|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
น้ำมันแพง
20 ก.ค. 2549
จริงๆ แล้ว ผมอยากจะจั่วหัวว่า น้ำมันแพง...บหาย แต่ก็ต้องสงวนไว้เพื่อความเหมาะสม
ผมรู้สึกไม่ค่อยประทับใจในการรับมือกับปัญหาน้ำมันแพงของภาครัฐบ้านเราสักเท่าไร ที่ทำได้แต่ชักชวนให้คนไทยหันไปใช้ก๊าซโซฮอล์ที่ราคาถูกกว่าน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่ว หรือหันไปใช้ก๊าซธรรมชาติแทนน้ำมันเบนซินเสียเลย โดยให้เหตุผลว่าราคาถูกกว่าและผลิตได้เองในประเทศไทย
สิ่งที่ภาครัฐทำนั้นไม่ผิดหรอกครับ เหตุผลที่ให้ก็ไม่ผิด แต่ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ทำนั้นมันยังน้อยเกินไป และไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุอย่างแท้จริง
ก่อนที่จะบ่นต่อไป ต้องขออธิบายคร่าวๆ เท่าที่พอจะมีความรู้อยู่บ้างว่า แนวทางการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานนั้นมีอยู่ 2 แนวทางใหญ่ๆ คือ การใช้พลังงานทดแทนที่ราคาถูกกว่า และการอนุรักษ์พลังงาน
การใช้พลังงานทดแทนก็หมายความตรงตัวเลย ก็คือ การหาพลังงานรูปแบบอื่นๆ มาใช้แทนพลังงานรูปแบบที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับเหตุผลในการหาพลังงานทดแทนว่าเป็นเรื่องอะไร ถ้าเป็นเรื่องของค่าใช้จ่าย ก็จะต้องหาพลังงานที่ราคาถูกกว่ามาใช้แทน ตัวอย่างก็เช่น การเชิญชวนให้ประชาชนหันไปใช้ก๊าซโซฮอล์หรือก๊าซธรรมชาติแทนน้ำมันเบนซินอย่างที่บ้านเรากำลังทำกันอยู่
ส่วนเหตุผลอื่นก็อาจจะเป็นเพราะว่า พลังงานรูปแบบที่ใช้อยู่สร้างมลพิษให้กับสิ่งแวดล้อม หรือพลังงานรูปแบบที่ใช้อยู่กำลังจะหมดไปจากโลกนี้แล้วในไม่ช้า เช่น เชื้อเพลิงประเภทฟอสซิลอันได้แก่ น้ำมัน ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ ฯลฯ ซึ่งกำลังจะหมดไปในหลักสิบปี ก็เลยต้องมีการเตรียมการหาพลังงานชนิดอื่นมาใช้แทน โดยอาจจะเป็นพลังงานหมุนเวียน ซึ่งหมายถึงพลังงานที่สามารถสร้างขึ้นใหม่ทดแทนได้ภายในเวลาไม่นานนัก ได้แก่ พลังงานชีวภาพจากพืชและสัตว์ทั้งหลาย ทั้งถ่านไม้ ฟืน ไบโอดีเซล ก๊าซชีวภาพ ฯลฯ หรืออาจจะเป็นพลังงานที่จะหมดไปก็ต่อเมื่อโลกและจักรวาลล่มสลายไปแล้ว ได้แก่ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานจากคลื่นในทะเล ฯลฯ แต่พลังงานเหล่านี้ยังมีปัญหาในเรื่องต้นทุนที่ยังคงสูงกว่าพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลอยู่ค่อนข้างมาก
