|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
|
|
|
|
|
|
|
วุฒิภาวะและความเอาใจใส่ต่อผู้อื่นในสังคม
21 ก.ย. 2549
เมื่อเย็นที่ผ่านมา ผมขับรถจากสถาบัน เอ ไอ ที (อยู่ข้างๆ ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต) เข้าไปทำธุระที่โลตัส สาขารังสิต ซึ่งต้องใช้ถนนพหลโยธินขาเข้า ปกติแล้วจะใช้เวลาเดินทางไม่เกิน 15 นาทีโดยประมาณ แต่วันนี้ต้องใช้เวลาถึง 1 ชั่วโมงเพราะรถติดเหลือเกิน
ผมเดาว่าคงจะมีทหารตั้งด่านเพื่อตรวจตรารถที่จะเข้ากรุงเทพฯ อย่างละเอียด ซึ่งก็เป็นจริงอย่างนั้น เพราะเมื่อมาถึงช่วงก่อนที่จะถึงทางขึ้นดอนเมืองโทลล์เวย์ ก็เห็นเจ้าหน้าที่ทหารหลายนายและรถถัง 3 คันจอดอยู่ริมถนน เพียงแต่ทหารไม่ได้ออกมาตรวจรถบนถนนอย่างละเอียดเหมือนที่เราเคยเห็นตำรวจเขาตั้งด่านกัน คงยืนประจำตำแหน่งอยู่ที่ข้างทางเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้รถติดแต่อย่างใด
ปรากฏว่า รถติดเพราะผู้ที่ขับรถชลอดูทหารกับรถถังกันครับ!
เพราะว่าพอผ่านจุดนั้นมาได้ ถนนก็โล่ง ไม่มีวี่แววของการจราจรติดขัดเลย
นอกจากเรื่องรถติดแล้ว สังเกตเห็นว่าใกล้ๆ ตัวของทหารแต่ละนาย จะมีถุงพลาสติกใส่ข้าวของวางอยู่มากมายหลายถุง เข้าใจว่าผู้ที่ผ่านไปมาแวะเอาน้ำ เอาขนมมาฝาก
ที่รถถังคันหนึ่ง ผมเห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง คงอยู่ราวประถมสองหรือประถมสามเห็นจะได้ กำลังยืนถ่ายรูปคู่กับรถถัง ก็ไม่รู้ว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นมีบ้านอยู่ในละแวกนั้น หรือมากับรถคันใดคันหนึ่งที่คงอยากจะถ่ายรูปเป็นที่ระลึกก็เลยจอดรถแล้วลงมาถ่ายรูปกัน
ภาพที่มีประชาชนนำดอกไม้ น้ำ ขนม หรืออาหารการกิน ไปมอบให้กับเหล่าทหารหรือตำรวจที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ ผมว่าเป็นภาพที่น่ารักดี แสดงให้เห็นถึงความเอื้ออาทร ความมีน้ำใจไมตรี ที่คนไทยเรามักจะอ้างอยู่เสมอว่าเป็นนิสัยใจคอที่เป็นเอกลักษณ์ของเรา (เสียดายแต่ว่าเรากลับได้เห็นสิ่งเหล่านี้ในลักษณะของกระแสสังคมเพียงชั่วครั้งชั่วคราว แทนที่จะได้เห็นทั่วไปในชีวิตประจำวัน)
ในมุมหนึ่งก็อาจจะเป็นการแสดงออกถึงการสนับสนุนแนวคิดในการทำรัฐประหารที่เกิดขึ้นด้วย ซึ่งก็จะไม่ขอออกความเห็นใดๆ ในแง่มุมนี้
แต่มีภาพบางภาพที่ผมเห็นแล้วให้รู้สึกขัดตาขัดใจอยู่พอสมควร ตัวอย่างเช่น
ภาพที่วัยรุ่นสาวๆ แต่งชุดนอนและถือกล้องถ่ายรูปออกไปถ่ายภาพรถถังและทหารที่มีอาวุธพร้อมใช้งานในคืนวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา นัยว่าอยากเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก หรือไม่ก็คงเอาไว้ไปคุยไปอวดกับเพื่อนฝูงในวันรุ่งขึ้น
