเอิญ ผู้ชายคนนั้น ดันหน้าตาเหมือน เคน ผู้มีภาพลักษณ์เป็นคนที่น่าอบอุ่น ดูผ่อนคลาย สบายๆ และนิสัยก็ดีเลิศประหนึ่งเทพส่งมาโปรดสาวๆให้ใหลหลงแล้ว ..ก็คงไม่มีใครขอให้ช่วยจีบหรอกมั้ง ?

ซึ่งก็ด้วยความที่เป็น เคน ในสถานะของคนชื่อ ลุง ผู้แสนดีนี่แหละหนา ..จึงไม่ใช่ ก็ใกล้เคียง กับการที่ เหมยลี่ จะอยากรับส้มลูกใหญ่ลูกนี้เป็นของขวัญ เหมือนมันได้ถูกหวยรางวัลที่ 1 อย่างไงอย่างงั้น




เรื่องราวที่หนังปูทางมาแต่แรกเริ่ม จนถึงจุดที่นางเอก รุกเต็มที่กับการไล่ล่าพระเอก ให้ตกมาเป็นของตัวเอง และเหมือนว่า พระเอกก็มีท่าทีจะเล่นด้วย ..รถไฟฟ้ามาหานะเธอ ก็คงต้องถือเป็น หนังในฝันสำหรับสาวโสด วัยละอ่อนกระทั่งดึกเอาโล่ห์ ที่ได้กระชุ่มกระชวยหัวใจ ไปกับความรักในอุดมคติ ที่เธอๆกำลังควานหาสุดชีวิต แต่มีน้อยคนนัก จะได้พบเจอกับความรักเช่นนี้ (ด้วยเหตุนี้ มันจึงเป็นหนังในฝันไง ใช่ไหม )

แต่เมื่อหนัง ทำให้เราได้รู้ว่า ลุง ไม่อาจฝืนความรู้สึกในเชิงยินดีที่มีคนมารักมาจีบ และเขาก็เลือกจะยอมปล่อยตัวปล่อยใจ ตกหลุมรักในความโก๊ะกัง ใสซื่อ ของผู้หญิงบ้านๆ คนหนึ่ง ที่ไม่เพอร์เฟกต์ แต่ก็พอดีกับความต้องการ ไปเรียบร้อย ..เมื่อนั้น รถไฟฟ้ามาหานะเธอ ก็กลายกลับมาเป็น หนังในโลกความจริง สำหรับคนมีความรักทุกๆคน ที่กำลังควานหาคำว่า 'พอดี' ให้กับชีวิตของตัวเองอยู่

แต่ในเมื่อความเป็นจริงแล้วนั้น ชีวิตของเราในวันนี้ มันยากยิ่งจะทำให้พอดี ..และบทอยากจะทำให้ดี มันก็มีอุปสรรคมาขวางกั้นทุกที จนน่าท้อใจ ...จึงไม่แปลกอะไรที่ ความรักที่พอดีๆ แต่ยั่งยืน จะเป็นสิ่งของอย่างหนึ่งที่หายาก ในเวลาปัจจุบันวันนี้

ดูเช่นที่เราเห็นในหนังเป็นไร ..การที่ได้เห็น ผู้ชายคนหนึ่งไม่มีทางเลือก กับผู้หญิงคนหนึ่งที่ขอเลือกไม่อยากเหงา อีกต่อไปแล้ว เผชิญหน้ากันและกันในฉากที่ฝ่ายหนึ่งบอกรัก แต่อีกฝ่ายบอกเลิก ...แทนที่ทุกอย่าง มันคงจะลงตัวได้หรอก หากผู้ชายเป็นฝ่ายหลัง และผู้หญิงเป็นฝ่ายแรก (คนที่ตามจีบ ย่อมต้องยอมรับสภาพอกหักได้ เป็นไปตามกฎของธรรมชาติลงโทษ) ..แต่ทั้งหมดมันได้กลับตาลปัตรไป หาเหตุให้เกิดความไม่พอดี ได้ในที่สุด