ที่น่าสงสารก็คือ แทนที่ภาครัฐจะให้การสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาภายในประเทศ เพื่อให้มีเทคโนโลยีที่ดีขึ้นที่จะทำให้สามารถผลิตพลังงานหมุนเวียนเหล่านี้ได้ในราคาที่ถูกลง ก็กลับไม่ได้ทำกันอย่างจริงจัง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะงานวิจัยมันไม่เห็นกำไรอยู่ตรงหน้าเหมือนกับการโปรยงบประมาณแล้วได้คะแนนเสียงกลับมาหรือเปล่า
มาถึงอีกแนวทางหนึ่งในการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานคือ การอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งก็ยังสามารถมองแยกย่อยลงไปได้เป็น 2 ส่วนอีก คือ การประหยัดพลังงาน และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
การประหยัดพลังงานนั้นคงเข้าใจกันดีอยู่แล้ว เคยใช้พลังงานอยู่เท่าไร ก็ใช้ให้น้อยลง ค่าใช้จ่ายก็จะน้อยลงตามไปด้วย
ส่วนการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพนั้น พูดง่ายๆ ก็คือ การใช้พลังงานให้คุ้มค่าที่สุด เคยใส่พลังงานเข้าไป 100 แล้วได้ประโยชน์ออกมา 30 ก็ต้องมานั่งคิดว่า จะทำอย่างไรจึงจะได้ประโยชน์ออกมามากกว่า 30 หรือทำอย่างไรจึงจะลดการสูญเสียให้น้อยกว่า 70 ได้
ยกตัวอย่างเช่น แอร์ขนาด 1 ตัน กินไฟประมาณ 1 กิโลวัตต์หรือ 1,000 วัตต์ ถ้าเป็นการใช้งานโดยทั่วไปก็ไม่มีอะไร ป้อนไฟเข้าไป 1 กิโลวัตต์ ก็จะทำความเย็นได้ 1 ตัน แต่ถ้าคิดจะใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ก็อาจจะเดินท่อน้ำประปาไปพันรอบคอมเพรสเซอร์หรือคอยล์ร้อนที่อยู่นอกห้อง แล้วก็วนกลับเข้ามาใช้เป็นน้ำอุ่นในห้องน้ำ อย่างนี้ เรายังคงใช้ไฟ 1 กิโลวัตต์เท่าเดิม แต่เราจะได้น้ำอุ่นเพิ่มขึ้นมาด้วยนอกเหนือจากการทำความเย็น 1 ตันที่ได้อยู่ตามปกติ หลายท่านก็คงจะเคยเห็นโรงแรมบางแห่งทำน้ำอุ่นด้วยวิธีนี้มาแล้ว
กลับมาบ่นเรื่องน้ำมันแพงต่อ ที่ผมบอกว่าภาครัฐแก้ปัญหาน้อยเกินไป หรือไม่ได้แก้ตรงจุดสักเท่าไรนั้น ก็เพราะว่าการชักชวนให้ประชาชนหันไปใช้ก๊าซโซฮอล์หรือก๊าซธรรมชาตินั้น เป็นการมุ่งไปที่การลดค่าใช้จ่ายเพียงอย่างเดียว แต่ไม่ได้เป็นการลดปริมาณการใช้พลังงานอย่างแท้จริงแต่อย่างใด ไม่แน่ใจว่ากลัวตัวเลขทางเศรษฐกิจจะลดลงหรือเปล่าหากคนไทยใช้น้ำมันกันน้อยลง ประเดี๋ยวค่า GDP ซึ่งรัฐบาลยุคนี้ยึดเป็นสรณะจะต่ำลง แล้วจะคุยไม่ได้ว่าเศรษฐกิจยังดีอยู่
สมมติว่าผมมองโลกในแง่ร้ายเกินไป จริงๆ แล้วภาครัฐต้องการจะลดปริมาณการใช้พลังงานให้น้อยลงด้วย แล้วจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้ประชาชนใช้น้ำมันกันน้อยลง