ภาพที่พ่อแม่พาลูกเล็กเด็กแดงไปดูรถถัง ดูปืน ดูทหาร แล้วก็ถ่ายรูปกันไว้เป็นที่ระลึก คล้ายกับว่าเป็นงานวันเด็กหนที่สองของปีนี้
หรือจะเป็นภาพของบรรดาสาธารณะชนผู้มีสิทธิเสรีภาพทั้งหลาย แห่กันไปถ่ายรูปคู่กับรถถังและทหารที่มีอาวุธครบมือ ราวกับว่ากองทัพกำลังนำเอาอาวุธยุทโธปกรณ์และกำลังพลมาออกร้านในงานกาชาด
ในความรู้สึกของผม ผมว่ามันไม่ได้แสดงถึงความน่ารัก หรือไม่ได้แสดงให้ชาวโลกเห็นว่าสถานการณ์บ้านเราไม่ได้ตึงเครียดเลวร้ายอะไร แต่ผมว่ามันแสดงถึง ความไม่มีวุฒิภาวะ และการขาดความเอาใจใส่ต่อผู้อื่นในสังคม ของคนไทยต่างหาก
ถึงจะเป็นการทำรัฐประหารที่ดูจะสงบเรียบร้อยที่สุดในโลก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ลองสมมติว่า ถ้ามีคนกลุ่มหนึ่งที่ยังคงสนับสนุนอดีตรัฐบาลอยู่ หรือไม่ก็กลุ่มที่ต้องการสร้างสถานการณ์ความวุ่นวายในบ้านเมือง แฝงเข้ามากับกลุ่มประชาชน แล้วก็เข้าทำร้ายบรรดาเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ มันจะชุลมุนแค่ไหน ทหารเองก็ต้องรักษาชีวิตตัวเอง รวมทั้งต้องดูแลสถานที่และบุคคลที่ได้รับมอบหมายเอาไว้ แล้วนี่ยังจะต้องระวังไม่ให้เกิดอันตรายแก่บรรดา ไทยมุง หรือ ผู้ที่คิดว่าตัวเองกำลังมาเที่ยวงานกาชาด อีก
หรือไม่ก็ลองสมมติว่า ขณะที่สาวนางหนึ่งกำลังบรรจงเอาแถบผ้าสีเหลืองไปผูกไว้ที่ปลายกระบอกปืนของทหาร บังเอิญว่าโชคร้ายที่ทหารนายนั้นกำลังเป็นไข้และมึนหัวจากพิษไข้อันเนื่องมาจากการอดหลับอดนอน ทำให้ลืมขึ้นเซฟตี้ของปืนเอาไว้ ประกอบกับนายทหารท่านนั้นแพ้กลิ่นน้ำหอมของสาวเจ้า ทำให้จามออกมาในขณะที่สาวเจ้ากำลังผูกปมสุดท้ายอยู่พอดี ปืนก็เลยลั่นใส่สาวนางนั้นจนบาดเจ็บสาหัส เป็นตายเท่ากัน
ผมเป็นห่วงเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจครับ เพราะหากเกิดเหตุร้ายต่างๆ ขึ้น พวกเขาคงจะต้องมีส่วนรับผิดชอบอยู่ด้วย ส่วนบรรดาผู้ที่มาเที่ยวงานกาชาดนั้น ช่างเขาเถอะครับ ก็ในเมื่อเขายังไม่คิดถึงความปลอดภัยของตัวเองเลย เราจะไปห่วงแทนเขาทำไมล่ะครับ
อย่างนี้แหละครับ ที่ผมรู้สึกว่าคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยมีวุฒิภาวะเท่าไร สถานการณ์ที่ล่อแหลมต่อการเกิดอันตรายได้ทุกขณะแบบนี้ ยังเห็นทุกอย่างเป็นเรื่องสนุกสนานกันอยู่ได้
อย่างนี้แหละครับ ที่ผมบอกว่าคนไทยไม่ค่อยเอาใจใส่ต่อผู้อื่น ในที่นี้หมายถึงไม่เอาใจใส่ต่อเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ ลำพังสถานที่และบุคคลที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลก็ทำให้เครียดมากพออยู่แล้ว นี่ยังจะต้องมาห่วงบรรดาประชาชนผู้รื่นเริงไม่รู้กาลเทศะเหล่านี้อีก
