เพียงรู้สึกตัว ก็พอแล้วหรือในการปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์
ผมเชื่อว่า จะมีคนจำนวนมากที่สงสัยในห้วข้อที่ผมนำมาโปรยไว้ที่ว่า .เพียงรู้สึกตัว ก็พอแล้วหรือในการปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์. แล้ว มันสอดคล้องกับ Zen อย่างไรที่ว่า การปฏิบัติไม่ต้องทำอะไร เพราะทุกคนคือพุทธะอยู่แล้ว ก่อนอื่น ผมเชื่อว่า ทุกคนคงรู้จักว่า .ความรู้สึกตัว. คืออะไร มีอาการอย่างไร ถ้าใครไม่รู้จัก ผมก็แนะนำว่า ให้ท่าน.หยิกแขน.ตัวเองเดียวนี้เลยครับ ท่านรู้สึกเจ็บใช่ใหมครับ ต้องใช่แน่นอน ถ้าท่านหยิกจริง ๆ นั้นแหละครับ อาการที่เกิดขึ้น คือ เมื่อท่านรู้สึกได้ถึงความรู้สึกทางร่างกาย (ดังเช่นเจ็บจากการหยิกแขน ) + ความรู้สึกทางจิตใจ ในขณะวินาทีนั้นแหละ คือ ท่านได้รู้สึกตัวแล้ว ท่านสังเกตอีกอยางหนึ่งในเรื่อง .ความรู้สึกตัว. ที่จะเข้าถึงธรรมแห่งความพ้นทุกข์ มันต้องเป็นธรรมชาติจริง ๆ ไม่ใช่แกล้งทำขึ้นมา ที่ว่าแกล้ง เช่น การที่ท่านตั้งใจหยิกตัวเองดังตัวอย่างข้างต้น นี่คือแกล้งทำขึ้นมา มันไม่ใช่ของธรรมชาติ แต่ถ้าท่านกำลังอ่านบทความนี้อยู่ แล้วมียุงมากัดแขนท่าน ท่านรู้สึกได้ถึงการถูกกัด นั่นแหละคือท่านรู้ความรู้สึกที่แบบเป็นธรรมชาติ ถ้าท่านเพียงรู้สึกตัวที่เป็นธรรมชาติ ตาท่านจะมองเห็นได้ หูท่านจะได้ยินอยู่ จมูกท่านจะได้กลิ่นเองได้ ลิ้นท่านจะรู้รสเองได้ รางกายจะรุ้สึกถึงการสัมผัสได้ ( อย่าลืมว่าท่านต้องไม่แกล้งทำนะครับ ) *** เมื่อท่านรู้สึกตัวอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เสแสร้งแกล้งทำ นั่นแหละครับ สภาพธรรมชาติของท่านคือ การไร้ตัวตนปรากฏแล้วครับ เพียงแต่ท่านไม่รู้จักเท่านั้นเอง นี่คือทำไมพวก Zen จึงบอกว่า การปฏิบัติไม่ต้องทำอะไร เพราะทุกคนคือพุทธะอยู่แล้ว ก็เพราะมันเป็นจริง ๆ ครับ ทีนี้ ท่านอาจสงสัยว่า ถ้ามันง่ายอย่างนี้ แล้วทำไมจึงมีการสอนการปฏิบัติธรรมแบบเอาเป็นเอาตายในประเทศไทย เพื่อให้รู้ธรรม สำเร็จธรรม เป็นพระอริยบุคคล กันละ เรื่องนี้ ผมขอตอบตามความเห็นส่วนตัวว่า เพราะปุถุชนนั้น ไม่สามารถรู้สึกตัวแบบไม่เสแสร้งได้ตลอดเวลาครับ จิตใจของปุถุชน นั้น จะมีการใจลอย หลงคิด อันเป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับความรู้สึกตัวนั่นเอง เมื่อจิตใจปุถุชนเป็นแบบนี้ ปุถุชนจึงมิอาจเข้าใจในธรรมชาติความไม่มีตัวตนของตนเองได้ ดังนั้น สำนักปฏิบัติธรรมต่าง ๆ จึงได้คิดค้นอุบายการฝึกฝน เพื่อให้จิตใจของปุถุชนนั้นตื่นจากการใจลอย การหลงคิด ซึ่งอุบายในการฝึกฝน ก็คือ สติปัฏฐาน 4 นั่นเอง การฝึกฝนสติปัฏฐาน 4 อย่างถูกต้อง จะทำให้จิตใจของปุถุชนตื่น และเข้าใจ เห็นสภาวะแห่งขันธ์ 5 อันเป็นไตรลักษณ์ ในขั้นต้น และถ้ายิ่งตื่นมากขึ้น ก็จะเกิดญาณหยั่งรู้สภาวะแห่งสุญญตาของจิตใจได้ และเมื่อนั้น เขาก็จะเข้าใจและอาจร้องอ๋อออกมาว่า สัพเพ ธรรมา อนัตตา คือ อย่างนี้เอง เขาจะรู้ได้ว่า ความรู้สึกตัวที่เป็นธรรมชาติ คือ ธรรมชาติแท้จริงนั่นเอง แต่ถ้าท่านใดที่เข้ามาอ่านบทความนี้ ถ้าเขาเป็นผู้มีปัญญาแก่กล้าอยู่แล้ว ลองสังเกตดี ๆ ในขณะที่ท่านรู้สึกตัวที่เป็นธรรมชาติ ท่านอาจมองมันออก และเข้าใจธรรมแท้ อันเป็นธรรมชาติของตัวท่านเองได้ครับ เร็วช้า มันอยู่ที่ตรงนี้เองครับ คนที่เร็ว คือ มองได้ออกเร็ว คนที่ช้า คือ มองเท่าใดก็มองไม่ออก ทั้ง ๆ ที่ของมันปรากฏให้เห็นอยู่ต่อหน้าเหมือนกัน
Create Date : 26 ตุลาคม 2552
Last Update : 29 มกราคม 2555 18:33:56 น.
4 comments
Counter : 1093 Pageviews.
โดย: ล้อลม IP: 115.67.24.105 วันที่: 26 ตุลาคม 2552 เวลา:22:24:16 น.
โดย: palmgang IP: 119.42.102.161 วันที่: 27 ตุลาคม 2552 เวลา:9:18:21 น.
โดย: อุบาสก IP: 203.149.28.115 วันที่: 27 ตุลาคม 2552 เวลา:9:33:18 น.
โดย: นมสิการ วันที่: 29 มกราคม 2555 เวลา:18:56:50 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [? ]
หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน.... จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ... บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้ เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ ** ****** บทความต่าง ๆ ใน blog นี้ ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ****