|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ต้นชบากับคนตาบอด
19 ม.ค. 2549
ผมนึกถึงเพลงนี้ขึ้นมาก็เพราะเห็นคุณเฉลียงหน้าบ้านแวะเข้ามาเยี่ยม พอเห็นคำว่าเฉลียง ผมก็นึกถึงเพลงต้นชบากับคนตาบอดนี้ขึ้นมาทันที แล้วก็จะเป็นเช่นนี้ทุกครั้งเวลานึกถึงเฉลียง จริงๆ แล้วผมว่าจะเขียนถึงเพลงนี้ก่อนที่จะมาชวนให้ไปอ่านบทความของพิษณุที่ผมคัดลอกมาลงไว้ในบล็อกที่แล้วเสียอีก เพียงแต่ยังไม่มีเวลา บังเอิญว่าได้ไปเห็นเนื้อหาในบทความซึ่งให้ความรู้สึกคล้ายๆ กับตอนที่ฟังเพลงนี้ ผมก็เลยเขียนบล็อกที่แล้วขึ้นมาก่อนเพราะใช้เวลาน้อยกว่ากันมาก (ก็แน่ล่ะครับ ลอกเขามานี่นะ ไม่ได้เขียนเอง)
เวลาที่นึกถึงเพลงของเฉลียง ผมจะนึกถึงหลายเพลง แต่เพลงนี้จะมาเป็นเพลงแรกเสมอ คนที่แต่งเพลงนี้ก็ไม่ใช่ใคร คุณประภาส ชลศรานนท์ นักคิดนักเขียนคนโปรดของผมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่วนคนร้องก็คือ ซูโม่เจี๊ยบ หรือคุณวัชระ ปานเอี่ยม คนที่เพื่อนฝูงพี่น้องมักจะบอกว่า ซูโม่เจี๊ยบเป็นคนที่มีคุณสมบัติของนักร้องที่ดีอยู่อย่างครบถ้วน แม้ว่าจะไม่ใช่นักร้องอาชีพ จะมีข้อเสียอยู่เพียงอย่างเดียวก็คือ เสียงแกไม่เหมาะที่จะเป็นนักร้อง ก็เท่านั้นเอง (ดูคำวิจารณ์สิครับ น่าคบกันจนกว่าชีวาจะหาไม่จริงๆ)
ในช่วงเวลาที่ตลาดเพลงมีแต่เพลงป๊อปและเพลงร็อคซึ่งมีเนื้อหาเกือบทั้งหมดเกี่ยวกับความรักของชายหญิง และเกือบทั้งหมดก็จะต้องเป็นรักที่ไม่สมหวังเสียด้วย ไม่อย่างนั้นจะไม่โดนใจคนฟัง ก็ให้มีกลุ่มคนดนตรีกลุ่มหนึ่งที่ทำเพลงไม่เหมือนชาวบ้าน ทั้งเนื้อหาและสำเนียงดนตรี เกิดขึ้นมาในวงการเพลงไทย หากท่านมีอายุใกล้เคียงเลขสามหรือผ่านหลักสามไปแล้ว ย่อมจะรู้จักเฉลียงเป็นอย่างดี
ในขณะที่เพลงในชุดแรกไม่มีใครรู้จักกันมากนัก แต่ชุดที่สองที่ใช้ชื่อว่า อื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งออกมาในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2529 ไล่เลี่ยกับชุดหาดทราย สายลม สองเรา ของธงไชย แมคอินไตย ก็กลับกลายเป็นผลงานที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ผมชอบเพลงในชุดนั้นเกือบทุกเพลง แต่เพลงที่สะดุดหูและสะดุดใจผมมากที่สุดก็คือเพลงนี้
ตอนนั้นผมยังไม่รู้จักว่าคุณประภาสเป็นใคร มีผลงานอะไรบ้าง แต่ต่อมาเมื่อได้รู้จักงานของเขามากขึ้น ผมก็รู้สึกว่าเพลงนี้สะท้อนความเป็นคนมองโลกในแง่ที่ดีและแปลกไม่เหมือนใครของคุณประภาสได้เป็นอย่างดี อะไรที่ดีอยู่แล้ว เขาก็จะชี้ให้ดูในอีกแง่มุมหนึ่งซึ่งดีไม่แพ้กัน อะไรที่ไม่ดี เขาก็จะจับมันพลิก ตะแคง คว่ำ ตีลังกา แล้วก็ชี้ให้ดูถึงแง่มุมที่ดีที่ยังมีอยู่ของสิ่งเหล่านั้น
เรามักจะคิดว่าคนที่พิการเป็นคนที่โชคร้าย แต่จริงๆ แล้วตัวคนที่พิการเองอาจจะไม่ได้คิดเช่นนั้นก็ได้ แล้วเขาก็คงไม่อยากให้ใครคิดเช่นนั้นกับเขาด้วย เราอาจจะคิดว่าคนที่ตาบอดนั้นโชคร้ายเหลือเกินที่มองไม่เห็น ทำให้ทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตได้ไม่ถนัดเหมือนคนตาดี ไม่มีโอกาสได้ชื่นชมกับสิ่งสวยงามที่มีอยู่บนโลกใบนี้ ถ้าเป็นคนที่ไม่ได้พิการทางสายตามาแต่กำเนิดนั้นอาจจะใช่ครับ แต่คนที่ตาบอดมาตั้งแต่กำเนิด ผมว่าไม่ใช่ ในเมื่อเขาเกิดมาแบบนั้น ต่อให้เราไปนั่งอธิบายว่าท้องฟ้ามีสีสวยงามอย่างไร ดอกไม้มีสีสดแค่ไหน เขาก็คงจะไม่เข้าใจในแบบที่เราเข้าใจ