ในทางเจาะลึกลงไปที่ตัวประชาชน ก็ต้องให้ความรู้สิครับ อยากให้ประเทศไทยเป็นสังคมฐานความรู้ก็ต้องให้ความรู้ จะต้องทำอย่างไรบ้างเพื่อให้รถกินน้ำมันน้อยลง เช่น ต้องตรวจสอบความดันลมยางเป็นประจำ ต้องไม่ขับรถลากเกียร์ ต้องไม่ขับรถเร็วเกินไป ต้องไม่บรรทุกสิ่งของเกินความจำเป็น ฯลฯ ก็ประชาสัมพันธ์กันเข้าไปให้หนัก
แต่ขอสักทีเถอะครับ เวลาประชาสัมพันธ์ก็ให้เน้นที่ข้อมูลเป็นหลัก ไม่ใช่มัวแต่มาห่วงว่าจะต้องทำเป็นละครสั้นๆ ให้มีตลกปนด้วยจะได้ไม่เครียด หรือจะต้องแต่งเป็นเพลงตลกๆ ให้ร้องให้จำกัน มันจะกลายเป็นเรื่องไร้สาระหรือไม่จริงจังไปเสียเปล่าๆ แล้วก็จะไม่ได้ผลลัพธ์อะไรตามมาเลย
เอาอย่างการประชาสัมพันธ์เรื่องความปลอดภัยเมื่อสมัยก่อนอย่างชุด "ระวัง! อย่ามองข้ามความปลอดภัย" ก็เข้าทีดี ตรงประเด็น ไม่บ้าๆ บอๆ ด้วย หรือจะให้มีบรรยากาศคลายเครียดพอประมาณก็อย่างชุดที่ให้ช่วยกันประหยัดน้ำมันที่ออกโทรทัศน์อยู่เรื่อยๆ ที่มีคุณดาแกขนเครื่องเพชรเสียเต็มรถ หรือนักซิ่งหัวตั้งที่โดนกับดักหนูหนีบเท้านั่นก็ได้ บ้าๆ บอๆ บ้าง แต่ก็ตรงประเด็นชัดเจนดี
นอกจากนี้ ภาครัฐก็ต้องสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาอย่างจริงจังและจริงใจ จะเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีให้รถกินน้ำมันน้อยลง หรือจะสร้างรถที่ใช้พลังงานอย่างอื่นที่ไม่ใช่น้ำมัน เช่น หันไปใช้เซลล์เชื้อเพลิงแทน ก็ว่ากันไป
แล้วในภาพรวมระดับประเทศจะทำอย่างไรได้บ้าง เพื่อให้สมศักดิ์ศรีของความเป็นภาครัฐที่ควรจะแก้ปัญหาในระดับมหภาคให้เกิดผลเป็นรูปธรรมจับต้องได้ มากกว่าการสร้างกระแสทางการตลาดเป็นครั้งคราวอย่างการรณรงค์ให้พับนกกระดาษ (แก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้?) หรือการกินไก่โชว์ที่สนามหลวงออกโทรทัศน์ (แก้ปัญหาความหวาดกลัวไข้หวัดนก?)
การค่อยๆ ปรับผังเมืองหรือการจัดโซนนิ่งก็ช่วยได้ พื้นที่ไหนที่จะกำหนดให้เป็นย่านที่อยู่อาศัย ย่านธุรกิจพาณิชย์ ย่านอุตสาหกรรม ก็ค่อยๆ ทยอยปรับกันไป ในเมื่อเราไม่ได้วางผังเมืองกันตั้งแต่แรก ก็ต้องเริ่มจากการงดสร้างของใหม่แล้วก็ค่อยๆ ย้ายของเก่าออกไป ทิศทางของการจราจรก็จะเป็นระเบียบมากขึ้น ไม่ใช่ว่าไปถนนไหนก็เห็นรถครบทุกประเภท ทั้งจักรยาน ทั้งซาเล้ง ทั้งมอเตอร์ไซค์ ทั้งรถเก๋ง รถเมล์ รถบรรทุก วิ่งสวนกันไปมาให้ขวักไขว่ไปหมด พอการจราจรเป็นไปแบบมีทิศทาง เป็นเวลา ไม่มั่ว ก็ควบคุมให้ไหลไปได้ง่ายขึ้น หรือถ้าติดขัดขึ้นมา ก็สามารถแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว น้ำมันที่จะถูกเผาทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์จากการที่รถติดก็จะลดลง
