กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
 
มกราคม 2567
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
space
space
28 มกราคม 2567
space
space
space

ชมพูทวีปในพุทธกาล


235 มองผ่านๆ ข้ามพุทธกาล สู่ยุคอโศก


     ประเทศอินเดียหรือชมพูทวีปนี้  เราเรียนรู้ความเป็นมาโดยสัมพันธ์กับพุทธประวัติคือประวัติของพระพุทธเจ้าโดยค่อยๆ ดําเนินตามเหตุการณ์เริ่มจากพุทธกาลเรื่อยมา

     แต่ที่เราพูดถึงพระเจ้าอโศกนี้ ก็ยังย้อนไปไม่ถึงพุทธกาล พระเจ้า อโศกมหาราช ประสูติหลังพุทธกาลตั้งเกือบ ๒๐๐ ปี  เริ่มครองราชย์  ประมาณ ๒๑๘ ปีหลังพุทธกาล 

     ถ้าเราจะถึงยุคสมัยของพระพุทธเจ้าจริง   ก็ต้องย้อนถอยหลังไปอีก


235 ชมพูทวีปในพุทธกาล

     เราย้อนกลับไปสมัยพุทธกาล   เมื่อก่อนพุทธศักราช คือ เมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีมาแล้ว  ตอนนั้นประเทศอินเดียเรียกว่า ชมพูทวีป

     ชมพูทวีปเป็นดินแดนที่กว้างใหญ่ไพศาล  ในสมัยก่อนพุทธกาล และถึงพุทธกาลนั้น  มีอาณาจักรหรือแว่นแคว้นมากมาย   ท่านนับไว้ ๑๖ ประเทศ หรือ ๑๖ แว่นแคว้น  ใช้คำในภาษาบาลี ว่า  มหาชนบท คือ มีมหาชนบททั้งหมด ๑๖ ด้วยกัน

     คำว่า “ชนบท” นั้น   ในภาษาบาลี  ไม่ได้หมายความแค่ว่าบ้านนอก  แต่คล้ายๆกับคำว่า “country”   ในภาษาอังกฤษ  ซึ่งใช้ได้ ๒ ความหมาย ในความหมายทั่วไป country ก็คือประเทศ แต่ถ้าพูดว่า the country ก็หมายถึงบ้านนอก 

     “ชนบท”  ในภาษาบาลีก็คล้ายกัน โดยทั่วไปแปลว่า ถิ่นที่อยู่ของมนุษย์ คือ แว่นแคว้น หรือประเทศ   แต่เมื่อใช้ในความแวดล้อมบางอย่าง ก็เป็นชนบทในความหมายแบบไทย คือ บ้านนอก

     ในสมัยพุทธกาลและก่อนนั้น ถือว่า อินเดีย หรือชมพูทวีปนี้ มีแว่นแคว้นใหญ่อยู่ ๑๖ มหาชนบทด้วยกัน  ตามหลักฐานในพระไตรปิฎกว่ามี อังคะ  มคธ กาสี  โกศล วัชชี  มัลละ  เจตี วังสะ กุรุ  ปัญจาละ  มัจฉะ  สุรเสนะ อัสสกะ  อวันตี   คันธาระ และกัมโพชะ  (เช่น องฺ.ติก.๒๐/๕๑๐)


     นี่คือชื่อดินแดนในชมพูทวีปทั้งหมด ๑๖ ประเทศด้วยกัน

     แว่นแคว้นดินแดนเหล่านี้กล่าวได้ว่า  เรียงจากตะวันออกไปตะวันตก  เริ่มด้วย อังคะ ซึ่งตั้งอยู่ในดินแดนที่ปัจจุบันนี้เป็นบังคลาเทศ หรือต่อจากบังคลาเทศ   เทียบง่ายๆ  ก็ไล่มาตั้งแต่ตะวันออกของเมืองกัลกัตตา นี่คือแคว้นที่ ๑