เมื่อวานนี้คือวันที่ 20 กันยายน ซึ่งเป็นวันรุ่งขึ้นของคืนที่มีการทำรัฐประหาร ตลอดทั้งวันผมอยู่ที่สถาบัน เอ ไอ ที เพื่อทำงานเกี่ยวกับเรื่องเรียนของผมตามปกติ เนื่องจากในห้องทำงานนั้นไม่มีโทรทัศน์ดู ก็เลยต้องอาศัยติดตามฟังความคืบหน้าของเหตุการณ์ทางวิทยุเอา สถานีที่ฟังอยู่ก็คือ จส.100 เพราะวิทยุเล็กๆ แบบพกพาที่ใช้อยู่มีกำลังรับได้ไม่กี่ช่องเท่านั้น มีช่องนี้ที่พอจะพึ่งพาเรื่องข่าวสารได้ ส่วนช่องอื่นที่รับได้นั้น มีแต่ช่องเพลงกับวิทยุชุมชนซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรในสถานการณ์แบบนี้
ฟัง จส.100 แล้วก็ได้ทราบว่า เมื่อวานนี้เป็นวันแรกที่เปิดใช้ สะพานวงแหวนอุตสาหกรรม สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งใหม่ที่เชื่อมระหว่างฝั่งพระประแดงกับฝั่งปากน้ำ
โฆษกของสถานีได้ทำการประชาสัมพันธ์เป็นระยะว่า ขอให้ประชาชนอย่าจอดรถบนสะพานเพื่อลงมาชมทิวทัศน์และบันทึกภาพกัน เพราะทำให้การจราจรติดขัด ช่วงบ่ายๆ ถึงกับต้องมีเจ้าหน้าที่ตำรวจออกมาแจ้งผ่านทาง จส.100 ว่าจะดำเนินการจับกุมผู้ที่จอดรถบนสะพาน แต่เท่าที่ได้ติดตามฟังต่อมา ก็ได้ยินว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แต่ตักเตือนแล้วก็ให้รีบขับรถไป ไม่ได้ดำเนินการอย่างเด็ดขาดแต่อย่างใด เข้าใจว่าคงจะเห็นอกเห็นใจกับอาการเห่อของใหม่ของประชาชนคนไทยผู้รักความสนุก และไม่เคยจริงจังกับปัญหาอะไรในชีวิตสักอย่าง
ผมพอจะนึกภาพเหล่านี้ออก เพราะเมื่อนานมาแล้ว สมัยที่ สะพานพระรามเก้า เพิ่งเปิดใช้วันแรกๆ ครอบครัวผมก็ลองไปใช้บริการสะพานพระรามเก้ากับเขาเหมือนกัน เพราะตื่นเต้นที่บ้านเรามีสะพานแขวนยาวติดอันดับโลกเป็นของตัวเองเป็นสะพานแรก
ช่องทางซ้ายสุดนั้นไม่ต้องพูดถึง กลายเป็นที่จอดรถไปเรียบร้อย ช่องทางกลางก็จะมีรถจอดซ้อนคันอยู่ประปราย แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เหลือช่องทางขวาสุดอยู่เพียงช่องทางเดียวที่ใช้การได้ ซึ่งรถก็เคลื่อนตัวไปได้อย่างเอื่อยๆ เพราะทุกคนก็ต้องการชมทัศนียภาพอันงดงามแปลกตาของกรุงเทพฯ จากมุมสูงด้วยกันทั้งนั้น
เหตุที่จอดรถบนสะพานกันก็คือ เพื่อลงไปดูวิว กับลงไปถ่ายรูป ซึ่งเหตุการณ์บนสะพานวงแหวนอุตสาหกรรมก็คงจะไม่ต่างกันเท่าไรนัก และคงจะเป็นอย่างนี้ไปอีกอย่างน้อยสักสองสามวัน
ฟังแล้วก็ให้นึกถึง ความด้อยวุฒิภาวะ และความไม่เอาใจใส่ต่อผู้อื่นในสังคม ของคนไทยขึ้นมาอีก