เมื่อผู้ชายก็ยอมรับว่าตัวเองฝืนไม่ไหว และผู้หญิงก็เทหมดใจให้กับเดิมพันรักครั้งแรก ที่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้ลองรักใครสักคนไปแล้ว ..หากผลลัพธ์ ทั้งหมด มันต้องเลือกจะมาลงเอยในรูปของการพลัดพราก โดยที่คนหนึ่งยังมีรัก เพียงเพื่อจะต้องพบกับความเหงาเช่นเคยเป็นมา ...มันก็คงจะยังพบความทรมานอยู่ดี มิหนำซ้ำจะหนักกว่าที่ได้รู้ว่า เราไม่อาจให้ความไว้ใจใครที่เรารักได้อย่างเต็มที่ เมื่อเขาอยู่ห่างไกลกับเราคนละซีกโลก

มันลงล็อค พอดีเป๊ะ กับเรื่องที่ผมเล่ามาตอนแรกๆเลยมั้ยล่ะ? ..เรื่องที่ว่า ผมไม่อาจไว้ใจได้กับความรักแบบไม่เห็นหน้าค่าตา






แต่เมื่อถึงเวลานี้ เรื่องนั้นมันก็เป็นเรื่องในอดีตไปเสียแล้ว ..หลังจากที่ผมได้รับคาถาความรัก จากแม่หมอโอปอล์ มาให้นึกให้คิด ไปพร้อมๆกับการมองดูหนังเรื่องนี้ ในมุมเดียวกับที่เป็นเรื่องราวในเพลง คนไม่มีเวลา ..ผมว่า ผมรู้แล้วว่า เราจะสามารถค้นหา ความพอดี ให้กับความรักของเราได้อย่างไร

ดังเช่นในเนื้อเพลงส่วนหนึ่ง มันบอกเอาไว้ “ความทรงจำที่ดี ฉันขอให้มันไม่หายไป ..แต่เธอคงจะลืมเมื่อเธอมีใคร ..กาลเวลาอาจมีเงื่อนไข ..แต่แตกต่างจากใจของฉัน ..ที่จะรอเพียงเธอเหมือนเดิม” ..ผมว่าท่อนๆนี้ มันช่วยยืดเวลาความรักให้กับเราๆได้มากมายเลยทีเดียว

ก็ในเมื่อเราได้มีความรักเป็นของตัวเองแล้ว มันก็ย่อมต้องมีสิ่งดีๆเคยเกิดขึ้นมาในชีวิต เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งสิ่ง ..ฉะนั้นแล้ว หากเรายังเลือกจะจดจำสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาในวันก่อนๆ ทั้งยังแคร์และเข้าใจกับความรักในวันนี้ที่มันยังมีอยู่ ...ถึงต่อให้คนที่เรารัก เขาอาจจะหลงลืมมันไป อีกกาลเวลาที่ยาวนานอาจจะทำให้รักมีสั่นคลอน แต่อย่างน้อยๆเพียงแค่เราเชื่อมั่นที่จะรักอยู่อย่างสม่ำเสมอ ความพอดีก็จะมีกับตัวเรา และความสุขก็จะเกิดตามมา

และถึงที่สุดของที่สุดแล้ว มันก็จะยิ่งพอดีมากๆกว่า ..หากทั้งสองฝ่าย หญิงและชาย (หรือว่ารักร่วมเพศ ก็ว่ากันไป) ต่างก็ล้วนมีความเชื่อมั่นให้แก่กันทั้งคู่ (โดยที่คนใดคนหนึ่ง หรือทั้งคู่ ต้องไม่ริคบกิ๊กสู่ชู้ เพียงเพื่อคลายเหงาด้วยล่ะนะ)

หากเพียงสุดท้าย เราสามารถผ่านอุปสรรคนี้ไปด้วยกันได้ตลอดรอดฝั่ง ..ก็เชื่อได้เลยว่า บทสรุปของละครชีวิตที่งดงามคงได้เกิดเหมือนเช่นในหนัง ..เมื่อเป็นเนื้อคู่กันแล้ว ก็คงไม่แคล้วกันไปด้ายยยย






“รถไฟฟ้ามาหานะเธอ” ...หนังฟีลกู้ดดดดดดด ตาม(อุดม)คติของ GTH โดยการกำกับของผู้เคยกำกับ “แฟนฉัน” ให้กลายเป็นหนังร้อยล้าน มาแล้วเรียบร้อย ..คงจะเป็นหนังที่ไม่มีอะไรเลยอีกเรื่องหนึ่ง หากผู้กำกับ เลือกจะเล่าเรื่องของ สาวโสดคนหนึ่ง อยากมีรัก ควานหา ตามจีบ แล้วได้สมสู่กับผู้ชายที่ดูพระเอ๊ก..พระเอก ในตอนจบ และในที่สุดมันก็จะคงเข้าอีหรอบ รอมคอม ตามแผนปัจจุบันนิยม ที่ขอเดินตามสูตรสำเร็จ ไม่บาดเจ็บ จนไม่มีเอกลักษณ์ให้น่าจดจำ

ซึ่งก็น่าดีใจ ที่คุณปิ๊ง ไม่เลือกทำเช่นนั้น ..และมีความใส่ใจในแง่ของการสร้างอารมณ์ร่วม ทำการปูแล้วตบอย่างถูกจุด รู้จังหวะดีว่า รอมคอมที่สนุก ควรจะไปอย่างไรให้ไหลลื่น มีวิธีผสมเคมีระหว่างนักแสดงทุกคน กับเรื่องราว หรือมุขตลกกันได้อย่างลงตัว

และก็ไม่ใช่แค่การกำกับที่มีพัฒนาการคืบหน้าอย่างชัดเจนเท่านั้น ..หากแต่เรื่องของบท ก็มีจุดบอดน้อยลงกว่าเมื่อครั้ง หมากเตะ จนเห็นได้ชัด

ซึ่งแม้ว่า รถไฟฟ้าฯ จะยังมีบางจุดที่ดูจะไม่มีเหตุผลมารองรับมากพอ และบางจังหวะในหนังก็ไม่กระชับ ยังมีฉากที่ดูไม่จำเป็นใส่เข้ามาเกินความพอดี ..แต่ถ้าว่า กันด้วยของอารมณ์(ทั้งสุข เศร้า เหงา รัก) ที่หนังบิวต์ได้ขึ้น และทำให้คนดูเชื่อในสิ่งที่ได้พบเห็นแล้ว บทของรถไฟฟ้าฯ ก็เข้าข่ายเป็นหนังที่มีบทดี ได้อยู่



ยิ่งโดยเฉพาะกับซัพพลอตที่ผมชอบมากๆ อย่างเรื่องของ เวลา และความรัก ..แค่เพียงเรื่องนี้ เรื่องเดียว ก็จัดว่ามีอยู่อย่างพอดี ที่จะทำให้ผมได้ดูหนังรักรสไทยดีๆอีกเรื่อง ที่สามารถเอาเงื่อนไขของเวลาที่แตกต่าง มาเล่นกับความรู้สึกของคนดูได้สนุก ประมาณเดียวกับที่ปีก่อน ผมรู้สึกชอบมากๆ กับการได้ดู “A Moment in June” (ณ ขณะรัก) ที่ผูกเรื่องของเวลา กับการใช้โอกาสครั้งที่ 2 มาขับเคลื่อนได้อย่างลงตัว

แต่ที่เหนือไปกว่าความชอบมากๆใน เรื่องของซับพลอต และการกำกับแล้ว ..ทั้งผมและอีกทุกๆคน คงปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่า “คริส หอวัง” เป็น เหมยลี่ ได้เนียน และเยี่ยมยอดมาก

จากภาพพจน์ของสาวเปรี้ยว ที่แต่งตัวเฉี่ยว และเก๋ มีลักษณะเป็นดีไซเนอร์สุดฤทธิ์ ในโลกความเป็นจริง ..เมื่อ คริส ต้องยอมถอดภาพที่เคยๆเห็นเหล่านั้น มารับบทเป็นสาวเฉิ่ม ที่แต่งตัวเชยๆ ในชุดลำลองของพนักงานเงินเดือนคนหนึ่ง ...ผมว่า เธอใช่เลยที่จะเป็น เหมยลี่ และถึงต่อให้คิดหาตัวแทน ผมก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะมีใครเนียนได้เท่าเธออีกแล้ว

หากขนาดต้องเคยเล่นเป็นชาวเขา (ที่ดูไม่เข้าเค้าเลยจริงๆ) ใน “อีติ๋มตายแน่” ยังอุตส่าห์อินได้อินโนเซนต์สุดๆ ..แล้ว เหมยลี่ ที่เขยิบระดับเข้ามาได้เป็นผู้เป็นคนมากกว่า จะเหลือเหรอ?



