กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
<<
กุมภาพันธ์ 2567
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
2526272829 
space
space
16 กุมภาพันธ์ 2567
space
space
space

อธิษฐานจิต



235คนไทยอธิษฐานเพื่อจะได้ - พระให้อธิษฐานเพื่อจะทำ
 
 
     ย้อนกลับมาที่เรื่องอ้อนวอน กับ อธิษฐาน อีกครั้ง
 
     การอธิษฐานจิตนั้น  เป็นการตั้งเป้าให้กับจิตใจ  ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก  แต่การอธิษฐานนี้  ต่างจากการอ้อนวอน คือเพียงแต่จับเอาตัวเนื้อแท้ที่เป็นสาระในการอ้อนวอนนั้นมาใช้  ไม่ใช่อยู่กับสิ่งที่เลื่อนลอย
 
     การอ้อนวอน  อยู่กับสิ่งที่เลื่อนลอยฝันเพ้อไป  มีความเชื่อและโมหะเป็นฐาน  แต่อธิษฐาน  โยงกับความจริง  มุ่งไปหาสิ่งที่มองเห็นด้วยปัญญา
 
     การอ้อนวอนเป็นการขอให้เทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทำให้  โดยตัวเองไม่ต้องทำ  มุ่งไปที่การจะได้จะเอา ไม่โยงไปสู่การกระทำของตนเอง    แต่อธิษฐานมุ่งไปยังสิ่งที่จะทำ และนำไปสู่การกระทำ
 
     สืบเนื่องจากข้อก่อนนั้น การอ้อนวอน ก็คือต้องรอให้เขาทำให้ จึงนำไปสู่การงอมืองอเท้า เกียจคร้าน และอ่อนแอ แต่อธิษฐานนำไปสู่ความเพียรพยายาม และความเข้มแข็ง
 
     นอกจากนั้น การอ้อนวอน ไม่โยงไปหาการพัฒนาตนเอง  ไม่เกี่ยวกับการพัฒนาตน  เพราะไปฝากความหวังไวักับสิ่งภายนอก  ให้ปัจจัยภายนอก เช่น เทพเจ้ามาช่วย แต่การอธิษฐาน เป็นการพัฒนาตนเอง  เพื่อจุดหมายที่ตนมองเห็น และตัดสินใจด้วยปัญญา เป็นการที่ทำให้เราก้าวหน้าต่อไปในการพัฒนาแห่งสิกขา ดังนั้น  จึงต่างกันอย่างตรงข้าม
 
     พูดสั้นๆ ว่า   นักปรารถนานักอ้อนวอน  เชื่อการบันดาล   แต่นักอธิษฐาน   เชื่อการกระทำ
 
     แม้แต่พระโพธิสัตว์ก็มีอธิษฐานเป็นบารมีข้อหนึ่งใน ๑๐ เรียกว่า อธิษฐานบารมี   ทั้งที่โดยทั่วไป พระโพธิสัตว์ก็ต้องมีปณิธานอยู่แล้ว คือ เวลาจะทำความดีอะไรอย่างหนึ่ง ก็มีปณิธานว่าจะต้องมุ่งมั่นทำอย่างแน่วแน่ และด้วยปณิธานนั้นก็ทำให้พระองค์กระทำการได้สำเร็จ
 
     อย่างที่ได้บอกแล้วว่า มนุษย์เราทุกคนไม่สามารถทำความดี และทำจุดหมายทุกอย่างให้สำเร็จได้ทั้งหมดคราวเดียว อย่าว่าแต่เราเลย  พระโพธิสัตว์ก็ทำไม่ได้
 
     ความดีต่างๆ นั้น   มีมากมายเหลือเกิน   เราต้องเลือกทำ และถ้าเราทำไปเรื่อยๆ เปื่อยๆ ก็จับจด แล้วก็ไม่ได้ผลเป็นชิ้นเป็นอัน
 
     ฉะนั้น  ในการทำความดีถ้าเราเอาพระพุทธเจ้าเป็นแบบอย่าง ก็ต้องดูว่า พระองค์เมื่อก่อนที่จะตรัสรู้คือยังเป็นพระโพธิสัตว์  พระองค์ก็ใช้ปณิธานคือตั้งจิตมุ่งมั่นที่จะทำการนั้นๆ ให้สำเร็จ และในการตั้งปณิธานนั้น การอธิษฐานเป็นสิ่งสำคัญมาก
 
     อธิษฐานจิต  คือ ตั้งใจเด็ดเดี่ยว  มุ่งมั่น  ปักแน่วลงไปที่จุดเริ่มต้นว่า จะต้องทำเป้าหมายนี้ให้สำเร็จ  จะต้องทำความดีงามนี้ให้สำเร็จ  แล้วอันนี้จะเป็นทางแห่งความสำเร็จที่แท้จริง  เพราะจะเป็นแรงหรือพลังส่งที่รวมจิตเข้าไปอย่างที่ได้กล่าวแล้ว
 
     ในราตรีแห่งวันที่จะตรัสรู้  เมื่อพระโพธิสัตว์ลงประทับนั่งใต้ร่มมหาโพธิ์   ก็ได้อธิษฐานพระทัยว่า  ถ้าไม่บรรลุโพธิญาณ จะไม่ทรงลุกขึ้น   แม้ว่าเลือดเนื้อจะแห้งเหือดไป (องฺ.ทุก.๒๐/๒๕๑)
 
     อันนี้  เป็นเรื่องที่ขอพูดแทรกเข้ามา   เพื่อจะให้โยมได้ประโยชน์จากเรื่องของการอธิษฐาน  คืออย่าให้เลยไปเป็นการอ้อนวอน   เพราะการอ้อนวอนนั้น   เป็นการฝากความหวัง และฝากชีวิตไว้กับปัจจัยภายนอก  แล้วก็นำไปสู่ความลุ่มหลง การไม่พัฒนาตน   ความเป็นอยู่อย่างเลื่อนลอย และการกล่อมใจตัวไปวันๆ ทำให้งอมืองอเท้า ถ้าเป็นสังคม ต่อไปก็เสื่อม
 
     เวลานี้ คนไทยทั่วไปก็เข้าใจเคลื่อนคลาดผิดพลาดไปในความหมายของ  “อธิษฐาน”  มักนึกถึงอธิษฐานนั้น ในความหมายที่เป็นการอ้อนวอนปรารถนา   เรื่องก็เลยกลายเป็นว่า อธิษฐานของคนไทย กับ อธิษฐานของพระไม่เหมือนกัน
 
     พูดง่ายๆ ว่า  คนไทยอธิษฐานเพื่อจะได้   แต่พระสอนให้อธิษฐานเพื่อจะทำ
 
     คนไทยอย่าถอยกลับไปเป็นเหมือนอย่างในศาสนาพราหมณ์ก่อนพระพุทธเจ้าอุบัติ  ที่มนุษย์ฝากความหวังในความสำเร็จไว้กับการเซ่นสรวงอ้อนวอน   เอาชีวิตไปฝากไว้กับการดลบันดาลของเทพเจ้า   ทำให้เป็นคนอ่อนแอ เกิดผลเสียทั้งแก่ชีวิตและสังคม เช่น
 
        ๑. คนทั้งหลาย  ต่างก็มัวรอคอยผลจากการดลบันดาลของอำนาจเร้นลับภายนอก  ตกอยู่ในความประมาท และไม่พัฒนาตัวเอง
 
        ๒. ในทางสังคม  เมื่อแต่ละคนมองมุ่งออกไปหาความช่วยเหลือให้แก่ตนเองจากอำนาจบันดาลผลที่อยู่นอกชุมชน ก็เลยลืมที่จะใส่ใจเหลียวมองดูเพื่อนมนุษย์ผู้อยู่ร่วมชุมชนและสังคม ไม่แสวงหาความร่วมมือและคิดพึ่งพากันในหมู่มนุษย์ ทำให้ไม่มีการร่วมกันแก้ปัญหา   และร่วมกันสร้างสรรค์ชุมชน หรือสังคมของตน กลายเป็นเรื่องของแต่ละคนที่จะเอาตัวรอด
 
     ปัญหาต่างๆ เกิดขึ้น เพราะแต่ละคนก็หวังประโยชน์ส่วนตัว  ทำอย่างไรฉันจะได้นั่นได้นี่จากเทพเจ้า ปัญหาของตัวก็รอให้เทวดาแก้ไข  ปัญหาส่วนรวมก็ถูกทิ้งไว้
 
     พระพุทธเจ้าเสด็จมาประกาศในทางที่ตรงกันข้าม   พระองค์มาสอนว่า  มนุษย์เราสามารถทำการให้สำเร็จได้ด้วยความเพียรพยายามของตนเอง  แต่เราต้องรู้เหตุปัจจัย  ต้องรู้ธรรม  ต้องรู้ความจริงของกฎธรรมชาติ  ด้วยการพัฒนาปัญญาขึ้นมา  โดยเรียนรู้ และฝึกฝนตนด้วยสิกขา  เมื่อเรามีปัญญา  รู้ธรรม  รู้เหตุปัจจัย  ก็ใช้ความเพียรพยายามทำการด้วยกรรม ให้ตรงตามเหตุปัจจัยนั้น  ก็ได้ผลดี
 
     สังคมของเราๆ ก็มาช่วยกันสร้างสรรค์   แก้ไขให้ดีได้   ชีวิตของเราๆ ก็ปรับปรุงให้ดีได้  เราแก้ไขปัญหาชีวิตและร่วมกันแก้ปัญหาสังคมของเราได้
 
     แต่ถ้าเราไปหวังพึ่งปัจจัยภายนอก  ก็จบ   ชีวิตของเราก็ไม่เพียรพยายามทำดี  มัวแต่คอยหวังผลประโยชน์ส่วนตัวด้วยการอ้อนวอน แต่ละคนก็จะเอาเพื่อตน  สังคมก็ยิ่งย่ำแย่ลงไปตามลำดับ
 
     นี่เป็นหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนไว้ให้แก่เราแล้ว   ควรจะเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์   ที่ขอนำเรื่องนี้มาพูด เพราะว่าธรรมมีแง่มุมต่างๆ ที่เราจะต้องพิจารณาเยอะ   ถ้าไปมองชั้นเดียวแล้วบางทีจะพลาด  อย่างเรื่องสมาธิเป็นต้น ที่พูดไปแล้ว ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสีย
 
     อย่างน้อยพระพุทธเจ้าก็ได้ทรงสั่งสอนไว้  ให้เรารู้จักมองทุกสิ่งทุกอย่างให้ตรงความจริงที่มีหลายแง่หลายมุม ที่เรียกว่า วิภัชชวาท   แปลว่า  จำแนกพูด คือรู้จักพิจารณาอย่างแยกแยะ  เช่น  มองเห็นว่าสิ่งทั้งหลายมีทั้งส่วนดีและส่วนเสีย  แม้แต่กุศลธรรมที่เราว่าดีแล้ว  มันก็มีแง่ที่จะให้คุณและแง่ที่จะให้โทษ  อย่างสมาธิ เป็นต้น  ที่กล่าวไปแล้ว จึงจะต้องไม่มองในแง่เดียว ไม่ใช่ด้านดีอย่างเดียว หรือร้ายอย่างเดียว
 
     การที่ว่า มันดีก็ได้  มันร้ายก็มี  อย่างหนึ่งก็คือ การที่มันเป็นปัจจัยแก่กันและกันได้  อกุศลธรรมก็เป็นปัจจัยแก่กุศลได้ กุศลธรรมก็เป็นปัจจัยแก่อกุศลได้  อันนี้แหละสำคัญมาก  
 
     เพราะฉะนั้น  จากสิ่งที่ไม่ดี  ถ้าเราใช้เป็น  เราก็เอาสิ่งที่ไม่ดีมาทำให้เป็นประโยชน์ได้   เอาอกุศลมาใช้เป็นปัจจัยแก่กุศลก็ได้   กุศลธรรมถ้าเราใช้ไม่เป็น   มันก็กลับเป็นปัจจัยแก่อกุศล  อย่าไปภูมิใจหลงว่า  เรานี้มีดีแล้ว  ก็ดีนี่แหละมันจะกลับเป็นตัวก่อผลร้าย   ทำให้เกิดโทษได้
 
     ถ้าเราใช้เป็น ไม่ประมาท  ก็ใช้อกุศลทำให้เกิดผลดีขึ้นมาก็ได้  อย่างตัณหาพระพุทธเจ้าทรงเอามาใช้กับพระนันทะ เป็นอุบายชักจูง พระนันทะให้รู้แจ้งธรรมเป็นพระอรหันต์ได้
 
     แต่โยมที่มีศรัทธา หรือแม้แต่พระโสดาบัน   ขนาดเป็นพระอริยบุคคลแล้ว   ถ้าเกิดไปสันโดษผิดทางขึ้นมา   สันโดษตัวนี้ก็กลายเป็นทำให้พระโสดาบันประมาท   เกิดเป็นอกุศลขึ้นมา  ความสันโดษทำให้เกิดความประมาท
 
     พระโสดาบันสันโดษในธรรมที่ได้บรรลุ    พระพุทธเจ้าตรัสว่าท่านเป็น  ปมาทวิหารี   แปลว่า ผู้เป็นอยู่ด้วยความประมาท จะเป็นผู้เสื่อม  ฉะนั้น  ธรรมนี้จะต้องมองกันหลายๆ แง่ และต้องมีหลักที่จะมองให้ถูกต้อง
 


Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2567
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2567 17:54:20 น. 0 comments
Counter : 95 Pageviews.
(โหวต blog นี้) 

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space