กุญแจภาวนา ถ้าเข้าใจ ก็จะไปได้ดี
ผมจะนำเสนอเรื่องกุญแจภาวนาแก่ท่าน ขอให้ท่านศึกษาให้ดี ถ้าท่านเข้าใจ ท่านจะภาวนาได้ดี และจะหายสงสัยในเรื่องการภาวนาไปได้มาก ท่านที่จะมาพบผม ให้ผมเป็นซานตาครอส ก็ขอให้ศึกษาเรื่องนี้ก่อนครับ ขอให้อ่านหลาย ๆ รอบ ทำความเข้าใจ ถ้ามีอะไรสงสัย อ่านเท่าใดก็ไม่รู้เรื่อง ก็ขอให้ถามตอนพบกัน
จากภาพ คือปรมัตถ์ธรรมทั้ง 4 อันเป็นเรื่องที่มีอธิบายอยู่ในพระอภิธรรม อันเป็นสภาวะแห่งความจริง ผมขอเรียนท่านให้ทราบว่า เมื่อท่านภาวนาได้ดี ท่านจะเห็นสภาวะธรรมทั้ง 4 นี้ครบทุกสภาวธรรม ไม่ใช่เห็นเพียงลมหายใจ หรือ เห็นเพียงจิต หรือ เห็นเพียงเวทนา ถ้าท่านเห็นไม่ครบทั้ง 4 ท่านยังต้องภาวนาให้มากขึ้นอย่างถูกต้อง
การที่จะเห็นสภาวะปรมัตถ์ธรรมทั้ง 4 ได้นั้น ท่านต้องมีการพัฒนา .จิตรู้. (วงกลมสีเขียว) ให้จิตรู้มีกำลัง มีความตั้งมั่น เมื่อจิตรู้ มีกำลัง มีความตั้งมั่นมากเท่าใด จิตรู้ ก็จะเห็นสภาวะปรมัตถ์ธรรมได้เอง
ขอให้ท่านดูภาพอีกครั้ง ถ้าท่านเริ่มภาวนาใหม่ หรือกำลังภาวนาอยู่ แต่ยังไม่นานนัก >>>ท่านจะไม่มีวันเห็นสภาวะนิพพาน >>>ท่านจะไม่มีวันเห็นสภาวะเจตสิก >>>แต่สิ่งที่ท่านจะเห็นได้ก็คือสภาวะรูปครับ
เมื่อท่านเห็นสภาวะรูปได้ ท่านต้องเอาสภาวะรูปมาฝึกฝน เพื่อให้ จิตรู้ มีกำลัง มีความตั้งมั่นก่อน การฝึกฝนก็คือ การให้.จิตรู้. ได้รู้สึกถึงสภาวะรูปบ่อย ๆ ยิ่งบ่อยยิ่งดี ดังนั้น ท่านต้องฝึกมาก ๆ ให้จิตรู้ รู้สึกได้ถึงสภาวะรูปมาก ๆ นั้นเอง
ทีนี้ก็มาดูสภาวะรูปครั้ง ดังในภาพ สภาวะรูปมี สิ่งที่ตาเห็น สิ่งที่หูได้ยิน สิ่งที่ลิ้นรู้สึกถึงรส สิ่งทีจมูกได้กลิ่น สิ่งที่กายรู้สึกถึงได้ (ซึ่งมี ความรู้สึกของการกระทบสัมผัส รู้สึกถึงการสั่นไหว รู้สึกถึงอาการเจ็บปวด เมื่อยขบของกาย เป็นต้น ) ท่านจะเห็นว่า สภาวะรูปนั้น สิ่งที่ง่ายทีสุดและมีประสิทธิภาพอย่างดีมาก ๆ ก็คือ การให้จิตรู้รับรู้ความรู้สึกของกายนั้นเองครับ เพราะว่า มันมีตลอดเวลาที่ท่านตื่นอยู่นั่นเอง ดังนั้น จิตรู้ จะสัมผัสสภาวะปรมัตถ์ของรูปอยู่ตลอดเวลา ( ไม่ใช่สัมผัสได้เฉพาะตอนนั่งสมาธิเท่านั้น ขอให้ทำความเข้าใจให้ถูกต้องด้วยครับ ถ้าสัมผัสได้เฉพาะตอนนั่งสมาธิ ท่านก็ยังต้องฝึกฝนอีกมาก ๆ มากจริง ๆ ครับ ) เมื่อจิตรู้สัมผัสสภาวะปรมัตถ์ธรรมของรูปอยู่เนือง ๆ อย่างถูกต้อง คือ การสัมผัสพร้อมด้วยความรู้สึกตัว ที่ไม่เพ่งจ้อง จิตรู้ก็จะมีการค่อย ๆพัฒนากำลังขึ้นมาเองทีละนิด ทีละนิด ครับ
