จากรายงานการสำรวจขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติเมื่อปี พ.ศ. 2543 พบว่าประเทศไทยมีเนื้อที่ทำการเกษตรอันดับที่ 48 ของโลก แต่ใช้ยาฆ่าแมลงอันดับ 5 ของโลก ใช้ยาฆ่าหญ้าอันดับ 4 ของโลก ใช้ฮอร์โมนอันดับที่ 4 ของโลก ประเทศไทยนำเข้าสารเคมีสังเคราะห์ทางการเกษตรเป็นเงินปีละกว่า 3 หมื่นล้านบาท เกษตรกรต้องซื้อปัจจัยการผลิตที่เป็นสารเคมีสังเคราะห์เพื่อใช้ในการเพาะปลูกซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตทางตรงที่เกษตรกรต้องแบกรับ ส่งผลให้ต้องมีการลงทุนต่อไร่สูงและต้องใช้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ราคาผลผลิตไม่ได้ปรับตัวสูงขึ้นตามสัดส่วนของต้นทุนที่สูงขึ้น ส่งผลให้เกษตรกรขาดทุนเรื้อรัง มีหนี้สินล้นพ้นตัว (//www.dip.go.th/Portals/0/cluster97%E0%B8%A2.pdf)
ยาฆ่าหญ้ามหาศาลไหลลงสู่แหล่งน้ำ...
ยาฆ่าแมลงจำนวนมหาศาล ฝนตกลงมาใหลไปใหน?
อยากเห็นรัฐบาลลงทุนทำท่อน้ำ นำน้ำสะอาดจากป่าอุทยานเขาใหญ่ระยะแค่150กิโลเมตร มาทำน้ำประปาแทนน้ำดิบจากเจ้าพระยาทีปนเปื้อนเคมีการเกษตร ...............................เหมือนชาวโรมันเมื่อ2000ปีมาแล้วที่ผู้นำของเขา กล้าลงทุนสร้างสะพานน้ำนับพันไมล์เพื่อให้พลเมืองในเมืองใหญ่ใด้บริโภคน้ำสะอาดบริสุทธิ์
เมื่อ 2000ปี มาแล้วชาวโรมันลงทุนสร้างสะพานน้ำนำน้ำสะอาดจากป่าบนภูเขานับพันไมล์เพื่อสุขภาวะทีดีของชาวเมือง.....แต่ทำไมวันนี้พลเมืองไทยจึงต้องรับกรรมจากการนำน้ำดิบที่ปนเปื้อนสารพิษเคมีการเกษตรจากแม่น้ำทั้งหลายมาฟอกย้อมด้วยเคมีต่างๆเพื่อดืมกินในขณะทีอารยะประเทศอาทิเช่น ญีปุ่น อเมริกา ยุโรป ออสเตรเลียไม่มีใครทำแบบนี้.... เพิ่มการลงทุนอีกนิดเพื่อลูกหลานในอนาคตเถอะครับ