     ต่อจากนั้นก็ถ็งแคว้นมคธ คือที่เรามายืนอยู่ขณะนี้แล้วก็ไปกาสี ซึ่งมีเมืองหลวงชื่อพาราณสี เลยไปอีกก็ถึงเมืองสาวัตถีในแคว้นโกศล  ส่วนวัชชีเราจะไม่ได้แวะเข้าไป

     นอกจากนั้น มัลละ เจตีเป็นต้น  ก็ว่าเรื่อยไป  จนถึงกุรุ  ซึ่งอยู่แถวเมืองเดลีต่อจากนั้น ปัญจาละ มัจฉะ สุรเสนะ อัสสกะ อวันตี   ก็เอาเดลี เป็นจุดกําหนด  ออกไปทางเหนือ ทางใต้  และข้างๆ

     ส่วนคันธาระ กัมโพชะ ก็โน่น  แถวปากีสถาน  จนถึงอัฟกานิสถาน เป็นอันว่าไล่ คร่าวๆไปตั้งแต่ตะวันออก  จนถึงตะวันตก นี้คือ อินเดียในสมัยโบราณ

     เป็นธรรมดา  เรื่องของการเมือง  ย่อมมีการแข่งขันแย่งชิงอํานาจ ซึ่งกันและกัน ประเทศที่มีอํานาจมากกว่าก็บุกรุกทําสงครามขยายดินแดน จนกระทั่งกว่าจะมาถึงยุคพุทธกาล ใน ๑๖ แว่นแคว้นนั้น   บางประเทศก็หมดอํานาจไป หรือ ถูกยุบรวมเข้ากับแคว้นอื่น

     จึงปรากฏว่า ในสมัยพุทธกาล ๑๖ แว่นแคว้นนั้นเหลือประเทศที่ใหญ่โตอยู่จริงๆ ๔-๕ ประเทศเท่านั้น  อย่างอังคะ  แถวบังคลาเทศ   ก็เข้าไปอยู่ใต้อำนาจของมคธแล้ว  มคธนี้กลายเป็นแคว้นที่ยิ่งใหญ่   ส่วนกาสีที่มีเมืองหลวง คือ เมืองพาราณสีที่เรากำลังจะไป  ก็ขึ้นอยู่ใต้อำนาจของแคว้นโกศลไปแล้ว


     กาสีนี้มีเรื่องมาในชาดกมากเหลือเกิน  พอเริ่มเรื่องก็ว่า อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทตฺเต ครั้งเมื่อพระเจ้าพรหมทัต  ครองราชสมบัติในเมืองพาราณสี  (ในแคว้นกาสี)  แต่พอถึงสมัยพุทธกาล  กาสีได้ตกไปอยู่ใต้อำนาจของแคว้นโกศลแล้ว

    แคว้นโกศล และวัชชี   ก็เป็นแคว้นที่ใหญ่มาก และมีอํานาจมากในสมัยพุทธกาล

     ต่อ่ไปก็แคว้นวังสะ  ซึ่งจะได้ยินชื่อมากในเรื่องวาสฏฐีหรือกามนิต   วังสะมีเมืองหลวงชื่อว่าโกสัมพี  พอออกชื่อโกสัมพีคนที่เรียนชั้นเตรียมอุดมศึกษาสมัยก่อนก็นึกออก และอีกแคว้นหนึ่ง คืออวันตี   ซึ่งมีเมืองอุชเชนีเป็นเมืองหลวง  ก็คือถิ่นของกามนิต-วาสิฏฐีนี่แหละ

     แคว้นมหาอํานาจในตอนนั้นกล่าวได้ว่า ก็คือ มคธ วัชชี โกศล วังสะ และอวันตี

     
อย่างไรก็ตาม  แคว้นที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาในยุคพุทธกาล จะอยู่ด้านนี้มาก ซึ่งเป็นด้านที่เรามาถึงก่อน คือด้านตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย ได้แก่แคว้นมคธ แคว้นวัชชีและแคว้นโกศล ซึ่งมีเสียงกล่าวถึงบ่อยที่สุด