การปรับปรุงระบบขนส่งมวลชนให้ดี เพื่อให้คนใช้รถส่วนตัวน้อยลง ก็เป็นเรื่องของการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพโดยตรงเลยทีเดียว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมสงสัยจนทุกวันนี้ว่า ทำไมถึงไม่สร้างรถไฟฟ้าออกชานเมืองกรุงเทพฯ ตั้งแต่แรก สร้างก็ง่ายกว่า เร็วกว่า เพราะถ้าไม่สร้างลอยฟ้า ก็สร้างบนดินได้เลย แต่นี่กลับไปพยายามขุดดินลึกๆ ในใจกลางกรุงเทพฯ ก่อน ทั้งยาก ทั้งช้า แล้วก็รับคนได้แค่กระจุกเดียวในใจกลางเมืองเท่านั้น
ถามว่ารถไฟฟ้าในใจกลางเมืองจำเป็นหรือไม่ ก็ต้องบอกว่าจำเป็นล่ะครับ แต่ก็น่าจะทำให้กับชานเมืองไปพร้อมๆ กันด้วย
ถ้าเรามองกรุงเทพฯ ก็จะเห็นชานเมืองใน 3 ทิศหลักๆ ด้วยกัน ก็คือ ทางตะวันออก ที่ออกไปสำโรง บางนา จนถึงปากน้ำ ทางเหนือ ที่ออกไปถึงบางเขน ดอนเมือง และรังสิต และทางตะวันตก ที่ออกไปบางแค หนองแขม จนถึงอ้อมใหญ่
อย่างผมอยู่หนองแขม ผมก็เห็นรถเมล์สาย 84 ที่วิ่งระหว่างอ้อมใหญ่กับคลองสาน จะรถร้อนหรือรถเย็น กี่คันๆ ก็แน่นหมด ขยับเข้าไปอีกนิดก็รถสาย 7 ที่วิ่งระหว่างคลองขวางกับหัวลำโพง กี่คันๆ ก็แน่นหมดเหมือนกัน
รถที่วิ่งไปบางนาหรือปากน้ำ จะทางด่วนหรือไม่ทางด่วน ผมก็เห็นยืนเบียดกันแน่นทุกสาย แถมยังต้องมีรถตู้มาช่วยเสริมอีกหลายต่อหลายสาย เช่นเดียวกับรถที่วิ่งไปทางดอนเมืองหรือรังสิต
ถ้าจะบอกว่าสร้างให้คนในใจกลางเมืองก่อนเพราะเป็นย่านธุรกิจสำคัญ ประกอบกับคนมีกำลังซื้อมากกว่า ก็ถูกครับ แต่ถ้าจะบอกว่าสร้างออกชานเมืองแล้วจะขาดทุนเพราะคนมีกำลังซื้อน้อยกว่า ผมว่าไม่ใช่ครับ จริงอยู่ที่คนส่วนหนึ่งคงจะจ่ายค่ารถไฟฟ้าวันละ 60 ถึง 80 บาทไม่ไหว คนส่วนนั้นก็คงจะใช้รถเมล์ต่อไป แต่คนอีกส่วนหนึ่งที่ขับรถส่วนตัวเข้าไปทำงานหรือไปส่งลูกที่โรงเรียนในเมืองตอนเช้า แล้วกลับออกมานอกเมืองในตอนเย็นนั้น มีจำนวนไม่น้อยหรอกครับ ผมว่าคนส่วนนี้มีกำลังซื้อมากพอสมควร ทำ Park-and-Ride แถวชานเมืองให้ห่างออกมาหน่อย แล้วก็ให้รถไฟฟ้าวิ่งออกมาไกลหน่อย ผมว่าเขาน่าจะเลือกใช้รถไฟฟ้ามากกว่าที่จะต้องไปเครียดและตื่นแต่เช้ามืดเพื่อขับรถด้วยตัวเอง
อย่าง Park-and-Ride ที่จตุจักร (ซึ่งผมเข้าใจว่าเป็น Park-and-Ride แห่งเดียวที่มีอยู่) ผมก็ยังคิดว่ามันอยู่ใกล้เมืองเกินไป กว่าจะเข้าไปถึงก็ต้องฝ่ารถติดให้ประสาทเสียก่อนอยู่ดี
ผมว่ารถไฟฟ้าชานเมืองไม่ขาดทุนหรอกครับ ที่ไม่สร้างน่าจะเป็นเหตุผลอย่างอื่น เช่น เหตุผลทางการเมือง หรือผลประโยชน์ไม่ลงตัวเสียมากกว่า