กุญแจอยู่ที่ตรงนี้เองครับ >> ให้จิตรู้สัมผัสสภาวะปรมัตถ์ธรรมของรูปอย่างรู้สึกตัว ที่ไม่เพ่งจ้อง อยู่เนือง ๆ
ทีนี้มาถึงว่าจะใช้สภาวะปรมัตถ์ธรรมของรูป ตัวไหนในการฝึกฝน อันนี้ก็แล้วแต่ท่านนะครับ ถ้าท่านจะเริ่มที่ลมหายใจ ก็ได้ แต่ผมว่าจะยากไปสักหน่อย เพราะลมหายใจมันจะเบามาก ถ้าท่านเพิ่งเริ่ม จิตรู้ อ่อนมากครับ จิตรู้อาจไม่สามารถรับรู้ลมหายใจได้ เมื่อรับรู้ไม่ได้ ท่านก็จะไปจ้องลมเอา ดังที่มีคำสอนกันหลาย ๆที่ว่า ให้เอาจิตไปวางไว้ที่ปลายจมูก อย่างนี้ก็จบเห๋ ครับ เพราะนั่นคือการเพ่งจ้องลมไปแล้ว ท่านอาจใช้การเดินจงกรม คือ การเดินพร้อมด้วยความรู้สึกตัว อย่างนี้ก็ใช้ได้ หรือ อื่น ๆ ก็แล้วแต่ หรือ จะดูได้จากเรื่องใน blog ที่ผมเขียนไว้ที่ ตัวอย่างการฝึกเพือการรู้กาย //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=05-2009&date=30&group=1&gblog=20
เมื่อท่านเลือกสภาวะปรมัตถ์ของรูปในการฝึกได้แล้ว ท่านก็ลงมือฝึกไปครับ ฝึกมาก ๆ ฝีกบ่อยๆ ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก ตอนนี้ ขอให้ท่านฝึกอย่างเดียว ไม่ต้องไปสงสัยอะไร ไม่ต้องไปอยากรู้อะไร เมื่อฝึกไปมาก ๆ เข้า จิตรู้ ก็จะค่อย ๆ มีกำลัง มีความตั้งมั่นขึ้นมาเองทีละนิดอย่างช้า ๆ ( เน้นครับ อย่างช้า ๆ เพราะมันจะช้าจริง ๆ ช้ามาก ๆ ไม่ทันใจครับ )
เมื่อจิตรู้มีกำลัง มีความตั้งมั่น ทีนี้ จิตรู้ จะเกิดการแยกตัวออกมาจาก เจตสิก ( จิตปรุงแต่ง ที่เป็นวงกลมอีกวงหนึ่งในรูป ) ถ้าจิตรู้ไม่มีกำลังพอ จิตรู้จะผสมรวมกับเจตสิกไม่แยกตัวออกมา เมื่อเกิดจิตปรุงแต่งขึ้นมาแล้ว
>>ถ้า จิตรู้ ไม่แยกตัวออกมา จิตรู้ ก็จะไม่เห็น เจตสิก (จิตปรุงแต่ง ) >>ถ้า จิตรู้ แยกตัวออกมา ก็จะเห็น เจตสิก (จิตปรุงแต่ง)
ถ้าท่านเพิ่งเห็นจิตปรุงแต่งได้ใหม่ ๆ ตอนนี้จะมีการชักกะเย่อกันขึ้นครับ เพราะจิตรู้ อาจถูกจิตปรุงแต่งดูดกลับเข้าไปได้ง่าย ๆ เมื่อเกิดจิตปรุงแต่งขึ้น ขอให้อ่านเรื่อง //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=07-2009&date=28&group=1&gblog=68