อดทนต่อความอยากของตัวเองไม่ไหวจนถึงขนาดจะต้องจอดรถกลางถนน แล้วลงไปชื่นชมกับความงามของทัศนียภาพ โดยไม่สนใจว่าจะก่อความเดือดร้อนสักแค่ไหนให้แก่ผู้ที่สามารถควบคุมความอยากของตัวเองได้ที่ต้องการสัญจรผ่านไป
ลองเอ่ยปากตำหนิคนเหล่านี้สิครับ เขาจะต่อว่าเรากลับมาเสียอีก ทำนองว่าในชีวิตนี้จะมีโอกาสแบบนี้อีกเมื่อไรก็ไม่รู้ อดทนหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร
ผมนึกต่อไปถึงว่า เวลาที่คนขับรถแท็กซี่ขับเลื้อยไปเลื้อยมา เกิดโชคร้ายไปชนรถใครเข้า คนขับแท็กซี่ก็อาจจะพูดขอความเห็นใจว่าเขาต้องขับรถทำมาหากิน ต้องรีบ ต้องทำเวลา อย่าเอาเรื่องเขาเลย
ผมนึกไปถึงเรื่องเล่าในกระทู้บนพันทิปกระทู้หนึ่ง ผู้เล่าเล่าว่าเขาเคยเอ่ยปากเตือนคุณป้าคนหนึ่งที่กำลังส่งเสียงกรี๊ดและตะโกนถวายพระพรแด่ในหลวงและพระบรมวงศานุวงศ์ที่เข้าเยี่ยมในหลวงเมื่อทรงเข้ารับการผ่าตัดครั้งที่ผ่านมา โดยบอกว่าน่าจะลดเสียงลงหน่อยเพราะเป็นเขตโรงพยาบาล (ส่วนในใจก็นึกแต่ไม่ได้พูดออกไปว่า การส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดก็เป็นการไม่บังควรด้วย เพราะผู้ที่เข้าเยี่ยมนั้นเป็นเจ้านาย ไม่ใช่ดารา) ปรากฏว่า คุณป้าท่านนั้นหันมาคำรามใส่ว่า ก็ฉันรักในหลวงของฉันนี่ยะ มันผิดด้วยหรือไง
ผมอาจจะเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายไปหน่อย หรือเป็นคนขวางโลกอยู่บ้าง แต่ก็พยายามที่จะปรับความคิดให้มองโลกในแง่ดีมากขึ้น แต่จะให้ปล่อยวางเสียเลยทีเดียวก็คงจะทำไม่ได้ ส่วนหนึ่งก็เพราะผมคิดว่าด้วยอาชีพของผม มันปล่อยวางไม่ได้ ถ้าคนที่เป็นครูบาอาจารย์ปล่อยวางเรื่องพวกนี้เสียแล้ว คนที่เป็นลูกศิษย์ที่เป็นสมาชิกของสังคมจะเป็นอย่างไร สังคมจะไม่ยิ่งแย่ลงไปกว่านี้อีกหรือ
คนที่จะช่วยสร้างวุฒิภาวะและความเอาใจใส่ต่อผู้อื่นในสังคมให้เกิดขึ้น ก็คงจะต้องเป็นทุกคนในสังคมเองนั่นแหละ แต่คนที่มีบทบาทมากที่สุดน่าจะเป็น พ่อแม่ ผู้ปกครอง และครูบาอาจารย์ทั้งหลาย
ความแตกแยกทางความคิดอย่างรุนแรงในสังคมไทย จนนำมาสู่สถานการณ์ในปัจจุบันที่อาจทำให้ประชาคมโลกต้องหันมามองด้วยความเป็นห่วงอยู่บ้าง ส่วนหนึ่งก็เกิดมาจากวุฒิภาวะที่มีอยู่น้อย กับความเห็นแก่ตัวและไม่ใส่ใจต่อผู้อื่นของคนไทยไม่ใช่หรือ
เพราะถ้าหากคนไทยเรา โต พอที่จะรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างของผู้อื่นได้ รู้จัก ใส่ใจ ต่อความคิดความรู้สึกของผู้อื่น การทะเลาะเบาะแว้งกันจนถึงขั้นต้องใช้กำลังเข้าห้ำหั่นกันก็คงจะไม่เกิดขึ้น