    โดยเฉพาะแคว้นมคธมีชื่ออยู่ยั่งยืนที่สุด ส่วนแคว้นอื่นๆ ที่ว่าใหญ่ อยู่ในสมัยพุทธกาล พอถึงยุคหลังพุทธกาลก็ค่อยๆ หมดไป

    ในสมัยพุทธกาลนั้น  จะเห็นว่า แคว้นมคธกับแคว้นวัชชีแข่งอํานาจกันมาก แคว้นโกศลก็รบกับแคว้นมคธนิดหน่อย   แต่ต่อมาโกศลหายไป  วัชชีก็หายไป 

     โดยเฉพาะที่น่าสังเกตก็คือ  แคว้นที่มีการปกครองต่างแบบกัน คือ แคว้นมคธ กับ แคว้นวัชชีเป็นเรื่องที่น่าสนใจ 

     แคว้นมคธเป็นแคว้นที่ปกครองแบบราชาธิปไตย อยู่ติดกันกับแคว้นวัชชี ซึ่งปกครองแบบสามัคคีธรรม  ฝรั่งเรียกว่า  ปกครองแบบ republic หรือ สาธารณรัฐ

     ในการปกครองแบบสามัคคีธรรมนั้น ไม่ใช่มีผู้ปกครองเด็ดขาดเพียงผู้เดียว แต่ใช้วิธีที่ว่ามีชนชั้นปกครองจํานวนหนึ่ง ซึ่งมากทีเดียว อาจถึง ๗,๗๐๗ องค์ หมุนเวียนกันขึ้นมาปกครอง เวลาจะบริหารราชการแผ่นดินก็ต้องมีการประชุมในสภา ซึ่งมีหอประชุมที่เขาเรียกว่า สัณฐาคาร  (บางทีเขียน สันถาคาร)

     เมื่อมีเรื่องราวที่จะต้องตัดสินใจ หรือวินิจฉัย เช่นจะรบ หรือไม่รบกับต่างประเทศ หรือเกิดเรื่องราวสําคัญขึ้น หรือมีราชการอะไรที่สําคัญจะต้อง ตัดสินวินิจฉัย อย่างเช่นเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน กษัตริย์มัลละ  ซึ่งปกครองแบบนี้ ก็ต้องมาประชุมกันในสัณฐาคารเพื่อพิจารณาว่าจะปฏิบัติอย่างไรในการปลงพระสรีระของพระพุทธเจ้า อย่างนี้เป็นต้น

     แคว้นวัชชีนี้ก็ปกครองแบบสามัคคีธรรม ซึ่งต้องประชุมกันในสัณฐาคาร  พวกกษัตริย์วัชชีมีชื่อเรียกกันว่า ลิจฉวี ถ้าใครเป็นนักเรียนสมัยก่อน  ก็จะได้ยินชื่อลิจฉวีในเรื่องสามัคคีเภทคําฉันท์  กษัตริย์ลิจฉวีนี้  ก็อยู่ในแคว้นวัชชี   

     ที่จริงในวัชชียังมีกษัตริย์พวกอื่นๆ อีก เช่น วิเทหา เป็นต้น แต่ที่มีชื่อมากปลายพุทธกาลก็มีลิจฉวีนี่แหละที่สําคัญ  เป็นพวกที่เข้มแข็งมาก  มีการปกครองอย่างเก่าแบบสามัคคีธรรม คือร่วมกันปกครอง

     อย่างไรก็ตาม คําว่า “การปกครองแบบสามัคคีธรรม”  นี้ เป็นการจับเอาสาระมาเรียกกันภายหลัง   แต่ในคัมภีร์  ท่านเรียกราชาที่ร่วมกันปกครองแบบนี้ว่า “คณราช”  (เช่น วินย.อ.๑/๒๔๗; ม.อ.๓/๑๓; สํ.อ.๓/๑๐๒)  