ถึงแม้ว่า จิตรู้จะแยกตัวออกมาแล้ว ท่านก็ยังต้องฝึกการรับรู้สภาวะปรมัตถ์ธรรมของรูปต่อไปอีกครับ อย่าได้หยุดเด็ดขาด ท่านต้องฝึกไปเรื่อย จนกว่า ท่านจะเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านจึงจะหยุดฝึกได้ ท่านอย่าไปรังเกียจมัน เพราะได้ยินคำสอนจากบางครูอาจารย์ที่ว่า รูปมันหยาบ สู้ดูจิตไม่ได้ มันละเอียดกว่า
เมื่อจิตรู้ของท่านมีกำลังดี เห็น สภาวะธรรมปรมัตถ์ของเจตสิกได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ต่อไป จิตรู้ จะเกิด ญาณ. หยั่งรู้ ที่สามารถไปรับรู้สภาวะนิพพานได้ครับ สภาวะนิพพาน เป็นสภาวะจิตที่นิ่งสงบ ไม่มีกิเลส ไม่มีอาการพอใจ ไม่พอใจ มันจะนิ่ง มันจะว่าง ๆ ไม่มีอะไร แต่รู้ได้ด้วยญาณ ท่านอาจเคยได้ยินคนพูดกันบ่อย ๆ ว่า นั่งสมาธิให้จิตนิ่ง การนั่งสมาธิให้จิตนิ่งนี้ ถ้าเป็นการกดทับให้นิ่ง มันจะไม่ใช่นิพพาน เพราะสภาวะจิตนิ่งแบบนิพพานนี้ มันนิ่งของมันอยู่แล้วโดยธรรมชาติ ไม่ต้องไปกดมันให้นิ่ง ถ้าท่านเห็นมันได้ มันจะปรากฏให้เห็นอยู่เสมอ ไม่ต้องนั่งสมาธิก็เห็นได้ ท่านกินข้าว เดินไปซื้อของ พูดคุยกับใคร ก็เห็นมันนิ่งได้อยู่บ่อย ๆ ครับ ถ้าท่านฝึกจนเห็นมันได้ตลอดเวลาทีตื่นอยู่ มันไม่หายไปเลย นั่นคือ ท่านเป็นพระอรหันต์แล้วครับ
ท่านจะเห็นว่า การเข้าสู่ปรมัตถ์ธรรมแห่งความจริงของธรรมชาตินั้น มันจะมาได้ด้วยแบบนี้ ถ้าท่านเข้าใจสภาวะธรรมปรมัตถ์ ท่านจะเข้าใจได้ว่า มันจะถึงสภาวะแบบนี้ได้ครบได้อย่างไร
เมื่อท่านอ่านแล้ว ท่านคงมองภาพออก ว่า เส้นทางแห่งการสิ้นทุกข์นั้น ภาพรวมเป็นอย่างไร ผมมอบกุญแจภาวนาให้ท่านแล้ว ท่านเพียงหยิบกุญแจดอกนี้ แล้วก็ไขมันเท่านั้น แม่กุญแจก็จะหลุดออก จิตท่านก็จะเป็นอิสระจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน แล้วท่านก็จะสิ้นทุกข์ตามหลักการแห่งพุทธศาสนา ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประกาศสั่งสอนให้พุทธบริษัทได้เดินตามทางแห่งอริยมรรค
พระคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมาพุทธเจ้ายิ่งใหญ่ทีสุดสำหรับชีวิตมนุษย์ก็ด้วยเหตุนี้ครับ การดำเนินทางแห่งพุทธ เพียงแค่การให้ทาน การบริจาคเงิน สิ่งของ การรักษาศีล ก็ดีอยู่ แต่ยังไม่ได้เดินตามทางแห่งมรรคที่พระศาสดาได้สั่งสอนไว้ พุทธบริษัทโปรดพิจารณาด้วยปัญญาของท่านเถิด
Create Date : 02 ธันวาคม 2552 |
|
7 comments |
Last Update : 29 มกราคม 2555 18:59:54 น. |
Counter : 4400 Pageviews. |
|
|
|
....สาธุค่ะ