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่ตาบอดจะมองไม่เห็นนะครับ ผมเชื่อว่าเขามองเห็น เพียงแต่ไม่ได้มองเห็นผ่านทางดวงตา แต่มองเห็นผ่านทางจมูก หู ลิ้น สัมผัส และจิตใจแทนเท่านั้น
ผมเคยดูสารคดีเรื่องหนึ่งซึ่งผมก็จำไม่ได้แล้วว่าเป็นมหาวิทยาลัยไหน ของประเทศอะไรที่เป็นผู้ทำการทดลอง เขาทำการทดลองโดยให้ผู้หญิงคนหนึ่งผูกผ้าปิดตาไว้เป็นเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ (ฟังแล้วคล้ายๆ รายการเจาะใจใช่ไหมครับ แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คุณอุ้มครับ แล้วก็ไม่มีการร้องไห้ฟูมฟายเนื่องจากชีวิตกดดันแต่อย่างใด) ในช่วงสัปดาห์นั้น คุณผู้หญิงคนนั้นก็จะใช้ชีวิตประจำวันอยู่ภายในบริเวณอาคารที่ทำการทดลองนั่นล่ะครับ กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่ทำการทดลองก็จะคอยติดตามการทำงานของสมองส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการมองเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง
ผลที่ได้ในช่วงแรกเป็นไปตามคาดครับ สมองส่วนที่เกี่ยวกับการมองเห็นทำงานน้อยลงมาก แน่นอนว่าสาเหตุเนื่องมาจากดวงตาที่ถูกผูกผ้าปิดไว้ไม่ให้มองเห็น แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้นครับ ในวันต่อๆ มา เมื่อคุณผู้หญิงคนนั้นเริ่มปรับตัวเข้ากับสภาวะใหม่ได้ดีขึ้น กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ก็สังเกตเห็นว่า สมองส่วนที่รับผิดชอบการมองเห็นเริ่มมีการทำงานมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ผ้าปิดตาก็ยังคงผูกอยู่อย่างนั้น ถึงแม้ว่าจะทำงานในระดับที่ไม่เท่ากับตอนที่ยังไม่ได้ผูกผ้าปิดตา แต่ก็สังเกตเห็นได้ชัดว่ามีระดับการทำงานมากกว่าในวันแรกๆ ที่เพิ่งเริ่มปิดตาใหม่ๆ
ผมถึงเชื่อว่าคนตาบอดนั้นมองเห็นครับ เพียงแต่ไม่ได้อาศัยดวงตาในการมองเห็นเท่านั้น
การมองโลกในแง่ดีหรือแง่บวกนั้นเป็นสิ่งที่ดีสำหรับชีวิตจริงๆ ครับ ผมยังทำไม่ได้หรอกครับ แต่ก็กำลังพยายามอยู่ ถ้าลองสังเกตตัวเองดู เวลาที่เราวิจารณ์ในแง่ไม่ดีของสิ่งโน้นสิ่งนี้ อารมณ์ของเราก็จะขุ่นมัวไปด้วย ใครๆ ก็ไม่อยากอยู่ใกล้ นอกจากนั้น เมื่อจิตใจไม่สดใส ร่างกายก็จะแย่ตามไปด้วย ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือความเครียดหรือความล้าที่จะเกิดขึ้นตามมา แต่ถ้าเราพยายามคิดหรือมองในแง่มุมที่ดีของสิ่งต่างๆ อยู่เป็นประจำ อารมณ์ของเราก็จะแจ่มใส ถึงจะไม่ได้เป็นสุขอะไรมากมาย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเป็นทุกข์แต่อย่างใด ใครเห็นใครก็อยากคบค้าสมาคมด้วย และเมื่อจิตใจแจ่มใส สุขภาพร่างกายก็จะดีตามไปด้วย
