กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
<<
กุมภาพันธ์ 2567
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
2526272829 
space
space
10 กุมภาพันธ์ 2567
space
space
space

ถ้าคนประสานกับธรรม ก็มีทางแก้ปัญหาชีวิตและสังคม


235 ถ้าคนไม่ประสานกับธรรม ก็ไม่มีทางแก้ปัญหาชีวิตและสังคม


     พอถึงจุดนี้ก็คือ  เราถูกเชื่อมโยงเข้ามาหาธรรมแล้ว ธรรมนี้แหละ ก็ขยายเป็นอริยสัจ ๔

     เมื่อกี้นี้  เราถูกภัยคุกคาม ก็เที่ยวหาที่พึ่ง  ตอนนี้เรามาหาธรรมแล้ว เริ่มต้นก็ลองพิจารณามองดูความจริงของสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับตัวเรา คือสิ่งรอบตัว  ถ้าเราไม่รู้จักความจริงของมันและปฏิบัติต่อมันไม่ถูกต้อง  ทุกอย่างก็เกิดเป็นปัญหาขึ้นได้ทั้งนั้น   เรียกว่า ทุกข์

     จากนั้น  เราก็รู้ต่อไปว่า  เราจะแก้มันได้  เราจะเปลี่ยนมันพลิกมันจากเป็นทุกข์  ให้กลายเป็นไม่มีทุกข์  สิ่งทั้งหลายที่เราเกี่ยวข้องนี้แหละ  เมื่อเราไม่รู้เท่าทันมันตามเป็นจริงและปฏิบัติต่อมันไม่เป็น  ก็เป็นทุกข์ทั้งนั้น  พอเรารู้ทันมันและปฏิบัติต่อมันอย่างถูกต้อง  ก็พลิกจากทุกข์เป็น หายทุกข์  หมดทุกข์เป็นสุขไปเลย

     เพราะฉะนั้น  พระพุทธเจ้าจึงเริ่มจากทุกข์ที่เป็นจุดกระทบของคน แล้วนําเดินหน้าไปยังธรรม  ที่จะทําให้เราพลิกทุกข์ให้หายลับไป

     เริ่มแรกก็ให้รู้จักสิ่งทั้งหลาย  สิ่งที่เป็นปัญหาแก่เรานี้   เรารู้มันเสียก่อน  จับตัวมันให้ได้  เสร็จแล้วก็สืบสาวหาเหตุ  รู้สมุทัยแล้ว  ก็มองเห็นจุดหมายของตัว และรู้ตัวเองว่าทําได้นะ ถึงตอนนี้ท่านก็บอกวิธีปฏิบัติที่จะพลิกมัน

     พอปฏิบัติถูกต้อง ทุกข์นั้นก็หายไปเลย  กลายเป็นว่าทุกข์นั้นไม่มี  พอปฏิบัติประสานเข้ากับธรรม  ในที่สุดทุกข์ก็ไม่มี  เพราะทุกข์มันหายไปเลย นั้นก็คือความสิ้นทุกข์ดับทุกข์หมดทุกข์หรือไร้ทุกข์

     เพราะฉะนั้น  ท่านผู้ปฏิบัติสําเร็จตามธรรม  เข้าถึงธรรมแท้จริงแล้ว  ทุกข์ไม่มี  ทุกข์หายไป  ทุกข์นั้นมีแต่ในธรรมชาติตามธรรมดาของมัน  เป็นเรื่องของมันเอง

     สิ่งทั้งหลายเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็เป็นธรรมดาตามธรรมชาติของมัน แต่มนุษย์ไม่รู้ ไม่เข้าใจความจริง  ก็เลยตกเป็นทาส  ถูกกฎธรรมชาติครอบงํา  ก็เกิดทุกข์ขึ้น พอรู้ความจริงเข้า จึงค่อยๆ คลาย ค่อยๆ พ้นออกมา  ทุกข์ก็น้อยลง  สุขมากขึ้น  จนกระทั่งในที่สุดทุกข์หมด  ไปไม่เหลือ  เราโปร่งโล่ง  เป็นอิสระ  อยู่เหนือมัน  ส่วนทุกข์ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ  ก็เป็นเรื่องของธรรมชาติไป

     ใครจะไปแก้ทุกข์ในธรรมชาติได้  สิ่งทั้งหลายคือสังขารเป็นทุกข์นี่ ไม่มีใครไปแก้ได้ แต่เมื่อสิ่งทั้งหลายเป็นทุกข์ตามธรรมชาติของมัน  ทําไมจึงมาเป็นทุกข์ในเราด้วยล่ะ  แสดงว่าเราผิด  เราไปเอาทุกข์มาใส่ตัวเอง  แต่พอเรารู้เท่าทัน  เราปฏิบัติถูก  เข้าถึงความจริง  เข้าถึงธรรมแล้ว  ทุกข์ที่มีในธรรมชาติ  ก็เป็นทุกข์ตามธรรมชาติไป  แต่ไม่เข้ามาครอบงําจิตของเรา  เราก็ไม่ทุกข์ไปด้วย  เราจึงเป็นอิสระหลุดพ้น

     ในการศึกษาฝึกฝนพัฒนาตนนั้น คนจะปฏิบัติตามธรรมไปจนกระทั่งถึงจุดหมาย  แต่กว่าจะถึงจุดหมายหมดทุกข์เป็นอิสระนั้น  มนุษย์จะประเสริฐขึ้นไปตามลําดับ  มีความดีงามเกิดขึ้นในชีวิตของตัวเอง  และเป็นส่วนประกอบที่ดีงามของสังคม  เป็นมนุษย์ที่เกื้อกูลต่อชาวโลก ชีวิตก็ดีงาม สังคมก็ดีงาม และช่วยสร้างสรรค์โลกนี้ให้น่าอยู่ไปด้วย

     ถ้าปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนา  ก็จะทําให้ทุกสิ่งทุกอย่างดีงามขึ้น  อย่างประสานกลมกลืนและเกื้อกูลซึ่งกันและกัน  แต่ถ้าดําเนินตามวิถีของมนุษย์ปุถุชนที่ไม่ฝึกตน  ก็หันไปคิดจะแก้แต่ข้างนอก  เอาชนะข้างนอก  อย่างวิทยาศาสตร์ที่มุ่งหวังพิชิตธรรมชาติ  คิดแต่จะจัดการกับโลกภายนอก   ไม่เอาชนะธรรมชาติภายใน  พ่ายแพ้ตกเป็นทาสแก่สภาพไร้การพัฒนาในตัวเอง  ก็จึงทําให้เกิดปัญหายุ่งยากเพิ่มขึ้น

     ขอให้ดูสภาพที่ปรากฏในปัจจุบันนี้  จะเห็นได้ว่าเกิดความขัดแย้งกันไปหมด ชีวิตคนก็ขัดแย้งกับชีวิตของสังคม  ผลประโยชน์ของบุคคลขัดแย้งกับผลประโยชน์ของสังคม  ผลประโยชน์ของมนุษย์ขัดแย้งกับผลประโยชน์ของธรรมชาติ คน-สังคม-ธรรมชาติอยู่ร่วมกันด้วยดีไม่ได้ จะให้ฝ่ายหนึ่งได้  ฝ่ายหนึ่งก็เสีย

     คนปัจจุบันวุ่นวายกับปัญหาสภาพแวดล้อมเสีย  ปัญหาสังคมที่อยู่กันอย่างหวาดระแวงแก่งแย่ง  มองกันเป็นคู่แข่งหรือเป็นเหยื่อ  ชีวิตของคนก็ไม่มีความสุข เพราะมีความเครียดเร่าร้อนกระวนกระวายตลอดเวลา  ทั้งหมดนี้ก็เพราะว่ามนุษย์เดินทางออกจากธรรม  แทนที่จะเดินทางเข้าใกล้ และเข้าสู่ธรรม

     ตอนนี้ถึงเวลาที่จะต้องยอมรับความจริงว่า  ถ้าจะเอาให้ถูกต้องจริง จะให้ชีวิตดีงามมีความสุข ทั้งชีวิตตนเอง  ทั้งกายและใจ ทั้งสังคม  ทั้งสิ่งแวดล้อม  ให้อยู่กันได้ดี  ตอนนี้พูดได้ว่า  ไม่มีทางเลี่ยงแล้ว จะต้องเข้ามาสู่ทางของการเข้าถึงธรรม

     เวลานี้โลกมนุษย์เริ่มสํานึกรู้มากขึ้นตามลําดับ  ว่าวิธีแก้ปัญหา  วิธีสร้างความเจริญ และวิธีหาความสุขแบบที่เป็นอยู่ในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย  ที่สร้างอารยธรรมขึ้นมาอย่างที่เห็นกันอยู่นี้  มันผิดพลาด

     ปัญหาที่แก้ได้  ไม่คุ้มกับปัญหาที่ทําให้เกิดขึ้นใหม่มากมาย  เพราะว่าอยู่กันไป ตัวมนุษย์เองก็ไม่มีความสุขมากขึ้น ชีวิต ทั้งกายและใจ ก็ไม่ดีขึ้น  สังคมก็วุ่นวายเดือดร้อนมากขึ้น สิ่งแวดล้อมก็ถูกผลาญ  ถูกทําลาย  สลายเสื่อมไปตามลําดับ

     เมื่อได้บทเรียนมากขึ้น  ก็ทําให้มนุษย์เริ่มหันมาสนใจธรรม  แต่มองในแง่หนึ่งก็เหมือนกับฝืนกระแส  มันก็ยากเหมือนกัน  แต่ถ้าเราจับจุดจากที่ว่าเมื่อกี้ได้   เราจะสบายใจ

     ทัมม์ และธัมม์  สองตัวนี้  จับให้ได้  การที่จะให้ชีวิตดีงาม  จะให้ทุกสิ่งเป็นไปด้วยดี  เราหลีกเลี่ยงความจริงไม่พ้นหรอก  เราจะต้องปฏิบัติให้สอดคล้องกับความจริง โดยใช้ปัญญาที่รู้ความจริงมาจัดการ  ไม่มีวิธีทางอื่นที่ดีกว่านี้  เทพพรหมที่ไหนก็มาทําให้ไม่ได้


     อันนี้แน่นอน ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ วิทยาศาสตร์ที่พยายามแก้ปัญหา ก็โดยการพยายามจะเข้าถึงความจริงอันนี้   แต่ไปวุ่นอยู่กับความจริงด้านเดียว เลยได้แต่เครื่องมือที่จะแก้ปัญหา แต่ไม่ได้แก้ไขคนที่ ก่อปัญหา คนที่เป็นปัญหา ก็เลยเอาเครื่องมือที่จะแก้ปัญหา ไปใช้ก่อ ปัญหาให้หนักขึ้น

     เพราะฉะนั้น เราอย่ามัวไปหวังวิธีอื่นเลย พระพุทธเจาสอนเราไว้นานแล้ว อย่างน้อยพระองค์ก็ดึงจากเทพมาสู่ธรรมแล้ว วิธีแน่นอน  คือ ต้องเข้าถึงธรรม และปฏิบัติไปตามธรรม

     ความจริงอันนี้แน่นอน  ธัมม์ตัวที่ ๑ (ธรรม/ธัมมะ) เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องใช้มัน และ ทัมม์ตัวที่ ๒ คือ มาดตัวเราเองว่าเป็นทัมม์  (ทัมมะ) คือเป็นสัตว์ที่ฝึกได้  พัฒนาได้

     เมื่อเรามีกําลังใจ เพราะมีแบบอย่างให้  คือพุทธะ เราก็พัฒนาตัวเองให้เกิดปัญญาเข้าถึงธรรม  และปฏิบัติให้ได้ตามธรรม  ให้สามารถนําธรรมคือปัญญาที่รู้ความจริงของธรรมมาใช้ประโยชน์ให้ ได้อันนี้เป็นทางออก และความสำเร็จอีนเดียวของมนุษย์   เราจะพอใจหรือไม่ก็แล้วแต่  แต่ไม่มีทางเลี่ยง

     สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นี้เป็นสัจธรรม  เป็นความจริงที่ไม่มีใครกล้าคัดค้านได้ หรืออาจจะกล้าคัดค้านแต่ก็คัดค้านไม่สําเร็จ เพราะต้องเข้าถึงธรรมและต้องใช้ธรรมนี้แน่นอน และตัวเราก็ต้องพัฒนาตัวเองขึ้นไป

     เป็นอันว่า  ชาวพุทธต้องเอาสองอย่างนี้  คือ  หนึ่ง ตัวธัมม์ ธ ธง (ธัมมะ/ธรรม) สอง ตัวเราทัมม์ ท ทหาร (ทัมมะ) เอาเจ้าสองตัวนี่มาประสานกันให้สําเร็จ ก็จะบรรลุความเป็นพุทธะ และนําโลกสู่การแก้ปัญหาได้จริง

     วันนี้เรามาถึงที่นี่แล้ว  เรามาถึงที่ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ นี่แหละคือ จุดประสานของธัมมะ กับ ทัมมะ เรามาถึงจุดต้นแบบพุทธะ  ต้นแบบนั้น  เกิดขึ้นที่นี่  จึงเป็นกําลังใจให้เกิดความแกล้วกล้าที่ว่าเราจะต้องทําหน้าที่นี้ให้สําเร็จ แล้วก็ช่วยกันไปแก้ไขปัญหาโลก  ปัญหาสังคม  ปัญหาชีวิตให้ สําเร็จ สร้างสังฆะ ขึ้นมาให้ได้

     ถ้าเราทำใจได้ถูกต้อง  หันมาพิจารณาความจริงนี้  แม้จะยาก  แต่เพราะเป็นสัจธรรม เราก็จะเกิดความมั่นใจในตัวเอง และเราจะต้องช่วยกันกระตุ้นเตือนจิตสํานึก และสร้างความมั่นใจกําลังใจให้เกิดขึ้นให้ได้  กําลังในฝ่ายธรรมเวลานี้ เบา อ่อนแอ และขาดแคลน เพราะคนที่จะมีความมั่นใจในหลักสองประการนี้เดี๋ยวนี้มีน้อย คือ

        ๑. มั่นใจในธรรม  คือความจริงของกฎธรรมชาติแห่งความเป็นไปตามเหตุปัจจัย ด้านนี้เราต้องสํารวจตัวเราเอง  แม้แต่ชาวพุทธว่า เรามีความมั่นใจแค่ไหน

        ๒. มั่นใจตัวเราเอง  ที่ฝึกได้พัฒนาได้  ที่จะเป็นพุทธะได้  เรามั่นใจแค่ไหน

     นี่เป็นทางออกทางเดียวที่จะแก้ปัญหาของโลกมนุษย์นี้ได้ เราจะต้องพยายามช่วยเหลือโลกมนุษย์  ด้วยการสร้างความมั่นใจนี้ขึ้นมา

     บัดนี้เรามาถึงจุดนี้แล้ว เหตุการณ์ที่ ธัมม์ กับ ทัมม์ มาประสานบรรจบกันได้เกิดขึ้นที่นี่ เพราะฉะนั้น  ขอให้เราสร้างความมั่นใจขึ้นในตัวเราที่จะทําให้ได้อย่างนั้นด้วย  โดยเอาองค์พระพุทธเจ้าเป็นแบบอย่าง  ให้ทุกท่านมีความมั่นใจ และมีกําลังใจ  อย่างน้อยก็คอยระลึกถึงองค์พุทธะมาเตือนใจเราให้

        ๑. มั่นใจในตัวเราที่เป็นมนุษย์  ซึ่งเป็นสัตว์ที่ฝึกฝนพัฒนาได้ มีศักยภาพที่จะทําให้เจริญงอกงามสู่ความสมบูรณ์

        ๒. สํานึกในหน้าที่ของมนุษย์ว่าจะต้องศึกษา  ฝึกฝนพัฒนาตน  เพื่อให้มีชีวิตที่ดีงาม จะปล่อยปละละเลยไม่ได้

        ๓. มีกําลังใจ  เพราะเราได้เห็นแบบอย่าง คือองค์พระพุทธเจ้าที่ทรงทําได้จริงอย่างนั้นแล้ว องค์พุทธะได้มาเกิดขึ้นที่นี่แล้ว เราก็จะทําได้ สําเร็จตามอย่างพระองค์

        ๔. ได้วิธีแบบอย่าง  จากประสบการณ์ที่พระองค์บําเพ็ญไว้แล้ว และทรงมอบให้ไว้แก่พวกเรา ทําให้สะดวกที่เราจะประพฤติปฏิบัติต่อไป


     วันนี้  ได้แค่ระลึกถึงพระพุทธเจ้าให้เกิดความเตือนใจ ๓ ประการนี้ ก็คุ้มค่าแล้ว

     ฉะนั้น จึงขอให้เราเกิดความมั่นใจนี้   ระยะนี้เราจะต้องกระตุ้นกันมากหน่อย เพราะสังคมปัจจุบันนี้  มีสภาพแวดล้อมเป็นเหมือนที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า โลกนี้หมกจมอยู่ในความหลงระเริงมัวเมา  เพราะฉะนั้น  การที่จะเกิดแรงปลุกใจให้ดําเนินไปในกระแสธรรมจึงเป็นการยาก  พระองค์จึงน้อมพระทัยไปในการไม่สั่งสอน

     แต่เราในฐานะเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า   เราได้ร้บคำสอนของพระพุทธองค์ที่ถ่ายทอดกันมาแล้ว  เราต้องถือว่า เรานี้อยู่ในพวกสัตว์ที่ฝึกได้ และมีธุลีในดวงตาน่าจะไม่มากนัก ถ้าเรามีธุลีไม่มากนัก เราก็จะชําระล้างธุลีแลเห็นแสงสว่าง และจะดําเนินตามพุทธปฏิปทาต่อไปได้
 


Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2567
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2567 15:41:41 น. 0 comments
Counter : 156 Pageviews.
(โหวต blog นี้) 

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space