ถึงตอนนี้ ถ้าให้ผมต้องตัดสินรางวัล นักแสดงที่เล่นหนังได้น่ารักที่สุดในรอบปีนี้แล้ว ..คนๆเดียว ที่อยู่ในใจ คงไม่ใช่ใครอื่นได้อีกแล้ว นอกจาก คริส หอวัง คนนี้นี่เอง

แต่กระนั้น ที่ยากจะปฏิเสธยิ่งไปกว่า ความน่ารักขั้นนางฟ้าในตัวนางเอก ..ก็คงต้องยกให้ความหล่อขั้นเมพของพี่เคนแท้ๆ ที่ช่วยเป็นกระแสสายหลักทำให้หนังเกิดได้ร้อยล้านขึ้นมาอย่างหน้าตาเฉย

แม้การแสดงในครานี้ ของ เคน จะดูแล้วเฉยๆ ไม่ได้มีฉากใดๆ ที่จะเค้นการแสดงของเคนให้ถึงจุดพีคได้เลย เหมือนเช่นที่เป็นในละครช่องน้อยสี ..แต่หากขอเอาแค่ ความหล่อทะลุแป้ง(แบบไม่ต้องพยายามเก็ก) ของคุณท่าน มาโชว์ทะลุจอ ก็คงต้องยอมศิโรราบให้เขาล่ะ ..เป็นบทที่เล่นน้อย แต่มีเสน่ห์ที่เป็นธรรมชาติให้ได้มากเลยทีเดียว (โดยเฉพาะ ตอนหัวเราะ ..ก๊ากได้จริงใจดีจริงๆ )



ส่วนอีกหนึ่งสาว(น้อย) ที่ออกน้อย แต่ 11รด มากอย่าง น้อง “แพท-อังศุมาริน” ..ก็ถือเป็นโบนัสแถม กันไปเนียนๆ สำหรับหนุ่มๆผู้นิยม Lolicon ให้จิตใจได้กระซู่ กูปรี กันบ้าง

ถึงเวลานี้แล้ว ก็คงไม่จำเป็นต้องพูดเชิญชวนกันอีกต่อไป ว่า “รถไฟฟ้ามาหานะเธอ” เป็นหนังที่น่ารักมากมายขนาดไหน ..เอาแค่ทุกวันนี้ ยังมีคนให้ความสนใจจนเกินครึ่งโรงได้อยู่ ก็คงตอบคำถามได้ว่า ปากต่อปากในเรื่องความบันเทิงดูสนุกเป็นที่สุด สำหรับหนังไทยในรอบปีนี้ด้วยกัน มันได้ผลในวงกว้างไปถึงระดับไหน

ซึ่งแม้ในที่สุด ผมจะยืนยันว่ายังชอบ รถไฟฟ้าฯ (และนั่งไปแล้วได้ สองรอบถ้วนๆ ..อีกจะมีรอบต่อๆไปเมื่อเป็นดีวีดี) มากที่สุด ในบรรดาหนังไทยที่ได้ดูมาในปีนี้ และเป็นหนังเรื่องเดียวที่ให้ เกรด A ถ้วนๆ


...แต่ ณ ตอนนี้ ผมกลับสงสารกับชะตากรรมของ “เฉือน” มากกว่า ที่ได้กลายสภาพเป็นหนังเจ๊งยับอีกเรื่องหนึ่งในปีนี้ ไปเรียบร้อยแล้ว

เพราะฉะนั้น ถ้ามาถามผมว่า ตอนนี้ หนังไทยเรื่องไหนที่อยากแนะนำให้ดูมากที่สุด? ..เรื่องเดียวที่ผมจะบอกต่อ ก็มีแค่ เฉือน เท่านั้นจริงๆ

ขอให้ไปดูเถอะครับ แล้วคุณจะรู้ว่า หนังไทยดี มีคุณภาพสูง ที่คุณเคยเรียกร้อง ถามหาอยากดูชม มันเป็นอย่างไร?




รีวิว ตามอ่านกันที่นี่เลยครับ.. //www.bloggang.com/mainblog.php?id=onceupon&month=25-10-2009&group=2&gblog=192






ส่วนที่เป็นฟอนท์สี เขียว-แดง เพิ่มเข้ามา... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี(เขียว)-ดูด้อย(แดง) ของหนังแต่ละเรื่องครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมทำไฮไลท์ไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกัน

ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน...
1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ


ผมยินดีเสมอในมิตรภาพของทุกท่าน และบล็อคของผมก็ต้อนรับเสมอในความน่ารักของทุกคน
ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ
Create Date :04 พฤศจิกายน 2552 Last Update :4 พฤศจิกายน 2552 5:13:14 น. Counter : Pageviews. Comments :7