คนไทยในปัจจุบันส่วนใหญ่มักจะมีนิสัยที่ชอบวิจารณ์ผู้คน การกระทำ หรือสิ่งต่างๆ ในแง่ที่ไม่ดีเสมอ คนที่ได้เคยสัมผัสกับสังคมของฝรั่งโดยเฉพาะคนอเมริกันมาบ้าง มักจะบอกว่าฝรั่งนั้นปากหวาน สมมติว่าทำงานออกมามีคุณภาพดีในระดับปานกลาง แต่เขาก็มักจะชมเสียจนงานนั้นแทบจะเป็นผลงานชิ้นที่ดีที่สุดในชีวิตเลยทีเดียว แล้วเราก็มักจะวิจารณ์ว่าเป็นคำชมที่ไม่จริงใจ ถึงจะไม่จริงใจเต็มทั้งร้อย แต่การพูดถึงสิ่งต่างๆ ในแง่บวกแทนที่จะพูดถึงในแง่ลบ มันก็ทำให้สังคมน่าอยู่มากกว่าไม่ใช่หรือ
หมายเหตุเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทดลอง:
เท่าที่จำได้ ผลพลอยได้ประการหนึ่งจากการทดลองที่กล่าวถึงก็คือ กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าเซลล์สมองสามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้ ถ้าสมองได้รับการบริหารอยู่เป็นประจำ ทำให้การทดลองนี้เป็นการทดลองหนึ่งในอีกหลายๆ การทดลองที่หักล้างความเชื่อเก่าๆ ที่ว่า เซลล์สมองจะมีการสร้างขึ้นใหม่จนถึงอายุประมาณ 20 กว่าปีเท่านั้น หลังจากนั้นก็จะไม่มีการสร้างเซลล์สมองใหม่ขึ้นมาอีก มีแต่เซลล์เก่าจะค่อยๆ เสื่อมสลายไปเท่านั้น
ดังนั้น ผู้ที่มีอายุมากก็ไม่ควรที่จะหยุดคิด หยุดหาความรู้ใส่ตัว หรือปลงในชีวิตมากจนเกินไป คำพูดที่ว่าเรียนกันไปจนวันตายนั้นเป็นจริงและเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจอย่างยิ่ง ส่วนผู้ที่ใช้ชีวิตวัยหนุ่มสาวไปกับการทำลายเซลล์สมองด้วยการดื่มสุราอย่างหนักเป็นประจำ ก็ควรจะมีกำลังใจว่าเราสามารถสร้างเซลล์สมองขึ้นมาทดแทนใหม่ได้อย่างแน่นอน เพียงแต่จะต้องรู้จักสำเหนียกตัวเอง ดื่มแต่พอประมาณ ให้อัตราการสร้างเซลล์สมองใหม่มากกว่าอัตราการถูกทำลายของเซลล์สมองเก่าเท่านั้น (ขอปิดท้ายด้วยการปลอบใจตัวเองและเพื่อนฝูงอีกหลายท่านครับ...)
Create Date : 19 มกราคม 2549 |
|
24 comments |
Last Update : 19 มกราคม 2549 12:25:48 น. |
Counter : 1359 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: ป้ามด 19 มกราคม 2549 13:13:53 น. |
|
|
|
| |
โดย: ju (กระจ้อน ) 19 มกราคม 2549 13:46:48 น. |
|
|
|
| |
โดย: ซออู้ 19 มกราคม 2549 13:47:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: อิศวร์ (พ่อน้องโจ ) 19 มกราคม 2549 23:22:01 น. |
|
|
|
| |
โดย: rebel 20 มกราคม 2549 9:26:07 น. |
|
|
|
| |
โดย: T_Ang 20 มกราคม 2549 13:44:40 น. |
|
|
|
| |
โดย: erol 20 มกราคม 2549 13:45:38 น. |
|
|
|
| |
โดย: กระจ้อน 20 มกราคม 2549 20:18:18 น. |
|
|
|
| |
โดย: ju (กระจ้อน ) 21 มกราคม 2549 14:09:55 น. |
|
|
|
| |
โดย: ซออู้ 22 มกราคม 2549 21:34:59 น. |
|
|
|
| |
โดย: yyswim 24 มกราคม 2549 14:49:00 น. |
|
|
|
| |
โดย: คุณย่า 25 มกราคม 2549 7:35:45 น. |
|
|
|
| |
โดย: ju (กระจ้อน ) 25 มกราคม 2549 11:06:38 น. |
|
|
|
| |
โดย: P.Ta 25 มกราคม 2549 12:39:22 น. |
|
|
|
| |
โดย: บุม IP: 118.174.64.244 14 มิถุนายน 2551 19:28:07 น. |
|
|
|
| |
|
|
ศิลปิน: เฉลียง เพลง: หวาน ชุด: ปรากฏการณ์ฝน ปี: 2525
|
|
|
|
|
|
|
|
แล้วป้ามดจะนั่งเรียนต่อไปค่ะ