(ส่วนเรื่องการฉ้อฉลโกงกินอันเป็นที่มาของความคิดเห็นที่แตกต่างนั้นเป็นความผิดแน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ใช่ประเด็นที่อยากจะคุยในวันนี้ จึงไม่ขอพูดถึง)
ไม่รู้ว่าจะต้องบ่นแบบนี้ต่อไปอีกนานเท่าไร แต่การที่ได้บ่นออกมาบ้างเป็นครั้งเป็นคราว ก็ช่วยบรรเทาความอึดอัดใจและลดความหงุดหงิดลงไปได้บ้าง
Create Date : 22 กันยายน 2549 |
|
36 comments |
Last Update : 22 กันยายน 2549 13:07:52 น. |
Counter : 1259 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: กระจ้อน 22 กันยายน 2549 13:53:18 น. |
|
|
|
| |
โดย: JewNid 22 กันยายน 2549 14:22:33 น. |
|
|
|
| |
โดย: ซออู้ 22 กันยายน 2549 14:27:24 น. |
|
|
|
| |
โดย: Malee30 22 กันยายน 2549 15:56:41 น. |
|
|
|
| |
โดย: mungkood 22 กันยายน 2549 19:31:41 น. |
|
|
|
| |
โดย: stawahna (stawahna ) 22 กันยายน 2549 22:13:49 น. |
|
|
|
| |
โดย: rebel 23 กันยายน 2549 9:03:49 น. |
|
|
|
| |
โดย: P.Ta 23 กันยายน 2549 20:17:03 น. |
|
|
|
| |
โดย: กระจ้อน 24 กันยายน 2549 3:35:55 น. |
|
|
|
| |
โดย: A_Mong 25 กันยายน 2549 9:33:40 น. |
|
|
|
| |
โดย: ซออู้ 25 กันยายน 2549 15:14:56 น. |
|
|
|
| |
โดย: H2O ME'4 IP: 203.155.64.3 25 กันยายน 2549 18:21:05 น. |
|
|
|
| |
โดย: กุมภีน 26 กันยายน 2549 16:58:57 น. |
|
|
|
| |
โดย: mungkood 26 กันยายน 2549 19:07:28 น. |
|
|
|
| |
โดย: ju IP: 125.24.144.164 27 กันยายน 2549 4:57:38 น. |
|
|
|
| |
โดย: ju IP: 125.24.144.164 27 กันยายน 2549 5:15:59 น. |
|
|
|
| |
โดย: Malee30 27 กันยายน 2549 19:24:58 น. |
|
|
|
| |
โดย: กระจ้อน 30 กันยายน 2549 11:03:47 น. |
|
|
|
| |
|
|
ศิลปิน: เฉลียง เพลง: หวาน ชุด: ปรากฏการณ์ฝน ปี: 2525
|
|
|
|
|
|
|
|
เรื่องประชาชนเข้าไปถ่ายภาพกับทหารนี่...แม้มันเป้นภาพที่น่ารัก แต่ก็ อันตรายอยู่ในที เพราะเขากำลังปฏิบัติหน้าที่..
ทุกคนมีหน้าที่ น่าจะเคารพหน้าที่ของกันแระกัน
ถ่ายรูปไม่ผิดหรอก แต่ถึงขนาด ไปใกล้ชิดแบบนั้น ค่อนข้างอันตราย กับทหารนะ ถ้ามือที่ 3 แฝงมาพร้อมกันหลายๆ จุด อะไรจะเกิดขึ้น ทหารพวกนั้นแหละ ที่จะต้องรับผิดชอบกับเรื่องที่เกิดขึ้น
พูดยังงี้ ก็จะหาว่า... คนไทยไม่ทำอะไรอย่างนั้นหรอก เพราะคนไทย ใจดี จะกีดกันจะห้ามปราม ก็จะมองว่า ทหารเผด็จการ ส่วนหนึ่งก็จะถูกค่อนขอดเอาได้ว่า ประชาชนชื่นชมเขาถึงแสดงออกอย่างนั้น หาว่าเราคิดมากไปอีก
ทุกอย่างมันก็มี 2 ด้านทั้งนั้น แต่ทุกอย่างก็เอาแต่พอเหมาะ พอควรเถิด
แวะมาบ่นมั่ง จุเขียนเองมันไม่ได้ดีอย่างนี้นี่