ผมว่าภาครัฐทุกยุคทุกสมัย ถ้ามีความจริงใจในการแก้ปัญหาน้ำมันแพงก็คงจะพอรับมือกันไหว วิกฤติการณ์น้ำมันโลกเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1973 (พ.ศ. 2516) ก็ตั้ง 30 กว่าปีมาแล้ว ครั้งนั้นเป็นการส่งสัญญาณให้ทั่วโลกตื่นตัวกันหมดในการหาพลังงานทดแทนน้ำมันและพัฒนาเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน ส่วนบ้านเราก็เรื่อยๆ เฉื่อยๆ ทะเลาะกันเองเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวกันไป แล้วก็รอให้คนอื่นเขาคิด เสร็จแล้วเราก็ค่อยไปซื้อเขามาตามวิสัยของคนไทย ป่านนี้ก็เลยยังไปไม่ถึงไหน
ยิ่งภาครัฐออกโทรทัศน์กล่าวชื่นชมพระราชอัจฉริยภาพของในหลวง ที่ทรงเล็งเห็นการณ์ไกล ค้นคว้าวิจัยเรื่องพลังงานทดแทนมาตั้งแต่น้ำมันยังไม่แพงบ่อยมากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นการประจานตัวเองว่าบกพร่องต่อหน้าที่โดยตรงของตัวเองมากขึ้นเท่านั้น ก็ทำอะไรกันอยู่ล่ะครับถึงต้องให้ในหลวงต้องทรงเหน็ดเหนื่อยพระวรกาย ทำงานเหล่านี้แทนรัฐบาล
ไม่ใช่เฉพาะชุดนี้หรอกครับ ทุกชุดตลอด 30 กว่าปีที่ผ่านมาต้องร่วมกันรับผิดชอบในเรื่องนี้ด้วยกันทั้งหมด
วันนี้ผมมาบ่นอย่างเดียวเลย ก็ต้องขอสักวันหนึ่งล่ะครับ
วันก่อน ผมนั่งรถมอเตอร์ไซค์จากถนนใหญ่เข้าซอยบ้าน ระยะทางก็ประมาณ 2 กิโลเมตร ค่าโดยสารจาก 7 บาทขึ้นพรวดเดียวเป็น 10 บาทเลย จะหันไปนั่งรถสองแถวซึ่งอาจจะช้ากว่าหน่อยเพราะต้องรอรถเต็มก่อนถึงจะออก พ่อคุณก็ขยับจาก 6 บาทเป็น 9 บาทแล้วเช่นกัน ต่อไปนี้ผมคงจะต้องเดินแล้วล่ะครับ
นี่รถเมล์ก็ร่ำๆ จะขึ้นราคาอีก ดีว่ารัฐบาลยังกลัวจะเสียคะแนนเสียงที่ขาลงสุดๆ สำหรับในเมือง ก็เลยสั่งระงับไว้ก่อน
ก็เข้าใจอยู่ว่าน้ำมันมันแพง ราคาก็ต้องขึ้นตามกันไป แต่มันก็ยังอดที่จะหัวเสียไม่ได้จริงๆ
Create Date : 20 กรกฎาคม 2549 |
|
15 comments |
Last Update : 20 กรกฎาคม 2549 14:23:01 น. |
Counter : 1236 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: plang_ks 20 กรกฎาคม 2549 15:43:13 น. |
|
|
|
| |
โดย: ซออู้ 20 กรกฎาคม 2549 20:07:31 น. |
|
|
|
| |
โดย: Malee30 20 กรกฎาคม 2549 23:06:27 น. |
|
|
|
| |
โดย: กระจ้อน 21 กรกฎาคม 2549 9:19:23 น. |
|
|
|
| |
โดย: ปลาสวย (pp_b23 ) 23 กรกฎาคม 2549 15:04:40 น. |
|
|
|
| |
|
|
ศิลปิน: เฉลียง เพลง: หวาน ชุด: ปรากฏการณ์ฝน ปี: 2525
|
|
|
|
|
|
|
|
ถ้ารถไฟฟ้าครอบคลุมพื้นที่ในกทม.ได้ คงดีอ่ะเนาะ