     
แคว้นวัชชีนี้แข่งอํานาจกันกับแคว้นมคธอย่างยิ่งทีเดียว  แต่หลังพุทธกาลไม่นานก็ปรากฏว่า วัชชีได้สูญเสียอํานาจแก่แคว้นมคธ

    ตอนต้นพุทธกาล   มคธมีพระเจ้าแผ่นดินพระนามว่าพิมพิสาร   ครั้นถึงปลายพุทธกาล  พระเจ้าอชาตศัตรู ซึ่งเป็นโอรสของพระเจ้า พิมพิสาร ได้ส่งอํามาตย์ชื่อวัสสการพราหมณ์เข้าไปยุแหย่  ทําให้กษัตริย์ลิจฉวีที่ปกครองแคว้นวัชชีนั้นแตกความสามัคคีกันหมด


     เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูยกทัพไป พวกกษัตริย์วัชชีคือเจ้าลิจฉวีทั้งหลายมีความอ่อนแอ ไม่พร้อมใจกัน  ไม่พร้อมที่จะรบ  ก็เลยพ่ายแพ้  อาณาจักรวัชชีก็เลยพินาศ  สูญสิ้นอํานาจ และตกเป็นเมืองขึ้นของแคว้นมคธสืบมา 

     นี้เป็นเหตุการณ์หลังพุทธกาลไม่นาน มคธจึงกลายเป็นแคว้นที่ยิ่งใหญ่ แม้แต่แคว้นโกศลก็ได้สูญเสียอํานาจไป  จนในที่สุดเหลือมคธอยู่แคว้นเดียว  เพราะฉะนั้นเมื่อมาถึงยุคพระเจ้าอโศก ซึ่งเป็นเวลาหลังพุทธกาลนานตั้ง ๒๐๐ กว่าปี  มคธก็ได้กลายเป็นแคว้นเดียวที่ใหญ่ที่สุด

     ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช   อาณาจักรมคธของพระเจ้าอโศกใหญ่กว้างยิ่งกว่าประเทศอินเดียในปัจจุบัน เป็นอินเดียยุคที่มีดินแดนกว้างใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ แต่ก็ใหญ่ออกไปทางสองปีก คือ ทางทิศตะวันออกนี้ และทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ออกไปทางปากีสถาน และอัฟกานิสถาน

     ส่วนทางใต้ครอบคลุมไปไม่หมด เพราะพระเจ้าอโศกทรงหยุดแผ่ขยายอาณาจักรหลังจากทําสงครามชนะแคว้นกลิงคะ (บางทีเขียน กาลิงคะ) คือถึงถิ่นที่ปัจจุบันเรียกว่า แคว้นโอริสสา (Orissa) แล้วก็หยุดอยู่แค่นั้น เพราะทรงหันมายึดหลักพระพุทธศาสนา และได้ทรงเปลี่ยน นโยบายใหม่จากสังคามวิชัย คือเอาชนะด้วยสงคราม* มาเป็นธรรมวิชัย คือเอาชนะด้วยธรรม



* การเอาชนะด้วยสงครามนี้ในจารึก (พบในจารึกศิลา ฉบับที่ ๑๓) เรียกว่า สายกวิชัย หรือ สรสกวิชัย คือเป็น violent conquest หรือ military conquest แต่ยังมีการถกเถียงกัน เนื่องจากบางท่านเห็นว่า ศัพท์นั้นอาจแปลอย่างอื่นได้


 


ฮินดู  (พราหมณ์) ภาพปัจจุบัน   แต่พุทธเล่าย้อนอดีต   11   


235 ปกปรองแบบคณราช คงแนวๆมาเลย์

อดีตผู้นำมาเลย์ขออภัยโทษ “คดีทุจริตแสนล้าน” หลังสุลต่านอิบราฮิมขึ้นครองราชย์ (msn.com)

 



Create Date : 28 มกราคม 2567
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2567 15:09:39 น. 0 comments
Counter : 168 Pageviews.
(โหวต blog นี้) 

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space